วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อไหร่จะสงบ


เมื่อไหร่จะสงบ

    นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.๒๕๕๕ - ๒๒๕๕๗
วัตถุประสงค์ข้อที่ ๕ เพื่อเสริมการเรียนรู้และสร้างคามตระหนักในคุณค่าของการอยู่ร่วมกันภายใต้ความหลากหลายของวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดย

๑) ให้การดำเนินวิถีชีวิต การปฏิบัติการหลักศาสนาเป็นไปโดยไม่มีอุปสรรค ปรับทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ปรับกฎหมายและกฎระเบียบทีเกี่ยวข้องให้เอื้อต่อเสรีภาพการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาและขจัดการเลือกปฏิบัติทางวัฒนธรรม โดยทุกฝ่ายต้องศึกษาทำความเข้าใจในคุณค่าของวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็ง อาทิ ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้กับคนในพื้นที่ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมทั้ง กิจการทางศาสนาพุทธและวิถีไทยพุทธในพื้นที่ เพื่อเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาให้สังคมมีความมั่นคงที่ยั่งยืน

ท่านจะเห็นว่า ผู้เขียนนโยบายนี้ได้กำหนดไว้เพื่ออิสลาม เท่านั้น เช่น

ก. “ปรับกฎหมายและกฎระเบียบทีเกี่ยวข้องให้เอื้อต่อเสรีภาพการดำเนินชีวิต
      ตามหลักศาสนา”
ข้อสังเกต

มีแต่อิสลามเท่านั้นที่ใช้คำว่าหลักอิสลาม   ดังนั้นปรับกฎหมาย ก็ต้องเพื่ออิสลาม


ข. ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้กับคนในพื้นที่
     ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมทั้ง
    กิจการทางศาสนาพุทธและวิถีไทยพุทธในพื้นที่

ข้อสังเกต
• อำนวยความสะดวก...ให้กับคนที่ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ได้กำหนดสถานที่
  ไว้ว่า ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย
• ส่วนศาสนาพุทธและวิถีไทย ให้ทำอยู่แค่ในพื้นที่เท่านั้น

ดังนั้น


I. นโยบายอย่างนี้ ถ้าสมช.ไม่โง่ ก็ไม่เกิดเช่นนี้ 
II. ถ้าผู้เขียนไม่มุ่งมั่นเพื่อศาสนาตนเองก็ไม่กล้าเขียนได้เช่นนี้

ภัยที่น่ากลัวและทำให้พุทธศาสนาล่มสลายได้คือ ภัยภายใน หรือ ภัยที่เกิดจาก เราโง่เอง คลิกศึกษาจากวิดีโอนี้
o The menace effects Buddhism ภัยแห่งพระพุทธศาสนา
www.youtube.com/watch?v=9rhhZfmmwAU


o เราจะได้เห็นคำรำพึงอยู่เสมอว่า

“เมื่อไหร่จะหยุดเสียที่”

ขอตอบฟันธงเลยว่า ...ไม่หยุด ...ไม่สงบ

อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมเป็นเช่นนี้

ก็เพราะว่า ไทยมันโง่เสียเมืองมาตลอด พอมีอำนาจความเฉลียวก็หายเกลี้ยง

        สมช.ที่มี พล.ต.อ.วิเชีวร พจน์โพธิ์ศรี เป็นเลขาฯ ไม่เชื่อน้ำยาคนไทย ได้มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่มุสลิมเป็นผู้เขียนนโยบายจึงได้เป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ท่านนั้นคือใคร ลองอ่านรายนาม ผู้บริหารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วทายเอาเองว่าเป็นใคร น่าจะไม่ยาก

คลิกลิ๊งค์นี้  
http://www.nsc.go.th/index.php?option=com_partystaff&Itemid=52

        เมื่อเป็นอย่างนี้...ชาตินี้ทั้งชาติตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่สงบครับ ถ้าสงบก็แสดงว่า เสียเมือง เปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามไปเรียบร้อยแล้ว


“ผู้บริหารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ผู้เขียนนโยบายฉบับนี้เป็นใครเอ่ย ????????


http://narater2010.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ภัยแห่งพระพุทธศาสนา


ภัยแห่งพระพุทธศาสนา



ที่นั่งหลับตาอยู่ทุกๆวัน บอกใครๆว่าข้าฯ คือชาวพุทธ รู้หรือไม่ว่าภัยพระพุทธศาสนาเข้ามาไกล้ตัวแล้ว  


• อย่าหลง  อย่าติดสุขอยู่เลย


• บรรพบุรุษรักษาพุทธศาสนาไว้ให้เรา แล้วเราทอดทิ้ง ไม่ได้ทำเพื่อลูกหลานหรือ นั่นคือการเห็นแก่ตัว เป็นกิเลสชัดๆ


• ท่านมีศีล ท่านมีสมาธิ แต่ขาดปัญญาท่านจะไปนิพานได้อย่างไร? 


ปกปักษ์พิทักษ์ พระพุทธศาสนาไว้ คือ การสะสมบุญ สะสมบารมีไว้เพื่อนิพพาน ไม่มีใครไปนิพพานด้วยการนั่งหลับตาอยู่ชาตินี้ชาติเดียวหรอก


ถึงอย่างไรก็ไปนิพพานไม่ได้ เพราะ


๑. ติดสุข นั่นคือกิเลส
๒. ยึดติดสุขตัดช่องน้อยแต่เพียงตน นั่นคือ... เห็นแก่ตัว 


ปกป้องพระพุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ สะสมบุญเพื่อไปนิพพานกัน...เรียนรู้ด้วยวิ ดี โอ.นี้แหละ


The menace effects Buddhism ภัยแห่งพระพุทธศาสนา   
http://narater2010.blogspot.com/

พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร"


พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร"
ปลาบปลึ้ม! พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร" 
ตามตำนานฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี
   วันนี้ (19 มิ.ย)  ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจากแหล่งข่าวว่า  ครูบาสันยาสี  ภิกขุ หรือมหาโยคี แห่งสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ณ ยอดเขาพญาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ได้เกิดนิมิตขณะนั่งสมาธิกรรมฐาน เห็นว่า บริเวณโขดหินชายหาดแห่งหนึ่งของเกาะกูด จ.ตราด มีรอยพระพุทธบาทธรรมชาติที่สวยงาม ชัดเจน อยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้พาคณะศิษย์เดินทาง ด้วยการเช่าเรือเร็วขนาดใหญ่จากชายฝั่ง จ.ตราด ไปยังเกาะกูดเพื่อร่วมกันพิสูจน์ความจริง  ซึ่งขณะก่อนออกเดินทางมีคลื่นลมจัด ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างแรง แต่พอเรือออกไปในทะเล ท้องฟ้าเปิด มีแสงแดดทำให้สามารถเดินทางไปได้ในระยะทาง 40 กิโลเมตร  และใช้เวลาการเดินทาง 1 ชั่วโมง
        และในวันนี้ ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้พาผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และทีวี เดลินิวส์ ไปพิสูจน์ความจริง ตรงจุดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ตรงข้ามกับเกาะกง กัมพูชา ชาวบ้านเรียกอ่าวกล้วย หรือแหลมหินลับมีด จึงได้พากันลงน้ำทะเล ขึ้นไปยังชายฝั่ง พบรอยพระพุทธบาท ชัดเจนอยู่บนแผ่นหินริมชายหาด จึงได้นำบายศรี ดอกไม้ ธูปเทียนไปสักการะเพื่อขออนุญาตในการตรวจสอบ และบันทึกภาพมาเผยแพร่ให้สาธุชนชาวพุทธได้รับทราบว่า ได้พบรอยพระพุทธบาท ซึ่งค้นพบในปี พุทธยันตี 2,600 ปี ซึ่งเป็นปีมหามงคลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินาถ  ในดินแดนสุวรรณภูมิของไทย กลางอ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งมีความชัดเจน สวยงาม เป็นธรรมชาติ มีน้ำทะเลขึ้นถึง จะดูได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อน้ำทะเลลง

         นางมณีจันทร์ ศรีทองคำ เปิดเผยว่า ได้มาทำธุรกิจที่พักอาศัย และมีที่ดินอยู่บนเกาะกูด  เคยได้ยินคำเฒ่าคนแก่ พูดและเล่ากันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ดินแดนเกาะกูดเป็นดินแดนแห่งธรรมที่รุ่งเรืองมาก่อน และมีการพูดกันว่าบนเกาะแห่งนี้มีรอยพระพุทธบาทอยู่แต่ไม่เคยมีใครค้นพบ หรือพบเห็น จนมาทราบข่าวว่า ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้เดินทางมาสำรวจจึงได้ขอติดตามคณะไปด้วย รู้สึกตกใจ และตะลึงอย่างมากที่พบรอยพระพุทธบาทตามคำเล่าลือมานานแสนนาน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพระท่านรู้ได้อย่างไรและเดินทางไปถูก ทั้งที่บริเวณใกล้เคียงรอยพระพุทธบาทได้มีบ้านพักคนงานลูกจ้างทำสวนยาง ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ริมชายหาดแห่งนี้มานานหลายปี เดินผ่านไป -ผ่านมา ทุกวันแต่ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน
         ส่วนทางด้าน ครูบายสันยาสี เปิดเผยว่า ได้ออกมาจากสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เพื่อขึ้นไปปฏิบัติทำบนยอดเขา พญาเดินธง  อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นภูเขาสูงชัน ขณะนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานอยู่ ได้มีนิมิตเห็นรอยพระพุทธบาท และได้มีดวงวิญญาณของ วิญญาณโอปาติกะ ผู้ดูแลรักษาสถานที่ และบอกว่าเป็นดวงวิญญาณของเจ้าหญิงสุมลมาลย์ ในสมัยอดีต เป็นผู้ดูแลรักษาสถานที่เกาะกูด เกาะกระดาษ และดูแลรักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ได้มาอาราธนานิมนต์ทางนิมิตกรรมฐาน  บอกว่ารอยพระพุทธบาทตั้งอยู่บนอ่าวกล้วย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกาะกูด สถานที่ตั้งรอยพระพุทธบาทเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ลักษณะก้อนหินยื่นลงไปในทะเล เป็นรอยพระพุทธบาท 2 รอย คู่กัน ประทับรอยกลับไปกลับมา (หรือขึ้นลง) เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ เท่ากับรอยเท้าคนแปดศอก มีส้นและปลายนิ้วอย่างชัดเจนตลอดจนก้นหอย นอกจากนี้ยังมีรอยเท้าเท่ากับคนธรรมดาอยู่บนโขดหินอีกเป็นจำนวนมาก
       และได้กล่าวอีกว่า รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ นับมีความสำคัญทางศาสนาพุทธอย่างมาก ซึ่งเชื่อกันว่าตามพุทธประวัติและพระไตรปิฎก ยังมีรอยพระพุทธบาทที่อยู่ในมหาสมุทรอีก 1 แห่ง ที่ยังไม่มีใครค้นพบ เกาะกูดถือว่ามีที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทร และยังเป็นดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ เช่นกัน แต่ต้องให้ผู้รู้เรื่องรอยพระพุทธบาท กรมศาสนาลงไปพิสูจน์ความจริงให้แน่ชัด ตามความเชื่อแต่โบราณ เกาะกูดในยุคเก่าเป็นเมือง สถานที่ปฏิบัติยุครุ่งเรืองของ มหานิกาย และอินดู เข้ามาเผยแพร่ศาสนาเพื่อเผยแพร่ในสยามอาณาจักร และเชื่อกันว่าพระพุทธองค์เคยเสด็จมาเทศนา โปรดสัตว์ ในเขตสุวรรณภูมิ ในยุคก่อนกึ่งพุทธกาล จึงได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในแดนสุวรรณภูมิ และยังเชื่อกันว่ารอยพระพุทธบาทในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทั้งบนที่สูง และริมทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่เกาะกูด น่าจะเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และในโลกที่ค้นพบครั้งนี้
       และยังมีนิมิตอีกว่า นอกจากในพื้นที่เกาะกูด จ.ตราดแล้ว  ที่จังหวัดจันทบุรียังมีอีก 9 แห่ง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ ส่วนที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก็มีอีก 1 แห่ง บนโขดหินชายทะเล เขาแหลมปู่เจ้า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งจะต้องติดตามเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงนี้ 2,600 ปี พุทธยันตี
ขอขอบคุณ เดลินิวส์ออนไลน์
http://narater2010.blogspot.com/

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไข่อาบังฟักเป็นตัวแล้วจ๊า


ไข่อาบัง ฟักเป็นตัวแล้ว รอขยายพันธุ์
          ท่านผู้อ่านคงจำได้ กับข่าว ยุค ผบ.ทอ.บัง ที่ชื่อสนธิบุญรตกลิน ท่านบอกว่าจะไม่มีปฏิวัติรัฐประหาร แล้วท่านก็กลืนน้ำลายตัวเอง  ณ ที่ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งคมช. ท่านก็มีนโยบายพิเศษ ๆ มอบให้กระทรวงพิเศษ ๆ ที่มีโควต้าพิเศษ ๆ  รับนักเรียนชายจากห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบกด้วยวิธีพิเศษ ๆ ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ยังมีการรับด้วยวิธีพิเศษแบบนี้อยู่  


นอกจากทหารแล้ว ก็ยังมีโควต้าพิเศษ ๆ อีกนั่นแหละ รับบุคคลพิเศษ ๆ จากห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นนักเรียนหญิง เข้าเรียนในวิทยาลัยพยาบาลด้วยวิธีพิเศษ ๆ อีก3000 คน เช่นกัน เข้าเรียนแบบพิเศษ ๆ เมื่อหลายปีก่อน


          วันนี้บุคคลพิเศษ ๆ เหล่านั้นถูกฟูมฟักจนกลายเป็นบุคคลพิเศษ  และกำลังออกมาเรียกร้องให้ใช้วิธีพิเศษ ๆ อีกแล้ว ถ้าท่านหลงลืมไปแล้ว ผมหยิบข่าวเก่ามาให้ท่านได้อ่านกันซ้ำอีกหน 

  


ข่าวจาก   http://www.thaisouthtoday.com/index.php?file=article&obj=forum(1787)

กระทรวงสาธารณสุข รับ นร.จังหวัดชายแดนใต้เข้าเรียนพยาบาล 3,000 คน


กระทรวงสาธารณสุข  เปิดรับสมัครนักเรียน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จบมัธยมปลาย-ป.ตรี อายุไม่เกิน  35 ปี เข้าเรียนพยาบาลวิชาชีพ 4 ปี 3,000 คน จบแล้วได้บรรจุเป็นข้าราชการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดรับสมัครฟรีในวันที่ 21-26 พฤษภาคมนี้ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลาและสตูล โดยบุตรผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และบุตรผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศจะได้รับการพิจารณาพิเศษ

พยาบาลวิชาชีพ 3,000 อัตรา 

นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์   รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ร่วมกันแถลงข่าวการเปิดรับนักศึกษาโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่ม  เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะเปิดรับสมัครที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา และสตูล ระหว่างวันที่ 21-26 พฤษภาคม 2550

นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 3,000  คน เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 1,300 ล้านบาท โดยพยาบาลวิชาชีพจะเรียน 4 ปีและจะจบการศึกษาในปี  2554  โครงการนี้ดำเนินงานแบบบูรณาการ มีที่ปรึกษาและคณะกรรมการอำนวยการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย กลาโหม ศึกษาธิการ ศอ.บต. สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กอ.รมน. ภาค 4 สำนักข่าวกรอง ผู้ว่าราชการจังหวัด และสภาการพยาบาล
ในการรับสมัคร จะรับจากผู้ที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา  นราธิวาส  สตูล และจังหวัดสงขลา เฉพาะใน 4 อำเภอ คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย

โดยผู้สมัคร  1 ราย มีสิทธิสมัครได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ ต้องมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือบิดามารดาอยู่ในพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 5 ปี เป็นชายหรือหญิงที่มีอายุไม่ต่ำกว่า  16  ปี และไม่เกิน 35 ปี มีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 145 เซนติเมตร มีสุขภาพดี มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม ไม่มีความพิการหรือผิดปกติทางด้านร่างกายและจิตใจที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาและการประกอบอาชีพ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี ไม่เคยต้องโทษในคดีอาญา หากเป็นชายต้องไม่เป็นผู้ถูกคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในเดือนเมษายน  2550 และไม่เป็นพระภิกษุสามเณร ตามคำสั่งมหาเถรสมาคมเรื่อง ห้ามภิกษุสามเณร เรียนวิชาชีพหรือสอบแข่งขันหรือสอบคัดเลือกอย่างคฤหัสถ์ พ.ศ. 2521

โดยจะรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่รับผู้สำเร็จในหลักสูตร ปวช. ปวท. และ ปวส. ส่วนผู้ที่จบปริญญาตรีต้องมีพื้นฐาน ม.6 สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์

ผู้ที่สนใจสามารถขอรับใบสมัครและยื่นหลักฐานสมัครได้ฟรีที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลชุมชนที่จังหวัดประกาศให้เป็นหน่วยรับสมัครทั้ง  5 จังหวัดดังกล่าว
โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้มีการสอบวัดความรู้  และทดสอบความพร้อมด้านจิตใจในวันที่  2 มิถุนายน 2550 และประกาศผลในวันที่ 11 มิถุนายน 2550 กรณีผู้สมัครจะขอใช้สิทธิโควตาพิเศษ

สำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกลุ่มผู้มีอุปการคุณ หรือทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ  ต้องกรอกข้อมูลในแบบแสดงรายการขอรับโควต้าพิเศษ พร้อมหลักฐานการรับรองสิทธิดังกล่าว เมื่อประกาศผลสอบวัดความรู้แล้ว ในวันที่ 12-15 มิถุนายน 2550 จะสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย  และจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าศึกษาที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในวันที่  19 มิถุนายน 2550

ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข และ ศอ.บต. จะร่วมกันพิจารณานักศึกษาที่สอบผ่าน ได้เข้าศึกษาในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ ขณะนี้พร้อมแล้วทั้งอาจารย์ผู้สอนและหอพัก และจะได้ฝึกปฏิบัติงานในพื้นที่ควบคู่กับภาคทฤษฎีภายใต้การดูแลของคณาจารย์ตามมาตรฐาน สำหรับผู้ที่สอบผ่านและมีสิทธิเข้าศึกษาตามโครงการนี้ จะต้องทำสัญญารับทุนการศึกษา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ และจะต้องปฏิบัติงานชดใช้ทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลา 2 เท่าของระยะเวลาการศึกษา

           หลังจากวันนั้นถึงวันนี้บุคคลพิเศษ ๆ เหล่านั้นจบการศึกษาด้วยวิธีพิเศษ
ออกมาแล้ว วันนี้ กำลังออกมาเรียกร้องวิธีพิเศษ ๆ อีกนั่นแหละ  ให้ดำเนินการให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษ ๆ ท่านอดีต ผบ.ทอบัง เคยรับปากเอาไว้  อิอิ ตามข่าวข้างล่างนี้



ม็อบพยาบาลกว่า3,000คนร้องรัฐขอบรรจุ

         เครือข่ายพยาบาลวิชาชีพ ลูกจ้างชั่วคราว และกลุ่มสหสาขาวิชาชีพกระทรวงสาธารณสุข กว่า 3,000 คน เดินทางมาจากทั่วประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับทางรัฐบาล เพื่อทบทวนการเร่งบรรจุข้าราชการให้กับลูกจ้างชั่วคราวในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ซึ่งหากวันนี้ที่ประชุม ครม. สัญจร จ.ชลบุรี ไม่มีการนำเรื่องเข้าพิจารณาในที่ประชุม จะมีการชุมนุมยืดเยื้อเพื่อเรียกร้องให้ถึงที่สุด


ผู้สื่อข่าว : เพชรรัตน์ วิทยสินธนา
ถ่ายภาพ : สุรสิทธิ์ รัศมีกิตติกุล


ข่าวจริงสปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาคต





        เสี้ยนที่ ผอบอทอบัง ณ ปาดังเบซา เสียบคาเล็บเท้าเอาไว้ชิ้นที่ 1 กำลังแผลงฤทธิ์กลัดหนองแล้ว ในไม่ใช้นี้ บุคคลพิเศษอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตะหานบกไทยไปอีกหลายรุ่น กำลังรอวันเวลาสยายปีกทดแทนคุณแผ่นดินไทยในเร็ววันนี้  ใึครยังไม่ตื่นก็นอนกินเงินเดือนหลวงกันต่อไป หรือจะรอให้กองบัญชาการทหารบกไทย นายทหารหญิงคลุมผ้าฮิญาบแต่งเครื่องแบบได้  ก็ว่ากันไปนะครับท่าน
http://narater2010.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มุสลิมโรงฮิงญาอีกแล้วครับท่าน


มุสลิมโรงฮิงญา สำแดงธาตุแท้ ไล่เข่นฆ่าคนต่างศาสนา
ภาพข่าวผู้ประสพภัยจากมุสลิมโรฮิงญา
http://www.wontharnu.com/index.php/news/109-victims-of-rohingya
-terroists-photo-news#comments 


photo-Hmuu Zaw


   ภาพโจรมุสลิมโรฮิงญาเบงกอลกำลังฉลองชัยหลังจากการโจมตีชนเผ่าอารากัน



หมู่บ้านของผู้นับถือพุทธศาสนาถูกทำลายโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา


Eleven Media Group






Eleven Media Group




Eleven Media Group



Eleven Media Group





Eleven Media Group



photo-Hmuu Zaw


บันทึกภาพขณะเยาวชนมุสลิมโรฮิงญาในระหว่างการก่อจลาจล
ที่กำลังจะเข้าทำร้ายผุ้สื่อข่าวต่างประเทศ




กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญาในระหว่างการก่อการจลาจล





Eleven Media Group



Eleven Media Group



photo-Hmuu Zaw



Eleven Media Group






สตรีชาวอารากันพื้นเมืองกำลังเตรียมที่จะปกป้องตนเองและชุมชน



ชาวอารากันถูกฆ่าตายนอกหมู่บ้านโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา



ชาวอารากันผู้สูงอายุถูกฆ่าตายนอกหมู่บ้านโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา



ครูใหญ่ถูกฆ่าตายโดยเยาวชนผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิง ที่เป็นลูกศิษย์ของเขาเอง


นักเรียนชาวอารากันถูกฆ่าตายที่โดยเพื่อนนักเรียนด้วยกัน 
ที่เป็นผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา



www.arakanlaywaddy.com


สตรีวัย 26 ปี ถูกข่มขืนและฆ่าที่ Rambree โดย 3 ผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา




Eleven Media Group


พุทธศาสนิกชนชาวอารากัน หนีภัยไปยังวัดซึ่งกลายเป้นศูนย์อพยพ 
หลังจากที่หมู่บ้านของพวกเขาถูกทำร้ายและยิงโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา




Eleven Media Group



Eleven Media Group


              มุสลิมโรฮิงญา เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังคลาเทศในรัฐยะไข่
ซึ่งตัวเองอ้างว่าเป็นส่วนของหนึ่งของประเทศพม่า มุสลิมก่อการร้ายเหล่านี้
เข้าโจมตีชาวพุทธพื้นเมืองเพื่อแสดงความต่อต้านต่อความพยายาม
ของทางการพม่าในการควบคุมพื่้นที่ ที่ชาวโรฮิงญาต้องการยึดเป็นเขต
ของตนเอง (แบ่งแยกดินแดน) ในพื้นที่ที่พวกมุสลิมโรงฮิงญาต้องการ

              ผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา กลายเป็นภัยคุกคามชนพื้นเมือง
ในอารากัน ที่ต้องประสพชะตากรรมสำหรบการคุกคาม จากการโจมตี
ของผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา ประชาชนชาวอารากันที่เคยเป็นสังคมสงบ
และสันติสุข เริ่มกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย การรุกคืบด้วยการครอบครอง
ที่ดิน และขยายจำนวนประชากรมุสลิมโรฮิงญาได้เริ่มขึ้นในที่ดินของ
ชาวอารากัน และชาวอารากันเริ่มถูกคุกคาม ซึ่งเกิดจากสลิมโรฮิงญา
ซึงในกรณีนี้ มิได้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางศาสนา  แต่มันคือ
การก่อการร้ายของมุสลิม ที่กำลังเป็ยภัยคุกคามประเทศพม่าอยู่ในเวลานี้

Editor
Won Thar Nu
http://narater2010.blogspot.com/

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฮิญาบ ไม่ใช่อิลาม


ฮิญาบ ไม่ใช่อิลาม ไม่ใช่การบังคับของพระเจ้า

      ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เป็นประเพณีการคลุมศีรษะ ไม่ใช่เป็น “หลักการของอิสลามและไม่มีหลักฐานอ้างอิงหรือสนับสนุนให้ต้องคลุมฮิญาบที่ได้ระบุในคัมภีร์ อัลกุรอานแม้แต่น้อย ดังนั้น คำว่าฮิญาบจึงไม่ใช่ข้อบังคับการแต่งตัวของผู้หญิงมุสลิม
          คำว่า ฮิญาบในอัลกุรอานมีปรากฏอยู่ ๗ ครั้ง มีจำนวน ๕ ครั้งที่ใช้คำว่า ฮิญาบมีอยู่ ๒ ครั้งที่ใช้คำว่า ฮิญาบันจากอายาต ต่อไปนี้;
          วัลยัดริบนะ บิคุมุริฮินนะ อะลายุยูบิฮินนะ ว่า คำฮิญาบที่พบในอายัตต์เหล่านั้นไม่มีคำใดในอัลกุรอานที่ใช้ในความหมายของ ฮิญาบที่หมายถึงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิมที่ใช้บังคับให้มุสลิมมะห์ใช้กันกันอยู่ในทุกวันนี้เลย แสดงว่าพระองอัลลอฮ์ ไม่ได้ให้บังคับใช้ ฮิญาบเป็นข้อบังคับในการแต่งตัวของ มุสลิมมะห์ังที่บรรดาท่านอิหม่ามทั้งหลายอ้างไว
          คำว่า "ฮิญาบ" เป็นคำที่มุสลิมะห์ทั้งหลายใช้เรียกผ้าคลุมศีรษะของเขา ทั้งนี้อาจจะรวมทั้งผ้าที่คลุมทั้งใบหน้าเว้นไว้แต่นัยน์ตาทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว คำว่า ฮิญาบในภาษาอรับอาจจะแปลในความหมายของ ผ้าคลุมใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกถึงปลายคาง ส่วนความหมายอื่นๆอาจจะหมายถึง ม่าน, การคลุม, เสื้อคลุมไม่มีแขน, ฝากั้นชั่วคราว, การแบ่งส่วน, ผ้าม่านที่ตกแต่งประตูหน้าต่าง และเครื่องปกคลุมอื่นๆ

          ฮิญาบหรือผ้าคลุมหน้านี้มีมานานก่อนศาสนาอิสลาม มีมาตั้งแต่เริ่มยุคของความศิวิไลซ์ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรก และระยะหลังๆ ของศิลปะกรีก และโรมัน ได้มีหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในเครื่องปั้นดินเผา, รูปภาพและศิลปต่างๆ รวมทั้ง การจดบันทึกของกฎหมายในสมัยนั้น แสดงให้เห็นว่าประเพณีของกรีกและโรมัน ใช้ผ้าคลุมศีรษะ ฮิญาบเป็นเครื่องแต่งตัวในการประกอบกิจในทางศาสนา ดังนั้นประเพณีการแต่งตัวของผู้ชายที่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ และผู้หญิงใช้ ฮิญาบนั้น ก็ถูกนำเข้ามาใช้ในชาวยิวซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ใน หนังสือที่ใช้อธิบายประกอบคัมภีร์ของชาวยิว (เทียบเท่ากับหนังสือฮาดีษของยิว) และคริสต์เตียนก็นำ ฮิญาบเข้ามาเป็นประเพณีทางศาสนาเช่นกัน
          มีผู้นำศาสนา ยิวกล่าวว่า เราไม่เคยเห็นคำสอนในตอราฮ์ ที่พระเจ้าบังคับให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ แต่เราทราบว่ามันเป็นประเพณีต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับพันๆปีนี่แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้หญิงใช้ ฮิญาบแต่การแต่งตัวของหญิงที่ใส่ ฮิญาบนั้น เป็นประเพณีซึ่งไม่ได้อยู่ในหลักการของศาสนาอิสลาม
          ในขนบธรรมเนียมของชาวยิว จะเห็นว่าการคลุมศีรษะของผู้หญิงยิวรวมทั้งผู้ชายด้วยนั้น เนื่องจากถูกบังคับจากผู้นำทางศาสนายิว จะสังเกตเห็นว่า ในปัจจุบันสุภาพสตรียิว ก็ยังใช้ ฮิญาบเป็นส่วนใหญ่แทบทุกโอกาส ในโบสถ์ในการพิธีการแต่งงาน และในพิธีการทางศาสนา
          ในอเมริกา ตั้งแต่สมัย ๖๐ ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงยังนิยมใช้ ฮิญาบในเวลาไปโบสถ์ และพวกศาสนาหรือชาวอามิช อเมริกันก็ใช้ ฮิญาบอยู่ในทุกๆวันนี้ซึ่งจะใช้อยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบันผู้หญิงคริสเตียนในอเมริกา ใช้ ฮิญาบในเวลาไปโบสถ์แต่สำหรับ แคโธริคคริสเตียน ชีจะใช้ ฮิญาบอยู่ตลอดเวลา ที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าในตะวันออกกลางชาวชาติเชื้อ อาหรับจะเป็นยิว, คริสเตียน หรือมุสลิมก็ตาม จะใส่ฮิญาบเหมือนกันหมด เพราะว่ามันเป็นประเพณีของชนเชื้อชาวอาหรับมาเป็นเวลานับพันๆ ปี ดังนั้นสำหรับ มุสลิมที่ใส่ฮิญาบไม่ใช่เพราะ อิสลามแต่เพราะว่าเป็นประเพณีของชาวอาหรับทั้งหญิงและชาย ในตอนเหนือของอาฟริกาบางเผ่าที่เป็นมุสลิม ผู้ชายใส่ฮิญาบแทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เราจะเห็นว่าประเพณีการใส่ฮิญาบกลับเพศกัน ทั้งนี้เพราะ ฮิญาบไม่ใช่ อิสลามเราจะเห็นว่าแม่ชีในคริสต์ศาสนาบางนิกายคลุม ฮิญาบเช่นเดียวกับหญิงชาวอรับทั้งมุสลิม และไม่ใช่มุสลิมในตะวันออกกลางเช่นกัน
          ทั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า ฮิญาบเป็นเครื่องแต่งกายตามประเพณีของคนเชื้อชาติอาหรับไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิสลาม หรือศาสนาเลย และในบางภูมิภาคของโลกเรา ในบางประเทศ ผู้ชายเป็นผู้ที่ใส่ ฮิญาบในขณะเดียวกันประเทศในภาคตะวันออกกลางผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ ฮิญาบแล้วทำไมสุภาพสตรีมุสลิมไทยจะต้องใสฮิญาบ” ในเมื่อมุสลิมไทยไม่ใช่ อาหรับ และ ฮิญาบไม่เกี่ยวกับอิสลามเลย
          ขอยกตัวอย่างประเทศ จอร์แดน” ประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และผู้นำประเทศก็เป็นมุสลิมเช่นกัน สุภาพสตรีมุสลิมจะสวม ฮิญาบหรือไม่สวมก็ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับในเรื่องฮิญาบ สตรีทุกๆคนมีสิทธิเท่าเทียมกับชายทั้งในทางศาสนา และทางสังคม
          หลังจากท่านศาสดามูฮัมมัดสิ้นชีพ ผู้จดบันทึก หนังสือฮาดีษได้รวมเอาฮิญาบซึ่งเป็นประเพณี่ดึกดำบรรพ์ มารวมไว้และอ้างว่าเป็นคำสั่งของท่านรอซูลล์ ทั้งๆ ที่เอาตัวอย่างมาจาก ยิว และคริสเตียน ทั้งนี้เพราะเรื่องการสวมใส่ ฮิญาบไม่ได้มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน

สำหรับมุสลิม
          คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าสุภาพสตรีมุสลิม แต่งกายอย่างไร สำหรับ มุสลิมมะห์ผู้มีศรัทธาในอัลลอฮ์ และอิสลามการกำหนดสร้างและแปลกปลอมสิ่งใดเช่น นำเอา ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เข้ามาใช้เป็นหลักศรัทธา “ในอิสลาม” (การยอมจำนนและสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์) ซึ่งไม่มีบัญญัติอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ถือว่าเป็นการสร้างภาคีอย่างหนึ่ง ซึ่งขัดต่อหลักการของอิสลาม
          การเอาประเพณีปลอมปนเข้าไปอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นการสร้างภาคีกับอัลลอฮ์ เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการอื่น แล้วอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของบัญญัติของอัลลอฮ์ ก็มีความผิดเท่าๆ กับผู้ที่สร้างภาคีเช่นกัน ถ้าเขาปฏิบัติเช่นนั้นไปตลอดชีวิตเขา การเพิกเฉยต่อบัญญัติของพระองค์อัลลอฮ์ในอัลกุรอาน แต่กลับไปตาม กฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีในอัลกุรอานเป็นการขาดความเคารพยำเกรงต่อพระองอัลลอฮ์ และท่านศาสดามูฮัมมัดที่เห็นได้อย่างชัดเจน
          ฉัน (มูฮัมมัด) ยังจะต้องแสวงหาผู้อื่นอีกหรือนอกจากอัลลอฮ์ เพื่อเป็นผู้ตัดสิน, เมื่อพระองค์ได้ประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้แก่พวกท่าน, ที่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดสมบูรณ์? ผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ได้ให้คัมภีร์ แก่พวกเขามาก่อน รู้ดีว่าคัมภีร์นั้นถูกส่งมาจากพระเจ้า ของพวกเจ้าด้วยความแท้จริง, ดังนั้น(โอ มูฮัมมัด) เจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ของผู้ที่มีความเคลือบแคลงใจเลย และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างขึ้นดอกหรือ ? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้ว และยังมีฮาดีษ อื่นใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันนอกจากอัล-กุรอาน(7:185)
          พระองค์อัลลอฮ์ ทรงเตือนให้ผู้ที่มีศรัทธาต่อพระองค์ที่แท้จริงให้แน่ใจว่า เขาจะไม่หลงตกไปในหลุมพรางของ พวกสร้างภาคีให้ต่อพระเจ้าโดยยึดถือและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ นักปราชญ์ของอิสลาม และท่านอีหม่ามต่างๆ แทนที่จะเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ จงดูจากบัญญัติ (9:31)
พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า, อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย ทั้งๆ ที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ, แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น” (9:31)
          เจ้าต้องไม่ยอมรับข่าวสารอันใด เว้นเสียแต่ว่าเจ้าได้ตรวจสอบด้วยตัวของเจ้าเอง, เพราะเราได้ให้แก่เจ้า การได้ยิน, การมองเห็น, และความคิด และเจ้าเองเท่านั้น ที่มีความรับผิดชอบในการใช้สิ่งเหล่านั้น” (17:36)
ปัญหาฮิญาบ เป็นปัญหาทางการเมืองแอบแผง
          ปัญหาฮิญาบถ้ามองดูอย่างผิวเผินแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุผลทางศาสนา แต่ถ้ามองดูในสังคมของประเทศใกล้เคียง (อินโดนีเซีย, ฟิลลิปปิน ฯลฯ) มุสลิมไทยเราถูกอิทธิพลของประเทศในกลุ่มอาหรับ เอาหลักการที่ไม่ใช่หลักการของศาสนามาสอดแทรก เพื่อที่จะให้มุสลิมไทย แตกต่างไปจากประชาชนในสังคมส่วนใหญ่ ทำให้ผู้นำทางศาสนา สามารถที่จะชักชวน หรือนำกลุ่มมุสลิมทำการต่อต้านรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าไม่เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ
          ไม่อยากให้มุสลิมไทย ตกเป็นเครื่องมือของผู้หวังผลทางการเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของมุสลิมเป็นภาพของบุคคลที่ใช้ความรุนแรง เป็นสังคมที่มีผู้ก่อการร้ายแอบแฝงอยู่

http://narater2010.blogspot.com/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม