วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

บทที่ 7


เปิดโปงขบวนการรัฐปัตตานี
โดย..สอาด จันทร์ดี
 

         

บทที่ 7
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้



ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร  แทบจะกล่าวได้ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เฉพาะจังหวัดปัตตานีกับจังหวัดนราธิวาสนั้น ตั้งอยู่ติดกับอ่าวไทย ใกล้ประเทศมาเลเซีย จึงเรียกว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้
โจรก่อการร้าย ได้ทำสงครามนอกรูปแบบหนักหน่วงที่สุดใน 3 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พื้นที่สงครามเกิดขึ้นที่ทุกหนทุกแห่ง จนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก ชื่อของอำเภอเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเป้าถูกโจมตี เช่น อำเภอหนองจิก ยะหริ่ง แม่ลาน ทุ่งยางแดง ปะนาเระ มายอ รามัน บันนังสตา สายบุรี กะพ้อ บาเจาะ รือเสาะ ครีนคร ไม้แก่น ยี่งอ ระแงะ เจาะไอร้อง เบตง จะแนะ สุดิริน สุไหงโก-ลก สุไหงปาดี และ ตากใบ   
เฉพาะอำเภอเจาะไอร้อง ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้จดจำ ทหารค่ายพัฒนาถูกโจรปล้น    เอาปืนไป 300 กว่ากระบอก ฆ่าทหารตาย 4 คน ก่อนฆ่าได้ขึ้นเหยียบอก ตะโกนว่า เป็นพุทธต้องตาย ฆ่าแล้ว ยังทำร้ายและเหยียบหยามศพอีกต่างหาก วิธีการเหยียบหยาม มีข่าวลือมาว่าได้ฉี่รดศพ เอาฝ่าเท้าประทับไว้ที่ใบหน้า
4 มกราคม 2547 ...เป็นปีแห่งความทรงจำที่รัฐบาลในสมัยนั้น...คือ รัฐบาลพรรคไทยรักไทย พยายามจะไม่กล่าวถึง นอกจากไม่กล่าวถึงแล้ว ยังมีคำพูดออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีว่า "สมควรตาย" อีกด้วย 
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสภาพภูมิศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ไม่เคยถูกพายุถล่ม ไม่เคยมีแผ่นดินไหว เส้นทางคมนาคมไปมาหาสู่กันสะดวก ทั้งทางรถไฟ และการขนส่งทางบก การใช้สนามบินขึ้นลง ใช้สนามบินหาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล จึงกล่าวได้ว่า ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีความเจริญไม่แพ้จังหวัดอื่น 
ถ้าไม่มีปัญหาก่อการร้ายในสามจังหวัดนี้ ประเทศไทยทั้งประเทศจะมีแต่ข่าวคราวของความสงบ ชื่อเสียงของประเทศจะโดดเด่นงดงาม และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รัฐบาลแก้เกมโจรไม่ตก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า "เอาโจรไม่อยู่" แถมพวกโจรเอง ได้มีเครือข่ายอยู่ต่างประเทศ คอยใส่ร้ายป้ายสี ยิ่งทำให้ข่าวที่เสียหายเกิดขึ้นกับประเทศไทยสุดที่จะหาทางเยียวยา
ขบวนการต่างๆในประเทศไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ข้อเรียกร้องหนึ่งที่ได้ผลมาก ได้แก่ข้อเรียกร้อง "ไม่ให้รังแกประชาชน"ให้หยุดการอุ้มฆ่า" สมาชิกวุฒิสภาหลายคนได้ดาหน้าออกมาให้หาทางสมานฉันท์ เยียวยาประชาชนโดยไว
ผลก็คือเข้าทางโจร  ฝ่ายโจรนั้นได้กล่าวร้ายป้ายสีรัฐบาลมายาวนาน หาว่าข้าราชการรังแกประชาชน มีการพูดอภิปรายในรัฐสภาด้วยฝีปากคมกล้า บอกเรื่องราวความเหี้ยมโหดเป็นฉากๆ จนสามารถทำให้ประชาชนและชาวบ้านทั่วไปเชื่อว่า ข้าราชการที่ภาคใต้รังแกประชาชนจริง ประชาชนเกิดความเกลียดชังร่วมไปด้วย
แท้ที่จริง มีแต่โจรรังแกข้าราชการ  พวกข้าราชการนั้น น้อยนักที่จะเหยียบขาเข้าไปในหมู่บ้านได้ ยิ่งมาถึงยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศ "ขอโทษ" แทนรัฐบาลทักษิณ ตำรวจหมดโอกาสเหยียบเข้าไปในหมู่บ้านเด็ดขาด ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2549
ความจริง ตำรวจและข้าราชการ หมดโอกาสเข้าหมู่บ้านมานานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนโน้นหรือปัจจุบันนี้ คนที่รังแกเขาจริงๆ คือ โจรปัตตานี
แต่มันช่างแปลก คนที่รังแกเขาทุกวัน "คือโจรฎ แต่ปากของโจรกลับประกาศว่า "ถูกรังแก"
ช่างแปลกอีกเช่นกัน..สมรรถภาพการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลทำไมจึงอ่อนยวบ ไม่มีวี่แววฉลาดทันโจรเลย ขนาดถูกรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ก็ยังเป็นทองไม่รู้ร้อน คนทีคับแค้นใจก็ได้แต่รับแค้น ไม่มีทางไหนที่จะทำให้หายคับแค้นได้
เมื่ออยู่ในหน้างาน ผมมองหาคีย์แมนโทน เพราะบางทีอาจจะได้รับฟังข่างใหม่ๆขึ้นมาบ้าง ผมบอกให้คนไปตามหาโทน ให้มากินข้าวเที่ยงด้วยกัน
คุณช้าง หรือ ชูศิษย์ เลาวนากิจกุล กินข้าวแล้วถือโอกาสนอนบนเก้าอี้งีบหลับเอาแรง    ผมพาโทนเข้าไปนั่งคุยกันที่มุมห้องทำงาน ผมถามโทนว่ามีข่าวอะไรไหม...โทนมองออกไปทางหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว จึงกระซิบบอกผมว่า "ผมกำลังจะหาทางออกนายหัว ข่าวว่าดอเยาะจะเผา "โซโย" อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ครับ..."
"โอ๊ะ..." ผมครางออกมา
"อย่าไปยุ่งดีกว่านายหัว พวกนี้..ถ้ามันจะทำมันก็ต้องทำ"
อ้าว..แล้วก็บริษัทของเราล่ะ...ผมร้อง โทนบอกว่า "ไม่เกี่ยว"
ผมได้รับข่าวด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ผมต้องระวังตัวแจ กลัวมันจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น จึงยิ่งต้องระวัง โทนเองก็ไม่รู้ว่าผมเขียนคอลัมน์ด่าพวกโจรป่าทุกวัน แม้ว่าหนังสือพิมพ์บ้านเมืองจะมีขายที่หาดใหญ่และภาคใต้ทุกจังหวัด ก็ไม่มีใครรู้นามปากกาของผม
คีย์แมนโทนเขารักผม เพราะความเป็นอีสานด้วยกัน เขาได้ประโยชน์เกี่ยวกับอาชีพการงานไม่น้อยเลย ความรักมันจึงถูกวางไว้บนความไว้วางใจ
หลังพักเที่ยง ผมมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นโครงสร้างของโรงแยกแก๊สเริ่มมีสิ่งก่อสร้างหนาตาขึ้น ถ้าการก่อสร้างเสร็จ โรงแยกแก๊สจะมีรูปร่างเหมือนโรงกลั่นน้ำมัน
ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของสำนักงานที่ผมนั่งทำงานประมาณ 250 เมตร เป็นสถานที่ตั้งของบริษัท "โซโย" ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาช่วงเช่นเดียวกับพวกผม ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของบริษัท"เร็ดซี" รับเหมางานประเภทเดียวกัน บริษัทอิตาเลี่ยนไทย ตั้งสำนักงานอยู่ทางปากทางออก 
ผมกระวนกระวายใจอยากบอกข่าวนี้ให้ "ซัมซุง" รู้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องบอกให้ได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง รู้แล้วจะทำเป็นเงียบเห็นไม่ได้แน่ คิดแล้วก็เลิกงานในวันนั้น แต่ยังเลิกหลังคนอื่นตั้ง 2 ชั่วโมง เพราะต้องตรวจดูความเรียบร้อย เพื่อจะได้เตรียมงานในวันรุ่งขึ้น ผมกลับถึงบ้าน แวะไปกินข้าวเย็น แล้วอาบน้ำ นุ่งชุดนอนเข้าห้องนอนไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ถือโอกาสเจริญสมาธิประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอน
ผมนอนหลับสบายตลอดคืน
ตื่นแต่ตีห้า...รีบกระวีกระวาด ลงไปหารถที่จอดรอรับอยู่แล้ว
ผมเดินทางถึงโรงแยกแก๊ส...ในขณะตะวันสีแดงดวงกลมโตกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า แต่บรรยากาศประตูทางเข้าไปทำงานวันนี้ เงียบเหงาผิดปกติ ผู้คนบางตา ทหาร ตำรวจ ที่ปักรักษาความปลอดภัย ดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
หน้าประตูใหญ่ มีรถดับเพลิงของเทศบาลจอดอยู่ 1 คัน ลุงร้านกาแฟมองดูหน้าผม     แล้วกระซิบบอกเสียงหนักๆ "ไฟไหม้โซโยตอนตีสองวอดไปทั้งหลัง" พูดจบก็เดินไปชงกาแฟ คนอื่นๆได้ยินพากันเงียบ ไม่มีใครถามหาว่าเกิดอะไรขึ้น
"โทน...” ผมครางอยู่ในใจ "โจรมันเผาเร็วกว่ากำหนด"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม