วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ระเิบิดถังปิคนิค ทหารพรานบาดเจ็บ 1 นาย




 


              เมื่อเวลา 07.40 น. วันที่ 26 พ.ย. เกิดเหตุระเบิดขึ้นริมถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ช่วงบริเวณรอยต่อบ้านโต๊ะมีแต ม.5 กับบ้านลูโบะบีแย ม.6 ต.ตันหยงมัส ทำให้เสาไฟฟ้าหัก และมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ที่เกิดเหตุ พบเสาไฟฟ้าริมถนนถูกอานุภาพระเบิดหักไป 1 ต้น และมีกองเลือดจำนวนหนึ่งตกอยู่บนถนน รวมทั้งเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิคนิค หนัก 20 กก. จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน และพงหญ้ารกทึบริมทาง ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ คือ ส.อ.พิทักษ์ ศักดิ์สองเมือง หน.ชุดร้อย ทพ.4501 กรมทหารพรานที่ 45 ซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณแขนซ้าย และสะโพกซ้าย อาการสาหัส เพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลระแงะ

          ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ส.อ.พิทักษ์ หน.ชุดได้ระดมกำลังรวม 12 นาย เดินเท้าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยบนถนนพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อให้คณะครูผ่าน เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน แฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทางได้ใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิดที่ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิคนิค หนัก 20 กก. ที่ลอบนำไปวางไว้ใต้โคนเสาไฟฟ้าริมทางจนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้ ส.อ.พิทักษ์ หน.ชุดได้รับบาดเจ็บดังกล่าว


วางระเบิดยะลา อาสามัครบาดเจ็บ 6 นาย อาการสาหัส 1 นาย




         ช่วงเช้า วันที่ 27 พ.ย.เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่หน้าบ้านเลขที่ 18 ถนนอุตสาหกรรม อ.เมือง จ.ยะลา มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอเมือง (อส.เมืองยะลา) ได้รับบาดเจ็บ ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดกู้ภัยแม่กอเหนี่ยวยะลา ได้ช่วยกันลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลยะลา ทราบชื่อคือ นายศักดิ์ชาย บุญศาสตร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอเมืองยะลา ถูกแรงระเบิดที่บริเวณขา บั้นท้าย และหลัง อาการสาหัส นอกจากนี้ ยังมี อส. ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 6 นาย คือ 
  • 1.อส.สมศักดิ์ แก้วไชยศรี 
  • 2.อส.จำนงค์ แกล้วทนงค์ 
  • 3.อส.กิติศักดิ์ สุกใส 
  • 4.อส.สุชาติ กิจรุนาเจริญ 
  • 5.อส.ดอเล๊าะ บูกะตะ 
และชาวบ้านอีก 1 ราย คือ นางไซยีเด๊าะ มีเด็ง 































วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จับสัญญาณจนท.รัฐ “รุกทั้งกระดาน”




จับสัญญาณจนท.รัฐ “รุกทั้งกระดาน”
ใช้ยุทธวิธี-จิตวิทยานำ ผลักขบวนการเข้า “ตาจน”


2013-11-03  ทับ ภารณ : รายงาน



           จากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้จะยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่อง แต่กลับมีสัญญาณบวกสวนทางขึ้นมาอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงหลังที่มีจุดสังเกตสำคัญ คือ “การปฏิบัติการที่ตรงเป้าหมาย” และ “เข้าถึงมวลชน” มากขึ้น

           ที่สำคัญกับยุทธศาสตร์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติและบรรลุผล จนกลายเป็น “ขวัญและกำลังใจ” จากสังคม ที่ส่งผลใน “เชิงยุทธศาตร์” กับความได้เปรียบอย่างต่อเนื่อง และเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่งจากปฏิบัติการจิตวิทยาที่กำลังผลิดอกออกผล

           กรณีการจับกุม นาย “อาหามะ กาเจ” แกนนำคนสำคัญกลุ่มอาร์เคเค ที่มีส่วนกับเหตุการณ์การจับ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ เป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ในปี 2549 กลายเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ ที่เรียกขวัญและกำลังให้ให้กับผู้ปฏิบัติงาน

            แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นมากว่า 7 ปีแล้ว แต่ความทรงจำและความรู้สึกร่วมของคนส่วนใหญ่ในสังคม ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญที่เกิดเสียงตอบรับจากกรณีนี้ดีเกินคาด และมีผลต่อ “จิตวิทยามวลชน” กลายเป็นคลื่นใต้น้ำผลักดันให้เกิดปฏบัติการเชิงรุกที่จะติดตามและจู่โจมกลุ่มแกนนำและแนวร่วมของกลุ่มขบวนการ ที่มีทั้งความแม่นยำ และได้ผลในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมีเป้าหมาย

           เป็นที่น่าสังเกตว่า ในแต่ละครั้งของปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ในช่วงหลังที่ผ่านมาจะมีความแม่นยำในเชิงข้อมูล โดยเฉพาะการปฏิบัติการตรวจค้นและล้อมจับจะเป็นไปอย่างรอบคอบและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

           สังเกตได้จากเหตุการณ์การล้องจับ “นายมามะ สะอิ” แกนนำอาร์เคเค และแนวร่วมเครือข่ายจำนวน 3 ศพ หรือแม้แต่กรณีของการจับตาย นาย “อุสมาน เด็งสาแม” และ “นายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ” หรือ เปเล่ดำ แกนนำระดับปฏิบัติการ ที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญพร้อมลูกน้อง 4 ศพ ซึ่งก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมีเอกภาพ และความชัดเจนในเชิงยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ

            สู่ยุทธวิธีไล่ล่าอย่างมีเป้าหมาย ไม่ปล่อยให้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับแต่เพียงฝ่ายเดียว!!

            หลากหลายปฏิบัติการอันเกิดผลบรรลุผลได้อย่างน่าพอใจ ยังแสดงให้เห็นอีกว่า “ข้อมูล” ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐมีอยู่นั่น เริ่มเป็นข้อมูลที่ได้รับการกลั่นกรองและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า ข้อมูล ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง มาจากแนวทางด้านมวลชน หลังความระส่ำระส่ายของขบวนการ ที่สะท้อนภาพของฐานมวลชนที่สั่นคลอนและสิ้นหวัง

            ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนหนึ่งเริ่มหันกลับมามองสันติภาพ ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าบนโต๊ะเจรจา และเป็นส่วนหนึ่งจากความสำเร็จโดยปฏิบัติการจิตวิทยา!!

             ซึ่งผลที่ตามมาคือข้อมูลเกี่ยวกับ แกนนำและแนวร่วมของขบวนการ รวมถึงการแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ มีผลให้เกิดยุทธวิธีจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว

และบนปฏิบัติการที่ได้ผลในทางยุทธวิธีนี่เอง ก็สร้างเส้นทางให้เกิดการโจมตีโต้กลับแล้วล้างแค้น ซึ่งในการตอบโต้แต่ละครั้งของขบวนการที่เกิดขึ้น แทนที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชิงพื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ แต่การปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวกลับมีผลสะเทือนไปถึงสังคมส่วนใหญ่

กลายเป็นผลของข่าวในเชิงลบต่อขบวนการเคลื่อนไหวเสียเอง!!
            ปฏิบัติการการตอบโต้ที่ถือเป็นจุดผิดพลาดครั้งสำคัญหลังขบวนการเคลื่อนไหวต้องสูญเสียแกนนำและแนวร่วม ทั้งที่ถูกจับเป็นและจับตายไปหลายคน คือกรณีของการลอบวางระเบิดสังหารชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD)หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) ตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เสียชีวิต 3 นาย คือ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐหัวหน้าชุด ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง รองหัวหน้าชุดฯ และจ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ ผบ.หมู่ นปพ. เหตุเกิดในพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

           สิ่งที่ชี้วัดว่าเป็นความผิดพลาดเนื่องจากหลังเกิดเหตุ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2556 เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมทั่วไปรวมถึงสังคมออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน ทำให้ผู้เสียชีวิตกลายเป็น “วีรบุรุษ” และ ก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการติดตามและจับกุมผู้ก่อเหตุ ซึ่งได้ผลในทันที

            ถัดจากเหตุการณ์เพียง 2 วัน ( 29 ตุลาคม 2556)  เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ต้องสงสัย 4 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สุด ทั้งหมดเป็นบุคคลในพื้นที่ และนำตัวมาซักถามข้อมูล โดยทันที แม้การควบคุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมดอาจะไม่ใช่ผู้ก่อเหตุที่แท้จริง แต่ก็เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการนำไปสู่การไล่ล่าผู้ก่อเหตุ


          จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่จะมีบัญชีดำของ นาย “มะรอมมือรี กาแจกาซอ” ที่มีตำแหน่งเป็น ผบ.ร้อยกองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค รับผิดชอบการเคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.บาเจาะ ชื่อของนาย “อับดุลเลาะ อูแล” ซึ่งเชี่ยวชาญการประกอบระเบิด และชื่อของ “นายอาแว แฆแหละ” หนึ่งในแกนนำสำคัญเจ้าของพื้นที่ ที่อยู่ในระหว่างการไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด โดยเจ้าหน้าที่รัฐ  และเชื่อกันว่าน่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจับเป็นหรือจับตาย ..!!

           จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงภาพ “ความผิดพลาด” ของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว ที่หันมาเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ป้องกันตนเองไม่ได้ (ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด) ซึ่งแม้จะประสบผลในทางยุทธวิธี แต่เป็นการเดินหันหลังให้กับ “ปฏิบัติการจิตวิทยา” ที่ชัดเจน เพราะทันทีที่เกิดเป็นกระแสสังคมกลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดการทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชนอันเป็นผลจากปฏิบัติการด้านจิตวิทยาที่มีผลโดยตรงต่อสังคมโดยรวม ประชาชนในพื้นที่ หรือแม้แต่ผู้ปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่รัฐ

             ที่เรียกได้ว่าพร้อมทั้งขวัญและกำลังใจ รวมไปถึงฐานข้อมูลที่มีความแม่นยำจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งในระยะหลังจะเห็นได้ชัดว่า “มีความคล้อยตามกระแสสังคมส่วนใหญ่ในระดับหนึ่ง”

          กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้ฝ่ายขบวนการเอง “ต้องอยู่ในภาวะกดดัน” เพราะนอกเหนือจากจะไม่ได้พื้นที่ข่าวดังที่เคยเป็นมาแล้ว “การเดินผิดพลาดในสงครามจิตวิทยา” ยังกลายเป็น “หอกที่ย้อนหวนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง” ในที่สุด

         ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ยุทธศาสตร์รุกทั้งกระดาน” ที่มีปฏิบัติการจิตวิทยาเป็นธงนำ กับการกวาดล้างและจัดการกับขบวนการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ ที่บวกกับความระส่ำระส่ายในขบวนการเคลื่อนไหวจากการเปิดเวทีเจรจาเพื่อสันติภาพ เองแล้ว เค้าลางแห่งความพ่ายแพ้ของขบวนการเคลื่อนไหวย่อมอยู่ไม่ไกล  และนี่อาจเป็นสัญญาณของสันติภาพในพื้นที่ซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้าค่อย ๆ บีบต้อนให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ถึงกับเข้าตาจน !!


ยิงรองนายก อบต. โจรใต้ ฆ่ามุสลิมด้วยกันเอง




           เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 15 พ.ย. เกิดเหตุยิงกันบนถนนสายบ้านดินแดง - บ้านฟาง ม.3 ต.บางปู อ.ยะหริ่ง ที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า แบบพ่วงข้างบรรทุกของ จอดอยู่ข้างทาง และมีเลือดรอยจำนวนมาก ห่างกันประมาณ 3 เมตร พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า อีก 1 คัน ล้มอยู่ มีกองเลือดจำนวนมากเช่นกัน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลยะหริ่ง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 1 ราย ทราบชื่อคือ 
  • นายอิสเฮาะ ดอฮิง อายุ 41 ปี เป็นรองนายก อบต.ยามู อยู่บ้านเลขที่ 12/1 ม.5 ต.ยามู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิดเข้าศีรษะ และลำตัวหลายนัด ขณะที่ 
  • นางสาลีห๊ะ มอนะ อายุ 34 ปี ภรรยาซึ่งตั้งท้องได้ 7 เดือน อาการสาหัสเนื่องจากกระสุนเข้าแผ่นหลังทะลุด้านหน้า แพทย์พยายามช่วยชีวิตทั้งแม่และลูก แต่ปรากฏว่าทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา 
          ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่นายอิสเฮาะขับขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างมาจากขนของที่ร้านค้าเพื่อเดินทางกลับบ้านพัก โดยมีนางสาลีห๊ะขี่รถจักรยานยนต์อีกคันตามหลัง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงทั้งสองคนหลายนัด จนรถเสียหลักล้มและเสียชีวิตในที่สุด 











นราธิวาส โจรใต้กดระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 นาย



            เมื่อเวลา 16.10 น.วันที่ 15 พ.ย. เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ระแงะ ชุด รปภ.ครู โรงเรียนบ้านเขาแก้ว เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนในหมู่บ้านศิลา หมู่ 4 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

            ที่เกิดเหตุ พบหลุมระเบิดกลางถนนลึก 2 เมตร กว้าง 3 เมตร มีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊ส หนัก 50 กก.จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ผสมคลุกเคล้ากับชิ้นส่วนรถยนต์ พร้อมทั้งชิ้นส่วนเนื้อมนุษย์ กระเด็นกระจัดกระจายอยู่บนถนน และกระเด็นไปติดบนเสาไฟฟ้าข้างทาง ที่คูน้ำริมถนนพบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง ทะเบียน ฒง 7961 กทม. อยู่ในสภาพถูกระเบิดจนพังยับเยินไปทั้งคันตกอยู่ในคูน้ำ ห่างไป 60 เมตร พบศพ
  • ส.ต.อ.วรวุธ วงศ์จารุต สภาพร่างกายแหลกเหลวกระเด็นไปตกในป่าริมถนน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย พลเมืองดีได้นำตัวส่งโรงพยาบาลระแงะไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อคือ 
  • ส.ต.อ.มานะชัย พิพิธทอง และ ส.ต.ต.คมสันต์ วงศ์วัชรบุตร ทั้งคู่ถูกสะเก็ดระเบิดจนแขนขาขาด อาการสาหัส และต่อมา ส.ต.อ.มานะชัย พิพิธทอง เสียชีวิต ขณะนำส่งโรงพยาบาลยี่งอ 

            ก่อนเกิดเหตุทราบว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย เสร็จสิ้นภารกิจในการ รปภ.ครู โรงเรียนบ้านเขาแก้วแล้ว ได้ขับรถยนต์กระบะเพื่อเดินทางกลับ สภ.ระแงะ โดยมี ส.ต.อ.วรวุธ เป็นคนขับรถ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนที่ซุ่มอยู่ข้างทาง และใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ฝังไว้ใต้ผิวถนนจนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้รถยนต์กระบะลอยกระเด็นไปตกในคู่น้ำข้างทาง และศพของ ส.ต.อ.วรวุธ ได้กระเด็นออกจากรถไปตกในป่าข้างทางเช่นกัน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นายติดอยู่ในซากรถ จนกระทั่งมีชาวบ้านผ่านมานำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลระแงะดังกล่าว ต่อมาล่าสุด ส.ต.ต.คมสันต์ วงศ์วัชรบุตร เสียชีวิตแล้ว











วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี บรรยายนำเสนอเพื่อการปลุกเร้าให้มุสลิมฆ่ากันเอง...

       เมื่อวันที่ 25 ส.ค.56 อ.ฟารีด เฟ็นดี ได้เขียนจดหมายเปิดผลึกผ่านเว็บไซต์ www.fareedfendy.com เนื้อหาใจความว่า เชคริฎอฯ ได้บรรยายปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสถานการณ์ในอิยิปต์ และกล่าวว่าการบรรยายนำเสนอเพื่อการปลุกเร้าให้มุสลิมฆ่ากันเอง... โปรดอ่านต่อในจดหมายทั้งหมดด้านล่างนี้!!

จดหมายเปิดผนึกถึง เชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี และคณะ




        จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ทำขึ้นโดยผม ฟารีด เฟ็นดี้ ซึ่งกระทำการโดยลำพัง ไม่เกี่ยวกับองค์กร สถาบัน บุคคล และคณะบุคคลใดๆทั้งสิ้น
ถึงเชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี และคณะ

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
 
        อ้างถึงคำบรรยายของเชคริฏอ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2556 เรื่องวิกฤติอียิปต์ด้วยหลักการอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ
        ตามที่ท่านได้บรรยายวิเคราะห์สถานการณ์ในอียิปต์ ปรากฏคลิปตามสื่อสาธารณะโดยทั่วไปนั้น ผมเรียกร้องให้ท่านทบทวนเนื้อหาคำบรรยาย เนื่องจากท่านได้ปกปิดข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอียิปต์ อีกทั้งได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษมาอ้างอิงเป็นหลักฐานตัดสินมุสลิมว่าเป็น กาเฟร ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของหลักฐานตามที่ท่านได้กล่าวอ้าง
        ท่านทราบดีว่า สถานการณ์ในอียิปต์แตกต่างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรีย ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างมุสลิมกับชีอะห์ที่เป็นศัตรูกับมุสลิมและอิสลาม แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอียิปต์ เป็นการเผชิญหน้าและประทะกันของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมุรซีย์ และฝ่ายคัดค้าน ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ถูกปกปิด มีเพียงการนำเสนอและปลุกเร้าให้คนทั่วไปรับทราบเพียงด้านเดียวว่า ประชาชนสู้กับทหาร และทหารฆ่าประชาชน
        นอกจากนั้นท่านยังได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษมาตัดสินผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของท่าน และอ้างอย่างผิดๆ ตามที่ปรากฏในคลิปคำบรรยายว่า

وَلاَ تُصَلِّ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمْ مَاتَ أبَداً وَلاَ تَقُمْ عَلَى قَبْرِهِ


"และเจ้าอย่าได้ละหมาดให้คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาที่เสียชีวิต และอย่ายืนบนหลุมศพของพวกเขา"
ข้อความที่ต่อเนื่องของอายะห์นี้คือ

إنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللهِ وَرَسُوْلِهِ وَمَاتُوا وَهُمْ فَاسِقُوْنَ


“แท้จริงพวกเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และพวกเขาได้ตายในสภาพเป็นคนชั่ว” ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 84

        ความจริงแล้ว อายะห์นี้ถูกประทานลงมาเนื่องจากการเสียชีวิตของ อับดุลลฮ์ อิบนิ อุบัยด์ อิบนิ ซะลูน หัวหน้ามุนาฟีกีน หรือผู้กลับกลอกทางด้านการศรัทธา ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้แฉพฤติกรรมของเขากับพรรคพวกไว้ในหลายซูเราะห์และหลาย อายะห์ เช่นช่วงต้นของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ซูเราะห์อัตเตาบะห์ และซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน เป็นต้น
พวกเขาคือกาเฟร เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

إنَّ المُنَافِقِيْنَ فِي الدَّرْكِ الأسْفَلِ مِنَ النَّارِ وَلَنْ تَجِدَ لَهُمْ نَصِيْراً


"แท้จริงบรรดามุนาฟิกีน (ผู้กลับกลอกด้านการศรัทธา) อยู่ในขุมนรกขั้นต่ำสุด และเจ้าจะไม่พบว่าพวกเขามีผู้ช่วยเหลือใดๆ" ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 145
        และ ฮะดีษที่ท่านนำมากล่าวอ้าง ก็เป็นเหตุการณ์ที่ท่านอบูบักร์ ตัดสินผู้ปฏิเสธซะกาตว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ดังคำยืนยันของท่านต่อหน้าท่าน อุมัรว่า

وَاللهِ لأُقَاتِلَنَّ مَنْ فَرَّقَ بَيْنَ الصَّلاَةِ وَالزَّكاَةِ


"ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะต้องสู้รบกับพวกเขาอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกเขาแยกระหว่างละหมาดกับซะกาต" ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 1312
         เหตุที่มาของฮะดีษบทนี้ถูกระบุไว้ในช่วงต้นฮะดีษคือ หลังจากท่านรอซูลเสียชีวิต อาหรับชนบทบางกลุ่มปฏิเสธที่จะจ่ายซะกาต ท่านอบูบักร์ ได้ตัดสินพวกเขาว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม
        ท่านใช้อัลกุรอ่านข้างต้นนี้ตัดสินพี่น้องมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับกับกลุ่มอิควานและแนวร่วมว่า พวกเขาเป็นมุนาฟิก ผู้กลับกลอกทางด้านการศรัทธา พวกเขาไม่ได้เป็นมุสลิม พวกเขาต้องอยู่ในนรกขั้นต่ำสุดกระนั้นหรือ
        ท่านใช้ฮะดีษข้างต้นนี้ตัดสินมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอิควานและแนวร่วมว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมกระนั้นหรือ
        ท่านกล่าวถึงผู้รู้ นักวิชาการในเมืองไทยและคนอื่นว่า เป็นมุนาฟิก ด้วยอัลกุรอานข้างต้นนี้ เท่ากับท่านตัดสินพวกเขาว่าไม่ได้เป็นมุสลิม เพราะอายะห์ข้างต้นนี้กล่าวถึงมุนาฟิกทางด้านอะกีดะห์
อีกทั้งมุสลิมทั้งโลกที่ไม่ใช่แนวร่วมของอิควานก็เป็นกาเฟรตกมุรตัดด้วยกระนั้นหรือ
นี่คือความเลยเถิดทางวิชาการ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ขอถามสั้นๆว่า มุสลิมในอียิปต์มีเพียงกลุ่มอิควานและแนวร่วมของอิควานเท่านั้นใช่ไหม
คำตัดสินของท่านนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าการสังหารชีวิตผู้บริสุทธิ์เสียอีก
        ผม ขอเรียกร้องให้ท่านกลับคำ แล้วหวนกลับสู่การยึดอัลกุรอ่านและฮะดีษให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักฐาน อย่าได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษไปสนองความต้องการของตนเอง
หากท่านพลั้งพลาดโดยไม่เจตนา ก็ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาและชี้ทางนำแก่ท่านด้วย
        แต่หากท่านยืนยันตามคำบรรยาย ผมก็บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับการมุสาและการบิดเบือนใดๆของท่านทั้งสิ้น
        หากท่านยอมรับความจริงว่า สถานการณ์ในอียิปต์ไม่ใช่มีเพียงทหารประทะกับประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีการเผชิญหน้าและประทะกันระหว่างมุลิมกับมุสลิมด้วยกันเองอีกด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้หวนกลับสู่คำสอนของศาสนาที่เที่ยงตรง โดยยุติการปลุกเร้าและการแสดงสัญลักณ์ชูสี่นิ้ว เพื่อเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะทั้งสองฝ่ายคือเลือดเนื้อของมุสลิม
และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

عَن سَهْلِ بْنِ سَعْدٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ أنَّ أهْلَ قُبَاءٍ اقْتَتَلُوا حَتَّى تَرَامَوا بِالْحِجَارَةِ فَأُخْبِرَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِذَلِكَ فَقَالَ : اِذْهَبُوا بِنَا نُصْلِحُ بَيْنَهُمْ

จากซะฮล์ บิน ซะอด์ ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อเขาด้วย แท้จริงชาวกุบาอ์ได้ต่อสู้กันจนกระทั่งต่างขว้างปากันด้วยก้อนหิน เมื่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ทราบข่าวนี้ ท่านกล่าวว่า “ไปกันเถอะ เราจะประนีประนอมระหว่างพวกเขา” ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2496
และนี่ก็อีกเหตุการณ์หนึ่ง พร้อมคำฟัตวาของศอฮาบะห์ โดยอ้างคำสอนของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

عَنِ الأحْنَفِ بْنِ قَيْسٍ قَالَ : ذَهَبْتُ لأنْصُرَ هَذَا الرَّجُلَ فَلَقِيَنِي أبُوبَكْرَةَ فَقَالَ أيْنَ تُرِيْدُ قُلْتُ أنْصُرُ هَذاَ الرَّجُلَ قَالَ إرْجِعْ فَإنِّي سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عليه وَسَلَّمَ يَقُوْلُ : إذَا التَقَى المُسْلِمَانِ بِسَيْفَيْهِمَا فَالْقَاتِلُ وَالمَقْتُوْلُ فِي النَّاِر فَقُلْتُ يَارَسُوْلَ اللهِ هَذَا القَاتِلُ فَمَا بَالُ المَقْتُوْلِ قَالَ إنَّهُ كَانَ حَرِيْصاً عَلَى قَتْلِ صَاحِبِهِ

        อะห์นัฟ บิน กอยซ์ รายงานว่า ฉันได้ไปช่วยเหลือชายคนหนึ่ง แต่อบูบักเราะห์ ได้มาพบฉันเสียก่อน เขาถามว่า ท่านต้องการอะไรหรือ ฉันตอบว่า ฉันจะไปช่วยเหลือคนคนนี้ เขากล่าวว่า จงกลับไป เพราะฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อ มุสลิมทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ ทั้งผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าลงนรกทั้งคู่ ฉันถามว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลอฮ์ นี้ผู้ฆ่า แล้วผู้ถูกฆ่าลงนรกได้อย่างไร ท่านตอบว่า แท้จริง (ผู้ถูกฆ่า) ก็จ้องที่จะฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนกัน" ศอเฮียะห์ บุคอรี บทที่ว่าด้วยเรื่องการศรัทธา ฮะดีษเลขที่ 30
        แต่หากการต่อสู้กันนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดระหว่างกัน และนำไปสู่การประหัตประหารซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงดำรงสถานะเป็นมุอ์มิน พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

وَإنْ طَائِفَتاَنِ مِنَ المُؤْمِنِيْنَ اقْتَتَلُوا فَأصْلِحُوا بَيْنَهُمَا فَإنْ بَغَتْ إحْدَاهُمَا عَلَى الأخْرَى فَقَاتِلُوا الَّتِى تَبْغِي حَتَّى تَفِئَ إلَى أمْرِ اللهِ فَإنْ فَاءَتْ فَأصْلِحُوا بَيْنَهُمَا بِالْعَدْلِ وَأقْسِطُوا إنَّ اللهَ يُحِبُّ المُقْسِطِيْنَ

        “และหากมุอ์มินสองฝ่ายเข่นฆ่ากัน พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายนั้น หากฝ่ายหนึ่งละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปราบฝ่ายละเมิดจนกว่าเขาจะกลับสู่คำบัญชาของอัลลอฮ์ และหากเขายอมกลับแล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างเขาทั้งสองด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเจ้าจงยุติธรรมเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม”ซูเราะห์ อัลฮุจรอ๊ต อายะห์ที่ 9
        ข้างต้นนี้คือคำสั่งและวิธีปฏิบัติจากคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูล พร้อมทั้งคำฟัตวาของศอฮาบะห์ หวังว่าท่านคงจะไม่ยอมรับบางส่วนและปฏิเสธบางส่วน
        ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มุสลิมต่อสู้กัน จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกันยุติการหลั่งเลือดของมุสลิมทั้งสองฝ่าย มิใช่ปลุกเร้า ยุยงส่งเสริมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากไม่สามารถกระทำการใดๆได้ ก็ช่วยขอดุอาอ์ให้เหตุการณ์นองเลือดนี้ยุติโดยเร็ว เพราะดุอาอ์คืออาวุธของมุอ์มินไม่ใช่หรือ
         โดย ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยและยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากประเทศอียิปต์ปกครองด้วยกฏหมายอิสลามเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพียงเอาอิสลามมาอ้าง แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและวิธีการของกลุ่มอิควาน ที่ปลุกระดมมวลชนให้เผชิญหน้ากัน แล้วนำไปสู่การนองเลือดของผู้บริสุทธิ์ดังที่ปรากฏ
การตั้งรัฐอิลามบนซากศพมุสลิมที่ประหัตประหารกันเองนี้ ไม่ใช่วิธีคิดและวิธีปฏิบัติของอิสลาม
       พร้อม กับจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ขอส่งข้อความถึงกลุ่มอิควานและแนวร่วมอิควานในประเทศไทยว่า อย่าได้ฉกฉวยสถานการณ์การนองเลือดของมุสลิมด้วยกันนี้ดึงประชาชนผู้บริสุทธ์เข้าร่วม อุดมการณ์ของตนเอง
ขออัลลอฮ์ทรงประทานความสำเร็จแด่ผู้ยืนหยัดบนทางนำ




ฟารีด เฟ็นดี้
อาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2556


คัดลอกจาก http://www.fareedfendy.com/alikwan1.php


อ่านต่อ: http://www.muslimvoicetv.com/ncontent/news.php?nid=12123#ixzz2knaejjit

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คนร้ายดักซุ่มยิงผู้ใหญ่บ้านพร้อมผู้ช่วย


                เมื่อเวลา 16.50 น. วันที่ 11 พ.ย.เกิดเหตุคนร้ายดักซุ่มยิงผู้ใหญ่บ้าน และพวกเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ บนถนนสายป่าไผ่ - บาโงกูโบ ช่วงบริเวณบ้านหัวนอน ม.5 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ

           ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิซิ 4 ประตู สีบรอนซ์ ทะเบียน กง 5401 ปัตตานี จอดเสียหลักอยู่ริมถนน โดยในห้องโดยสารส่วนหน้ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย ทราบชื่อคนขับคือ
  • นายมะยาลี ยูนุ๊ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93 ม.3 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านกูตง ม.3 ต.บองอ มีร่องรอยถูกกระสุนปืนเอ็ม 16 และลูกซองที่บริเวณหน้าอก และศีรษะ 
  • ส่วนคนที่นั่งคู่กันมาที่เบาะหน้า ทราบชื่อคือนายยูฮา หะยีสะอิ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 181 ม.3 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.บองอ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิด และขนาดเดียวกันที่บริเวณหน้าอก และศีรษะเช่นกัน 
        ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 คน พลเมืองดีได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลระแงะไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อคือ
  • นายอาลี เจ๊ะหลง อายุ 32 ปี และ
  • นายรอยาลี รีเยาะ อายุ 30 ปี ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต.บองอ 
             มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง และเอ็ม 16 ที่บริเวณแขน และหัวไหล่ อาการสาหัส ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 และปลอกกระสุนปืนลูกซอง จำนวนกว่า 10 ปลอก ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ผู้ตาย และผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 4 คน ได้นั่งรถยนต์กระบะของนายมะยาลี ผู้ใหญ่บ้าน ไปประชุมรับนโยบายกับผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ที่ว่าการอำเภอระแงะ เมื่อแล้วเสร็จ นายมะยาลี ผู้ใหญ่บ้าน ได้ขับรถยนต์กลับบ้านพัก โดยมีผู้ช่วยอีก 3 คนนั่งรถมาด้วย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย จำนวน 2 คน ยืนถืออาวุธปืนเอ็ม 16 และลูกซอง คนละกระบอก โดยมีรถจักรยานยนต์แบบผู้หญิงจอดอยู่ข้าง และเมื่อผู้ใหญ่บ้านขับรถยนต์เข้ามาใกล้ คนร้ายทั้ง 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงใส่นายมะยาลี และพวกที่นั่งอยู่ในรถ จำนวนกว่า 10 นัดซ้อน จนรถเสียหลักตกไหล่ทาง นายมะยาลี และนายยูฮา เสียชีวิตคาที่ ส่วนอีก 2 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นคนร้ายได้สตาร์ทรถจักรยานยนต์ขี่หลบหนีไป




*********************************************************




 


            เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 13 พ.ย.เกิดเหตุคนร้ายตามประกบยิง อส. เสียชีวิตบนถนนในหมู่บ้านตือระ ม.2 ต.ปาเสมัส ที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์แบบวิบาก ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่นเค.เอส.อาร์. สีเขียว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนล้มตะแคงอยู่กลางถนน โดยมีศพผู้เสียชีวิตนอนจมกองเลือดอยู่ใกล้กัน ทราบชื่อคือ นายสกรี มะยะเอะ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 149/2 ม.8 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น อส.ประจำที่ว่าการ อ.สุไหงโก-ลก ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขับรถของ นายสกุลศักดิ์ มะดาโอ๊ะ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่บริเวณศีรษะ หน้าอก ลำตัว แขน และขา รวม 5 นัด 

           ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่บนถนน จำนวน 12 ปลอก ก่อนเกิดเหตุทราบว่าหลังจากเลิกงาน ผู้ตายได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพักตามลำพังเพื่อเดินทางไปทำธุระในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เมื่อแล้วเสร็จผู้ตายได้ขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพัก ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้าย จำนวน 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบไล่หลัง เมื่อสบโอกาสคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่ผู้ตาย จำนวน 12 นัดซ้อน จนเสียชีวิต และรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ แล้วคนร้ายได้รีบขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

BRN นักสู้ อาชญากรหรือผู้ก่อการร้าย



BRN นักสู้ อาชญากรหรือผู้ก่อการร้าย


              สถานภาพใดที่ BRN ควรมี ? ยังคงเป็นคำถามที่ได้แย้งกันอยู่ องค์กรอิสระ (NGO) บางองค์กรสื่อภาพของคนกลุ่มนี้เป็นเหยื่อของเจ้าหน้าที่และวีรบุรุษในสายตาสมาชิกBRN แต่ในสายตาของประชาชนและชาวโลกแล้ว เป็นได้เพียงแค่อาชญากรและผู้ก่อการร้ายภายในประเทศเท่านั้น สมาชิกระดับปฏิบัติการของ BRN ที่เรียกตนเองว่า RKK ซึ่งอ้างตนว่าเป็นนักสู้ แต่อย่างไรก็ตามกิจกรรมความรุนแรงมากมายที่คนกลุ่มนี้เกี่ยวข้อง อาทิ การโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ ได้แก่ พลเรือน พระสงฆ์ ครู รวมถึงเจ้าหน้าที่ทำให้สถานภาพของคนเหล่านี้ห่างไกลจากคำว่านักรบ


ลอบวางระเบิดพระภิกษุขณะกำลังบิณฑบาต

             การฆ่าพระสงฆ์เป็นสิ่งที่แม้แต่อดีตแกนนำพลูโลยังต่อต้าน และกล่าวว่าเป็นเรื่องน่าอายและคาดไม่ถึงว่า ผกร.รุ่นใหม่จะคิดและทำ การฆ่านาวิกโยธินเมื่อปี 48 ที่ ต.ตันหยงลิมอ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเข้าข่าย การก่อการร้ายแบบลูกผสม กล่าวคือ สังหารพวกเดียวกันแล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ก่อเหตุรุนแรงกราดยิงร้านน้ำชาแล้วร้องตะโกนป่าวประกาศจนทั่วหมู่บ้านว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ก่อเหตุ นาวิกโยธินผู้เคราะห์ร้ายเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ จึงถูกป้ายสีว่าเป็นมือปืน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวถูกหยามเกียรติ โดยให้สตรีมุสลิมปัสสาวะรดใบหน้า ทรมานต่างๆ นานา เช่น นำรังมดแดงมาใส่บนร่ายกายและสังหารอย่างทารุณ สภาพศพทูกแทงด้วยเหล็กแหลมหลายที่ บริเวณข้อมือมีรอยฉีกขาดจนเห็นกระดูก หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าเกิดจากการดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ทำให้ข้อมือครูดกับพื้นอย่างแรงติดต่อกันหลายครั้ง

           มีการฆ่าครูซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งที่ครูทำหน้าที่ให้การศึกษาลูกหลานพี่น้องไทย จีน และมลายู โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา เหตุการ์ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ การฆ่าครูจูหลิง ปงกันมูล ครูฉัตรสุดา นิลสุวรรณ และครูชลธี เจริญชล ครูจูหลิงฯ ถูกกลุ่มสตรีมุสลิมจับเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองให้ปล่อยสมาชิก RKK ที่ถูกจับ เนื่องจากภรรยาของ RKK รายนั้นได้ออกเสียงตามสายในหมู่บ้านว่าสามีซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ต่อมากลุ่มวัยรุ่นได้เข้าไปในที่กักขังครูจูหลิงและทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนกรณีครูฉัตรสุดาฯ เสียชีวิตขณะตั้งครรภ์ เหตุการณ์เกิดปี 56 ที่ อ.เจาะไอร้อง นราธิวาส จากคำสารภาพของผู้ต้องหาได้ใช้ปืนสั้นขนาด .22 มม. ยิงเข้าที่กลางหน้าอกผู้ตายจนรถเสียหลัก แต่ยังไม่เสียชีวิตทันที ครูฉัตรสุดาฯ พยายามเอาชีวิตรอดโดยคลานหนี ผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงหยุดรถจักรยานยนต์แล้วเข้ายิงซ้ำจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ มิใช่การกระทำของนักรบอย่างที่ประกาศตัว

ยิงครูเสียชีวิตขณะรับประทานอาหารในโรงเรียน

          ส่วนการเสียชีวิตของครูชลธีฯ เสียชีวิตเนื่องจากพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมขบวน การยุติการต่อสู้โดยใช้อาวุธและเข้ามอบตัว สร้างความไม่พอใจให้กับขบวนการจนถูกขู่เตือนหลายครั้งก่อนถูกสังหารและโจรกรรมรถยนต์ โดยค้นหากุญแจจากศพอย่างใจเย็น การฆ่ากรณีนี้หวังผลให้เกิดความเกลียดชังระหว่างพี่น้องไทย – พุทธและมลายู – มุสลิม รวมทั้งสร้างอคติระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่

           นอกจากเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติยังมีการสังหาร จนท.ระดับสูง เช่น การสังหารผู้พิพากษารพินทร์ เรือนแก้ว เมื่อปี 47 กลางใจเมืองปัตตานี ขณะรถติดไฟแดงในเวลากลางวันต่อหน้าแม่ของผู้ตาย และกรณีล่าสุดคือ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ซึ่งเสียชีวิตขณะเดินทางไปร่วมงานเทศกาลไก่เบตงเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเบตง

          การฆ่ายกครัวพี่น้องไทย – พุทธ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อปี 53 ราษฎรชาวไทยอีสานได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาซื้อสวนยางที่ บ.ฮแตยือลอ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ นราธิวาส และประกอบอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง ครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ตา ยายและลูกชายหญิง 2 คน จำนวน 6 คน ทั้งหมดถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าแล้วจ่อยิงที่ศรีษะทีละคน ยายก้มลงกราบเพื่อขอขีวิตและตายในท่ากราบ เด็ก 2 คนใช้ช่วงเวลาจ่อยิงวิ่งหนีจากที่เกิดเหตุมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ซึ่งได้นำเด็กไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าทำให้รอดชีวิต หลังจากผู้ก่อเหตุตามมาตรวจค้นในบ้านเพื่อนบ้าน เมื่อสังหารครอบครัวดังกล่าวแล้วคนร้ายได้จุดไฟเผาบ้าน ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวคือ นายมะรอโซ จันทรวดี ขณะนี้เด็กทั้งคู่ได้เดินทางออกนอก 3 จังหวัดชายแดน ไปพักพิงกับญาติและไม่กล้ากลับเข้าพื้นที่อีก การฆ่าล้างครัวเช่นนี้มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเกรงกลัวในหมู่พี่น้องไทย-พุทธ เป็นการบังคับให้ต้องละทิ้งถิ่นที่อยู่ แม้ว่าประชาชนเหล่านี้จะมีสิทธิและความชอบธรรมในการยึดครองกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ตาม ขบวนการจึงอยู่ในสถานภาพอาชญากรและผู้ก่อการร้ายในประเทศ มิใช่นักรบหรือผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง

          จากประจักษ์พยานหลักฐานและความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพื่อหวังทำลายชีวิตและบรรยากาศความสงบสุขสามารถสรุปได้ว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดน มีสถานภาพเป็นได้แค่เพียงอาชญากรและผู้ก่อการร้ายภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความพยายามนำเสนอภาพบุคคลเหล่านี้ในฐานะนักสู้หรือวีรบุรุษก็ตาม


ซอเก๊าะ นิรนาม
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม