วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อความจริงปรากฎ อูลามะ BRN ชี้เหตุร้ายใน จชต. คือ “ญิฮาด” เสี้ยมสมุนฆ่าได้ไม่เว้นมุสลิม

เมื่อความจริงปรากฎ อูลามะ BRN ชี้เหตุร้ายใน จชต. คือ “ญิฮาด” เสี้ยมสมุนฆ่าได้ไม่เว้นมุสลิม



            ยังถกเถียงกันไม่จบว่า ความขัดแย้งในภาคใต้ของประเทศไทยระหว่างฝ่ายรัฐและขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ถึงขณะนี้อาจเรียกได้ว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดน ที่ส่งผลให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก โดยฝ่ายแรกเป็นผู้ปกป้องกับฝ่ายหลังเป็นผู้ก่อเหตุนั้น ในมุมมองของศาสนาเป็นการต่อสู้ตามที่หลักศาสนาอิสลามเรียกว่า “ญิฮาด” หรือไม่ 

            โดยเฉพาะฝ่ายขบวนการได้นำหลักการต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮ์ (สุบหฺฯ) มาบิดเบือนโดยมุ่งหวังใช้ความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของบ่าวของพระองค์ ให้แนวร่วมปฏิบัติการที่ติดอาวุธเข้าใจผิดว่ากำลังถูกละเมิดสิทธิ ในความเป็นมุสลิมของตน และต้องจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในพื้นที่แห่งนี้

           ซึ่งจากเอกสารการบิดเบือนศาสนาที่เจ้าหน้าที่ได้จากการตรวจค้นมีส่วนหนึ่งเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดของ อูลามะของขบวนการต่อการญิฮาดที่ปัตตานี ส่วนใหญ่กล่าวถึงการขับไล่ เข่นฆ่าคนศาสนาอื่นโดยเฉพาะคนไทยพุทธว่าสามารถทำได้โดยชอบธรรม ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกันหากมีความพยายามทำลายการต่อสู้ ของพวกเขาก็สามารถฆ่าได้เช่นกัน นี่อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้แนวร่วมปฏิบัติการรุ่นใหม่กระทำการอย่างอุกอาจโดยไม่เลือกหน้า ที่อยากจะยกตัวอย่างให้เห็น เช่น

           นายมุคตาร์ กีละ นักการเมืองผู้มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชนโดยการตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคประชาธรรม” ที่เคยมีอุดมการณ์ร่วมกับขบวนการในช่วงหนึ่ง แต่กลับมาต่อสู้ตามแนวทางสันติซึ่งผิดหลักการของขบวนการ จึงถูกสังหารและมีความพยายามโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ แต่โชคดีที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านในที่เกิดเหตุสามารถยิงคนร้ายเสียชีวิต และพบว่าเป็นคนของขบวนการเอง ทำให้ไม่สามารถบิดเบือนกล่าวหาได้สำเร็จ (รายละเอียดเพิ่มเติม http://pulony.blogspot.com/2012/01/blog-post_13.html

           หรืออีกกรณีที่ยังเป็นที่กล่าวถึงความเลวทรามของขบวนการในหมู่ประชาชนทั่วไปคือ อิหม่ามยะโก๊บ หร่ายมณี ผู้นำทางจิตวิญญาณของพี่น้องมุสลิมซึ่งมีบทบาทในการเป็นอิหม่ามที่ต่อต้านการบิดเบือนคำสอน ทางศาสนาและการใช้ความรุนแรงมาโดยตลอด ได้ถูกลอบสังหารพร้อมๆ กับความเชื่อมโยงที่ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของฝ่ายขบวนการ (รายละเอียดเพิ่มเติม http://pulony.blogspot.com/2013/08/blog-post.html )

         ฆ่าคนมุสลิมที่เป็นที่รักของประชาชนทั่วไปเพราะขัดแย้งทางความคิดกับกลุ่มของตนโดยกล่าวหาว่าเป็น “มูนาฟิก” จะเรียกได้อย่างไรว่าเป็น “ญิฮาด”

           การก่อเหตุร้ายโดยอ้างการญิฮาดข้างต้นจึงขัดกับหลักการต่อสู้ในแนวทางของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะในความเป็นจริงการญิฮาดนั้น ผู้รู้ทางศาสนาอิสลามได้วินิจฉัยแล้วว่าสามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถูกกดขี่และขับไล่อย่างอยุติธรรม ถูกลิดรอนสิทธิ์ทางศาสนา และจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงคราม เพราะฉะนั้นการก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ย่อมไม่ถือว่าเป็นการญิฮาด

          และการญิฮาดจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงคราม คือ การต่อสู้กับบรรดาผู้เป็นศัตรู แต่อย่าเริ่มเป็นศัตรูก่อน...

            ดังอายะห์อัลกุรอาน ความว่า แท้จริงอัลลอฮ์(สุบหฺฯ)ไม่ทรงรักผู้รุกราน(2:190) นอกจากนั้นต้องไม่ทำลายศพ ไม่ฆ่าเด็ก สตรี คนชรา พลเรือน ผู้บริสุทธิ์และกลุ่มบุคคลที่ทำสัญญาสงบศึก ไม่ทำลายทรัพย์สิน ไม่ตัดโค่นหรือเผาทำลายต้นไม้ ไม่ฆ่าสัตว์ แต่จะต้องให้ความเมตตาและการเอาใจใส่ เช่น ให้การบริการทางการแพทย์หรือพยาบาลต่อเชลยศึก

          แต่ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกระทำในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ล้วนขัดต่อหลักการข้างต้นทั้งสิ้น 


          แม้แต่ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ท่านสะมะแอ เบ็นอับดุลลาติป ฮารี ผู้นำศาสนาในพื้นที่ยังได้ออกมาให้คำวินิจฉัยว่า เหตุที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้มิใช่การ “ญิฮาด” แต่เป็นความพยายามของผู้ก่อความไม่สงบที่นำหลักการนั้นมาใช้ ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับว่าการต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งของญีฮาด โดยเฉพาะจากประชาชนผู้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการสอนของศาสนาอิสลาม ตรงกันข้ามกลับสร้างความ มัวหมองให้แก่ภาพลักษณ์ของศาสนาอิสลามจากการที่พยายามเชื่อมโยง การต่อสู้ของพวกตนเข้ากับศาสนา

           ผลจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงข้างต้นส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรงทั้งการสูญเสียชีวิตและทำลายสภาพสังคมจิตวิทยา สร้างความหวาดระแวงระหว่างพี่น้องมุสลิมและประชาชนผู้นับถือศาสนาอื่นๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและยากที่ประสานรอยร้าวกลับมาได้ในเวลาอันสั้น หรืออาจไม่สามารถนำสังคมที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอดีตให้กลับมาได้อีกก็เป็นได้

             อย่างทราบกันดีว่าจากยอดผู้เสียชีวิต ( ธ.ค.56 ) สรุปแล้วมีจำนวนถึง 4,884 คน ไม่รวมผู้บาดเจ็บอีกกว่าหมื่นคน ผู้ที่เสียชีวิตมากที่สุดคือชาวมลายูผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งประชาชนทราบดีว่าเกิดจากการกระทำของขบวนการแต่กลับทำไม่รู้ไม่เห็น และมักจะปฏิเสธที่จะพูดถึงการต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ อันเนื่องมาจากความกลัวในเรื่องความปลอดภัยของตนเองเพราะถูกข่มขู่จากขบวนการซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ

              จากหลายพันหลายหมื่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามนำเสนอภาพบุคคลเหล่านี้ในฐานะนักสู้หรือวีรบุรุษก็ตาม แต่จากประจักษ์พยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุร้าย และหลักการของศาสนาอันดีงามที่ถูกบิดเบือน กำลังสร้างให้เกิดกระแสที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของคนมลายูมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อเหตุรุนแรง ที่จะลุกขึ้นมารวมพลังต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการก่อเหตุรุนแรงของพวกเขาต่อไป การฆ่าฟันกันได้ไม่เว้นแม้แต่คนมุสลิมมลายูด้วยกันพี่น้องมุสลิมเราส่วนใหญ่ไม่มีใครหรอกที่จะเห็นดีด้วย ใครก็ตามที่เข่นฆ่าประชาชนเหมือนผักปลา อัลเลาะห์จะเป็นผู้ตัดสินลงโทษเอง อย่าว่าแต่เข้าสวรรค์เลยแม้แต่ประตูนรกก็จะไม่เปิดรับพวกเขา อีกไม่นานหรอก อามีน... 

ซอเก๊าะ นิรนาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม