วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมื่อฮิญาบระรานวัด


เมื่อฮิญาบระรานวัด


เมื่อฮิญาบระรานวัด
เขียนโดย  จอมพระ

เมื่อประเทศไทยที่กลายเป็นประเทศที่เงียบสงบด้วยข่าวสารที่จำเป็นต่อการมองไปข้างหน้าของประชาชนในประเทศ ข่าวที่ถูกจัดกรอบกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ชี้ทิศทางสังคมก่อให้เกิดความไม่ลงรอยระหว่างศาสนาที่เป็นกลยุทธถูกจัดวางให้เกิดขึ้นในภาวะวิกฤตของสังคม

การปฏิบัติศาสนกิจให้ถูกต้องตามหลักศาสนาต่างๆนั้นเป็นเรื่องที่สมควรที่ศาสนิกชนพึงกระทำ  เช่นใช้ผ้าคลุมผมที่เรียกว่า Hijab (ฮิญาบ) ที่สุภาพสตรีชาวมุสลิมใช้คลุมผม ที่กลายเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาจนทำให้มีการปลุกปั่นจนกระทั่งปั่นป่วนไปทั้งสังคม กลายเป็นประเด็นร้อนระดับชาติไปเลยเมื่อเกิดการนำเสนอความเห็นในเฟสบุ๊คอย่างกว้างขวาง เรื่องผ้าคลุมผมผืนนี้กลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาไปแล้ว
จากบทความ เรื่อง เมื่อ**มหาเถร*เปิดศึกกับ**มุสลิม**
ที่มุ่งวิจารณ์ไปที่ มหาเถรสมาคม เพียงองค์กรเดียว ตอนนี้มุสลิมไทยมีปัญหากับ มหาเถระ"จริงๆไม่ได้มีกับชาวพุทธ” (ประโยคสำคัญของบทความ นี่)

ตามที่มหาเถรสมาคม มีมติไม่ให้เมื่อพระท่านได้มีมติไม่เห็นชอบให้ใช้ผ้าคลุมผมที่เป็นการปฏิบัติของศาสนาหนึ่งเข้ามาในพื้นที่ของอีกศาสนาหนึ่ง โดย มติของ ม.ส. ได้ชี้แจงไปตามพระธรรมวินัย ดังนี้ http://www.mahathera.org/detail.php?module=mati&id=255401021501&title=10

โดยส่วนหนึ่งมติของ ม.ส. ชี้แจงประเด็นสำคัญ
เนื่องจากการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องยึดถือการปฏิบัติตามหน้าที่ของคนไทยตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยการปฏิบัติตามหลักศาสนา ลัทธิทางศาสนา และ ความเชื่อของตน แต่จะต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีงาม ตลอดถึงไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นด้วย

การนำเสนอว่าอิสลามเป็นปัญหากับ ม.ส. เท่านั้น ถูกจงใจลดมุมมองให้เป็นเป้าโจมตีที่แคบลงเพื่อตัดพระคุณเจ้าทั้งหลายให้ถูกโดดเดี่ยวออกจากพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ให้ตกอยู่ท่ามกลางฝูงฉลามเขี้ยวยาว ที่เฝ้าซุ่มรอเวลาออกมาขย้ำพร้อมๆ กันหลังจากใช้เวลาช่วงหนึ่งสร้างเรื่องการใช้ผ้าคลุมผมสำหรับนักเรียนในโรงเรียนฯ กลายเป็นประเด็นที่พระท่านต้องออกมาตัดสินความที่เกิดในพื้นที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งเป็นเกมส์บังคับเปิดโอกาสให้ปลุกกระแสความขัดแย้งในวาระที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในความสับสน ทำไมไม่เกิดก่อน ทำไมต้องเกิดขึ้นในเวลานี้

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่งซึ่งมองเห็นว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของอิสลามกับ ม.ส. เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนอื่นๆ ในสังคมนี้ด้วย ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงควรสอดส่องและติดตามเรื่องเหล่านนี้ให้ใกล้ชิด 

ศาสนาพุทธกำหนดไว้ว่า ศาสนาฯนั้นจะดำรงอยู่ได้ต้องอาศัย พุทธบริษัท 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา พุทธบริษัททั้งหลายบำรุงและปกป้องและสืบต่อพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านรับหน้าที่สืบต่อพระพุทธศาสนาแล้ว หน้าที่ปกป้องและบำรุงพระพุทธศาสนาจึงต้องเป็นของเหล่าพุทธบริษัทที่เหลือ

ตัวอย่างการปฏิบัติตนให้คงความสันติและไมตรีระหว่างศาสนาเมื่อครั้ง สมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษทรงเยือนการประเทศตุรกีอย่างเป็นทางการท่านก็ใช้คลุมผ้าคลุมผมเมื่อเสด็จไปเยือนมัสยิดหนึ่งในประเทศตุรกีจนชาวมุสลิมนำไป เป็นข่าวในเวบไซด์ของชาวมุสลิมอย่างเป็นที่น่าประทับใจ

นี่คือการแสดงของอารยชน ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในอรยธรรมระหว่างศาสนาร่วมโลกที่ยืดหยุ่น เมื่อเป็นแขกมาเยือนในฐานะมิตรนี่จึงแสดงความเป็นมิตรเพื่อเป็นเกียรติแก่มิตรที่เป็นเจ้าบ้าน  โดยความสันตินี้ได้กระทำโดยไม่ต้องประกาศ ดังเช่นสุภาษิตไทยว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” ต่างจากความสันติขององค์กรที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าดำเนินการไปเพื่อความสันติ แต่แนวทางการดำเนินการนั้นแสวงหาความแตกแยกให้แก่สังคมที่เคยอยู่กันมาอย่างสงบสุข

จนมาถึงบัดนี้แทนที่ประเทศในยุโรปต่างๆ จะได้รับความเป็นมิตรกลับคืนไป กาลกลับกลายเป็นว่า สันติได้ถูกดูดซับหายไปจากศาสนาที่ประกาศตัวว่าเป็นศาสนาเพื่อสันติ
บทความอุทาหรณ์จากบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศยุโรป
เรื่อง  เสรีภาพแห่งความไม่เสมอภาค

การเรียกร้องขององค์กรมุสลิมเพื่อสันติที่สามารถสร้างประเด็นขัดแย้งขึ้นจนกลายเป็นปัญหากับสังคมในครั้งนี้เป็นกระบวนการที่เป็นปัญหาที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับการปกครองของหลายรัฐบาลในโลกนี้ไปเสียแล้ว
 " ผ้าสามเหลี่ยมผืนเดียวสามารถสร้างความหวาดเสียวไปทั้งโลก"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม