วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผ่าแผน BRN สุม "ไฟใต้" อำนาจซ้อน...สู่รัฐปัตตานี

ผ่าแผน BRN สุม "ไฟใต้" อำนาจซ้อน...สู่รัฐปัตตานี

ผ่าแผน BRN สุม "ไฟใต้" อำนาจซ้อน...สู่รัฐปัตตานี


         แผนการ "บีอาร์เอ็น" ตัวการป่วนใต้ พบเชื่อมโยงลึกซึ้งกับกลุ่มก่อการร้าย "เจไอ" ลอกยุทธวิธีจากอินโดฯ นำมาฝังหัวเยาวชน สร้างกองกำลังติดอาวุธ-มวลชนจัดตั้งในทุกระดับขึ้น "สวมทับ" อำนาจรัฐ หลังจากค้นหาความจริงมาหลายปี หน่วยงานความมั่นคงก็ได้ความกระจ่างชัดว่าผู้ "ชักใย" ให้เกิดความปั่นป่วนในสามจังหวัดชายแดนใต้ คือขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN-Coordinate)

        แหล่งข่าวระดับสูงจาก "กองกำลังศรีสุนทร" กองทัพภาคที่ 4 เล่าถึงรากเหง้าของขบวนการนี้ว่า เดิม ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN (Barisan Revolusi Nasional) อยู่ภายใต้การนำของ นายอับดุลการิม ฮัสซัน ถือเป็นกลุ่มขบวนการสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุด 



ภายในองค์กรนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

  • 1.BRN-Congress ถือเป็น "กลุ่มติดอาวุธ" ของบีอาร์เอ็นเดิม แต่ค่อยๆ ลดบทบาทลงและทยอยออกมามอบตัว โดยชุดสุดท้ายที่ออกมามอบตัว คือ กลุ่ม นายสะอารี ดาฮง เมื่อต้นปี 2546
  • 2.BRN-Ulama เป็น "กลุ่มผู้นำศาสนา"
  • 3.BRN-Coordinate เป็นกลุ่มที่ไม่รับคำวินิจฉัยของนายอับดุลการิม
        พวกเขาปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงแนวทางการต่อสู้ของนายอับดุลการิม ที่ระบุว่า ถ้ามุสลิมยังไม่ก้าวผ่านมิติของเชื้อชาติและดินแดน และหากมุสลิมยังยึดติดกับรัฐปัตตานี

       ...มุสลิมจะ "ฆ่ากันเอง" เหมือนชาวอาเจะห์กับรัฐบาลอินโดนีเซีย เพราะต่างคนต่างยึดติด 

        BRN-Coordinate จึง "เก็บงำ" แนวคิดของนายอับดุลการิมไว้เพื่อประโยชน์ในการสถาปนารัฐปัตตานี ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายอับดุลการิมก็ถูกข่มขู่คุกคามจนต้อง "สยบยอม" ในที่สุด
        จากข้อมูลพบว่า BRN-Coordinate ถูกโดดเดี่ยวในช่วงแรก เนื่องจากกลุ่มพูโล ซึ่งเป็นพันธมิตรสลายไปก่อน เพราะ ต่วนกูบีรอ กอตอดีรอป่วย และภาวะผู้นำหดหาย

        BRN-Coordinate จึงไปขอความช่วยเหลือจาก "ฮัมบาลี" แกนนำ "กลุ่มเจไอ" ซึ่งสนับสนุนอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนของชาวอาเจะห์

       BRN-Coordinate จึงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับนายฮัมบาลี (ซึ่งถูกทางการไทยจับกุมแล้วส่งตัวให้สหรัฐ) และได้ซึมซับเอา "ยุทธวิธีก่อการร้าย" ของเจไอมาใช้ในสามจังหวัดชายแดนใต้

        BRN-Coordinate เริ่มฝึกปรือฝีมือด้วยการจับมือกับกลุ่มเจไอเคลื่อนไหวอยู่ในอินโดนีเซีย

        จากนั้นจึงเริ่มชักจูงเด็กจากสามจังหวัดชายแดนใต้มาปลูกฝังเรื่องรัฐปัตตานี และเข้าพิธี "ซุมเปาะ" (สาบานตน) ถ้าใครหน่วยก้านดีก็จะถูกส่งไปฝึกหลักสูตร "รบพิเศษ" (อาร์เคเค) ที่อาเจะห์

        เมื่อสำเร็จหลักสูตรแล้ว กลุ่มนักรบเหล่านี้จะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อสมัครเข้าเป็น "ครูสอนศาสนา" ในตาดีกา หรือปอเนาะ จากนั้นก็จะถ่ายทอดแนวคิดแบ่งแยกดินแดน โดยจะคัดเลือกเด็กที่ตรงตามสเปค

         สเปคที่ว่า คือ ต้องเรียนเก่ง ไม่ยุ่งกับยาเสพติด เพราะถือว่าเป็นคนที่ "มีอุดมการณ์" จากนั้นจะดึงมาเข้าพิธีซุมเปาะ ก่อนจะส่งเข้าสนามฝึก 

         แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง "ผู้พันรบพิเศษ" เขาเคยพากำลังไปฝึกร่วมที่อินโดนีเซีย จึงมั่นใจว่า ยุทธวิธีการรบของกลุ่มโจรในภาคใต้ลอกเลียนแบบมาจากอาเจะห์แน่นอน

        ส่วนโครงสร้างของบีอาร์เอ็นจะคล้ายคลึงกับ "โครงสร้างสงครามประชาชน" ของ เหมา เจ๋อ ตุง แต่ของประธานเหมา จะสร้างกำลังกองโจรไว้อย่างเปิดเผย มีฐานที่มั่นในป่าเขา

        แต่สำหรับบีอาร์เอ็นกลับจัดตั้งกองกำลังอย่างเร้นลับ โดย "ฐานที่มั่น" คือ อยู่กับชาวบ้าน มีวิธีการแสวงหา และจัดตั้งกองกำลัง ดังนี้

  • 1.แหล่งจัดหา/ผลิต (กลุ่มเป้าหมาย คือ เยาวชนชาย (เปอร์มูดอ) ใน ร.ร.ปอเนาะดั้งเดิม ร.ร.เอกชนสอนศาสนา และหมู่บ้าน/ชุมชน
  • 2.ผู้จัดหา/ผู้ผลิต "อุสตาส" (จัดตั้งจากขบวนการ) ครูฝึก (จัดหาจากภายนอก/อุสตาสภายใน)
  • 3.พิธีสาบานตน (ซุมเปาะ) ต่อคัมภีร์อัลกุรอาน โดยจะเปล่งวาจาสาบาน 3 ข้อ คือ
  •           -จะยอมเสียสละทรัพย์สินชีวิตเพื่อกอบกู้รัฐปัตตานี และปกป้องศาสนาอิสลาม
  •          -จะไม่ยอมแพร่งพรายความลับขององค์กรให้ผู้ใดทราบโดยเด็ดขาด
  •          -จะมาทุกครั้งที่มีการนัดหมาย และเชื่อฟังผู้นำอย่างเคร่งครัด

     4.ขั้นตอนการฝึก มี 2 ขั้น

            ฝึกขั้นต้น ฝึกรวม เน้นการฝึกฝนร่างกายและศรัทธา
            ฝึกขั้นที่สอง แยกเป็น 2 ข้อ คือ
               -ผู้ผ่านการคัดเลือก (กลุ่มนักรบอาร์เคเค, คอมมานโด)
               -ผู้ไม่ผ่านการคัดเลือก (ปรับเป็นกลุ่ม "ตุรงแง")

     5.ขั้นการจัดตั้งหน่วยกำลังรบ

        -กลุ่มนักรบหลัก (อาร์เคเค คอมมานโด)
        -กลุ่มทหารบ้าน (ตุรงแง)
       ขั้นตอนการดำเนินการ ณ วันนี้ คือ "สงครามกองโจรในองค์กรมวลชน"
โดยมียุทธศาสตร์ขับเคลื่อน ดังนี้

       1.ขั้นตอนบ่มเพาะสร้างสำนึกทางการเมือง ปลุกกระแสปัตตานีเป็นรัฐอิสระ สร้างอัตลักษณ์มลายู มุสลิม เชื้อชาติผูกติดกับศาสนา แผ่นดินผูกติดกับศาสนา
ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อเชื้อชาติ...การต่อสู้เพื่อแผ่นดิน คือ การต่อสู้เพื่อศาสนา
เป็นแนวทางมิติแห่งศรัทธา ซึ่งถูกบิดเบือนให้เข้าใจว่านี่คือ แนวทาง "สงครามจิฮัด" ตามหลักศาสดา...ตายไปจะเป็น "นักรบซาฮีด" ซึ่งเป็น"เส้นทางลัด" ไปสู่สวรรค์ โดยไม่ต้องผ่านโลกพิพากษา 

       2.สร้างโครงสร้างทางการเมืองเพื่อนำเข้าสู่ปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับเคลื่อนมวลชนมาต่อสู้กับรัฐ เป็นแนวทางการเข้าต่อสู้เพื่อให้เกิด"จลาจล" เมื่อรัฐส่งกำลังดูแลไทยพุทธมากขึ้นก็จะหันมาทำร้ายมุสลิม และปลุกกระแสว่าซิเเย (เจ้าหน้าที่รัฐ) สนับสนุนไทยพุทธเพื่อมาทำร้ายมุสลิม จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อทำ "จิฮัดสีเทา" ให้เป็นจิฮัดที่สมบูรณ์

       แหล่งข่าว ยกตัวอย่างของ "หลุมพราง" นี้ว่า "ที่ถ้ำทะล เขาสร้างสถานการณ์หนัก ยิงจนมุสลิมหนีออกนอกพื้นที่ 50 ครอบครัว โดยป้ายสีว่าเป็นฝีมือชาวไทยพุทธ ซึ่งเข้าทางปลุกกระแสจิฮัดสมบูรณ์เลย มุสลิมถูกขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่ เข้ากฎของจิฮัดเลย"

        เป็นการสร้างเงื่อนไขให้องค์กรมุสลิมระหว่างประเทศ (โอไอซี) กดดันให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าแทรกแซงเพื่อให้มองเห็นความจำเป็นของการมี “รัฐใหม่” ซึ่งเป็นรัฐที่มีความเฉพาะทางด้านเชื้อชาติ-ศาสนา

       ฝ่ายตรงข้ามยังให้ความสำคัญกับ "พลังมวลชน" (People Uprising) ซึ่งถือเป็น "พลังหลัก" แห่งความสำเร็จในการปฏิวัติเพื่อแยกรัฐปัตตานีออกจากอำนาจรัฐไทย โดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร

       เน้นกลยุทธ์ที่ว่า "หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้...ให้ใช้วิธีทำให้กลัว" เป็นการปูทางเพื่อเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนของขบวนการ BRN-Coordinate ซึ่ง "ทับซ้อน" การจัดตั้งการปกครองของรัฐไทย
  • ระดับหมู่บ้านหมู่บ้าน/ชุมชน เรียก "อาเยาะห์"
  • ระดับเขตหรือตำบล เรียก "กูมิต" หรือ "ลีการัน"
  • ระดับอำเภอ เรียก "สกอม" หรือ "แดอาเราะห์"
  • ระดับจังหวัด เรียก "สะกอมเวล" หรือ "วีลายะห์"
  • ระดับภาค หรือเขตมณฑล เรียก "กัส"

      โครงสร้างทั้งหมดจะ "สวมทับ" โครงสร้างองค์กรของภาครัฐ โดยเน้นความเข้มแข็งการจัดตั้งในระดับพื้นฐาน คือ "อาเยาะห์" เป็นหลัก
นอกจากจะวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนแล้วยังมีการจัดวาง "กองกำลังติดอาวุธ" เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การปฏิวัติอีกด้วย

        กลุ่มโจรจะจัดกำลังกองโจร หรือกำลังติดอาวุธในระดับ "หมู่บ้านจัดตั้ง" หรือ "อาเยาะห์" ส่วน "ตำบลจัดตั้ง" หรือ "ลีกาลัน" จะอยู่ใต้การปกป้องดูแล และสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนจัดตั้งถือเป็น "ทหารประชาชน" หรือ "The people Army"

       การสร้างและพัฒนาอำนาจรัฐซ้อนในหมู่บ้านจัดตั้ง หรือ "อาเยาะห์" คือ การกดดัน คุกคาม ข่มขู่ และ ลอบสังหารกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐไทยให้ยอมจำนนต่ออำนาจทับซ้อน

       ส่วนบทบาทภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของ "กลุ่มนักรบประจำถิ่น" (RKK : Runda Kampulan Kejel) ถือเป็น "หน่วยทหารระดับอาเยาะห์" ซึ่งผ่านการฝึกหลักสูตรอาร์เคเค ในอาเยาะห์ บ้านพักหัวหน้ากลุ่ม หรือสมาชิกคนใดคนหนึ่ง คือ ศูนย์ควบคุมสั่งการ และรวมพล

      กลุ่มอาร์เคเคจะปฏิบัติภารกิจจากง่ายไปหายาก เพื่อสั่งสมประสบการณ์ พร้อมๆ กับการพัฒนาทั้งทักษะและจิตใจไปเป็นกลุ่ม "นักรบหลัก"หรือคอมมานโด
ส่วนบทบาทภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของกลุ่มนักรบหลัก คือ
  • ปฏิบัติการทางทหารในระดับลีการัน
  • ปฏิบัติการต่อ "เป้าหมายแข็งแรง" ในเขตรับผิดชอบ
  • ปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มนักรบประจำถิ่น (อาร์เคเคในระดับอาเยาะห์)
  • ปอเนาะในอาเยาะห์ คือ พื้นที่พักพิงรวมพลของกลุ่มนักรบหลัก
  • ปฏิบัติหน้าที่เป็น "ครูฝึก" ในขั้นการฝึกให้แก่กำลังที่จัดตั้งมาใหม่
  • ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมบังคับบัญชา และสั่งการปฏิบัติของหน่วยกำลังในระดับอาเยาะห์ (อาร์เคเค)

       แต่ปัจจุบันสามารถพัฒนากำลังอาร์เคเค เป็นกลุ่มนักรบหลักได้ไม่มากนัก มีกำลังนักรบหลักไม่ครบทุกลีการัน

       ขณะที่บทบาทภาระหน้าที่ของกลุ่มสนับสนุนหรือทหารบ้าน (ตุรงแง) ในพื้นที่ คือ
  • 1.สืบข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐ และสมาชิกในอาเยาะห์ทุกคนที่มีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนาภายในอาเยาะห์
  • 2.ช่วยเหลือสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารแก่กลุ่มนักรบด้วยการจัดหาอาวุธจากแหล่งซุกซ่อน และจัดเก็บอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ และอาวุธที่ยึดได้จากเจ้าหน้าที่ รวมถึงขัดขวางปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกวิถีทาง
  • 3.เป็นหน่วย "โฆษณาชวนเชื่อ" โดยเฉพาะใน "ร้านน้ำชา" หรือออกใบปลิวเถื่อนเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐให้ประชาชนรู้สึกเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ
  • 4.เป็นหน่วย "ควบคุมมวลชน" ในอาเยาะห์ เช่น ขับเคลื่อนมวลชนเพื่อต่อต้าน และตอบโต้อำนาจรัฐ

       แหล่งข่าวคนเดิม เชื่อว่า หากปล่อยให้พัฒนาการของเขาเดินไปข้างหน้าต่อไป แนวโน้มที่สถานการณ์จะเป็นไปตามขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็มีสูงยิ่ง
แต่ขณะนี้เรายังมีโอกาส "ตัดวงจร" ตรงนั้นเพื่อสกัดกั้นไว้ได้...ขึ้นอยู่กับว่าจะกล้าพอหรือไม่

ไพศาล รัตนะ/สุพิชฌาย์ จันต๊ะปา
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม