วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

แถลงกิจทำลายพุทธ

ใน วารสารแถลงกิจ ฉบับที่ ๑๐ เดือนมีนาคม ๑๙๖๙
ของสำนักเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนาแห่งสำนักวาติกัน
ได้ประกาศแผนการไว้อย่างชัดแจ้งว่า

“........งานเผยแผ่ของพวกเรา จะต้องช่วยให้พวกเราเป็นที่รู้จักแก่ผู้นับถือพุทธศาสนา การที่จะให้งานนี้สำเร็จผลได้ในสมัยปัจจุบันเป็นต้องมี การปรุงแปลงวิธีการใหม่ ทั้งวิธีการแต่งบทสนทนาโต้ตอบ วิธีการสอนบทสนทนานั้น และวิธีสื่อสารทางสังคม…..”

“……แต่การร่วมงานที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือ งานที่ผู้เชี่ยวชาญของเรา จะไปจัดไปทำเอากับคัมภีร์และตำรับตำราทางพุทธศาสนา เพื่อจะดูดกลืนเอาหลักธรรมที่ดี ๆ เข้ามาไว้ในวัฒนธรรมคริสต์ของท้องถิ่น ….”

วิธีการผสมผสานกลมกลืนทางขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและพิธีกรรมทางศาสนานั้น ถ้ามองในแง่บวกก็ไม่น่าเสียหายอะไร เพราะเขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับ สภาพบรรยากาศของเมืองพุทธ ดีเสียอีกจะได้สร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรไมตรีต่อกัน เขาจะยืมของเราหรือเราจะยืมของเขาไปใช้บ้างก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง มองเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามองให้ลึกแล้วจะเห็นว่า เบื้องหลังการปรับตัวเข้ากับ
สภาพบรรยากาศแบบเรานั้น มีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์แอบแฝงอยู่

นั่นคือ อาศัยน้ำใจไมตรีอันจอมปลอมที่พยายามสร้างขึ้น เพื่อให้ชาวพุทธตายใจแล้วทำลายพุทธศาสนาให้สิ้นซากในที่สุด และการทำลายที่ได้ผลที่สุด ก็คือ
“งานที่ผู้เชี่ยวชาญของเรา (ชาวคริสต์) ไปทำเอากับคัมภีร์และ
ตำรับตำราทางพุทธศาสนาเพื่อดูดกลืนเอาหลักธรรมดี ๆ
เข้ามาไว้ในศาสนาคริสต์”
นั่นเอง

นี่มิใช่เพียงการ “หักยอด” แต่เป็นการ “ขุดรากถอนโคน” อีกด้วย
เขาทำกันอย่างไร ลองมาดูกันต่อ

เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์นี้ได้เกิดขบวนการ สัทธรรมปฏิรูป (การปลอมคำสอน)
ขึ้นมาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คือ

- เกิดวารสารชื่อ สัปดาห์สาร ของสำนักบาทหลวงบ้านโป่ง ราชบุรีขึ้น เปิดคอลัมน์“ศาสนสัมพันธ์ - แนวการอธิบายคริสต์ศาสนาโดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา” เอาหลักธรรมสำคัญของพุทธศาสนามาอธิบายบิดเบือนให้เป็นคริสต์ เป็นงานเผยแผ่ระดับชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไป
ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานระดับประชาชนนี้
คือ บาทหลวง (ชื่อนามสกุล ของคนเชื้อชาติ/สัญชาติไทยคนหนึ่ง)
สังฆราชแห่งมณฑลเชียงใหม่ 
ผลงานบิดเบือนพุทธธรรมของบาทหลวงผู้นี้
รวบรวมตีพิมพ์เป็นรูปเล่มสมบูรณ์ต่างหาก
นอกจากที่ลงในวารสาร สัปดาห์สารด้วย

-วารสารแสงธรรมปริทัศน์ ของวิทยาลัยแสงธรรม สถาบันฝึกอบรมผู้เตรียมจะบวชเป็นบาทหลวงที่สามพราน นครปฐม ได้ตีพิมพ์บทความในแนวที่เรียกว่า ศาสนสัมพันธ์
รวมทั้ง แนวทางการอธิบายคริสต์ศาสนาแก่ชาวพุทธ
โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา 
ออกมาอย่างต่อเนื่อง

-ในระยะกลางปี ๒๕๒๕ สำนักเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนาแห่งวาติกัน ได้จัดทุนก้อนหนึ่งเสนอเสนอฝ่ายสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทยให้จัดตั้ง
ศูนย์ศาสนสัมพันธ์” เพื่อเป็นที่รวมหนังสือทางพุทธศาสนา ให้บริการห้องสมุด จัดปาฐกถา สัมมนา ฝึกสมาธิ ทั้งในและนอกสถานที่ พร้อมทั้งจัดพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่ความรู้พุทธศาสนาในแนวคริสต์ศูนย์ดังกล่าวนี้ขึ้นตรงต่อวาติกัน เป็นการจัดเตรียมให้รับพุทธศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคริสต์ศาสนา หรือพูดให้ชัดคือ เตรียมกลืนให้หมดสิ้น การตั้งคาร์ดินัลในประเทศนี้ก็คือ การกว้านซื้อที่ดินตามต่างจังหวัดแห่งละเป็นหมื่น ๆ ไร่เพื่อจัดตั้งนิคมชาวคริสต์ แบ่งที่ทำกินแก่คนยากจนฟรี โดยยื่นเงื่อนไขว่าต้องละทิ้งศาสนาดั้งเดิมก็ดี ล้วนเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาแทนที่พุทธศาสนาได้รวดเร็วขึ้น


เมื่อนั้นแหละครับ ก็จะมาถึงเวลา

“พระปฏิมาจะร่ำไห้
ชลเนตรรินไหลเป็นเลือดข้น
เกะกะโบสถ์วิหารจน
โป๊ปแกจะขนลงทิ้งน้ำ”


แล้วแกก็จะนำเอาไม้กางเขนมาประดิษฐานแทนอย่างสง่า

- ส่วนงานด้านการเตรียมการทางด้านปัญญาชน ที่อาศัยคราบของนักวิชาการ กระทำอย่างลึกซึ้งและแนบเนียนก็คือหนังสือ “ปรัชญาอินเดีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธปรัชญา) สำหรับชาวคริสต์” ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และหนังสือชื่อ “พระไตรปิฏกสำหรับชาวคริสต์” ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ทั้งสองเล่มเป็นผลงานวิจัยของท่านหนึ่ง

จุดประสงค์ของงานทั้งสองชิ้นนี้เด่นชัดอยู่ว่า
“คริสต์ศาสนาของเราไม่มีปรัชญาของตนเองโดยเฉพาะ
หากรับเอาปรัชญาที่พบว่าเหมาะสมมาอธิบายข่าวดีของพระเยซูมาตลอด
ในอดีตและในตะวันตก คริสต์ศาสนาใช้ปรัชญากรีกอธิบายคำสอนของตน
เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามาในประเทศที่มีวัฒนธรรมและพุทธศาสนา
จึงควรใช้คำสอนของพุทธศาสนาแทนปรัชญากรีก”

“จะต้องดำเนินการวิจัยต่อไปในขั้นอื่น ๆ กล่าวคือ
ต้องวิจัยแต่ละเรื่องอย่างจริงจังพร้อมทั้งรายละเอียดเพื่อดูว่า
อาจจะนำเอาไปใช้ในคริสต์ศาสนาได้อย่างไรบ้าง เช่น
เรื่องกฎแห่งกรรม ความทุกข์ การหลุดพ้น อนัตตา การเวียนว่ายตายเกิด
ปฏิจจสมุปบาท สมาธิ อภิญญา หรืออาจจะวิจัยโดย
"เขียนอรรถกถาคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นใหม่
ใช้อธิบายหลักคำสอนของคริสต์ศาสนาได้”


“ทดลองค้นคว้าสืบเนื่องต่อมาว่า
พระสูตรต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกอาจจะนำไปใช้เสริม
คำอธิบายคำสอนของพระเยซูในเรืองใดได้บ้างหรือไม่ อย่างไร”

“ควรมีการวิจัยหาคำอธิบายในพระไตรปิฎก
ให้ชาวคริสต์นำไปใช้ได้อย่างสะดวกใจที่สุด”

เห็นหรือยังครับว่า เจตนาที่แท้จริง คืออะไร
แกรู้ตัวว่า ศาสนาของตนไม่มีปรัชญาอะไรลึกซึ้งที่จะสนองตอบปัญญาชนในยุคปัจจุบันได้
จึงต้องหันมาหาพระไตรปิฎก เพื่อจะหาลู่ทางนำไปอธิบายคริสต์ศาสนาให้ฟัง
ได้มีเหตุมีผลขึ้นที่ไหนพอจะบิดให้มันเบี้ยวเข้าไปรับใช้ศาสนาของตนได้
ก็หยิบฉวยเอาซะเลย หรือหากหาไม่ได้จริง ๆ
ก็อาจต้องลงทุน 
“เขียนอรรถกถาคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่เพื่อรับใช้ศาสนาคริสต์ได้”


การบิดเบือนปลอมแปลงคัมภีร์ศาสนาเป็นบาปมหันต์
เป็นการทำลายศาสนาอย่างร้ายแรง พระพุทธองค์ตรัสว่า
ผู้ใดกล่าวตู่พุทธพจน์ที่พระองค์ไม่เคยตรัสเลยเอาไปใส่พระโอษฐ์พระองค์
หรือตรัสอีกอย่าง ไปบิดเบือนอีกอย่างหนึ่ง เป็นผู้ทำลายศาสนา
มีบาปอุกฉกรรจ์ (ยิ่งกระทำโดยคนนอกศาสนาแล้ว
ยิ่งถือว่าเป็นความเลวร้ายชนิดที่ไม่น่าจะอภัยให้ชั่วกัลป์กัลป์ทีเดียว)


ถ้าจะเถียงว่าข้อเขียนเหล่านี้เป็นเพียงทรรศนะทางวิชาการส่วนตัวของนักวิชาการเท่านั้น
ไม่ควรโยงใยไปถึงแผนการของวาติกันซึ่งดูเป็นการตั้งสมมติฐานไกลเกินเหตุ
ก็ขอบอกว่าอย่าแก้ตัวเลย การที่พวกท่านประชุมลับกันวางนโยบายกันอย่างไร ที่ไหน เมื่อไรบ้าง
เอกสารลับ(ที่ท่านนึกกระหยิ่มว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากพวกท่าน) อยู่ในมือผมหมดสิ้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “นตฺถิ โลเก รโห นาม” ชื่อว่าความลับไม่มีในโลก
โปรดสำเหนียกไว้ด้วย

ต่อไปนี้ลองมาดูการถูกเหยียดหยามพระพุทธองค์และพระพุทธศาสนา แบบปัญญาชนของเขาบ้าง (การอ้าง การอธิบายทางวิชาการบังหน้าก็เพื่อลวงตาคนส่วนมากว่านี่เป็นวิชาการล้วน ถ้ารู้ไม่เท่าทัน รู้ไม่ถึง ก็อาจจะไม่เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นอะไร)

“พระเจ้าคือ องค์ความจริง ความจริงทุกอย่างย่อมมาจากพระเจ้า
ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนความจริง ความจริงนั้นย่อมมาจากพระเจ้าเช่นกัน”


“การรับรู้ธรรมะของชาวพุทธ ต้องนับว่าเป็นการรับรู้พระเจ้าในลักษณะหนึ่ง”

“วิถีทางแห่งการบรรลุชีวิตพระเจ้าก็คือ ไตรสิกขา อันได้แก่
การถือศีล (บัญญัติ ๑๐ประการและอื่น ๆ ในพระไตรปิฎก)
ฝึกสมาธิ (ตามแนวทางของวิสุทธิมรรค) เพื่อบรรลุถึงการมีชีวิตพระเจ้า
(อภิญญารวมกับอภิปัสสนาหรือปิติฟิควิชั่น)”


“ปฐมเหตุของสรรพสิ่งคือพระเจ้า พระผู้สร้าง พระองค์สยมภู
พระองค์เป็นผู้สร้างสากล จักรวาลและทรงตั้งกฏปฏิจจสมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก”


“การเรียนรู้กฏปฏิจจสมุปบาทไม่ขัดต่อการเป็นคริสต์ศาสนิกชน
ปฏิจจสมุปบาท คือ แผนที่ของพระเจ้าที่มีต่อโลกมนุษย์
พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาตีแผ่”


“พึงระวังไม่ลดองค์พระคริสต์ให้ต่ำลงระดับผู้วิเศษ
หรือในระดับเท่ามหาบุรุษอื่น ๆ
ในโลกนี้ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น เช่น พระพุทธเจ้า”


“ถือได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นปกาศกองค์หนึ่งของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มอบภารกิจให้มาเตรียมประชาชนชาวตะวันออกรับเสด็จพระคริสต์ เพราะชาวคริสต์ถือว่าพระเมสสิอา หรือ
พระศรีอาริย์นั้นได้เสด็จมาแล้วเมื่อราว ๕๐๐ ปีหลังพุทธกาลพอดี
ยุคพระศรีอาริย์หรือพระเมสสิอานั้นเริ่มต้นแล้วนับแต่พระคริสต์บังเกิด ”



“ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คริสต์ศาสนาก็สอนเหมือนกันเพราะเป็นความจริงสากลสภาพเปลือย คือ อนัตตา ความสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่และความตายก็คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่น ความอยากกินผลไม้ต้องห้ามเป็นอวิชชาทำให้เกิดตัณหา”

โปรดสังเกตว่า นักบวชปลอมแปลงเหล่านี้มีความ “อยาก” (ตัณหา) จนเกิด “ความโง่”
(อวิชชา) เพราะมุ่งเอาแต่จะได้โดยลืมนึกไปว่าตนเองพูดขัดกันเอง หรือเดินขัดขาตัวเองอย่างไม่เป็นท่า พูดอยู่หยก ๆ ว่า ศาสนาคริสต์คาทอลิกของตนไม่มีปรัชญาลึกซึ้งอะไร ต้องมาจัดทำเอากับพุทธศาสนา คือมาหยิบฉวยเอาของดีจากพุทธศาสนาไปดัดแปลงศาสนาคริสต์จึงจะอยู่รอดได้

เมื่อคริสต์ศาสนาไม่มีธรรมะขั้นสูงทีมีเหตุมีผลเพียงพอก็แสดงอยู่ในตัวว่าเยซูคริสต์แกรู้อย่างตื้นเขิน สอนได้แค่ธรรมะพื้น ๆ แล้วไฉนจึงบังอาจพูดว่า
“ให้ระวังอย่าได้ลดองค์พระเยซูให้เสมอหรือต่ำกว่าพระพุทธเจ้า” หรือ
“พระพุทธเจ้าเป็นเพียงแค่ปกาศกผู้รับใช้พระเจ้า ได้ตรัสรู้
ปฏิจจสมุปบาทก็เพราะพระเจ้าประทานมาให้และสั่งให้เตรียมการไว้รอรับพระเยซู”

การอธิบายอนัตตาเป็นภาพโป๊ภาพเปลือย ก็ลามกจกเปรตบิดเบือนจนเหลือจะทานทนแล้ว ยังมาล่วงล้ำก้ำเกินเหยียบย่ำน้ำใจกันไปถึงไหน
ศาสนาใคร ใครก็รัก ศาสดาใคร ใครก็เคารพนับถือ ให้เกียรติให้ความเคารพเสมอ 
พวกท่านจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้หรือ

มันน่าน้อยใจก็ตรงที่พอมีคนมาย่ำยีศาสนาพุทธ หาว่าพระพุทธเจ้าเป็นปกาศกรับใช้พระเจ้า คอลัมนิสต์ชื่อดังบวชเรียนมาก็นาน เขียนบทความในทำนอง ไม่เห็นจะเป็นการย่ำยีดูถูกอะไรเลย คำว่า “ปกาศก” แปลว่า ผู้ประกาศ พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจธรรมก็เหมาะสมอยู่แล้ว

ท่านอ่านข้อความจบประโยคหรือเปล่า หรือหยิบฉวยมาแต่คำว่า “ปกาศก” แล้วมาพูดว่าไม่เป็นการเหยียบย่ำ อยากขอให้ท่านกลับไปอ่านข้อความให้เต็มประโยคแล้วตรองดูว่า เป็นการให้เกียรติพระพุทธเจ้าหรือดูหมิ่นพระพุทธเจ้า และคำว่า Prophet ที่แปลไทยว่า “ประกาศก” (เขียนแบบสันสกฤต ในขณะที่คำแรกเขียนแบบบาลี : ผู้แปะ) นั้น ในความหมายของคริสต์ศาสนิกชนคืออะไรรู้บ้างไหมจะนำมาใช้กับพระพุทธเจ้าหาได้ไม่ (แปลทำนองว่า ผู้นำสาสน์จากพระเจ้ามาประกาศ จึงเป็นการลดศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็นอย่างยิ่ง : ผู้แปะ)

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดกรณีคริสต์- พุทธขึ้น ทางราชการ(กระทรวงมหาดไทย) ได้ออกคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศไทยบรรยายถึงพฤติกรรมอันไม่สมควรของชาวคริสต์คาทอลิกกระทำต่อพุทธศาสนาอย่างยาวเหยียด แล้วสุดท้ายแทนที่จะขอร้องให้พวกเขายุติการกระทำอันนั้นเสีย กลับบอกให้เจ้าหน้าที่ปกครองคอยสอดส่องพฤติกรรมของชาวพุทธอย่าให้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น

มันน่าเจ็บใจน้อยไปหรือ

ถ้าสมมติว่าผมไปเหยียบไม้กางเขนโป๊ปแกเข้า ชาวคริสต์พากันฮึดฮัดต่อต้านการกระทำของผม อยากรู้นักว่าทางราชการจะออกจดหมายสั่งให้สอดส่องพฤติการณ์ของชาวคริสต์ออกมาต่อต้านผมไหมหนอ

สยามเมืองยิ้มนี้ สามารถยืนยิ้มอยู่ไดไม่วิตกทุกข์ร้อนอะไรแม้ว่าเดียรถีย์นอกศาสนาขนเอาพระพุทธรูปมาหักคอเล่นกระนั้นหรือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม