วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แม่ทัพร้องโจรใต้หยุดก่อเหตุ

27 กพ. 2554 18:20 น. 
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=496985&lang=T&cat=




แม่ทัพภาคที่ 4 เรียกร้องให้คนร้ายหยุดก่อเหตุรุนแรง หันมาต่อสู้ตามแนวทางแห่งสันติ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุยิงปะทะอาการยังโคม่า ผบ.ทร. จะเดินทางมารับกลับไปรักษาอาการที่ กทม.ด้วยตนเอง วันนี้ (28 ก.พ.นี้)

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาที่ห้อง ไอซียู. โรงพยาบาลนรา ธิวาสราชนครินทร์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เพื่อเยี่ยมปลอบขวัญ และมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่ จ.อ.ไพรวัลย์ โพธิ์โสภา ทหาร ฉก.นราธิวาส 33 กองทัพเรือ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุยิงปะทะกับกลุ่มคนร้าย ขณะเข้าตรวจค้นหมู่บ้านทำนบ อ.เมืองนราธิวาส เป็นเหตุให้นายอารง อาแว อายุ 30 ปี และนายมะสอและ นิแม อา ยุ 36 ปี แกนนำคนร้ายกลุ่มอาร์เคเค. เสียชีวิตในจุดยิงปะทะ 2 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมี นายเดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส และ นาวาเอก สมเกียรติ ผลประยูร ผบ.หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ กอ งทัพเรือ คอยให้การต้อนรับ 

นาวาเอกสมเกียรติ รายงานว่า จ.อ.ไพรวัลย์ ถูกคนร้ายยิงกระสุนทะลุหมวกเหล็ก ได้รับบาดเจ็บตรงกลางหน้าผาก ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องนอนรักษาอาการในห้องปลอดเชื้อ ( ไอซียู.) ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ทาง ผบ.ทร. จะเดินทางมายัง จ.นราธิวาส เพื่อรับตัว จ.อ.ไพรวัลย์ เดินทางด้วยเครื่องบิน เพื่อนำกลับไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ กทม. ส่วนคนร้ายที่หลบหนีไปได้จากจุดยิงปะทะ ได้จัดกำลังออกไล่ล่าติดตามแล้ว แต่ยังไม่พบตัว 

ก่อนเดินทางกลับ พล.ท.อุดมชัย แม่ทัพภาคที่ 4 ให้สัมภาษณ์ว่า ทางพลเรือน, ตำรวจ และทหาร ยังคงปฏิบัติการอยู่ภายใต้กรอบของข้อกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน ตนจึงอยากเรียกร้องให้ผู้ที่ต่อสู้ด้วยอาวุธหยุดก่อเหตุความรุนแรง แล้วให้หันมาต่อสู้กันในแนวทางแห่งสันติ คือ การเมือง, เศรษฐกิจ และการศึกษา ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ใช้ความรุนแรงกันดีกว่า 

**************************
จบข่าว

กราบส้นตีนมันซิครับทั่นแม่ทับ

เอาแบบนากยกสุรยุทธ หรือแบบนายอานัน ก็ได้


บอมยะลาซ้ำ


บอมยะลาซ้ำ(ยังไม่สะใจ)

21 ก.พ. เมื่อเวลา 16.40 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณถนนระนอง เขตเทศบาลนครยะลา มีผู้บาดเจ็บจำนวนหลายราย ที่เกิดเหตุพบว่าไฟกำลังลุกไหม้รถยนต์ของตำรวจทางหลวง และรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ริมถนน จำนวนหลายคัน จึงได้ช่วยกันลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา รวม14 ราย โดยในที่เกิดเหตุพบศพหญิงยังไม่ทราบชื่อนอนเสียชีวิตอยู่ 1 คน
ห่างจากจุดเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ประมาณ 300 เมตร






จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า คนร้ายนำระเบิดซุกซ่อนไว้รถจักรยานยนต์ มาจอดไว้ห่างรถเก๋งของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงซึ่งเป็นรถเป้าหมายห่างประมาณ เมตร ตรวจสอบละเอียดพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักไม่น้อยกว่า 15 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงขับรถผ่านตรงจุด เกิดเหตุ คนร้ายซึ่งได้นำรถจักรยานยนต์ซุกซ่อนระเบิดจอดอยู่ริมถนนตรงข้ามร้านข้าวต้ม โอเค ถนนระนอง ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดทำให้ไฟลุกไหม้รถยนต์ของตำรวจทางหลวงและรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต




จับหมาป่วนใต้ได้ 12 ตัว


จับแล้ว! 12 โจรใต้กลุ่มอาร์เคเค ถล่มฐานพระองค์ดำ ยึดของกลางเพีย


"ผบ.ฉก.ยะลา"แถลงจับขบวนการโจรใต้ จำนวน 12 คน สังกัดกลุ่มอาร์เคเค เผยพัวพันเหตุถล่มฐานพระองค์ดำ จ.นราธิวาส พร้อมตรวจยึดของกลางได้จำนวนมาก
     ที่หน่วยเฉพาะกิจยะลา ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อเวลา 10.10น. วันที่ 25 ก.พ.54 พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจยะลา พร้อมด้วย พ.อ.สุทัศน์ จารุมณี รองผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจยะลา และพ.ท.ภาส วงศสารภี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 13 ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฎิบัติงานติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ จ.ยะลา  ต่อสื่อมวลชน
     โดย พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจยะลา กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และมีผู้ต้องสงสัยร่วมก่อเหตุรุนแรง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ ต.ปุโรง อ.กรงปินัง จ.ยะลา นั้น ทางหน่วย ฉก.ยะลา 13 ได้ร่วมกับ ฉก.นราธิวาส 38 และหน่วยงานฝ่ายตำรวจ ได้ทำการบูรณาการงานด้านการข่าว และทำการขยายผลด้วยการซักถามจากผู้ต้องสงสัยที่ร่วมก่อเหตุ ทำให้ทราบว่า ยังมีกลุ่มแนวร่วม ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ต.ปุโรง อ.กรงปินัง ฉก.ยะลา 13 จึงได้ประชุมวางแผนการปฏิบัติงานด้านยุทธการ ห้วงเวลาตั้งแต่วันที่  16-23 ก.พ 54 ที่ผ่านมา 
     พล.ต.ปรีชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  ถึงกรณีเกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา ว่า  หลังจากเกิดเหตุทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งสามฝ่าย ก็ได้มีการประชุมเพื่อปรับแผนการทำงานร่วมกันทั้งสามฝ่าย โดยจะมีการเน้นย้ำในการตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตรอบพื้นที่เทศบาลนครยะลา รวม 20 จุด  และจะเพิ่มเป็น 37 จุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ทันที  เพื่อที่จะสามารถสกัดกั้นเส้นทางหลบหนีของกลุ่มคนร้าย  แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ในส่วนของพื้นที่เป้าหมายก่อเหตุขอคนร้าย ได้มีการสนับสนุนกล้องวงจรปิดจากจังหวัดยะลา และจากภาคเอกชน เพื่อติดตั้งให้ครอบคลุมโดยรอบบริเวณ ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการติดตั้ง
     ด้าน พ.ท.ภาส  วงศสารภี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 13 กล่าวว่า จากการซักถามตัวผู้ต้องสงสัยที่ร่วมก่อเหตุ ทำให้ทราบว่ามีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง กลุ่ม RKK อยู่ในพื้นที่ ต.ปุโรง และมีความเคลื่อนไหว หน่วยจึงดำเนินการติดตามจับกุม กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง กล่ม RKK ได้ 2 ชุดปฎิบัติการ จำนวน 12 คน ซึ่งทุกคนให้การรับสารภาพ นอกจากนั้น หน่วย ฉก.ยะลา 13 ร่วมกับหน่วยราชการในพื้นที่ ได้ทำการพิสูจน์ทราบตรวจค้น ในพื้นที่ ต.ปุโรง ตามที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้รับสารภาพ ทำให้สามารถตรวจพบ และยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ ได้จำนวน 38 รายการ ซึ่งจากการวิเคราะห์ทำให้ทราบโครงสร้างของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ในพื้นที่ ต.ปุโรง ที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.กรงปินัง จำนวน 6 เหตุการณ์
     รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า กลุ่มขบวนการอาร์เคเค จำนวน 12 คน ที่ทหารจับได้ในครั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดรับสารภาพว่าได้ร่วมกันถล่มฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา


เดี๋ยวง NGO ก็ออกมาแหกปาก
เดี๋ยวองค์กรมมุสลิมก็ออกมาแหกปาก
เดี๋ยวท่านราษกรอาวุโส ก็ออกมาบอกให้ปรองดอง
เดี๋ยวท่านผู้ดีรัตนโกสินทร์ก็ออกมาบอกว่าให้ยึดมั่น

เรียงหน้ากันออกมาปกป้องคนชั่วกันอีกตามเคย

แล้วทหารไทย ก็ก้มหน้าก้มตา เข้าใจ เข้าถึง กันต่อไป

ไอ้ มะซอแระ ศิษย์อัลเลาะห์

27 กพ. 2554 12:19 น. 


ทหารประสานสถานีอนามัยนราป้องกันคนร้ายเข้ารักษาตัว

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=496949&lang=T&cat=



นาวาเอก สมเกียรติ ผลประยูรผบ.หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ (ฉก.นย. ภต.) ค่ายจุฬาภรณ์ กองทัพเรือ อ.เมืองนราธิวาส ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดการข่าวเร่งสืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มคนร้ายที่ยังหลบหนีเร่งติดตามจับกุมมาตัวให้ได้โดยเร็ว พร้อมทั้งได้ประสานขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านใกล้เคียงในแต่ละหมู่บ้านให้ช่วยกันตรวจสอบคนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ ที่อาจจะหลบหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้าน หากพบให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยังสถานพยาบาล สถานีอนามัยทุกแห่งในพื้นที่ใกล้เคียง ช่วยตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งในช่วงเช้าของวันนี้เจ้าหน้าที่กำลัง 3 ฝ่ายได้นำกำลังเสริมเข้าเคลียพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งนำสุนัขสงครามจำนวน 2 ชุด กระจายกำลังกันติดตามรอยหยดเลือดของคนร้ายที่หนีเข้าป่าท้ายหมู่บ้าน 
สำหรับประวัตินายมะซอแระ นิแม อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76 หมู่ 1 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นแกนนำ RKK. ระดับปฏิบัติการก่อเหตุมาแล้วหลายคดี และยังเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคดีรุมทำร้ายนาวิกโยธินเสียชีวิต2นายที่ บ้านตันหยงลิมอ หมู่ 7 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ เมื่อ4ปีก่อนด้วย

แผนลับหรือแผนโง่


แผนลับ หรือ แผนโง่

แน่นอนว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการออกมารายงานตัวจาก "แนวร่วม" ตาม พรก.ความมั่นคง มาตราที่ 21 ที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 ตามคำปกาศิตของ มท.3 “แนวร่วม” ที่ออกมารายงานตัวอาจเป็นแค่ คนของขบวนการพูโล ที่ง่อยเปลี้ยเสียขา หมดสภาพของโจรก่อการร้ายไปแล้ว แต่ต้องการล้างมลทินตามกฎหมาย


โดย ปาแด งา มูกอ
27 กุมภาพันธ์ 2554

ข่าวความเคลื่อนไหวของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( Southern Border Provinces Administration Centre) หรือเรียกโดยย่อว่า ศอ.บต. (อังกฤษ: SBPAC) ในการเจรจาเพื่อยุติปัญหากับตัวแทนพูโล ภาคพื้นยุโรป เริ่มมีกระแสความจริงมากขึ้น 

ท่ามกลางความสับสนของผู้ที่ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ รวมถึงหน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพราะสิ่งที่หน่วยข่าวทั้งลึกทั้งตื้นรับรู้กันมานานก็คือ ผู้ที่สั่งการ หรืออยู่เบื้องหลังกองกำลังในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในการปฏิบัติการสร้างความรุนแรง นั้น เป็นกลุ่มขบวนการที่มีชื่อว่า BRN Co – ordinate (บีอาร์เอ็น โคออดิเนท) ไม่ใช่กลุ่มขบวนการ PULO (พูโล)

แต่การที่ตัวแทนของ ศอ.บต.ไปการเจรจา กับตัวแทนของ"พูโล" อาจะมี "นัยยะ" ของผลประโยชน์บางอย่างแอบแฝงอยู่ ส่วน “นัยยะ” อะไรนั้น จะได้อธิบายให้ท่านผู้อ่านทราบตอนจบครับ

ศอ.บต. (SBPAC) เป็นองค์กรพิเศษที่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2524 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง

เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลในสมัยนั้นวิเคราะห์ว่า ในการแก้ปัญหาภัยคุกคามจะใช้การปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้การพัฒนานำการปราบปราม และมีนโยบายการแก้ปัญหา เป็น 2 ด้านคือ การพัฒนา และ การปราบปราม

โดยตั้ง ศอ.บต. ขึ้นอยู่กับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลเรื่องการพัฒนา และตั้ง พตท.43 หรือ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43 ขึ้นอยู่กับแม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลเรื่องการปราบปราม

ในปี พ.ศ. 2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเป็นองค์กรในระดับนโยบาย โดย ศอ.บต. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของปลัดกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานภารกิจงานด้านฝ่ายพลเรือนและตำรวจ

การยุบ ศอ.บต.

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ปรับยุทธศาสตร์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ยุบ ศอ.บต. และ พตท.43 ตามคำเสนอแนะของพล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545 และให้โอนอำนาจของคณะกรรมการการอำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปเป็นของสภาความมั่นคงแห่งชาติ อำนาจของ ศอ.บต. เป็นของกระทรวงมหาดไทย และอำนาจของ พตท.43 เป็นของกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4

การจัดตั้งหน่วยงานใหม่

ใน ปี พ.ศ. 2547 ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 69/2547 ลงวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547 ลงนามโดย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ส่วนหน้าใช้ชื่อว่า “กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นศูนย์ควบคุมและแกนหลักในการประสาน การปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้

และต่อมาได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 200/2548 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้น และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และความรุนแรงของการก่อเหตุในช่วงแรกยังอยู่ในระดับต่ำ แต่สันนิษฐานว่า การปลูกฝังอุดมการณ์การปรับเปลี่ยน และการเตรียมจัดตั้งองค์กรใหม่ น่าจะอยู่ในช่วงแห่งการฝังตัว จนเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ได้เกิดเหตุปล้นกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง และเกิดเหตุการณ์กรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 มีผู้เสียชีวิต 108 คน รวมทั้งเหตุการณ์ที่ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 มีผู้เสียชีวิต 85 คน จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นอีกครั้ง ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 207/2549 จัดตั้ง ศอ.บต. ขึ้น และได้แต่งตั้งให้ ผอ.ศอ.บต. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ ภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.)

นี่ขนาดเป็นการจัดตั้งหน่วยงานน่ะครับ ยังปวดหัวและสับสนไปกับมันด้วย.....!!! นี่ก็ย่างก้าวมาเป็นปีที่ 25 แล้ว ปัญหาไฟใต้ ก็ยังไม่ยุติเสียที งบประมาณคร่าวๆปีละ 10,000 ล้าน ลองเอา 25 ปี X ดู โอ๊ยปวดหัวครับ

ทีนี้เรามาดูความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากฝ่ายที่ ศอ.บต. ไปเจรจายุติปัญหากันก่อนว่า เขาผู้นั้นเป็นแกนนำกลุ่มขบวนการระดับไหน มีอำนาจหน้าที่สั่งการจริงหรือไม่ (คิดกันเล่นๆน่ะครับ ถ้าเป็นผู้เขียนเป็นผู้เจรจายุติปัญหากับ “พูโล” ผมจะเริ่มต้นก่อนการเจรจากับแกนนำ “พูโล” ว่า ยูมึง ช่วยสั่งลูกน้องในสามจังหวัดชายแดนใต้ทุกพื้นที่ ให้หยุดยิง หยุดระเบิด ซัก 7 วันได้ไหม ถ้าภายใน 7 วันไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย นั่น แหล่ะผมเจอคู่เจรจาตัวจริงแล้ว แต่ถ้ายังมีการยิง การวางระเบิดรายวันอยู่อีก ผมจะรีบลาออกแล้วกลับไปบ้านไปนอนดีดลูกปิงปองเล่นดีกว่า เป็นไงครับ ง่ายๆไม่ต้องใช้วิธีทางการทูตให้มันปวดหัวเหมือนอย่างท่านกษิต หังหลิม เลย

แล้วใคร...??? เล่าที่เป็นแกนนำ “พูโล” ตัวจริงเสียงจริง ที่ตัวแทน ศอ.บต.หรือฝ่ายปกครองกระทรวงมหาดไทยจะไปเจรจายุติปัญหา

ณ เวลานี้ บุคคลที่ถือว่ามีอำนาจในการเจรจาต่อรองของกลุ่มขบวนการ “พูโล” เท่าที่ข้อมูลข่าวสารในเวปไซต์ต่างๆ ก็มีแต่เพียง นายกัสตูรี มะกอตา (Kasturi Mahkota) ฝ่ายการต่างประเทศ PULO เท่านั้น ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหว ผลักดันปัญหาชายแดนใต้ไปสู่ยังเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติ กลุ่มประเทศ EU องค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงสื่อระดับโลกของฝ่ายมุสลิม อัลเจเซรา หรือ ทีวีช่อง 3 ของมาเลย์เซีย เจ้าประจำ

กระผมยังมีข้อสงสัยตะหงิดๆอยู่ว่า หน่วยข่าวทั้งลึกทั้งตื้นในจังหวัดชายแดนใต้ ฟันธง ผู้ที่สั่งการหรืออยู่เบื้องหลังกองกำลังในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในการปฏิบัติการสร้างความรุนแรง นั้น เป็นกลุ่มขบวนการที่มีชื่อว่า BRN Co – ordinate (บีอาร์เอ็น โคออดิเนท) ไม่ใช่กลุ่มขบวนการ PULO (พูโล)

แต่จากข้อมูลของเว็ป พูโล กลับมีแถลงการณ์ร่วมของ พูโลและบีอาร์เอ็น โคออดิเนท ฉบับหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แล้วทีนี้ผมจะเชื่อใครดี......!!!!!!!!

ทีนี้เรามาทราบข้อคิดเห็นของ พ่อเจ้าประคุณกัสตูรี กันหน่อยไหมครับ เผื่อได้ร่วมกันวิเคราะห์ดูว่า มีความเป็นไปได้ไหม มีทางสำเร็จหรือไม่ ที่ตัวแทนของ ศอ.บต.จะไปเจรจากับกลุ่มขบวนการ “พูโล” เพื่อยุติปัญหาชายแดนใต้ “รอบใหม่”

การเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงชายแดนภาคใต้ เพื่อหาทางยุติสถานการณ์ แม้จะมิอาจกล่าวได้ว่า เป็นนโยบายของรัฐบาลไทย แต่แกนนำรัฐบาลทุกสมัยนับแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ต่างยอมรับว่า นี่คือ แนวทางหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา

ขณะรัฐบาลไทยจะยังไม่มีความชัดเจนในแนวทางนี้ แต่ในด้านของขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานี โดยเฉพาะ องค์กรปลดปล่อยรัฐปัตตานี หรือ ‘พูโล' กลับมีการประกาศตัวเป็นตัวแทนเจรจาอย่างชัดเจน ท่ามกลางข้อสงสัยว่า พูโลเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุตัวจริง หรือนักฉวยโอกาสทางการเมือง

ในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า หากการเจรจาสามารถยุติปัญหาได้ ก็จำเป็นจะต้องทำ แนวคิดของร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งนายสมัครสุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ดูแลปัญหาชายแดนภาคใต้ ไปไกลถึงการตั้งเขตปกครองพิเศษ รวมทั้งการพิจารณาขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่สมาชิกพูโลกลุ่ม‘หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ' นักโทษคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน เพื่อให้ออกมาช่วยแก้ปัญหา


ปลายเดือนมีนาคม 2551 กัสตูรี มะกอตอ (Kasturi Mahkota) ฝ่ายการต่างประเทศขององค์กรปล่อยรัฐปัตตานี หรือ ‘พูโล' ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในประเทศสวีเดน อ้างว่าได้นัดหารือกับตัวแทนของไทย ที่กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งผู้สื่อข่าว ‘ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้' ถือโอกาสนี้นัดพบเขาเพื่อพูดคุย สอบถามในประเด็นปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้

โดยเขากล่าวให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า ผมจะนำปัญหาปัตตานีไปสู่ EU (สหภาพยุโรป) แทนที่จะนำเข้า OIC (องค์กรที่ประชุมอิสลามโลก) เพราะทางการไทยก็พยายามที่จะต่อ OIC อยู่เสมอ และมีบางประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนเรา ดังนั้นการที่จะเข้าไปหา OIC จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต้องให้ความระมัดระวัง ซึ่งเราก็มั่นใจว่า OIC จะอยู่เคียงข้างเรา แต่ช่วงเวลานั้นยังมาไม่ถึงใน OIC 

***ข้อความนี้มีความหมาย ท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์ดูว่า ทำไมรัฐบาลมาร์ค และขุนศึกผู้เก่งกล้า จึงออกมาพูดย้ำแล้วย้ำอีก เมื่อเห็นไมค์จ่อปาก ว่า เหตุการณ์รุนแรงรายวัน เกิดจากไกล้วันที่จะมีการประชุม OIC จึงพยายามสร้างเหตุการณ์รุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่ระดับโลก ตุ๋ย.....

***ข้อความนี้นอกจากมีความหมายแล้ว ยังมีสิ่งบอกเหตุว่า ขบวนการ “พูโล” เขาก้าวล้ำรัฐบาลไทยไปแล้ว ในเรื่องสังคมโลก

ผมมีตัวอย่างให้ดู ไม่ว่า EU จะเข้ามาในสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยความหวังดี หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่ก็ตาม ก็ต้องถือว่า เข้าทางของกลุ่มขบวนการ “พูโล” ที่ กัสตูรี ได้ให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อไม่เป็นการรบกวนเนื้อที่ข่าวเชิญท่านติดตามในรายละเอียดจาก
http://www.south.isranews.org/interviews/728-2011-02-14-23-50-26.html


สำหรับ “นัยยะ” ที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า จะมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านตอนจบ ก็คืออย่างนี้ครับ

แน่นอนว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการออกมารายงานตัวจาก "แนวร่วม" ตาม พรก.ความมั่นคง มาตราที่ 21 ที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 ตามคำปกาศิตของ มท.3 “แนวร่วม” ที่ออกมารายงานตัวอาจเป็นแค่ คนของขบวนการพูโล ที่ง่อยเปลี้ยเสียขา หมดสภาพของโจรก่อการร้ายไปแล้ว แต่ต้องการล้างมลทินตามกฎหมาย มาตรา 21 เท่านั้น ซึ่งมันดีกว่านอนอยู่กับบ้านเปล่าๆ มาอบรม 6 เดือน ได้เบี้ยเลี้ยงเอย เสื้อผ้าใหม่เอย กินอยู่หลับนอนสบาย เอย แบบนี้ไม่เข้ารายงานตัวก็บ้าแล้ว

แต่ที่สำคัญ “นัยยะ” หรือแผนการนี้ จะมีคนที่ได้ "ความชอบ" ทางการเมือง และคนที่ได้เลื่อนยศเลือนตำแหน่ง ผมจะไม่ขอฟันธง แต่ขอหักธงเลยครับว่า ความชอบทางการเมืองของพรรค ปชป.แกนนำรัฐบาลอุ้มสม จะประกาศกู่ร้องไปก้องโลกว่า “เรามาถูกทางแล้ว” “รัฐบาลชุดนี้สามารถดับขี้เถ้าทางใต้ได้แล้ว” “ไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่สามารถเข้าถึงมวลชนจนสามารถยุติปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้”

คอยดูน่ะครับ ถ้ามีการเข้ามอบตัวจริงของกลุ่มก่อความไม่สงบ ไอ้มาร์ค ขากถุย ไอ้เทือกหัวทุย ไอ้เหล่ คอเอียง ไอ้เสนเนียมตัวดำ มันจะดาหน้าออกมาพูดประโยคที่ผมกล่าวนำให้พวกมันเหล่านั้นพูดตาม ไม่เชื่อคอยดู.....!!!!!!

ท้ายนี้ขอปิดรายการด้วยเรื่อง “เหลือเชื่อแต่ต้องเชื่อ”


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการเสวนากันของหมู่ข้าราชการทุกหน่วยงาน ไม่ว่า ทหาร,ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง และตุลาการ ว่า เท่าที่สังเกต เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ ข้าราชการที่เสียชีวิตทำไมพบแต่ ทหาร ตำรวจ รวมถึงผู้พิพากษา ก็ไม่เว้น แต่ทำไม....???? เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ไม่ว่าปลัดอำเภอ ,จังหวัด ,รองผู้ว่า หรือตัวผู้ว่าเอง มันมีดีอะไรถึงไม่เคยตายเลย หลวงปู่ทวด ช่วยพวกเขาเหล่านั้นรึ

ก็ลองไปศึกษาข้อมูลสถิติผู้วายปราณ ปรากฏว่าจริงของเขาแฮะ ผมเคยสอบถามพรรคพวกที่เป็นปลัดขิกว่า ทำไมพวกมึงถึงไม่เคยถูกยิง ถูกระเบิดตายห่าบ้างว่ะ มันบอกว่าผมว่ายังใง ท่านทราบไหมครับ

มันบอกว่า หลักง่ายๆ คือ แจกเงิน,หาแนวร่วม,ใช้งานมัน,ให้การช่วยเหลือ แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว โอ้พระเจ้า......!!!!

เถียงเรื่องนิยาย ตายเพราะนิยาม

วันนี้ในอดีต  27 ก.พ.54

ผมชอบอ่านเรื่องราวใน wikipedia  วันนี้ 27 ก.พ. ในเมืองไทย
ก็ตรงกับวันอาทิตย์ ในขณะที่กำลังซดกาแฟโดย(ไม่ได้แปรงฟัน)
ก็เปิดอ่านเรื่องราววันนี้ในอดีต ก็ไปเจอรายการที่สามก็พบรายการ
วันนี้ในอดีตรายการหนึ่ง มีข้อความว่า



เีืรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ก็คือ
ความขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องนวนิยาย ที่แต่ละลัทธิ แต่ละศาสนา
สร้างขึ้นมาเพื่อ ผลทางจิตใจของศาสนิกของตัวเอง  ทีนี้ถ้ามันอยู่
ในกลุ่มของ ลัทธิตนเอง ก็คงไม่มีปัญหา

แต่นวนิยายที่ต่างคนต่างแต่งกันขึ้นมา ต่างลัทธิ ต่างก็แต่งนวนิยาย
ของตนเองขึ้นมา  ที่นี้พอนวนิยายเหล่านี้ ดันไปขัดแย้งกับนวนิยายของ
ลัทธิอื่น  ปัญหาก็เกิดละครับ

ต่างลัทธิกัน ต่างความเชื่อกัน ก็มานั่งเถียงกันละว่า นิยายของเอ็ง
ผิด ของข้าถูก นิยายของข้าถูก ของเอ็งผิด  อย่ากระนั้นเลย
จงทำลายนวนิยายเรื่องนี้ซะ เผามันทิ้งซะ

กรณีเผารถไฟ 27 ก.พ.  ความเป็นมาของเรื่องนี้ก็คือ 1,500 ปี
ก่อนคริสตศักราช หรือเมื่อ 3,500 ปีก่อน ชาวฮินดูที่นับถือ
นวนิยรามเกียรติ์ ที่สอนสาวกของตนเองให้เชื่อว่า
พระราม อันเป็นพระเอกของเรื่อง ประสูติ ที่เมืองอโยธยา 
รัฐอุตตรประเทศ 


นวนิยายเรื่องนี้บอกว่า พระรามถูกเนรเทศ ออกจากอโยธยา
เป็นเวลา 14 ปี โดยมีนางสีดา ชายาผู้ภักดี และพระลักษมณ์ 
พระอนุชาสุดที่เลิฟ ติดตามไปด้วย



ข้างฝ่ายจอมวายร้ายของเรื่อง ทศกัณฐ์ซึ่งครองกรุงลงกา 
ดันทะลึงไปลักพาตัวนางสีดาไป (ซึ่งตามนวนิยายนี้ ก็บอกไว้ว่า
ที่ทางสีดานี้ ก็คือลูกสาวของทศกัณฑ์)  พระรามจึงทำสงคราม
กับทศกัณฐ์ (แย่งผู้หญิงกัน) ที่สุดพระรามชนะเพราะมีบรรดา
สัตว์ติรัฉฉาน คนไทยชอบเรียกว่า เดียรัฉฉาน (คำว่า ติรัฉฉาน
แปลว่า สัตว์โลกผู้ไปในทางขวาง คือ ไม่สามารถยืนตรง
และเดินได้เหมือนมนุษย์  สัตว์พวกนี้ เวลาไปไหนมาไหน
หัว หรือ ศรีษะ จะนำหน้าเสมอ) พระรองของเื่รื่อง 
ยกเอาบรรดาฝูงลิงอมตะ (ไม่มีวันตาย ตายเมื่อไหร่ ลมพัด
ก็ฟื้น) ฝูงลิงหนุมานช่วย 

เมื่อชนะสงคราม พระรามจึงพานางสีดากลับพระนคร
คนฮินดูถือว่า พระรามคือแบบอย่างแห่งยอดบุรุษและยอดกษัตริย์
และนางสีดา คือ นางแก้วในอุดมคติของคนอินเดีย

สถานที่ที่เชื่อกันว่าพระรามประสูติในรัฐอุตตรประเทศนั้น ชาวฮินดููในสมัยปัจจุบันเชื่อกันว่าชาวฮินดูโบราณได้สร้างวัดถวายเอาไว้ด้วย

นวนิยายเรื่องนี้ ได้รับความกระทบกระเทือนเมื่อปี ค.ศ.1526 หรือ 481 ปี
ก่อน เมื่อกษัตริย์บาบาร์ ผู้สืบเชื้อสายจากเจงกีสข่าน ของมองโกเลีย ยึดอินเดียได้จึงสถาปนาราชวงศ์โมกุล ราชวงศ์นี้นับถือศาสนาอิสลาม 

อีก 2 ปีต่อมา มีการสร้างมัสยิดตรงสถานที่ที่เชื่อว่าเคยสร้างวัดฮินดูมาก่อน  (อันนี้ คือการที่กษัตริย์ ไปย่ำยีหัวใจของฮินดูเป็นครั้งแรก) 

39 ปี ต่อมา ค.ศ.1855 ฮินดูกับมุสลิมตีกันเรื่องนี้ที่เมืองอโยธยา วัดของกู
มัสยิสของกู กูมาก่อน มึังมาหลัง สุดท้ายก็มีมีคนตายสังเวยความเชื่อใน
นวนิยายของลัทธิตนเองไป 75 คน 

อีก 2 ปีต่อมา นักบวชชาวฮินดูสร้างที่บูชาพระรามเล็ก ๆ ใน มัสยิดบาบรี ทั้งชาวฮินดูและมุสลิม ต่างเดินเข้าไปในบริเวณนี้เพื่อปฏิบัติ ศาสนกิจของตน
เหมือนจะซ่อนนัยยอะไรบางอย่าง เช่น อยู่ร่วมกันได้ แต่ดูอีกมุมหนึ่งก็เหมือน
ฮินดูเจตนา ดูหมิ่นอีกศาสนาหนึ่ง เพื่อเป็นการแก้แค้น ที่เองดันมาสร้าง
มัสยิสแทนที่วัดเก่าของ ฮินดู มันหยามกันนี่หว่า 


ถ้าพิจารณาโดยพื้นฐาน พวกฮินดูนี่ แม้แต่ศาสนาเดียวกัน(ฮินดู) ก็บลัฟกันเองอยู่ประจำ พระอิศวร พระนารายณ์ พระศิวะ พระวิษณุ พระอะไรต่อมิอะไร องค์นี้เหนือกว่า องค์นี้ สร้างไอ้นี่ องค์นี้มีฤทธิ์ปราบไอ้นั่น  จนผลสุดท้าย ทะเลากันเอง กว่าจะจบลงได้ ต้องแต่งนวนิยายเรื่องใหม่ คือ ตรีมูรติ เพื่อให้
บรรดาพระเจ้า ปรองดองกันได้ แบ่งกันใหญ่ แบ่งกันเก่งได้

ย้อนกับไปที่ความขัดแย้งเรื่องนี้ หลายปีต่อมา ความขัดแย้งระหว่างคน 2 ศาสนาก็ยังฮึ่มๆใส่กัน อังกฤษผู้ปกครองคนใหม่ก็จึงทำกำแพงแยกกันซะเลย 

นักบวชฮินดูขออนุญาตทางราชการเพื่อสร้างวัดฮินดู แต่ศาลปฏิเสธ แม้ว่าจะอุทธรณ์ แต่ก็ยังโดนปฏิเสธ (อิอิ ศาลนับถือลัทธิอะไร) 

ความขัดแย้งระหว่าง 2 ศาสนาในการแย่งสถานที่แห่งนี้ระบาดเป็นการจลาจลไปทั่วประเทศ

เหตุมันเกิดเพราะขัดแย้งกัน แต่ดูไปดูมา เวลาประชาชนทะเลาะกัน
เอาเรื่องไปพึ่งศาล ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย  พอศาลตัดสินออกมาไม่
ถูกใจฝ่ายใดฝายหนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาละครับ ก็ไม่สบอารมณ์
ไม่ฝายใดก็ฝ่ายหนึ่งที่แพ้ความ  แต่กรณีนี้ ศาลในอินเดีย ท่านก็
นับถือศาสนาหนึ่งในสองที่เขากำลังตีกันนี่แหละครับ ผลของการ
ตัดสินย่อมไม่เป็นที่สบอารมณ์แน่นอน

ค.ศ.1949  มีคนฮินดูอุตริ แอบเอารูปเคารพของพระรามและนางสีดา เข้าไปวางไว้ในมัสยิด ทั้ง ๆ ที่ทราบว่า อิสลามไม่มีรูปเคารพ ก็ทะเลาะกันอีก รัฐบาลอินเดีย ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังงัย ก็เลยประกาศให้ให้ศาสนสถาน
แห่งนั้นเป็นดินแดนพิพาท และไขกุญแจปิดตายมัสยิด (ทะเลาะกัน
ดีนัก  มึงไม่ต้องใช้ทั่งคู่แหละ)

ปีถัดมาทั้งมุสลิมและฮินดูไปยื่นขอต่อศาลขอเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ศาลยืนกรานแบบเดิม คือ ถ้ามึงยังทะเลาะกันไม่เลิก ได้ไม่ต้องใช้มันทั่งคู่และวะ

ค.ศ.1983  ฮินดูรุกคืบใหม่ โดยอาศัยสภาฮินดูโลก รณรงค์จะสร้างวัดฮินดูตรงมัสยิดที่ว่า (นัยยก็คือการแก้แค้น เพราะเองมาสร้างมัสยิสทับวัดของตรู) ฮินดูขอให้ศาลเปิดกุญแจ 

อีก 3 ปีถัดมา ศาลตำบลก็ออกคำสั่งให้เปิดมัสยิด (ศาลท่านนี้ เป็นฮินดูหรือป่าว อิอิ) ให้คนฮินดูเข้าไปสักการะในมัสยิดได้ ทำให้มุสลิมทั้งโลกโศกเศร้า และจำเป็นต้องเศร้า และจำเป็นต้องขยายความเศร้าให้มาก ๆ เพราะว่า มุสลิมทั้งโลกเป็นพี่น้องกัน ตามที่มีคนเอามาปลุกปั่น

ค.ศ.1989 เมื่อ 18 ปีก่อน นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายราจีฟ คานธี อนุญาตให้มีการฉลอง การขุดดินเพื่อสร้างวัดฮินดู ซึ่งอยู่ห่างจากมัสยิดเพียง 58.5 เมตร จึงเกิดความขัดแย้ง ทางศาสนา ตามด้วยมีการจลาจลใหญ่ คนตายไป 600 คน

ค.ศ.1990 ผู้นำฮินดูก็เริ่มเดินขบวนด้วยรถม้าเพื่อชักชวนให้มีการสร้างวัดพระราม เหตุการณ์บานปลายทำให้มีอาสาสมัครศักดิ์สิทธิ์ฮินดูมารวมตัวกัน
ที่อโยธยาหลายหมื่นคน ตำรวจยิงตายไป 30 คน (เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เพราะวา ตำ ที่ยิงคนตายไป ไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็๋นตำเลาะ) 

รายงานข่าวไม่ได้เคยบอกให้โลกทราบว่า ตำรวจเหล่านั้นเป็นมุสลิม 
อาสาสมัครบางกลุ่มก็โต้กลับด้วยการเล่นงานมุสลิมใกล้มัสยิด พวกมุสลิมก็จับอาวุธสู้ ทำให้มียอด คนตายเพิ่มไปอีกกว่า 100 คน


บั้นปลายท้ายที่สุด ก็จะมีการสร้างวัดฮินดูในอาณาบริเวณที่่มุสลิมบอกว่า ย่ำยีหัวใจมุสลิม มันมีมัสยิดบาบรี อยู่  โดยมุสลิมเจตนาหลงลืมว่า
มัสยิสดังกล่าวนั้น สร้างลงทับพื่้นที่วัดเดิมของฮินดูอยู่ ต่างคนต่างอ้าง เอาเฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อลัทธิของตนเอง

นายกรัฐมนตรีนาราสิมฮา ราว ขอให้หยุด ปะทะกันซัก 3 เดือน เมื่อพ้น 3 เดือน คนฮินดู 3 แสนมารวมตัวกัน อาสาสมัครศักดิ์สิทธิ์ หลายพัน ที่มีแค้นฝั้งหุ่นที่ว่า พวกเองมาสร้างมัสยิส ทับที่วัดเก่าของตรู ก็ได้เข้าไปทำลาย มัสยิดอีก

แล้วเรื่องราววันนี้ในอดีตที่ผมอ่านเมื่อตะกี้นี้ ก็มาถึง  27 ก.พ. 2545 
ชาวฮินดูผู้เดินทางจะไปเมืองอโยธยา ถูกมุสลิมจุดไฟเผาในขบวนรถไฟ พวกฮินดูจึงโต้ตอบกลับ คราวนี้ตายไป 500 คน

ทุกวันนี้ ทุกทีที่มีการปลุกระดมให้ทําลายมุสลิม 
พวกฮินดูหัวรุนแรงก็มักจะยกเอาพระรามในเรื่องรามเกียรติ์มาอ้าง 
ส่วนพวกฮินดูสันติก็อ้าง นางสีดา นางเคยบอกพระรามตอนที่จะตามยักษ์แห่งป่าทันทกาไปว่า “ท่านกำลังทำบาปซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของพวกอวิชชา ที่คนโง่มักเอียงเข้าไปหา บาปที่ว่าคือการสังหารคนที่ไม่ได้ทำความผิด โอ้ ผู้เป็นวีรบุรุษ คำสวดของฉันก็คือ เมื่อท่านถือศรเป็นอาวุธ ท่านก็จะทำสงครามกับพวกยักษ์ผู้มีป่าเป็นบ้าน ท่านต้องไม่ฆ่าผู้ที่ไม่ผิด”


ทั้งหมดนั้นก็คือความเดือดร้อนรำเค็ญ เพราะดันไปอ่านนิยายคนละเล่ม
นับถือคนละแบบ  ทีนี้ถ้านับถือคนละแบบ ถ้าต่างคนต่างอยู่จะไม่เกิด
เรื่องนี้ขึ้นมาเลย  นับตั้งแต่มุสลิมคนแรกย่ำยีฮินดู คือกษัตริย์บาบาร์ 
ผู้สืบเชื้อสายจากเจงกีสข่าน ดันทรงพระทะลึงไปสร้างมัสยิสทับลง
บนวัดฮินดู ที่มีตั้งมากมาย ก็ไม่ทรงGet  ดันไป Get บนวัดฮินดู

มันก็เลยล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา แล้วอ้างอ้างนวนิยายของ
ลัทธิตัวเอง เพื่อสร้างความชอบ(ทำ)ธรรม ในการรุกรานศาสนาอื่น
ฆ่าคนลัทธิอื่น แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ พวกเราทุกคนในโลกเป็นพี่น้องกัน
แต่ไม่เป็นพี่น้องกับศาสนาอื่น  เพราะฉนั้น เราจึงมีความชอบธรรม
ในการรุมกินโต๊ะมัน เหยียบย้ำย่ำยีมัน  เรื่องมันก็เท่านั้น

ต้นตอของต้นเหตุ ก็คือคำสอนในศาสนา ที่สอนให้ศาสนิกของตนเอง
เบียดเบียนผู้อื่น โดยอ้างพระเจ้าได้ คนเลว ๆ ในศาสนานั้น ๆ ก็หยิบ
ยกเอาคำสอนนั่นแหละ มาสนับสนุนการทำควมเลวริยำของตนเอง
เพื่อจะบอกว่า สิ่งที่ฉันทำนี้ ถูกต้อง เพราะพระเจ้าทรงบัญชา

เหมือนกับตอนนี้ ที่พระเจ้าในบางศาสนา กำลังสั่งให้แบ่งแยกดินแดน สั่งให้ปล้นปืน สั่งให้ฆ่าไทยพุทธ สั่งให้เผาวัด สั่งให้วางระเบิด โดยการสนับสนุนจากผู้ก่อการร้ายนอกประเทศ ที่อ้างว่า มุสลิม ทุกคนในโลกนี้ เป็นพี่น้องกัน  

แต่โชคดีของมุสลิมเหล่านั้น ก็เพราะ 
พระพุทธศาสนา ไม่มีคำสอนใด ๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงสอนให้เบียดเบียนผู้อื่น หรือศาสนาอื่น เลย
สาธุ....

แล้วที่นี้ โศกนาฏกรรม ประจำวันที่ 27 ก.พ. จะด่าใครดีละ............
ผมว่าท่านผู้อ่านคงด่าอยู่ในใจแหละ .........เลือกเอาเอง
แต่อย่ามาด่าผมก็แล้วกัน  อิอิ...........


เพราะโผมม่ายรู้ ผมม่ายฉะบาย.........อิอิ


ลุงคำต๋ำ

ศาลอินเดียพิจารณาคดีพื้นที่พิพาท ฮินดู-มุสลิม
อินเดียพร้อมรับมือความวุ่นวายจากการพิจารณาคดีของศาล ต่อกรณีข้อพิพาทระหว่างฮินดู มุสลิม ที่ยืดเยื้อยาวนานเหนือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์



     สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน (30 กย.)ว่า อินเดียเตรียมพร้อมรับมือความวุ่นวายจากการพิจารณาคดีของศาล ต่อกรณีข้อพิพาทระหว่างฮินดู มุสลิม อันยืดเยื้อยาวนานเหนือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญต่อสถานะความสัมพันธ์ของศาสนาในประเทศ

     กำลังเสริมของทหารหลายพันคน ประจำการอยู่ทั่วพื้นที่เมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย อดีตที่ตั้งของมัสยิดบาบรี ในศตวรรษที่ 16 ซึ่งต่อมาถูกกลุ่มฮินดูเผาทำลายเมื่อปี 1992 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มศาสนาต่างอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าว

     ศาลสูงของรัฐอุตตรประเทศจะพิพากษาว่า ฝ่ายไหนควรครอบครองพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งทำให้รัฐบาลกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากขณะนี้กำลังเตรียมการเป็นเจ้าภาพ มหกรรมกีฬาเครือจักรภพ ในกรุงนิวเดลี ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันอาทิตย์ (3 ต.ค.) นี้ ซึ่งการทำลายมัสยิดบาบรี ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อสาธารณชนมากที่สุดในอินเดีย นับตั้งแต่การแบ่งแยกอินเดียเมื่อปี 1947 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2,000 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

     และเมื่อไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลได้ออกประกาศคำวิงวอนต่อสาธารณชน ให้ช่วยกันรักษาความสงบต่อหน้าคณะลูกขุน รวมทั้งมีการลงประกาศในหนังสือพิมพ์ เพื่อเรียกร้องทั้งสองกลุ่มเคารพกฎหมาย และมีการเกณฑ์กองกำลังความมั่นคงจำนวนหลายหมื่นคนเข้ารักษาความสงบ ด้านอินเดีย และปากีสถาน ประเทศเพื่อนบ้าน อาจกล่าวได้ว่าเกิดมาเพื่อขัดแย้งซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากกำเนิดปากีสถาน ผ่านการแบ่งแยกอนุทวีปแห่งนี้เมื่อปี 1947 ได้ก่อให้เกิดการปะทะกันของผู้นับถือศาสนาที่ต่างกัน ซึ่งส่งผลให้ผู้คนเป็นล้านคนเสียชีวิต

     ทั้งนี้ ประเด็นความขัดแย้งดังกล่าวจะได้รับการทดสอบ เมื่อศาลสูงจะเริ่มพิจารณาคดีเวลา 10.00 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งในเมืองอโยธยา ที่กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกลุ่มฮินดูชาตินิยมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ประจำการทั่วเมืองอโยธยาอย่างเข้มงวด รวมทั้งสถานที่ที่อาจเกิดเหตุปะทะอื่นๆ อีก 32 แห่งทั่วอินเดีย โดย 4 แห่งตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุด

     พี ชิดัมบาราม รัฐมนตรีมหาดไทย ให้ข้อมูลว่า เฉพาะในรัฐอุตตรประเทศมีกองกำลังประจำการอยู่แล้วจำนวน 190,000 คน ด้านชาวฮินดูกล่าวกันว่า มัสยิดบาบรี ซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิบาบาร์แห่งราชวงศ์โมกุล ตั้งอยู่บนพื้นที่ของโบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระราม เทพของชาวฮินดู ทั้งนี้ ชาวฮินดูต้องการที่จะสร้างโบสถ์พระรามขึ้นแทนที่

     ศาลสูงจะพิจารณา 3 ประเด็นสำคัญด้วยกัน คือ พื้นที่พิพาทดังกล่าวเป็นสถานที่ประสูติของพระรามจริงหรือไม่, มัสยิดบาบรีสร้างขึ้นหลังจากการรื้อถอนโบถส์ฮินดูหรือไม่ และการสร้างมัสยิดขึ้นบาบรีขัดกับหลักศาสนาอิสลามหรือไม่

     อย่างไรก็ตาม การสู้คดีน่าจะยืดเยื้อกันจนถึงชั้นศาลสูงสุด ดังนั้น ทางออกของความขัดแย้งกว่า 60 ปีนี้ ก็ยังคงมืดมนต่อไป ซึ่งตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา พื้นที่ดังกล่าวตกอยู่ในการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนมาก


คำพิพากษาอโยธยา 
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่อินเดียทั้งประเทศอยู่ในความตึงเครียดที่สุดช่วงหนึ่ง เหตุเพราะจะมีการตัดสินกรณีพิพาท ‘อโยธยา’ ว่าที่ดินผืนเล็กๆ อันเป็นที่ตั้งมัสยิด Babri ซึ่งถูกทุบทำลายโดยชาวฮินดูในปี 1992 ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร ฮินดูหรือมุสลิม คนทั่วทั้งประเทศต่างกลั้นใจรอ เพราะเกรงว่าผลของคำพิพากษาอาจนำไปสู่การนองเลือดอีกครั้ง แต่ที่สุดทุกฝ่ายก็หายใจทั่วท้อง เมื่อศาลพิพากษาให้คู่กรณีสามรายได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินไปเท่าๆ กัน และผู้คนที่มีทั้งพอใจและไม่พอใจกับคำพิพากษาต่างอยู่ในความสงบ

 มัสยิดบาบรีที่เป็นกรณีพิพาทนี้ตั้งอยู่ในเมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศ จากหลักฐานทางจารึกถือกัน ว่า Babur กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลพระองค์แรกรับสั่งให้ Mir Baqi สร้างมัสยิดแห่งนี้ขึ้นซึ่งแล้วเสร็จราวปี 1528-1529 ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมและฮินดูปะทุขึ้นครั้งแรกในปี 1853 ด้วยชาวฮินดูเชื่อว่ามัสยิดนี้สร้างทับวัดฮินดูที่ถูกทุบทำลายลง ที่สำคัญบริเวณใต้โดมกลางของมัสยิดคือที่ประสูติของพระรามเทพองค์สำคัญในศาสนาฮินดู
หลังจากมีการไกล่เกลี่ยโดยทาง การสถานการณ์ค่อยเย็นลง จากบันทึกใน Faizabad Gazetteer ทั้งชาวฮินดูและมุสลิมสวดสักการะในตัวอาคารเดียวกันอยู่จนถึงปี 1859 เมื่อทางการซึ่งอยู่ในอำนาจการปกครองของอังกฤษ สั่งให้มีการกั้นรั้วพื้นที่สำหรับทำพิธีทางศาสนา โดยด้านในมัสยิดเป็นพื้นที่ของชาวมุสลิม ด้านนอกเป็นของชาวฮินดู


ในปี 1885 Mahant Raghubar Das ยื่นเรื่องต่อศาลขอสร้างวัดฮินดูขึ้นในพื้นที่ด้านนอก แต่ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาในคืนวันที่ 22 ธันวาคม 1949 มีคนลอบนำเทวรูปของพระรามเข้าไปตั้งไว้กลางมัสยิด ชาวมุสลิมพากันชุมนุมประท้วง ทั้งชาวมุสลิม และฮินดูต่างรวมกลุ่มกันยื่นฟ้องต่อศาลอ้างกรรมสิทธิ์ ในมัสยิดบาบรี รัฐบาลจึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปรักษาการ ระหว่างรอกระบวนการในชั้นศาล

วันที่ 6 ธันวาคม 1992 กลุ่ม Kar Savek ซึ่งปลุกระดมโดย Vishwa Hindu Parishad (VHP) กลุ่มฮินดูขวาจัด บุกเข้าทุบทำลายมัสยิดบาบรี หวัง ยึดพื้นที่คืนเพื่อสร้าง Ram Temple

เหตุการณ์ลุกลามไปสู่การปะทะระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมทั่วประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คน และเป็นต้นตอของการนองเลือดที่ตามมาอีกหลายครั้ง
กรณีที่ชาวฮินดูในรัฐคุชราตบุกโจมตีและฆ่าชาวมุสลิม ในปี 2002 ก็สืบเนื่องจากข่าวลือว่าเหตุเพลิง ไหม้ในรถไฟที่สถานีโกรา เป็นฝีมือชาวมุสลิมที่มุ่งแก้แค้นชาวฮินดูที่จะไปแสวงบุญที่อโยธยา ซึ่งเหตุการณ์ทั้งสองกรณี การทุบทำลายมัสยิดบาบรีและการนองเลือดในรัฐคุชราตต่างเป็นคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาลแยกออกไป


สำหรับคดีสิทธิ์เหนือมัสยิดบาบรีนี้ ปัจจุบันมีกลุ่มตัวแทนและองค์กรทั้งฮินดูและมุสลิม ยื่นฟ้อง ต่อศาลอ้างสิทธิ์รวม 28 ราย

ซึ่งตลอดหกทศวรรษที่ผ่านมาศาลยังไม่เคยสรุปคดี กระทั่งเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ศาลสูงเมืองอัลลาห์บัดประกาศว่าจะมีการ พิพากษาในวันที่ 23 แต่ต้องเลื่อนออกไปถึงสองครั้ง ในที่สุดมีการอ่านคำพิพากษาขึ้นในวันที่ 30 กันยายน ซึ่งในห้วงเวลานั้น หัวเมืองใหญ่ทุกเมืองในอินเดียโดยเฉพาะเมืองอัลลาห์บัด ล้วนอยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และมีการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังพิเศษต่างๆ เต็มอัตราเพื่อรับมือกับสถานการณ์

หากผลคำตัดสินจุดชนวนให้เกิดการปะทะกันระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ผู้นำศาสนาทั้งสองฝ่ายต่างเรียกร้องให้ศาสนิกชนรับฟังคำตัดสินโดยสงบ


ผู้พิพากษาที่ร่วมตัดสินคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ประกอบด้วยผู้พิพากษา Dharam Veer Sharma, Sudhir Agarwal และ Sibghat Ullah Khan ทั้งสามขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาแยกกัน โดยที่ผู้พิพากษา 2 ใน 3 ตัดสินให้

แบ่งที่ดินผืนดังกล่าว เป็น 3 ส่วนเท่าๆ กันและมอบสิทธิ์ในการจัดการดูแลแก่ผู้ยื่นร้อง 3 ราย ได้แก่ Ram Lalla (กลุ่มตัวแทนเทวรูปของพระราม), Sunni Central Waqf Board (ตัวแทนฝ่ายมุสลิมกลุ่มสำคัญ) และ Nirmohi Akara (ชาวฮินดู นิกายหนึ่งที่อ้างสิทธิ์การจัดการดูแลที่ประสูติของพระรามมาแต่ต้น) โดยที่ประดิษฐานของเทวรูปพระราม ปัจจุบันหรือพื้นที่ใต้โดมกลางของมัสยิดเดิมให้เป็นสิทธิ์ของ Ram Lalla


นอกเหนือจากเรื่องสิทธิ์ ผู้พิพากษายังตัดสินประเด็นสำคัญหลายประเด็นในคดีนี้ แม้จะมีคำตัดสินต่างกันไปบ้าง พอสรุปได้ว่า

ไม่มีผู้ใดถือสิทธิ์ขาดในที่ดิน ดังกล่าวเพราะชาวมุสลิมและฮินดูต่างสวดสักการะในที่เดียวกันมาก่อนปี 1859

ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าโครงสร้าง ที่ตกเป็นข้อพิพาท (มัสยิดบาบรี) สร้างโดยบาเบอร์กษัตริย์โมกุล โครงสร้างดังกล่าวสร้างบนซากศาสนสถานของฮินดู
แต่ไม่มีหลักฐานบอกได้แน่ชัดว่ามีการทุบทำลายศาสนสถานเดิม สำหรับที่ตั้งเทวรูปของพระรามในปัจจุบัน
ศาลตัดสินว่ายึดตามศรัทธา และความเชื่อของชาวฮินดูแล้วที่ดังกล่าวถือเป็นที่ประสูติของพระราม ส่วนเทวรูปนั้นไม่ได้มีมาแต่เดิม แต่มีผู้นำเข้าไปวางในคืนวันที่ 22 ธันวาคม 1949


ชาวอินเดียโดยรวมรับฟังคำพิพากษาโดยสงบ ไม่มีรายงานการปะทะหรือความรุนแรงใดๆ นายกฯ มานโมฮัน ซิงห์กล่าวชื่นชมประชาชนที่ให้ความเคารพต่อศาลและตอบรับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างสง่างาม

ฝ่ายรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยนอกจากจะ ร่วมชื่นชมปฏิกิริยาตอบรับของประชาชนยังได้เสริม ย้ำว่าคำตัดสินนี้ไม่ได้ให้ความถูกต้องแก่กรณีการทุบทำลายมัสยิดบาบรี การกระทำนั้นยังถือว่าผิดตามกฎหมาย ความเห็นของเขาแม้จะถูกในหลักการ แต่ถูกประณามโดยพรรคฝ่ายค้านว่าไม่ถูกกาลเทศะ อาจทำให้เชื้อไฟที่คุนิ่งอยู่ลุกโหมขึ้นมาอีก


คำพิพากษาครั้งนี้หลายฝ่ายเรียกว่าเป็นงานเซอร์ไพรส์ บ้างเรียกว่าเป็นฉบับประนีประนอม แต่หลายภาคส่วนก็ผิดหวัง และแสดงความเห็นคัดค้าน ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของรัฐอุตตรประเทศกล่าวว่า ชาวมุสลิมรู้สึกเหมือนถูกโกง และตนผิดหวังที่ศาลยุติธรรมให้น้ำหนักกับศรัทธาความเชื่อมากกว่าหลักฐานข้อเท็จจริงและตัวบทกฎหมาย

ประเด็นที่ศาลยึดหลักศรัทธาความเชื่อมาใช้ในการพิพากษานี้ ได้รับการโจมตีอย่างหนักจากหลาย แวดวงวิชาการ ดร.ราจีฟ ธาวัน ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญมองว่าเป็นการไกล่เกลี่ยแบบ ‘ศาลหมู่บ้าน’

“หนึ่งส่วนให้มุสลิม สองส่วนให้ฮินดู

ทั้งๆ ที่เดิมเป็นของชาวมุสลิม เป็นคำตัดสินที่ไม่ได้ยึดในตัวบทกฎหมาย ไร้ความถูกต้องทางศีลธรรม และวางมาตรฐานที่จะก่อผลเสียในอนาคต” ขณะที่ผู้พิพากษาราจินดาร์ ซาชาร์ อดีตผู้พิพากษาศาลสูง เดลีให้ความเห็นว่า ศรัทธาความเชื่อไม่มีนัยสำคัญในระบบศาลสถิตยุติธรรม คำตัดสินครั้งนี้มีแต่จะให้ความถูกต้องแก่เรื่องที่ประสูติของพระราม ซึ่งเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ แบบ ‘ขวาจัด’ และยังเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันในทางประวัติศาสตร์


แวดวงนักประวัติศาสตร์เองก็มีผู้แสดงความเห็น คัดค้าน โดยเฉพาะการที่ศาลดูเหมือนจะใช้รายงานของ Archeological Survey of India เป็นตัวตั้ง ทั้งที่ข้อมูล และข้อสรุปหลายส่วนยังเป็นประเด็นร้อนที่โต้เถียงกันอยู่ในทางวิชาการ ศาสตราจารย์ ดี. เอ็น จา หนึ่งในทีมนักประวัติศาสตร์อิสระที่เข้าไปสำรวจมัสยิดบาบรีและยื่นรายงานต่อรัฐบาลไว้ตั้งแต่ปี 1991

ก่อนมัสยิดจะถูกทุกทำลายลง ชี้ว่ารายงานของ ASI เต็มไปข้อมูลที่ลักลั่นและอโยธยาเริ่มกลายเป็นที่แสวงบุญก็ราวปลายศตวรรษที่ 17 ซึ่งในรายงานที่นักประวัติศาสตร์อิสระทีมนี้ยื่นต่อรัฐบาล กล่าวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา

VHP กลุ่มฮินดูขวาจัดไม่เคยสามารถอ้างอิงจารึกหรือคัมภีร์โบราณใดๆ ที่ระบุถึงที่ประสูติของพระราม ตำนานที่ว่า มัสยิดบาบรีสร้างโดยการทุบทำลายวิหารฮินดูและตั้งอยู่บนที่ประสูติของพระรามนั้น เริ่มแพร่พลายก็ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้จากการตรวจสอบจารึกภาษาเปอร์เซียในตัวมัสยิดบาบรีเองและคัมภีร์โบราณของฮินดูที่ร่วมสมัยกับการสร้างมัสยิดดังกล่าว ก็ไม่มีการกล่าวถึงการทุบทำลายวิหารฮินดูหรือเรื่องที่ประสูติของพระรามไว้เลย


หลังคำพิพากษา ตัวแทนฝ่ายมุสลิมและฮินดู ต่างเฉดต่างสีที่เป็นโจทย์ในคดีนี้ แสดงปฏิกิริยาต่าง กันไป ส่วนใหญ่รับฟังแต่ไม่ยอมรับ หลายกลุ่มประกาศชัดว่าจะอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด บางกลุ่มหันมาเจรจาหาข้อตกลงนอกศาล

หนึ่งในแกนนำของ Nirmohi ตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าปล่อยให้เป็นเรื่องของชาวฮินดูและมุสลิมเมืองอโยธยาจัดการกันเอง คุยกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็คงตกลงกันได้” คำกล่าวนี้มีนัยว่าเรื่องนี้ถูกทำให้บานปลายกลายเป็นเหตุนองเลือดก็เพราะคนนอก โดยเฉพาะกลุ่มก้อนที่หวังผลทางอำนาจและการเมือง


คำกล่าวนี้ไม่ได้เพ้อพกเกินเลย ดังมีตัวอย่าง กรณีหมู่บ้าน Gotkhindi ในเมือง Sangli ที่ชาวบ้าน ฉลองเทศกาลบูชาพระพิฆเนศด้วยการตั้งเทวรูปในมัสยิด ประเพณีที่หาได้ยากนี้เริ่มขึ้นในปี 1979 ในเทศกาลครั้งนั้นชาวฮินดูทำพิธีกันกลางแจ้งเนื่องจาก ไม่มีปัจจัยสร้างปะรำพิธีแล้วเกิดฝนตกหนัก

ชาวมุสลิมในหมู่บ้านเห็นว่าพระพิฆเนศต้องตากฝน จึงเรียกให้เพื่อนบ้านชาวฮินดูนำเทวรูปเข้าหลบฝนบูชา ในมัสยิด ความภูมิใจในความสมานฉันท์ของคนในชุมชนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเพณีปฏิบัติมาจนถึง ทุกวันนี้


แม้ข้อพิพาทมัสยิดบาบรี-ที่ประสูติพระรามมีเค้าว่าจะยังหาข้อยุติที่ลงตัวไม่ได้ในเร็ววัน แต่การที่ชาวอินเดียรับฟังคำพิพากษาครั้งนี้โดยสงบ ก็น่าจะเป็นความหวังได้ว่า ‘ความอดกลั้น’ ต่อความคิดต่างเห็นต่าง ต่อความไม่ชอบธรรม และความต่างทางศาสนา อาจจะกลับมานำรัฐนาวาของอินเดียข้ามพ้นปมความขัดแย้งโดยสันติไปได้อีกห้วงหนึ่ง


ลุงคำต๋า

สงครามศาสนาในอนุทวีป ปะทุรุนแรง รัฐบาลดึงการเมืองเข้าพัวพัน สถานการณ์ในอินเดีย กำลังร้อนแรง ความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อ ในลัทธิศาสนา กำลังถูกดึงเข้าไปเป็นประเด็นการเมือง 
ก่อนที่พรรคภาราติยะชนะตะ หรือบีเจพี ของนายอะตาล   วัชปายี   จะเกิดขึ้นบริหารประเทศ  มีการปะทะกัน ระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมอยู่ประปราย 
แต่หลังจากที่พรรคบีเจพี ขึ้นเป็นรัฐบาล มีการปะทะขึ้น บาดเจ็บ ล้มตาย เพราะเรื่อง ความแตกต่าง ในการนับถือศาสนา เพิ่มขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุการณ์ปะทะกันครั้งร้ายแรงที่สุด  เกิดขึ้นที่เมืองอาห์วา  เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีพลเมืองเพียง 10,000 คน อยู่ทางภาคตะวันตก ของรัฐกุจราช ชาวฮินดูหลายพันคน ได้จัดการขุมนุมเดินขบวนไปตามท้องถนน ประนามการจัดงานเทศกาล ตามคตินิยมของคริสเตียน

ต่อมาม็อบถูกกระตุ้นให้เกิดความโกรธแค้นอย่างหนัก   ถึงกับยกพวกเข้าทำลายโรงเรียนของชาวคริสเตียน ที่ ดีพดาร์ชาน ในขณะที่แม่ชีกำลังสอนนักเรียนอยู่ 

ในวันต่อมา  โรงเรียนที่ดำเนินการโดย  คณะเจซูอิต ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ถูกม็อบในลักษณะเดียวกัน เข้าจู่โจมทำลาย ทำให้บาดหลวงเจซูอิต ได้รับบาดเจ็บหลายคน       ในสัปดาห์ต่อมา ชุมชนคริสเตียน อีก 20 แห่งถูกม็อบฮินดูบุกเข้าทำลาย

ทางด้าน  นายอะตาล บิหารี วัชปายี นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำพรรคฮินดู หัวรุนแรง (เพราะลัทธิความเชื่อของตรู ได้ประโยชน์ ) ก็วางเฉยกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น 

นายอโศก  สิงฮาล ผู้นำกลุ่มวิศวะ ฮินดู ปาริชัด หรือวีเอชพี อันเป็นกลุ่มฮินดูหัวรุนแรง กล่าวว่า เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างสถานการณ์ของชาวคริสต์เอง เพื่อเป็นการเรียกความสนใจจากสังคม และหวังจะกำจัดฮินดู ออกจากถิ่นของตน
นายพลเดนซิล คีลเลอร์ นายทหารอากาศที่มีชื่อเสียง ที่นับถือคริสเตียนคนหนึ่ง กล่าวว่า กลุ่มวีเอชพี มีแผนการ 3 ปี ที่จะเปิดศึกขั้นเด็ดขาด กับกลุ่มมิชชนนารีคริสเตียน และเปลี่ยน ชาวคริสเตียน ให้มานับถือฮินดู ให้หมด แม้ว่าชาวคริสเตียนในอินเดีย   จะถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในอินเดีย   แต่ก็มีผู้นับถือศาสนาคริสต์อยู่ถึง 23 ล้าน

ส่วนในปากีสถาน สถานการณ์รุนแรงกว่าหลายเท่า เพราะกฎหมายปากีสถานบัญญัติว่า ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น (ที่ไม่ใช่ มุสลิม) ถือเป็นการประกอบอาชญากรรมอย่างหนึ่ง มีการจับกุมคุมขังผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ไปดำเนินคดี  และมักลงเอย ด้วยการจะเสียชีวิตของจำเลย  ด้วยเหตุต่างๆ ก่อนการดำเนินคดีจะสิ้นสุด บางรายจะถูกประชาทัณฑ์จนถึงแก่ชีวิต ก่อนที่จะถึงมือตำรวจ เป็นที่น่าเป็นห่วง ว่าหากถึงจุดที่สุดจะทนทาน ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น อาจจับอาวุธเข้าต่อสู้ก็ได้

สงครามศาสนา ในอินเดีย  เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.1526 เมื่อกษัตริย์บาบาร์ ผู้สืบเชื้อสายจากเจงกีสข่าน ของมองโกเลีย ยึดอินเดียได้จึงสถาปนาราชวงศ์โมกุล ราชวงศ์นี้นับถือศาสนาอิสลาม 

อีก 2 ปีต่อมา มีการสร้างมัสยิดตรงสถานที่ที่เชื่อว่าเคยสร้างวัดฮินดูมาก่อน  (อันนี้ คือการที่กษัตริย์ ไปย่ำยีหัวใจของฮินดูเป็นครั้งแรก) 
 
ยุคปัจจุบันเมื่อพรรคบีเจพี อันเป็นพรรคฮินดูหัวรุนแรง  ได้ปลุกม็อบเข้ารื้อสุเหร่าในเขตเมืองอโยธยา  เพื่อสร้างโบสถ์ฮินดูขึ้นบริเวณนั้น เพราะถือว่า เคยเป็นที่ตั้งของ วัดฮินดูเก่าแก่ สงครามระหว่างฮินดูกับมุสลิมในอินเดีย ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีการยกพวกเข้า ปะทะกัน ในที่ต่างๆ  ทั่วประเทศ  และลุกลามเข้าไปในเมืองบอมเบย์ อันเป็นเสมือนเมืองหลวงของมุสลิมในอินเดีย 

เมื่อถึงขั้นนี้ มุสลิมในอินเดีย ซึ่งมีอยู่ถึง 120 ล้านคน ประกาศสู้ โดยวางแผนการตั้งรับและตอบโต้อย่างมีระบบ ทำให้ฮินดูหัวรุนแรงเข็ดขยาด ไม่กล้าตอแยมุสลิมนับแต่นั้น

อย่างไรก็ตาม  การปะทะกันของผู้นับถือศาสนาต่างๆ  ในอินเดีย  ยังจะสงบไม่ได้   ตราบใดรัฐบาล ไม่ได้รับความเชื่อถือ จากกลุ่มคนศาสนาอื่น     โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลของพรรคบีเจพี  ซึ่งโปรฮินดูอย่างเต็มที่ (ถ้าโปรอิสลาม อาจไม่มีปัญหานะครับ อิอิ...)บริหารประเทศ  การใช้กำลังทหารเข้าระงับเหตุ ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล เพราะต่างถูกมองว่า จะต้องเข้าข้างฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาเดียวกับผู้นำรัฐบาล

ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอินเดียแล้ว   รู้สึกเศร้าสลดใจ  ที่ผู้คนหันมาทำร้ายประหัตประหารกัน เพราะ การที่ต่างมีความศรัทธาเชื่อถือกันคนละอย่าง  กระแสที่เกิดขึ้นจาก บุคคลบางกลุ่ม บางเหล่านั้น เป็นมติมหาชนจริงหรือเปล่า อย่าหลับหูหลับตา เชื่อแต่กระแสอย่างคนสมองนิ่ม ปัญญาทราม เพราะหากไม่ใช่กระแสแท้ ผลที่ได้รับจะเป็นในทางตรงกันข้าม

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม