วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

ภัยแทรกซ้อนผลประโยชน์มหาศาลของ BRN


ภัยแทรกซ้อนผลประโยชน์มหาศาลของ BRN


            นับตั้งแต่ปี 2547เป็นต้นมาที่กลุ่ม BRN ได้ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง ไฟใต้ได้ลุกโชนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงทุกรูปแบบที่กลุ่ม BRN ได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของทางราชการและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องล้มตายลงแทบไม่เว้นแต่ละวัน แม้ว่ารัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่พยายามทุกวิถีทางที่จะดับไฟใต้ด้วยนโยบายต่าง ๆ ที่คิดว่าจะทำให้ไฟใต้ได้ดับลงโดยเร็วที่สุดแล้วก็ตาม จนกระทั่งล่าสุดก็คือการพูดคุยตกลงกับกลุ่ม BRN ก็ต้องล้มคว่ำลงอย่างไม่เป็นท่าแล้วปัญหาที่แท้จริงนั้นคืออะไร

          สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีปัญหาภัยแทรกซ้อนที่แฝงตัวอยู่ในรูปของผลประโยชน์อันมหาศาลของกลุ่ม BRN เช่น สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน ยาเสพติด และการค้าแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงท่อใหญ่อย่างดีให้กับกลุ่ม BRN ในการก่อความรุนแรงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นได้เชื่อมโยงไปถึงแหล่งที่มาของท่อน้ำเลี้ยงที่ให้การสนับสนุนการก่อเหตุความรุนแรงแต่ละครั้ง ดังเช่นเหตุการณ์ที่กลุ่ม BRN ได้เข้าโจมตีฐานร้อย.ร.15121(ฐานพระองค์ดำ) เมื่อวันที่ 19 มกราคม2554ที่ผ่านมาก็เนื่องจากหน่วยนี้เป็นจุดที่ตั้งด่านตรวจเพื่อสกัดกั้นภัยแทรกซ้อนดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการสิ่งผิดกฎหมายที่ใช้เส้นทางนี้ในการลักลอบขนส่ง โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนไม่พอใจเพราะได้มีการจับกุมน้ำมันเถื่อนได้หลายครั้งสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการมีมูลค่ามหาศาล ผู้ประกอบการจึงมีการระดมทุนที่เรียกว่าลงขันประมาณ 1 ล้านบาทเพื่อใช้ในการเข้าตีฐานแห่งนี้


         การปราบปรามน้ำมันเถื่อนได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้จับกุมวันละประมาณ 60 คัน พอเริ่มจับกุมในที่พื้นที่จังหวัดยะลาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 ก็เริ่มมีระเบิดที่ จังหวัดยะลา แต่ระเบิดครั้งนี้มันแตกต่างจากระเบิดครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาก็คือมันเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่เผาผลาญตึกแถวในตัวเมืองยะลาไป 11 คูหา ก็ขยายผลปราบปรามหนักขึ้นไปอีกไปตรวจค้นโกดังน้ำมันเถื่อนที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส แล้วก็มีระเบิดอีกครั้งที่ร้านคาราโอเกะ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาสจนกระทั่งมีเหตุระเบิดอีกครั้งในจังหวัดยะลา จากการเข้าตรวจค้นจับกุมรายใหญ่ทุกครั้ง ประมาณ 1-2 วัน ก็จะมีเหตุระเบิดตามมาทุกครั้ง จนตรวจค้นไปถึงโกดังของเจ้าพ่อรายใหญ่ในพื้นที่และมีการตรวจค้นโกดังหลายแห่งจับกุมน้ำมันได้หลายหมื่นลิตร


         จากการตรวจค้นโกดังของ นาย นูซันตารา แวดือราแม หรือผู้ใหญ่ตารา ในพื้นที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก็ยอมรับว่าได้ค้าน้ำมันเถื่อนจริง ได้มีการส่งรถน้ำมันไปในพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส วันละประมาณ 20,000 ลิตร ผู้ใหญ่ตาราฯ เป็นผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่รายหนึ่ง มีเรือบรรทุกน้ำมันถึง 30 กว่าลำ แล้วก็ขยายจากผู้ใหญ่ตาราฯ ไปยังพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พบโกดังขนาดใหญ่ มีแท้งค์ขนาด 30,000 ลิตร อยู่จำนวน 6-7 ถัง พบหลักฐานการนำน้ำมันเถื่อนปลอมปนกับน้ำมันพฤติกรรมก็คือ ไปซื้อน้ำมันมาจำนวน 10,000 ลิตร แล้วนำน้ำมันเถื่อนผสมลงไปอีก 30,000 ลิตรแล้วนำไปส่งที่ปั๊มต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้


         สำหรับรายนี้ก็จะมีเครือข่ายอยู่จำนวน 14 แห่ง ยังพบหลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เอกสารการเบิกถอนเงินของชมรมอิหม่ามรือเสาะ จากการตรวจสอบพบว่ามีการถอนเงินจากสหกรณ์ อิพนูอัฟฟาน จำนวน 3 บัญชี ในวันที่19 และ 20มกราคม 2554จำนวน 1,015,000บาท โดยเจ้าของคือนายมนัส ตาฮี

           จากข้อมูลนั้นพบความเชื่อมโยงของนายมนัส - ตาฮี กับเครือข่ายของนายอับดุลฮาเล็ง ยามาสกา แกนนำพื้นที่ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา และมีความเชื่อมโยงไปถึง นายซูฟียัน ยะกูมอ ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการที่เข้าโจมตีฐาน ร้อย.ร.15121 จากการตรวจสอบมีข้อมูลว่าเดือนพฤศจิกายน2553 นายมนัส ตาฮี ได้จ่ายเงินให้กับเครือข่ายของนายซูฟียันฯ จำนวน 400,000 บาท โดยจ่ายเงินผ่านนางซูกีนา ยามาสกา ลูกสาวของนายอับดุลฮาเล็งฯ


             ต่อมาได้มีการขยายผลจากพื้นที่ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ไปยังพื้นที่จังหวัดยะลา เข้าตรวจค้นแหล่งสะสมน้ำมันหลังมัรกัสจังหวัดยะลา สามารถตรวจยึดบุหรี่หนีภาษีได้จำนวน20,000 กว่าคอตตอน มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งมี นายสุไฮมิง อาลีมามะเป็นเจ้าของและตรวจสอบเอกสารก็พบหลักฐานว่ามีการจ่ายเงินจากเครือข่ายสินค้าหนีภาษี และน้ำมันเถื่อน ไปยังสถานที่โรงเรียนตาดีกาตันหยงนากอ ซึ่งเป็นเครือข่ายฝ่ายเศรษฐกิจของนายอาหมัด ตือง๊ะ ที่ อำเภอบันนังสตา และ อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลาตรวจพบบัญชีที่มียอดเงินประมาณ8,000,000 บาท จากการตรวจสอบเลขบัญชี และเอกสารต่างๆ พบพฤติกรรม คือจะมีการโอนเงินทุกคืน ในห้วงเวลา 22.00– 24.00นาฬิกา คืนละประมาณ 200,000– 300,000 บาท มากที่สุด800,000 บาท รวมแล้วสัปดาห์ละ 2-5 ล้านบาท หนึ่งเดือนก็ประมาณ 20 ล้านบาท


           จากการติดตามตรวจสอบบัญชีพบโอนมาที่บัญชีนายมาหามะ โครมัส/ลาลา โกลก ที่ทำธุรกิจเรื่องการค้าผ้ามือสองบังหน้าอยู่ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ก็พบบัญชีที่มีวงเงินจำนวนมากเดือนละหลายสิบล้านบาท โดยมีการโอนมาจากจังหวัดอยุธยา, กรุงเทพ, สมุทรปราการ, สุราษฎร์ธานี, ภูเก็ต, ยะลา. และ ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมีพฤติการณ์หิ้วขนเงินสดวันละประมาณ 3 - 5 ล้านบาท นำไปฝากเข้าธนาคารในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเชีย แล้วพบการโอนเงินไปใน ประเทศมาเลเชีย,อินโดนีเซีย,ซาอุดิอาระเบีย, ปากีสถาน และ อัฟกานิสถานและยังพบโฉนดที่ดินจำนวนมาก รวมแล้วมีจำนวน 189 แปลง เป็นที่ดิน 184 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินในเขตเมืองที่มีมูลค่าสูง รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท

           ข้อมูลที่ได้เชื่อมโยงข้ามประเทศ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของชมรมสมาคมไทย –ปากีสถาน ซึ่งมีการไปประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศว่าอีกไม่นานแผ่นดินนี้ก็จะเป็นประเทศเกิดใหม่ ฉะนั้นถ้าใครมาถือครองที่ดินไว้ที่นี่ก็จะเป็นพลเมืองของประเทศใหม่ ก็สามารถลงหลักปักฐานทำมาหากินและทำธุรกิจได้ จึงให้นายมาหามะ โครมัส เป็นตัวแทนนายหน้าในการถือครองที่ดิน


 

            ท่านผู้อ่านครับ นี่เป็นเพียงแค่เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีความเชื่อมโยงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของกลุ่ม BRN อีกมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอจะมองภาพออกแล้วซินะครับว่า “ทำไม”สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงดูเหมือนกับว่าไม่มีวี่แววจะสงบลงได้ง่าย ๆถ้าเป็นเพียงแต่คำกล่าวอ้างจากกลุ่ม perMAS ซึ่งเป็นองค์กรบังหน้าโดยใช้เยาวชนที่เป็นนักเรียนและนักศึกษาที่ถูกครอบงำทางความคิดผิด ๆ ในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา และอัตลักษณ์ โดยฝังรากมาตั้งแต่โรงเรียนตาดีกาหรือปอเนาะแล้วนั้นมันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ 

            แต่ปัญหาภัยแทรกซ้อนเหล่านี้คือผลประโยชน์อันมหาศาลของกลุ่ม BRNที่เชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายภายนอกประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกันและมีการวางแผนกันอย่างเป็นระบบ ที่ทำให้การแก้ปัญหาของฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความยากลำบากในการแก้ปัญหาซึ่งในระดับรัฐบาลต้องประสานการปฏิบัติในการแก้ปัญหาเหล่านี้ให้สอดคล้องร่วมกัน และที่สำคัญพี่น้องประชาชนทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันทำให้แผ่นดินนี้ไม่ให้เป็นไปตามคำกล่าวอ้างของชมรมสมาคมไทย – ปากีสถาน ที่มีการไปประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศว่า“อีกไม่นานแผ่นดินนี้ก็จะเป็นประเทศเกิดใหม่ ฉะนั้นถ้าใครมาถือครองที่ดินไว้ที่นี่ก็จะเป็นพลเมืองของประเทศใหม่” เราจึงจะสามารถก้าวพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้ มิฉะนั้นการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ดูเหมือนว่าจะถึงทางตัน หรือมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

แหวะอก BRN

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม