วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

แผนการยึดชาติ

แผนยึดชาติ !!! (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)


     
            วันประกาศอิสระรัฐฟาตอนี วันที่ 2 และ 3 ธันวาคม 2549 เหล่านักรบอิสลามฟาตอนี จะประกาศเป็นวันของรัฐฟาตอนีดารุสซาลาม ขอให้มุสลิมทั่วประเทศหยุดงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ห้ามทำงานทุกอย่าง ห้ามค้าขาย ห้ามเข้าธนาคาร ห้ามเข้าโรงพยาบาล เป็นเวลา 10 วัน นับจากวันที่ 2 เป็นต้น ไป ท่านจะไม่ปลอดภัยในชีวติและทรัพย์สิน "โอ้ อัล ลอห์ โปรดจงบันดาลพรให้มุสลิมี มุสลีมะ ห์ ทั้งหลายจงยึดมั่นในอิสลามที่แข็งกล้าอยู่บนแนวทางของ เรา เหล่านักรบ อิสลามฟาตอนีด้ายเทอญ"
พวกเรากลุ่มป้องกันศาสนาของตักเตือน

          "โอ้ ชาวอิสลาม เชื้อชาติ มาลายู ปัตตานี จงสำนึกเถิดว่า แผ่นดินปัตตานีนั้น เป็นของพวกเรา ไม่ ใช่ของประเทศไทย วิถีชีวิตของคนมาลายู อิสลาม แตกต่างจาก วิถีชีวิตคนไทยในทุกด้าน ด้านอาหารการกิน คนอิสลามกินเนื้อสัตว์ ที่เชือดถูกต้องตามหลักอิสลาม แต่คนไทยกินเนื้อสัตว์ที่ไม่เชือดตามหลักที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราคนอิสลาม ต้องระวังอยู่เสมอว่า คนไทยกำลังพยายามจะปกครองและปลุกฝังแนวคิดที่ผิดอิสลามต่อ เราชาวมาลายู ปัตตานี และปรับเปลี่ยนรูปแบบ การจัดการศึกษาอิสลาม(ตาดีกา)โดยมีนโยบายให้ย้ายโรงเรียนตาตีกา จากมัสยิดไปสอนที่โรงเรียนไทย ทำไมจึงเป็น เช่นนี้ ? เพราะนโยบายนี้ได้ถูกตอบรับ โดยโต๊ะอิหม่ามที่โง่เขลา และเห็นแก่เงินค่าตอบแทน โดยยอมขายตาดีกา ที่เป็นมรดก ของคนอิสลามส่วนรวมด้วยราคาที่ถูกที่สุดนี่หรือผู้นำอิสลาม ?"

           โอ้ ชาวอิสลาม เชื้อชาติ มาลายู ปัตตานี โปรดจำไว้ด้วยว่า เราเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ เป็นประชาชาติของท่านนบี โมฮัมหมัด เราจงอย่าดูถูก ศาสนาของเราเอง โดยยอมเป็นทาสของประเทศไทย ร่วมมืทอกับคนไทยเพื่อทำลายอิสลาม ดังนั้นเราคนดิสลามจงสำนึกเถิดว่า ขณะนี้เราอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่อิสลาม ประเทศ ที่กำลังกดขี่เรา ฉะนั้นเราต้องทำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยแผ่นดินปัตตานี จาก ประเทศไทย เราต้องไม่ร่วมมือกับนโยบายทุกนโยบาย โครงการ ทุก ๆ โครงการของรัฐบาลไทย

          พี่น้องมุสลิม จงจำไว้ว่า หลังจากนี้จงอย่าออกไปทำ การสอน อย่าส่งบุตรหลานของเราไปเรียนตาดีกาที่โรงเรียนไทยอีก จงกลับมาทำการสอน ตาดีกาที่มัสยิดเหมือนเดิม ไม่อย่างนั้น....? เรา....? 

         กลุ่มปกป้องศาสนาจะไม่รับรองความปลอดภัย 
         เรา....? จะพยายาม ทุกวิถีทาง เพื่อทำลายแผนชั่วของคนไทย และผู้ต่อต้านเราดังเช่นที่พวกเราเคยทำใน ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยวีเปิดเผยหรือวิธีทางลับ เพื่อเอาแผ่นดินปัตตานีของเรา คืนมา 


"จากกลุ่มปกป้องศาสนาอิสลาม"


              คำว่าห้ามทำงานทุกอย่าง = สถานที่ราชการ , 
             ห้ามค้าขาย = บริเวณตลาด , 
             ห้ามเข้าธนาคาร = ธนาคารทุกแห่ง , 
             ห้ามเข้าโรงพยาบาล = โรงพยาบาลทุกแห่ง 

          แสดงว่าเขาจะระเบิดสถานที่ดังกล่าว ซึ่งเขาเคยทำมาแล้วทุกครั้ง ขอให้แจ้งชาวพุทธให้ระวังตัวกัน ไว้ด้วย


"เอกสารชุดนี้ส่งจากคนไทยพุทธ + อิสลามปัตตานีผู้รัก ชาติ ไทย"

         มุสลิมมิได้มุ่งยึดครอง ๓ จังหวัดภาคใต้เท่านั้น แต่วางแผนยึดไทยทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งแยบยล และได้ดำเนินงานตามแผนมาตามลำดับจนใกล้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ดังนี้

           ๑. วางแผนยึดสถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนให้เป็นกษัตริย์มุสลิม ได้มีการส่งลูกสาวของแกนนำมุสลิมระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมี หน้า ตาดีเข้าไปถวายตัวกับ "เจี่ย" เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีลูกเมื่อใด พระราชวงศ์ทุกพระองค์ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และเด็กคนนี้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นเป็นกษัตริย์มุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ แต่เมื่อองค์กษัตริย์เป็นชาวมุสลิมทั้งตัวและหัวใจแล้ว การจะแก้เรื่องนี้ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และเมื่อยึดสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ การจะเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศมุสลิมก็ทำได้ง่ายเหมือนที่เคยเกิด ขึ้นมาแล้วในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็นเมืองพุทธมาก่อน

          ๒. วางแผนเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ทหารมุสลิมขึ้นมาเป็นผบ.ทบ.และเป็น หัวหน้า คณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน มีอำนาจควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ นายทหารที่เป็นชาวมุสลิมจึงได้รับการปูนบำเหน็จเลื่อนตำแหน่งกันขนานใหญ่ 

          และขณะนี้กำลังมีการวางแผนลับสืบทอดอำนาจระยะยาวเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม โดยพลเอกสนธิ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงไป ได้วางตัวนายทหารมุสลิมเตรียมไว้แล้ว และเมื่อถึงจังหวะเหมาะก็จะเซ็นแต่งตั้งนายทหารมุสลิมเหล่านี้เข้ามาเป็น ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพันที่สำคัญกุมจุดยุทธศาสตร์ อาทิ กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกำลังทหาร ๘,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์มีกำลัง ๖,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๓๑ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๒๑ และหน่วยกำล ังสำคัญในกองพลทหารม้าที่ ๒ สนามเป้า เป็นต้น

         นายทหารมุสลิมเหล่านี้จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพลเอกสนธิยิ่งกว่าผู้บังคับ บัญชาตามลำดับชั้นของตน ดังนั้น ผู้บังคับการกรมมุสลิมเพียง ๑๐ – ๒๐ กรม คุมกำลังทหารประมาณ ๕๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ นาย จะทำให้ดุลอำนาจในกองทัพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

         แม้พลเอกสนธิจะเกษียณอายุจากตำแหน่งผบ.ทบ. เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมกองทัพได้เช่นเดิม ผ่านนายทหารมุสลิมเหล่านี้ และสามารถขยายการควบคุมออกไปจนเปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพมุสลิมทั้งหมด เพราะแม้ทหารส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นมุสลิม ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่เคยเกิดในประเทศเวียดนามมาแล้ว ที่แม้ประชาชนเป็นพุทธกว่า ๙๐% แต่ประธานาธิบดีเหงียนเกากี เป็นคริสต์ และตั้งทหารคริสต์คุมกองทัพ คุมกระทรวงมหาดไทย และปราบปรามกดขี่ชาวพุทธอย่างรุนแรง จนพระภิกษุต้องประท้วงโดยการเผาตัวตาย และเวียดนามต้องสิ้นชาติในที่สุด

          ๓. เข้ายึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อพลเอกสนธิปฏิวัติเสร็จ ได้ตั้งพลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก ฯ ขัดตาทัพก่อน เพราะบารมีของตนในขณะนั้นยังไม่เพียงพอ จากนั้นเร่งสร้างฐานอำนาจทั้งในกองทัพ องค์กรอิสระ และวงการเมืองอย่างเต็มที่ เมื่อพร้อมก็กดดันอย่างหนักให้พลเอกสุรยุทธ์ลาออก เพื่อตนจะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง จัดตั้งรัฐบาลมุสลิมชุดแรกในประวัติศาสตร์ ปกครองประเทศไทย

           ต่อไป ข้าราชการคนไหนเป็นชาวมุสลิม หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจคนไหนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้รับความสะดวก ได้การสนับสนุนจากรัฐ การเป็นชาวมุสลิมเป็นสิ่งมีเกียรติ ใครเป็นชาวพุทธ เป็นเรื่องต่ำ ต้อย ถูกดูถูกเหยียดหยาม วัฒนธรรมชาวมุสลิมจะได้รับการส่งเสริมเผยแพร่ตามสื่อมวลชนทุกแขนง และผ่านระบบการศึกษา สังคมไทยจะถูกดูดกลืนปรับเปลี่ยนเป็นสังคมมุสลิม สอดประสานกับการเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์มุสลิม

          ๔. สร้างรัฐอิสลามซ้อนรัฐไทยและขยายตัวกลืนรัฐไทยทั้งหมดให้กลายเป็น สาธารณรัฐอิสลาม ขณะนี้คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนาฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ร่าง พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรอิสลามเรียบร้อยแล้วเตรียมเสนอเข้าพิจารณาใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะออกมามีผลบังคับใช้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ นี้ พ.ร.บ.กลืนชาติไทยฉบับนี้ เป็นการแก้ไขจากฉบับปี ๒๕๔๐ และมีการหมกเม็ดสาระสำคัญที่จะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไทยทั้งมวล ๓ ประเด็นหลัก คือ 

               ๔.๑ มาตรา ๘ “จุฬาราชมนตรีมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม” ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดก็คือ ได้เพิ่มข้อความในวรรคท้ายว่า “คำปรึกษา ความเห็น และข้อวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีตามความในวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ส่วนราชการและมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม” นี่ไม่ใช่คำปรึกษาหรือความเห็นแล้ว แต่มันคือคำประกาศิตที่เป็นที่สุดใครจะโต้แย้งใดๆ ไม่ ได้ทั้งสิ้น และบังคับให้ส่วนราชการไทย คือ ทั้งศาล อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ 

                  ดังนั้นจุฬาราชมนตรี ก็จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของมุสลิมทุกคน และบังคับรัฐไทยจะต้องปฏิบัติตามคำประกาศิตของจุฬาราชมนตรีในทุกเรื่องที่ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งจะตีความให้กว้างเชื่อมโยงไปมากเท่าใดก็ได้ รัฐไทยก็จะเปรียบเสมือนเป็นอาณานิคมของรัฐอิสลามที่เกิดซ้อนขึ้นมาในรัฐไทย นั่นเอง 

              ๔.๒ มาตรา ๑๓ เมื่อเห็นสมควร กระทรวงศึกษาธิการอาจจัดตั้ง “อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และอิสลามวิทยาลัยประจำจังหวัด”ขึ้น เพื่อให้การศึกษาและอบรมทางวิชาการศาสนา วิชาการทั่วไป และวิชาชีพได้ เพียงแค่โรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา ที่เป็นแหล่งเพาะผู้ก่อการร้ายในปัจจุบัน เราก็รับมือกันแทบไม่ไหวอยู่แล้ว นี่จะขยายขึ้นมาถึงระดับเป็นอิสลามวิทยาลัยและจะตั้งทุกจังหวัด ถามว่า ทั้งผู้เรียน ทั้งครู เป็นมุสลิมทั้งหมด แล้วใครจะเข้าไปตรวจสอบการเรียนการสอนการอบรมในอิสลามวิทยาลัยเหล่านี้ มีอะไรเป็นหลักประกันว่า อิสลามวิทยาลัยนี่จะไม่กลายเป็นสถาบันบ่มเพาะมุสลิมหัวรุนแรงอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย สามารถให้ปริญญาตรี โท เอก โดยดูดเอาทรัพยากรจากภาษีอากรของชาวพุทธไปหล่อเลี้ยง

              ๔.๓ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการภายในจังหวัด ฉบับเดิมเมื่อปี ๒๕๔๐ ระบุเพียงให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ฉบับใหม่นี้ เพิ่มว่า “และส่วนราชการภายในจังหวัด” ด้วย นั่นคือ

           คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด สามารถเข้าไปแทรกแซงสั่งการการทำงานของทุกส่วนราชการในจังหวัด ทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยราชการต่างๆ ได้ทั้งหมด ถ้าสั่งแล้วใครไม่เชื่อก็บอกจุฬาราชมนตรีประกาศิตลงมาบังคับได้ทันที คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจะทำหน้าที่ชี้นำ ดำเนินการกลืนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมมุสลิมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม เป็นระบบ เราจะเห็นการเตรียมการวาง แผนเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่พลเอกสนธิ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยสมาชิกในส่วนตัวแทนทางศาสนาจำนวน ๑๑ คน มีรายนามดังนี้ 
  • ๑. นายกีรติ บุญเจือ (คริสต์) 
  • ๒. นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ (พุทธ) 
  • ๓. นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก (พุทธ) 
  • ๔. นายวินัย สะมะอุน (อิสลาม) 
  • ๕. นายแว ดือ ราแม มะมิงจิ (อิสลาม) 
  • ๖. นายดำรง สุมาลยศักดิ์ (อิสลาม) 
  • ๗. นายแวมาฮาดี แวดาโอะ (อิสลาม) 
  • ๘. นายอับดุลเราะแม เจะแซ (อิสลาม) 
  • ๙. นายอับดุล รอซัค อาลี (อิสลาม) 
  • ๑๐. นายอิสมาแอล อาลี (อิสลาม) 
  • ๑๑. นายอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา (อิสลาม) 


              ในประเทศไทยที่ประชากรร้อยละ ๙๔ เป็นพุทธ มีมุสลิมอยู่เพียงร้อยละ ๕ แต่พลเอกสนธิ กล้าที่จะแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เป็น ตัวแทนศาสนาเป็นชาวพุทธเพียง ๒ คน แต่เป็นชาวมุสลิมถึง ๘ คน นี่คือการไม่เป็นหัวชาวพุทธเลย และเป็นการเตรียมคนไว้รองรับการออกพระราชบัญญัติฉบับ “กลืนชาติไทย” นี้นี่เอง 

             พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ท่านจะนั่งเงียบเฉยมองดูประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา หรือจะลุกขึ้นมาสู้ ช่วยกันปกปักรักษาประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้ ทหารหาญแห่งกองทัพไทยทุกท่าน ท่านตอบตัวเองได้หรือยังว่า ท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือเป็นทหารของผู้ นำมุสลิม ท่านจะยอมตนลงเป็นทาส หรือจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิตตามคำสัตย์ปฏิญาณ ขณะนี้ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ร้ายแรง ที่สุด เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหวแห่งความล่มสลาย แต่ถ้าพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมรวมพลังไม่เพิกเฉยดูดาย ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะกอบกู้แก้ไขสถานการณ์ร้ายนี้ “ชะตาของชาติไทยอยู่ที่การตัดสินใจสู้ของท่าน”

(โปรดช่วยกันทำสำเนาส่งข่าวนี้ให้รู้โดยทั่วกันให้กว้างขวางที่สุด) 

            ผมได้รับอีเมล ที่ส่งต่อกันมาหลายทอด อ่านแล้วคิดตามพยามหาข้อมูลในการสนับสนุนความคิดที่เป็นกลางของตัวเองเพิ่มเติม แต่ก็ยังหาจุดที่ให้ความกระจ่างในหลายๆประเด็นค่อนข้างยาก เชื่อว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาคใต้ รัฐบาลและผู้บริหารระดับสูงย่อมกระจ่างอยู่แก่ใจเป็นอย่างดี แต่การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างเหยาะแหยะ ขาดความเด็ดขาด หว่านเงินลงพื้นที่แต่ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ส่งคนที่ไม่เข้าใจปัญหาและสภาพสังคมลงทำงานพร้อมๆกับการทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างเมามัน

            ต่อให้ไม่ต้องวางแผนยึดครองให้แยบยล ประเทศชาติก็ล่มสลายได้โดยไม่ยากจากน้ำมือพวกขายชาติ คอร์รัปชั่น ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขอแนะนำด้วยความปรารถนาดีในฐานะพลเมืองชองชาติคนหนึ่งว่า นักการเมืองควรหยุดเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์ ข้าราชการทำงานตามหน้าที่ด้วยความสุจริต เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะออกมาช่วยจัดระเบียบบ้านเมืองเอง เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ว่า "ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด เมื่อเกิดบนแผ่นดินนี้แล้วทุกคนย่อมมีความรักถิ่นฐานบ้านเกิด อุปนิสัยคนไทยโดยทั่วไปมักมีความเมตตาและให้อภัยเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ความรุนแรงนองเลือดเหมือนที่อื่นเราคงไม่มี" แต่รัฐบาลต้องใจกว้างรับฟังความเห็นจากทุุกฝ่ายอย่ามองแค่ประโยชน์เรื่องฐานเสียงเ่ท่านั้นนะครับ
ด้วยความเคารพรัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม