วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เมื่อแนวร่วมโจรใต้โดนจับอาวุธปืนพร้อมของกลาง



แบมะ ฟาตอนี

             เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2557 เวลา 18.50 น. กลุ่มโจรใต้ใช้อาวุธปืน สงคราม ซุ่มยิงรถยนต์กระบะ ของ ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 4903 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดดังกล่าวได้เดินทางกลับจากการแข่งขันกีฬา และมอบรางวัลให้แก่โรงเรียนตาดีกาในพื้นที่ บ้านไอร์แตแต และกำลังมุ่งหน้าจะกลับฐานที่ตั้ง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นป่ารกทึบห่างจากฐานปฏิบัติการประมาณ 1 กิโลเมตร ได้มีกลุ่มคนร้ายประมาณ 4-5คน ใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะเกิดการยิงปะทะกันนานประมาณ 5 นาที หลังเสียงปืนสงบลง เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ จำนวน 7 นาย และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา จำนวน 2 นาย คือ อส.ทพ.นัฐพงศ์ พิมรัตน์ และ อส.ทพ.วิษนุ นวลแก้ว



           ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2557 เวลา 04.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารได้จัดกำลังขยายผลเข้าทำการตรวจค้นบ้านเป้าหมายในพื้นที่ บ้านสกูปา หมู่ที่ 8 ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส และพื้นที่ บ้านบาโงปะแต หมู่ที่ 1 ตำบลโคกสะตอ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 3 คน คือ
  • นายมาหะมะรอยาลี แมะเฮาะอีเล พร้อม ปลย.M-16 จำนวน 1 กระบอก 
  • นายอิบรอเฮม แมเฮาะอีเล และ 
  • นายอิสมาแอ มันธนาพร พร้อมของกลาง จำนวน 12 รายการ



            การลงมือปฏิบัติการลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ลงมือก่อเหตุคือกลุ่มแนวร่วมโจรใต้ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ รู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เวลาในการออกปฏิบัติงานการไปร่วมกิจกรรมกับโรงเรียนตาดีกา แอบซุ่มลอบทำร้าย ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างทุ่มเททำงานเพื่อชุมชนเพื่อพี่น้องประชาชนชาวปาตานีโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา

             ของกลางที่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึดได้ มีทั้งอาวุธปืนสงคราม M-16 ซองกระสุน กระสุนขาด 5.56 และ เสื้อชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ชุดลายพรางเจ้าหน้าที่ทหาร และวิกผม ซึ่งเสื้อผ้าเครื่องแบบทหารดังกล่าวผู้ต้องสงสัยมีไว้เพื่อปิดบังอำพรางตนเองในการเคลื่อนไหวลงมือก่อเหตุ แต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่ไม่ให้เป็นที่ต้องสงสัย และที่สำคัญเมื่อมีการก่อเหตุแล้วโยนความผิด สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการเข่นฆ่าประชาชน



              เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ผ่านมาจากการจับกุมผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมได้มีการยกฟ้อง ปล่อยตัว คดีที่สามารถเอาผิดจริงๆ ที่มีหลักฐานเพียงพอมีเพียงไม่กี่คดี น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเก็บรวบรวมหลักฐานวัตถุพยานต่างๆ ต้องมีความละเอียดรอบคอบ อีกทั้งการทำสำนวนส่งตัวฟ้องศาลมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างมีให้เห็นหลายต่อหลายครั้งผู้ต้องสงสัยที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถเอาผิดได้ กลุ่มองค์กร NGOs จะนำประเด็นดังกล่าวมาเคลื่อนไหว กล่าวหาโจมตี เจ้าหน้าที่รัฐรังแกประชาชน มีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีความเป็นธรรมและเท่าเทียม แต่ที่น่าสลดใจคือกลุ่มแนวร่วมที่เคยก่อเหตุโดนจับกุมตัวเมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลยุติธรรมหลักฐานมีไม่เพียงพอ แนวร่วมเหล่านั้นมีความเหิมเกริมกลับไปเคลื่อนไหวทำการก่อเหตุอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            กรณีการขยายผลเข้าทำการจับกุมกลุ่มแนวร่วมที่ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารพรานในครั้งนี้ หากการจับกุม เป็นตัวจริงเสียงจริงถือได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำงานเชิงรุก เอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย พร้อมทั้งสร้างบรรทัดฐานไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของผู้ที่กำลังบ่อนทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และลบข้อกล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมว่ามีความลำเอียง เลือกปฏิบัติ ไม่มีความเท่าเทียม

            ตามปกติแล้วการใช้กำลังทางทหารของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าทำการพิสูจน์ทราบค่อนข้างไม่ได้ผล เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเข้ามาพักอาศัยกินอยู่ชั่วคราวนั้นมักจะไม่ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะที่พวกเขาไม่พร้อมรบ ส่วนใหญ่จะหลบหนีออกจากหมู่บ้านไปก่อนล่วงหน้า หรืออำพรางตัวอยู่ในสถานะประชาชนมลายูทั่วๆ ไป กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจะปฏิบัติต่อฝ่ายเราก็ต่อเมื่อฝ่ายเราเข้าไปแย่งชิงมวลชนประชาชนมลายูในหมู่บ้านให้กลับมาร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ หรือเมื่อฝ่ายเราเสียเปรียบหรืออ่อนแอเท่านั้น ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มีการปฏิบัติการทางการทหารรูปแบบเดิมๆ ยุทธวิธีในการลอบโจมตีต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ระมัดระวังตัว



              หลังจากที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความสำคัญทุ่มเทในการปฏิบัติการจิตวิทยาประชาสัมพันธ์มุ่งเน้นให้พี่น้องมลายูเข้าใจและไว้วางใจ ชี้ให้เห็นผลกระทบของการก่อเหตุรุนแรงมีแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่หมู่บ้าน ชุมชนของพี่น้องมลายูเอง คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการ BRN ได้แจ้งเบาะแสข่าวสารจนนำไปสู่การจับกุมแนวร่วมขบวนการที่ทำการหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านได้จำนวนมาก ซึ่งนับเป็นนิมิตรหมายที่ดีของจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความสันติสุข ความเข้าใจกันของพี่น้องมลายูปาตานีกับเจ้าหน้าที่รัฐและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาไฟใต้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอยแสงสว่างแห่งสันติภาพให้เกิดขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้

@@@@@@@@@@@@@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม