วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รายอเศร้า...หลังคาร์บอมบ์เบตง


              เหตุ "คาร์บอมบ์" หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ ในเขตเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.57 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 40 รายนั้น หนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ เดโช ดารีเย๊าะ อายุ 32 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของโรงแรม ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้รถกระบะบรรทุกระเบิดที่คนร้ายขับมาจอดมากที่สุด




เขาเสียชีวิตทันทีหลังเสียงระเบิดกัมปนาท!

            การจากไปของเดโช ส่งผลกระทบกับอีก 4 ชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของเขา คือ มะลิวัลย์ ผลสมบูรณ์ ภรรยาวัย 32 ปี และลูกน้อยอีก 3 คน คือ ด.ญ.ภควดี ดารีเย๊าะ อายุ 6 ขวบ ด.ญ.ภัทรวดี ดารีเย๊าะ อายุ 4 ขวบ และ ด.ช.ภูมิกร ดารีเย๊าะ อายุ 11 เดือน เป็นเหตุร้ายใกล้วันวันฮารีรายอ ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งบุญของพี่น้องมุสลิมที่ใครๆ ก็ต่างรอคอย...

          "เขาหวังจะได้รายอพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว และเป็นฮารีรายอแรกในชีวิตของลูกชายคนเล็กที่อายุยังไม่ถึงปีเลย แต่เขาก็ไม่มีโอกาส" มะลิวัลย์เอ่ยเสียงเศร้าถึงความตั้งใจของสามี  เธอเล่าว่า สามีเพิ่งถูกเรียกตัวกลับไปทำงานที่โรงแรมเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง เท่ากับว่า

ทำงานได้ไม่ถึง 10 วันก็ต้องเจอเหตุร้ายถึงขั้นทำให้เสียชีวิต

          "วันที่ไปทำงานวันแรกก็เกิดลางไม่ดีกับเขา คือลูกคนที่ 2หยิบรูปถ่ายของเขาจากกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วใช้กรรไกรตัดเล่น ปกติลูกก็เล่นกระเป๋าสตางค์ หยิบโน่นหยิบนี่ออกมาเล่นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยเล่นรูปถ่ายของพ่อ วันนั้นเขาเห็นเขาก็โกรธ จึงได้ดุและตีลูก พร้อมกันหันมาถามฉันด้วยความกังวลว่าเป็นลางไม่ดีหรือเปล่า จะเกิดเรื่องร้ายๆ กับตัวเขาหรือเปล่า ฉันก็ได้ปลอบเขาไปว่าคงไม่มีอะไรมั้ง อย่าคิดอะไรมาก แต่เขาก็ยังกังวลตลอด"

แล้วก็ถึงวันเกิดเหตุ ซึ่งมะลิวัลย์บอกว่าพฤติกรรมของสามีก็ผิดปกติ เหมือนเป็นลางบอกเหตุ...

          "วันนั้นเป็นวันศุกร์ เขาก็ไปทำงานตามปกติ ฉันกับลูกทั้ง 3 คนก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ซื้อข้าวไปให้เขาที่หน้าโรงแรม เพื่อไว้กินหลังเปิดบวช (หลังพระอาทิตย์ตกดิน) ปกติทุกวันก็เอาข้าวไปให้ เขาจะคุยกับหนูและเล่นกับลูกสักพักหนึ่งจึงจะบอกให้ฉันกับลูกๆ กลับบ้าน แต่วันนั้นเมื่อรับข้าวไปแล้ว เขาก็บอกให้ฉันรีบพาลูกกลับบ้านทันที"

          "เชื่อไหมว่าเขาบอกกับฉันเองว่ารู้สึกผิดปกติกับรถกระบะที่จอดอยู่หน้าโรงแรม มีเสียงดังหน้ารถ และไฟหน้าหลุดออกมาก ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องรถกระบะ แต่ก็ทำตามที่เขาบอก รีบขับรถพาลูกกลับบ้านทันที"


ฝันร้ายของมะลิวัลย์ก็คือ เธอออกรถไปได้เพียงไม่ถึง 2 นาทีก็ได้ยินเสียงระเบิด...

          "ฉันกับลูกขี่รถออกมาจากหน้าโรงแรมได้แค่ 2 นาทีมั้ง ไปจอดติดไฟแดงห่างโรงแรมประมาณ 700 เมตรก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จึงรีบหันหน้าไปดู ก็เห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือที่หน้าโรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ตอนนั้นฉันตกใจมาก เห็นภาพไฟลุกและควันไฟดำหนาทึบ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น ได้แต่รีบขับรถย้อนกลับไปทางหน้าโรงแรมโดยเร็วที่สุด พร้อมภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาเป็นอะไรเลย หลังรับข้าวห่อจากฉันแล้ว เขาคงเดินเข้าไปในตัวอาคารโรงแรม และปลอดภัยจากแรงระเบิด"

แต่ความจริงที่เกิดกับเธอและครอบครัว ไม่เป็นไปอย่างที่เธอภาวนา...

            "พอย้อนกลับไปใกล้ๆ โรงแรม ก็ยังเข้าไปตรงจุดเกิดเหตุไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่กันเอาไว้ ฉันกับลูกจึงไปรอที่โรงพยาบาล แล้วก็ทราบภายหลังว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก เหมือนโดนทุบเข้าที่หน้าอกอย่างแรง"

            มะลิวัลย์ บอกว่า หากวันนั้นเธอกับลูกยังอยู่คุยเล่นกับสามีเหมือนเช่นทุกวัน ครอบครัวของเธอคงต้องเสียชีวิตจากแรงระเบิดทั้งหมด สามีบอกให้เธอรีบกลับบ้าน เป็นการช่วยชีวิตเธอกับลูกเอาไว้ แต่เขาต้องมาเสียชีวิตไปแทน

มะลิวัลย์ พูดถึงสามีว่า เป็นคนรักครอบครัวมาก จะทำอะไรแต่ละอย่างจะคิดถึงลูกตลอด

          "แม้ครอบครัวของเราจะยากจน มีเงินมีทองน้อย แต่เราก็มีความอบอุ่น รถมอเตอร์ไซด์เพียงคันเดียว เราก็ไปไหนมาไหนพร้อมกันได้หมดทุกคน"

         เธอเอ่ยถึงความในใจว่า หลังจากสูญเสียสามีไปแล้ว ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่กันอย่างไร

         "เราเคยมีกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกวันนี้ลูกร้องคิดถึงพ่อตลอด สงสารลูก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากถามไปยังคนก่อเหตุวางระเบิดว่า พวกคุณไม่มีครอบครัว ไม่มีคนที่รักหรือ ทำไมต้องมาทำอย่างนี้ รู้ไหมว่าการกระทำของคุณทำให้สามีของฉันที่เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำต้องเสียชีวิต ทำให้ลูกๆ ต้องขาดพ่อ ทำให้ครอบครัวของฉันขาดหัวหน้าครอบครัว อยากให้เรื่องแบบนี้ไปเกิดกับครอบครัวของพวกคุณบ้าง จะได้รู้ว่าการสูญเสียคนที่รักมันเป็นอย่างไร" มะลิวัลย์ กล่าวอย่างอัดอั้น

         ด้าน วาฮับ ดารีเย๊าะ อิหม่ามประจำมัสยิดดารุลมะห์มูร บ้านฮางุส ต.เบตง อ.เบตง บิดาวัย65 ปีของเดโช กล่าวทั้งน้ำตาว่า เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นเร็วมากจนครอบครัวตั้งรับไม่ทัน

          "เสียใจมากจริงๆ ที่ครอบครัวของเราต้องขาดเขาไป ทั้งที่ฮารีรายอปีนี้สำคัญกับเขามาก เขาดูตื่นเต้นที่ลูกคนเล็กจะได้ฉลองฮารีรายอร่วมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวเป็นปีแรก เขาบอกกับผมว่าข้าวสารจ่ายซะกาตให้มัสยิดของครอบครัวเขา จะให้เพิ่มมากกว่าปีก่อนๆ จาก 4กันตังเป็น 5 กันตังตามจำนวนสมาชิกของครอบครัว ทั้งยังเบิกเงินที่ทำงานมาเพื่อซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้ลูกและครอบครัว"

           วาฮับ บอกด้วยว่า เบตงไม่ค่อยมีเหตุร้าย เคยดูแต่ข่าวเวลาเกิดระเบิดหรือยิงกันในพื้นที่อื่น เห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากข่าว ไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งเหตุร้ายๆ จะมาเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม