วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

กระเทาะเปลือกไฟใต้ใครบงการ_บทที่ 19

บทที่ ๑๙ โจรปัตตานี...รุกทางการเมืองหนัก


ปี พ.ศ ๒๕๒๗ - ๒๕๔๙ เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้งหลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบทบาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้ แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่าประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้

แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้านนักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลี้ลับอย่างมิดชิด หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด

นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฏเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึงความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฏิบัติที่กระทบต่อพระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้งห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ

โจรปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ในสภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดยอัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จาก รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฏิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้นไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ คนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย

นักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!!

นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่ ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น

ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฏขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บางท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลากหลายมากขึ้นคนไทยพากัน ต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจเพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทยไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่นคนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำใสใจจริงคนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกัน...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช. คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ

ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่า และขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียว

ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็ ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพุทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อจะเอาให้ร้องไม่ออก

ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่าโจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้ ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิสรภาพไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว

ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใช่รุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้น รุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลย โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น

การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้ แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการเคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบหัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ?

ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะบานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม