วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ลัทธิอะไร ศาสนาอะไร














รวบแก๊งค้ายาบ้าพร้อมของกลางกว่า 2 แสนเม็ด ขณะกำลังลำเลียงส่งข้ามแดนมาเลเซีย



        ปัตตานี – ชุด สส.ศชต.ตามรวบแก๊งค้ายาบ้าข้ามชาติยึดยาบ้ากว่า 2 แสนเม็ด ไอซ์ 5 กก. ผู้ต้องหา 5 ราย หลังสืบทราบว่าจะมีการขนส่งยาข้ามแดนไปประเทศมาเลเซีย

        วันนี้ (30 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี นายวีรพงศ์ แก้วสุวรรณ ผวจ.ปัตตานี พล.ต.ศักดา เปรุนาวิน ผบ.ฉก.ปัตตานี พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศื ผบก.ภ.จ.ปัตตานี

         ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติมีผู้ต้องหา 5 ราย คือ นายอนันต์ บือราเฮง อายุ 39 ปี นายซาวาวี อาแว อายุ 30 ปี นายซลัน เจ๊ะมะ อายุ 30 ปี นายเอ็ม บุญเอียด อายุ 32 ปี และนายณรงค์ฤทธิ์ เสียเทพ อายุ 21 ปี พร้อมของกลางเป็นยาบ้า จำนวน 208,000 เม็ด ยาไอซ์ 5 กิโลกรัม รถยนต์ 3 คัน และโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ

         ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการสืบสวนสอบสวนของ พล.ต.ต.ดุษฎี ชูสังกิจ ผบก.สส.ศชต. ทราบว่า จะมีการขนยาเสพติดเครือข่ายทางภาคเหนือเพื่อลงมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนจะส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พรชัย สุวรรณวงศ์ รอง ผกก.สส.2 บก.ศชต. พ.ต.ต.มารุต สงขาว สว.สส.ภ.จ.ปัตตานี นำกำลังสกัดจับกุมที่ด่านตรวจเกาะหม้อแกง ม.7 ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และเมื่อมีรถเก๋งยี่ห้อเกีย ทะเบียน ชณ 8321 สงขลา ซึ่งเป็นเป้าหมายมาถึงเจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจค้นก่อนจะพบยาบ้าบรรจุในแพกพลาสติดจำนวนมาก จำนวน 100,800 เม็ด จับกุม นายอนันต์ คนขับ ก่อนจะขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ และยาบ้าอีก 100,000 เม็ด และยาไอซ์ 5 กก.ได้ที่บ้านเลขที่ 17 ม.1 ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา


         สำหรับขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ถือเป็นเครือข่ายจากภาคเหนือรายใหญ่มีการลักลอบขนจากภาคเหนือลงมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกระจายยาเสพติดในพื้นที่ และประเทศมาเลเซียด้วยการใช้รถยนต์หลายคันเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นไปได้

สตรีชาวยาซิดี ปลิดชีพตัวเอง ไม่ยอมถูกจับเป็นทาสกามารมณ์ของมุสลิมไอเอส




            สุดรันทด สาวงามชาวยาซิดี เลือกปลิดชีพตัวเอง แต่ไม่ยอมถูกจับเป็นเชลย และเป็นทาสกามารมณ์ของกลุ่มไอเอส

          สำนักข่าว ดิ อินดิเพนเดนท์ รายงานข่าว ญีลาน หญิงสาวงามชาวยาซิดี วัย 19 ปี ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยการเชือดข้อมือ และแขวนคอในห้องน้ำ เพื่อหวังหลบหนีการตกเป็นทาสกามารมณ์ เมื่อถูกกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย หรือ ไอเอส จับไปเป็นเชลยในเมืองโมซุล ประเทศอิรัก ซึ่งเป็นเมืองที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มดังกล่าว

            อัลบาบ วัย 19 ปี ถูกสมาชิกกลุ่มจิฮัดจับตัวไป เธอเล่าว่า เธอถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างทารุณ ทั้งๆที่กำลังตั้งครรภ์ และท้องของเธอก็ใหญ่พอที่จะสังเกตได้แล้ว พวกนั้นกระทำสิ่งที่โหดร้ายต่อเธอโดยปราศจากความปราณี และขู่ว่าหากไม่ยินยอม เธอจะถูกส่งไปขายในประเทศซีเรีย และหากหลบหนี ครอบครัวของเธอจะต้องตกอยู่ในอันตรายเกินจะคาดคิด

           จากการอ้างอิงขององค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่า สาเหตุที่เหยื่อต้องปลิดชีพตนเอง เนื่องจาก หากถูกกระทำชำเรา ตามหลักศาสนาจะถือเป็นการสูญเสียเกียรติและอาจจะทำให้ครอบครัวของพวกเขามัวหมอง และไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างภาคภูมิ หากไม่เลือกจบชีวิต พวกเธอจะต้องทนมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน

          โดนาเทลลาร์ โรเวอรา หนึ่งในพยานซึ่งเคยถูกจับเป็นเชลยของกลุ่มไอเอส เผยหลังได้รับอิสรภาพว่า ไอเอสใช้วิธีการขืนใจเหยื่อ มาใช้ในการโจมตี เนื่องจากว่านี่ไม่ใช่วิธีการฆ่าในทางตรง แต่เป็นการบังคับให้เหยื่อต้องลงมือฆ่าตัวตายเองในที่สุด ซึ่งถือเป็นการฆ่าทางอ้อม

          อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ได้มีรายงานจากสำนักวิเคราะห์ข่าว ซึ่งระบุว่า กลุ่มไอเอสมองว่ากลุ่มยาซิดี เป็นกลุ่มนอกรีต หากไม่จับมาเปลี่ยนศาสนาและจับแต่งงานกับนักรบในกลุ่มตน ก็จะจับไปขายตามชายแดนซีเรียในที่สุด

ส่งท้ายปีเก่า ส่งไอ้ลูกหมาฟาตอนี ไปเฝ้าโอลันล้า อีก 1 ตัว




ปะทะเดือดโจรใต้ฟาตอนีดับ 1
ส่งท้ายปี ยึดอาาวุธปืน M-16 คืนที่คนร้ายปล้นไปได้ 1 กระบอก


            เมื่อวันที่  31ธ.ค. 57 เวลา 07.30 น.  หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 45 ได้จัดกำลังจำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ออกทำการ ลาดตระเวรจรยุทธ์พิสูจน์ทราบพื้นที่เป้าหมาย แหล่งพักพิงหลบซ่อนตัวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงตามแผนยุทธการของหน่วย ในพื้นที่บ้านกูจิงรือปะ หมู่ที่ 4 ตำบลเฉลิม อำเอภระแงะ จังหวัดนราธิวาส ขณะทำการลาดตระเวรได้เกิดเหตุปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ทำให้ผู้ก่อเหตุรุนแรง เสียชีวิต จำนวน 1 ราย ชื่อ นาย อาดือนัน มะแซ / แอมะแซ หัวหน้ารือกูของ pratong ดือราพา เจ๊ะอุมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึด
  • อาวุธปืน M16 ตัดสั้น หมายเลข 9109695 ซึ่งเป็นอาวุธปืนของ ร้อย.ร. 15121 ที่ถูกแย่งชิงไปเมืีอเมื่อวันที่ 19 ม.ค.54 จำนวน 1 กระบอก 
  • อาวุธปืนพก จำนวน 1 กระบอก 
  • วัตถุระเบิดแบบขว้างไม่ทราบชนิด จำนวน 2 ลูก 








   ฝ่ายเจ้าหน้าที่ปลอดภัย ภายในพื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นกลุ่มเพิงพักพักจำนวน 6 หลัง โรงครัว 1 หลัง บาราเซาะ 1 หลัง ที่อาบน้ำ 1 หลัง รวม 9 หลัง

            สรุปคนร้ายที่ตาย คือ " อาดือนัน มะแซ " คนร้ายตามหมายจับในคดีบุกปล้นปืนฐานพระองค์ดำ ร้อย ร.15121 เสียชีวิตคาอาวุธปืนเอ็ม.16

             ความคืบหน้าเหตุการณ์ปะทะเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 31 ธ.ค. 57 พ.อ.รุ่งโรจน์ อนันตโท ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และ พ.อ.พสิษฐ์ ชาญเลขา หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส ได้ร่วมสั่งการให้เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 4515 ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหารพรานกรมทหารพรานที่ 46 และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยสงครามพิเศษได้สนธิกำลัง จำนวน 3 ชุดปฏิบัติการณ์ ขึ้นพิสูจน์ทราบบนเทือกเขาเมาะแต หลังโรงเรียนบ้านกูจิงรือปะ ม.4 ต.เฉลิม หลังสืบทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธ RKK จำนวนหนึ่ง ได้เคลื่อนไหวมาตั้งค่ายพักย่อย เพื่อเตรียมเคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในช่วงเทศกาลปีใหม่

             โดยเจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าจากด้านหลังของโรงเรียนกูจิงรือปะไปเชิงเขาไกล ประมาณ 3 ก.ม. ก่อนที่จะต้องเดินขึ้นเทือกเขาที่มีความสูงชันอีก 1 ก.ม. ไปตามลำน้ำไหลลงมาจากเทือกเขา และกับพบกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่งกระจายอยู่ โดยคนร้ายที่ทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ที่บริเวณโขดหินสูงเหนือค่ายพักย่อยเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ จึงได้ตะโกนให้พวกทราบ ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนนานาชนิดยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ จนทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันเป็นละลอกๆนานกว่า 20 นาที กลุ่มคนร้ายเห็นจวนตัวจึงได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ยิงเบิกทาง และพากันหลบหนีขึ้นเทือกเขาไป

          เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ พบคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 คน ทราบชื่อคือ นายอาดือนัน มะแซ หรือ แอมะแซ ซึ่งหมายจับในคดีบุกปล้นปืนฐานพระองค์ดำ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา นอนหงายถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่พรุนไปทั้งร่าง พร้อมตรวจยึด
  • อาวุธปืนเอ็ม.16 ชนิดตัดสั้น 1 กระบอก หมายเลขทะเบียนปืน 9109695 พร้อมกระสุน ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ถูกปล้นจากฐานพระองค์ดำ ร้อย ร.15121 ซึ่งตั้งอยู่ ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ 
  • ลูกระเบิดชนิดขว้าง 2 ลูก 
  • อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 11 ม.ม. 1 กระบอกพร้อมกระสุนปิน 
          และรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวอีก 9 หลัง ประกอบด้วย โรงครัว 1 หลัง บาราเซาะสำหรับใช้ประกอบพิธีละหมาด 1 หลัง ที่อาบน้ำ 1 หลัง และที่พัก 6 หลัง โดยแต่ละหลังใช้ผ้าใบกันฝนมุงเป็นหลังคา พร้อมกับเสบียงอาหาร ภาชนะใช้สำหรับปรุงอาหาร เสื้อผ้าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ยารักษาโรค และอื่นอีกเป็นจำนวนมาก

          ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งอัยการ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานคราบลายนิ้วมือแฝงและ ดี.เอ็น.เอ.ที่ติดอยู่ตามสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้ารวมไปถึงที่พัก เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับวัตถุพยานที่ตรวจพบก่อนหน้านี้ตามที่เกิดเหตุต่าง ๆ ว่าคนร้ายกลุ่มนี้มีใครบ้าง พ.อ.รุ่งโรจน์ อนันตโท ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ออกแผนปฏิบัติการณ์ไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่หลบหนีไปได้อย่างกระชั้นชิดและต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าน่าจะหลบหนีลงภาคพื้นดิน เพื่อไปหลบซ่อนตัวที่บ้านพักของสมาชิกแนวร่วมหลังใดหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับบ้านกูจิงรือปะ

วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คนร้ายวางระเบิด ยิงถล่มำเจ้าหน้าที่ทหารพราน 4816



           เมื่อเวลา 19.45 น. วันที่ 29 ธ.ค. ร.ต.ท.ก่อเกียรติ มณีโชติ ร้อยเวร สภ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายวางระเบิดแล้วยิงถล่มซ้ำเจ้าหน้าที่ทหารพราน สังกัด ร้อย.ทพ.4816 กรมทหารพรานที่ 48 ริมถนนบ้านเจาะเกราะ ม.1 ต.บูกิต ทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 นาย จึงสั่งระดมกำลังตำรวจทหารฝ่ายปกครองรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณริมถนนพบหลุมลึก 2 ฟุต กว้าง 3 ฟุต มีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก หนัก 10 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนและพงหญ้ารกทึบริมทาง โดยมีกองเลือดจำนวนหนึ่งตกอยู่ และที่บริเวณพุ่มไม้ฝั่งตรงข้ามห่างจากถนน 70 เมตร พบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 และอาก้าจำนวนหนึ่งตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

          ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ อส.ทพ.สมชาย คงยอด 22 ปี ถูกยิงเข้าที่ขา และ อส.ทพ.สุพล บุญฤกษ์ 21 ปี ถูกยิงที่ขาทั้ง 2 ข้างเช่นกัน เพื่อนทหารนำส่งโรงพยาบาลเจาะไอร้อง

           จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารพรานเดินทางออกจากฐานที่วัดเจาะไอร้อง เพื่อลาดตระเวนตรวจสอบเส้นทางพื้นที่รับผิดชอบ ถึงที่เกิดเหตุคนร้ายซึ่งแฝงตัวอยู่ในพุ่มไม้ริมทาง ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดที่ลอบนำไปวางไว้ริมถนน และเกิดระเบิดขึ้นแต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืดใต้พุ่มไม้ใหญ่ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และอาก้ายิงถล่มซ้ำใส่เจ้าหน้าที่ทหาร จนทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันเป็นระลอกๆนานกว่า 5 นาที เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้วิทยุเพื่อขอกำลังเสริม คนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่เข้าเสริมจึงได้อาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไป

        เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อลอบดักสังหารเจ้าหน้าที่รายวัน

ไอ้ลูกหมาฟาตอนี จะลงสมัคร อบต. คลั่งแขวนป้ายอีกแล้วครับทั่น



           เมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมานั้น กำลัง 3 ฝ่าย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้เข้าตรวจสอบบริเวณ ริมถนน 410 กม.38 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา พบมีการแขวนป้ายผ้า มีข้อความว่า “ตื่นเถิดพี่น้องมลายูนี้คือ แผนลัยสันติสุขรัฐบาล เผด็จการ.แจกปืน + เพิ่มกำลังรบ = มลายูฆ่ากันเอง" มีการพ่นสีสเปรย์ลงบนฝาผนังป้อม ชุดรักษาความสงบเรียบร้อยประจำหมู่บ้าน ชรบ.ข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า ”PATANI MERDEKA”

           การสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อหวังทำลาย และด้อยค่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อไม่ให้ชาวบ้านมาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวหาว่าเป็นการเพิ่มกำลังรบเพื่อให้ประชาชนฆ่ากันเอง แท้จริงนั้นรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของความปลอดภัยในหมู่บ้านและเปิดโอกาสให้มีการฝึกอบรม ชุดรักษาความสงบเรียบร้อยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อให้คนในชุมชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยและทุกสุถานะ ชนชั้น ที่มีความสนใจและเสียสละเวลาในการป้องกันแก้ไขปัญหาในชุมชนของตนเองในด้านต่างๆ เช่นอาชญากรรม ยาเสพติดการลักเล็กขโมยน้อย โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ได้มีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านของตนเอง

           อย่าหลงเชื่อกับการแอบอ้างต่าง ๆ ของผู้ไม่หวังดีที่คิดทำลายความสามัคคี ทำลายความรักระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ นโยบายของรัฐทุกๆโครงการมีที่มาและวัตถุประสงค์อย่างชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ด้วยประชาชนทุกคนในผืนแผ่นดินนี้

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตกลงจะเอางัยแน่ ปาตอนี ดารุสสาราม


          ดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ เผยว่า การอวยพรวันสำคัญของคนต่างศาสนิกเช่น คริสต์มาส และปีใหม่ ไม่ได้ผิดหลักศาสนาบัญญัติ อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับและเห็นชอบจากอัลกุรอานอีกด้วย

           ดารุลอิฟตาอ์ สถาบันชี้ขาดปัญหาทางศาสนาของมุสลิมอะห์ลิลสุนนะห์วัลญามาอะห์ มีคำวินิจฉัย อนุญาตให้มีการอวยพรวันสำคัญของคนต่างศาสนิกได้ พร้อมกับแนะนำว่า การปฏิบัติเช่นนี้เป็นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นที่ยืนยันจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน

          เนื่องในวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ พี่น้องมุสลิมในอียิปต์จำนวนมาก ได้ส่งคำถามยังดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ เพื่อถามในประเด็นการอวยพร ว่า สามารถกล่าวคำอวยพรได้หรือไม่ ซึ่งทางดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ มีคำวินิจฉัย ว่า เป็นสิ่งที่อนุญาต สามารถกระทำได้ และเป็นเป็นสิ่งที่อิสลามและอัลกุรอานให้การยอมรับ

             ดารุลอิฟตาอ์ กล่าวเสริมว่า ถึงแม้นว่าการอวยพรเป็นสิ่งที่อนุญาต แต่ต้องคำนึงถึงรูปประโยคและความหมายในการอวยพรด้วย จะต้องไม่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม

คำวินิจฉัยดังกล่าว อาศัยสองโองการจากอัลกุรอานเป็นเกณฑ์และบรรทัดฐานในการวินิจฉัย คือ โองการ وَقُولُوا لِلنَّاسِ حُسْنًا
และจงพูดจาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างดี
(โองการที่ 83 ซูเราะห์ อัลบากอรอฮ์)
และโองการ إِنَّ اللَّهَ یَأْمُرُ بِالْعَدْلِ وَالْإِحْسَانِ
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรมและทำดี
(โองการ 90 ซูเราะห์ นะห์ล)
            ซึ่งการอวยพรในวันสำคัญต่างๆของคนต่างศาสนิก ถือเป็นหนึ่งในการทำความดีงาม โดยที่พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ) ทรงมีคำสั่งให้ปฏิบัติและประพฤติดีต่อทุกคนโดยไม่แยกแยะว่าเขาจะนับถือศาสนาใด

           ดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ กล่าวเสริมว่า หลักฐานอีกข้อหนึ่งที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ คือ โองการในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ได้กล่าวว่า

لَا یَنْهَاکُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِینَ لَمْ یُقَاتِلُوکُمْ فِی الدِّینِ وَلَمْ یُخْرِجُوکُمْ مِنْ دِیَارِکُمْ أَنْ تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَیْهِمْ إِنَّ اللَّهَ یُحِبُّ الْمُقْسِطِینَ

          ความว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม
(ซูเราะห์ มุมตะฮีนะห์ โองการที่ 8 )

ซึ่งในโองการนี้พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ห้ามให้เราทำความดีกับคนต่างศาสนิก การปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา อีกทั้งการให้หรือรับมอบของขวัญจากพวกเขาแต่อย่างใด

           ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ก็ยังเคยรับของขวัญจากคนต่างศาสนิก โดยท่านกล่าวว่า การให้หรือรับของขวัญจากคนต่างศาสนิกเป็นสิ่งที่อนุญาต เช่นฮะดิษที่รายงานจากท่านอาลี บิน อะบีฏอลิบ(อ)
حيث ورد عن علي بن أبي طالب رضي الله عنه قال: “أهدى كسرى لرسول الله صلى الله عليه وسلم فقبل منه، وأهدى له قيصر فقبل، وأهدت له الملوك فقبل منها”

             จากฮะดิษดังกล่าว ทำให้บรรดาอุลามาอ์ มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า การรับของขวัญจากคนต่างศาสนิก ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งดีงามที่เป็นที่อนุญาตเท่านั้น แต่ยังเป็นมุสตะฮับ ตามหลักชัรอีย์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นแบบอย่างและซุนะห์ของท่านศาสดา(ซล) อีกด้วย

http://m.almasryalyoum.com/news/details/611792

http://dotmsr.com/ar/101/9/166480/

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

“ญิฮาดุนนิกะห์” การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าหรือ “นางบำเรอ” ตอน 2




           สำนักข่าว IMM :ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่าเชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า “การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”

           ในรายงานนี้นอกจากจะเปิดเผยคำบอกเล่าต่างๆ ของเด็กสาวถึงสิ่งต่างๆ ที่เธอประสพในแผ่นดินซีเรีย และความโหดร้ายบรรดานักรบกบฏซีเรียที่ได้กระทำกับพวกเธอ ยังมีนักวิชาการด้านสังคม และด้านสาธารณสุขได้ออกมาให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกสองคน ซึ่งทั้งสองได้กล่าวย้ำเหมือนกันต่อความรุนแรง ความป่าเถื่อนของพวกวะฮาบีย์สลาฟีย์ นับวันพวกวะฮาบีย์จะนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่สามารถพามวลมุสลิมไปสู่การเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายมากขึ้นทุกวัน กิริยามารยาท การเป็นอยู่ในสังคมของพวกเขา โดยเฉพาะการปฏิบัติกับบรรดาสตรี เป็นการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์

           นักวิชาการทั้งสองได้เรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ทางการของตูนิเซีย นอกเหนือจากการมีมาตรการดำเนินการกับกลุ่มวะฮาบีย์ในตูนิเซียแล้ว ควรที่จะมีมาตรการจัดการกับบรรดาหญิงสาวที่ถูกหลอกให้เดินทางไปซีเรียด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะปลดปล่อยพวกเธอจากการถูกนำตัวไปเป็น “นางบำเรอ” ในประเทศซีเรีย

            มีนักเขียนชื่อดังชาวตูนิเซียคนหนึ่ง ถือว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกวะฮาบีย์ในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” คือ “การทำลายล้างความบริสุทธิ์ เกียรติยศ และความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ”

            หลังบทรายงานที่หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้ตีพิมพ์ไม่นาน นายมุฮัมมัด อัลอาราวีย์ โฆษกรัฐบาลตูนิเซียได้มีคำแถลงการณ์ออกมาอย่างเป็นทางการทันที และได้ถูกนำออกเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ โดยประกาศว่า “กองกำลังความมั่นคงภายในประเทศได้ทำการบุกทลายรังต่างๆ ที่กำลังล่อลวงหญิงสาวตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย และนักเคลื่อนไหวหลายๆ คนที่ทำงานให้กับเครือข่ายของกลุ่มวะฮาบีย์ในตูนิเซีย”

            โฆษกรัฐบาลตูนิเซีย ยังได้กล่าวอีกว่า “การลวงหลอกสตรีไปเป็นนางบำเรอทางเพศในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” ไม่ได้มีเฉพาะสตรีชาวตูนิเซียเพียงประเทศเดียว ในประเทศอาหรับหลายประเทศพวกวะฮาบีย์ก็มีการดำเนินการเช่นเดียวกัน”

            ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลตูนิเซียได้ทำการจับกุมบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ และบรรดาสาวกที่มีส่วนในการโฆษณาชวนเชื่อฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในประเทศตูนิเซีย ทว่าสื่อต่างๆ ของตูนิเซียรายงานว่า ยังมีอีกหลายช่องทางที่ทำงานกันอย่างลับๆ ลวงหลอกสตรีตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย นอกเหนือจากนั้นนักวิชาการของวะฮาบีย์อีกจำนวนมากที่ยังคงกระทำความผิดนี้ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินที่จะหยุดการทำงานนี้ได้

            ฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) “ญิฮาดุนนิกะห์” ที่บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ได้ประกาศออกมานั้น คือ ถ้าหากสตรีคนใดสามารถทำให้ตัวเองเดินทางไปยังแผ่นดินซีเรีย และปฏิบัติภารกิจสนองอารมณ์ใคร่แก่บรรดานักรบกบฏซีเรีย ผลบุญที่เธอจะได้รับเทียบเท่ากับการ “ญิฮาด” (ต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) เคียงคู่นักรบเหล่านั้น” ซึ่งฟัตวานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนมหาศาลจากบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ซาอุดิอาระเบีย และกาตาร์ ด้วยเหตุนี้เองบางส่วนของสตรีที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ เพียงเพื่อต้องการเงินทองจำนวนหนึ่ง โดยการทำงานเพียงระยะสั้นๆ บ้างเดิมทีก็เป็นโสเภณี และผู้หญิงหากิน

           เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเด็กสาวคนหนึ่งชาวซีเรียอายุเพียง 15 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัคบารียะฮฺแห่งซีเรีย ผ่านรายการหนึ่งของสถานีดังกล่าว โดยเธอได้เล่าให้ฟังว่า “พ่อของหนูเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียและได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏซีเรีย เมื่อไม่นานมานี้พ่อของหนูได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับนักรบกบฏอีก 3 คน พ่อของหนูได้บังคับให้หนูทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับนักรบชายทั้งสามคนนั้น หนูขัดขืนแต่ก็ต่อสู้ไม่ไหวจึงต้องตกเป็นเหยื่อ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของนักรบชายทั้งสามจนสลบไป ทันทีที่หนูฟื้นจากสลบหนูก็ได้พบกับพ่อ พ่อได้กล่าวกับหนูว่า ถ้าลูกทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับพ่อ หนูจะได้เข้าสรวงสวรรค์ ทันใดนั้นพ่อก็ข่มขืนหนูทันที และนับแต่วันนั้นหนูก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลย”

            ช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติในซีเรียบรรดาสตรีเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ ทว่าหลังจากมีฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยนักวิชาการวะฮาบีย์ การเดินทางเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของสตรีอาหรับท่ามกลางบรรดานักรบกบฏซีเรียเวลานี้มีจำนวนไม่น้อย นักวิชาการวะฮาบีย์ยังได้มีฟัตวาอีกว่า “บรรดาสตรีชาวซีเรียที่ถูกจับตัวได้ ถือเป็นเฉลยศึกสงคราม อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอได้ตามหลักการศาสนา” ในเวลานี้บรรดาสตรีชาวซีเรียถูกบรรดานักรบกบฏข่มขืนกระทำชำเราไม่เว้นแต่ละวัน นักวิชาการวะฮาบีย์ได้อ้างว่า “สตรีคนใดก็ตามที่ได้พลีตัวเองเพื่อสนองความใคร่ให้กับบรรดานักรบที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เธอคือผู้ที่เปรียบเสมือนได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่สนามรบแล้ว”

            “ญาดดุลลอฮ์ ซอฟา” นักเขียนชาวอาหรับ ได้แสดงปฏิกิริยาต่อบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ที่ออกคำฟัตวาต่าง ๆ เช่นนี้ เขาถือว่าบุคคลเหล่านี้คือ “พวกเชคค้าประเวณี” โดยที่ประเด็นของพวกเขาเป็นเพียงการทำให้การค้าประเวณีนี้ดูเป็นที่อนุมัติทางศาสนา (ฮะล้าล) เท่านั้น และเขาได้ย้ำว่า ตราบที่ประชาชาติยังมองดูสตรีว่าเป็นสินค้าอยู่นั้น ย่อมไม่มีเกียรติศักดิ์ศรี นอกจากนี้เขายังตั้งคำถามว่า : อีกนานเท่าใดที่เกียรติและศักดิ์ศรีของเราจะถูกละเมิดภายใต้ชื่อของศาสนา และเราก็จะยังคงเงียบเฉยอยู่?

            เช่นเดียวกันนี้ ฮุเซน บินอะห์มัด อัซซิรอญี ได้เขียนบทความหนึ่งภายใต้หัวข้อ "ญิฮาดุ้นนิกะห์ในซีเรีย" เขาถือว่าการญิฮาดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในตูนิเซียนั้น เป็นสิ่งอุตริ และเป็นการสร้างโดยการปลุกปั่นของกลุ่มตักฟีรีย์ (พวกที่ถือว่าผู้ที่มีความเชื่อและแนวคิดไม่เหมือนกับตนคือผู้ปฏิเสธศาสนา) และบรรดาผู้ออกฟัตวาที่ชั่วร้าย และเขาได้เขียนว่า : เป็นที่น่าเกลียดยิ่งที่คำฟัตวาที่ชั่วร้ายเหล่านี้ได้ถูกออกมาในชื่อของอิสลาม เนื่องจากว่าคำฟัตวาลักษณะเช่นนี้นอกจากก่อให้เกิดความเสียหายต่ออิสลามแล้ว ยังแนะนำชาวมุสลิมให้ถูกรู้จักในนามผู้คลั่งตัณหาอีกด้วย ในขณะที่ญิฮาด (การต่อสู้) นั้นจะถูกปฏิบัติเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อตอบสนองอารมณ์ใคร่ต่าง ๆ และตราบที่บรรดาผู้ที่ออกคำฟัตวาเหล่านี้ยังไม่ส่งพี่สาว น้องสาวและลูกสาวของตนเองออกไปเพื่อกระทำ “ญิฮาดุ้นนิกะห์” แน่นอนผมจะยังไม่ยอมรับถึงความถูกต้องของสิ่งนี้!

            ในความเป็นจริงแล้ว บรรดาบุคคลเหล่านี้สวมใส่อาภรณ์ของความเป็นอิสลามสำหรับตน แต่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังพยายามทำลายอิสลามและศาสนาแห่งฟากฟ้าทั้งมวล และพวกเขากำลังหว่านเมล็ดพันธ์ของความเกลียดชัง ความเครียดแค้นชิงชังและความเป็นปฏิปักษ์ให้เกิดขึ้นในระหว่างพี่น้องและประชาชาติทั้งหลาย และการออกคำฟัตวาเช่นนี้ภายใต้ธงแห่งอิสลามนั้น ถือเป็นความอัปยศสำหรับประชาชาติอาหรับ

          เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ คือหนึ่งจากบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์ ที่ได้ออกมาเชิญชวนบรรดาสตรีโลกอาหรับเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อสองความใคร่ทางเพศแก่บรรดานักรบกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยเขาได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลายครั้งเพื่อชวนเชิญสตรีโลกอาหรับ โดยได้กล่าวว่า “การญิฮาดที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาสตรีในเวลานี้ที่ต่อรัฐบาลนายบาชัร อัลอัซซาด คือการ “ญิฮาดุนนิกะห์” อีกทั้งได้รับประกันสรวงสวรรค์สำหรับพวกนางไว้เสร็จสรรพ และยังได้มีการระบุอายุห้ามต่ำกว่า 14 ปีอีกด้วย

          เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งได้ถามกับเชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ว่า “โอ้... เชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ถ้าท่านมีความเชื่อต่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียจริงๆ ทำไมท่านไม่ส่งภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว หรือหลานสาวของท่านไปแผ่นดินซีเรีย เพื่อทำการญิฮาดดุนนิกะห์บ้างล่ะ?”


           การประกาศฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียแก่บรรดาสตรี นำไปสู่การผิดประเวณีอย่างกว้างขวางในหมู่นักรบกบฏซีเรีย ถึงขั้นมีการบังคับชาวซีเรียที่มีลูกสาวให้นำตัวลูกสาวของตนมาปฏิบัติภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางศาสนา ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทว่ามันได้ลุกลามไปในหมู่รักร่วมเพศที่เป็นนักรบกบฏซีเรียอีกด้วย

           เมื่อวานนี้ 25/9/56 สำนักข่าวอัลอาลัม ALALAM NEWS NETWORK รายงานว่า เชคฟารีด อัลบาญี หัวหน้ากลุ่ม “ดารุลฮะดีษุลซัยตูนียะฮฺ” ในตูนิเซีย ได้กล่าวแก่สื่อของตูนิเซียว่า “ญิฮาดุนนิกะห์ ไม่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน และไม่มีในแบบฉบับของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ญิฮาดุนนิกะห์ไม่มีในอิสลาม”

          เชคฟารีด อัลบาญี ได้ประณามบรรดาผู้ที่ได้ส่งตัวหญิงสาวชาวตูนิเซียไปเป็นนางบำเรอกามรมณ์แก่บรรดานักรบกบฏในซีเรีย และได้เรียกร้องไปยังประชาชนตูนิเซียอย่าหลงเชื่อคำฟัตวาหลอกลวงในนามอิสลาม

  • “ญิฮาดุนนิกะห์” คือการข่มขืนกระทำชำเราสตรีมุสลิมในนาม “ญิฮาด”
  • “ญิฮาดุนนิกะห์” เครื่องมือสร้างความเป็นทาสทางกามรมณ์แก่สตรีมุสลิมในประเทศซีเรีย
  • “ญิฮาดุนนิกะห์” การต่อสู้ในหนทางของพระผู้เจ้า หรือ “นางบำเรอ” ?

- See more at: http://www.immjournal.com/analysis/752-yehadnekah.html#sthash.lWnDYf2B.dpuf

หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ เชื่อมั่นเดินหน้าพูดคุยสันติภาพ ไฟใต้จะมอดในไม่ช้า



          จากการที่ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ภายในเรือนจำกลางปัตตานีนั้น ทำให้พบว่าสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำนั้นทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เจ้าหน้าที่เรือนจำปฏิบัติดีต่อผู้ต้องหาทุกคน ทำให้ผู้ต้องขังไม่ค่อยเครียด เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสามารถปฏิบัติตามหลักศาสนา มีสถานที่ละหมาดสำหรับผู้ต้องขังเป็นมุสลิม

          หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ผู้สื่อข่าวทุกสำนักต้องการทราบจากเรียวปากผู้ต้องหาความ มั่นคงคือ การพูดคุยสันติสุขระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย กับผู้ที่มีความคิดต่างหรือกลุ่มขบวนการปลดปล่อยรัฐปัตตานี ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระลอกใหม่ หลังจากเคยมีการพูดคุยสันติภาพมารอบหนึ่งแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งถูกรัฐประหารโค่นล้มไปโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น ปรากฏว่าผู้ต้องขังทุกคนเห็นด้วยที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางนี้แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่จะสามารถสร้างความสันติสุขเกิดขึ้นใน พื้นที่ได้จริง โดยไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา

          อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังได้ฝากให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงจังและจริงใจต่อการพูดคุยที่จะ เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสันติสุขในดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทย เนื่องจากตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมากลุ่มผู้ที่คิดต่างคิดว่ารัฐไทยยังขาด ความจริงใจต่อการพูดคุย เพราะไม่ใช่พึ่งพูดคุยเป็นครั้งแรก แต่มีการพูดคุยมาแล้วเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ซึ่งแทบจะไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน

           จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้การพูดคุยสันติสุขที่กำลังจะมีขึ้น เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันขึ้นได้เสียก่อน เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นแนวทางว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจกับการพูดคุยใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน ชายแดนใต้

           อันจะเห็นได้จากการพูดคุยสันติสุขรอบที่ผ่านมาล่าสุด ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นข่าวที่สังคมรับรู้นั้น ฝ่ายรัฐไทยมี พล.อ.อิศรา เกิดผล เป็นหัวหน้าทีม เดินทางไปพูดคุยกับกลุ่มผู้ที่คิดต่างในประเทศที่สาม โดยมีตัวแทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ กลุ่มมูจาฮิดีน และกลุ่มพูโล ซึ่งการพูดคุยในครั้งนั้นทางกลุ่มผู้เห็นต่างได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทยส่ง สัญญาณความจริงใจ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจต่อการพูดคุยก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการเดินหน้าพูดคุยต่อไป

           นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงใจด้วยการปล่อย ตัวผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนใต้ที่มีไม่น้อยกว่า 300 คนโดยไม่มีเงื่อนไข รวมไปถึง นายสะมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมาแอท่าน้ำ อดีตสมาชิกพูโลเก่า และ นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือ หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโลใหม่และพวก ซึ่งปัจจุบันได้ถูกจำคุกที่เรือนจำมาแล้ว 17 ปี หลังจากที่ถูกศาลพิพากษาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน

          หลังจากการพูดคุยในครั้งนั้น หน่วยงานด้านความมั่นคงในชายแดนใต้ได้ขยับตัวครั้งสำคัญ มีการโยกย้ายกำลังพลที่นิยมความรุนแรงออกจากพื้นที่ ลดการปิดล้อมเพื่อลดการสร้างเงื่อนไขและการสูญเสียจากเหตุปะทะที่อาจเกิด ขึ้นได้ทุกเมื่อในระหว่างการปิดล้อม เบื้องต้นเพื่อให้เป็นรูปธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรง ทางศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ได้มีการตัดลดงบประมาณเพื่อการปิดล้อมตรวจค้น ลดการเบิกอาวุธสงคราม และย้ายยานพาหนะกระจ่ายไปตามโรงพักต่างๆในพื้นที่

           ปัจจุบันมีการเปิดเวทีพูดคุยสันติสุขกับผู้ที่มีความคิดต่างที่นำโดย พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณการะเกตุ ผบ.ศชต. ซึ่งมีการเดินสายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการนำร่องด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ว่าจะใช้หลักสันติวิธีในการ แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ร่วมกัน โดยจะไม่ใช่อำนาจรัฐมากเกินไป จนทำให้เกิดภาพของการรังแกประชาชน

          ด้าน นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือ หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อายุ 57 ปี อดีตแกนนำกลุ่มพูโลใหม่ ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่าได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อครั้งเป็นประธานเปิดงานเยี่ยมญาติ ณ เรือนจำกลางปัตตานี เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีด้วยความเป็นธรรมกับผู้ต้องหา หลังจากในช่วงที่ผ่านมามีผู้ต้องหาหลายรายหลังจากพ้นโทษและได้ออกจากเรือนจำ ปัตตานี แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ไปดักรับตัวแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ ส่งผลให้ถูกนำตัวไปฝากขังต่อ ทำให้ผู้ต้องหาต้องขาดอิสรภาพหลังจากพ้นโทษที่เรือนจำ

         หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ ให้ความคิดเห็นด้วยว่า การที่รัฐบาลไทยเดินหน้าพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างนั้น เรื่องนี้ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการพูดคุยเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้แผ่นดินชายแดนใต้เกิดความสงบขึ้นมา ได้ อีกทั้งเขายังเชื่อด้วยว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา น่าจะมีศักยภาพและมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลที่แล้วๆ มา หรือเชื่อได้มากที่สุดต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ จึงหวังว่ากระบวนการพูดคุยสันติสุขต่อจากนี้จะบรรลุแน่นอน และประสบผลสำเร็จในช่วงของรัฐบาลนี้ โดเยจะสามารถนำสันติสุขกลับมาสู่แผ่นดินปลายด้ามขวานได้อย่างแน่นอน

หน่วยความมั่นคงมาเลเซียพบ 4 กลุ่มหัวรุนแรง หวังตั้งรัฐอิสลามในย่านเอเชียอาคเนย์ รวมภาคใต้ไทย



          สื่อมาเลเซียเผยแพร่หน่วยความมั่นคงพบ 4 กลุ่มหัวรุนแรง หวังตั้งรัฐอิสลามในย่านเอเชียอาคเนย์ รวมภาคใต้ไทย

         เหตุผลที่มาเลย์กลัวกลุ่มรัฐอิสลาม เร่งเครื่องเต็มพิกัดออกกฏหมายต้านการก่อการร้าย นั่นเพราะมาเลย์มีสัญชาตญาณความคุ้นเคยกับกลุ่มเหล่านี้ มาเลย์รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับจังหวัดชายแดนใต้ไทย มาเลย์อุ้มชูกลุ่มบุคคล 2 สัญชาติที่ก่อเหตุในไทยแล้วหลบหนีไปเป็นพลเมืองของมาเลย์

           ที่ผ่านมาชาวไทยได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเมื่อกลุ่มแกนนำได้ปรากฏตัวออกสื่อที่มีฐานที่ตั้งเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในประเทศมาเลย์ และมาเลย์รู้ดีว่าแกนนำเหล่านี้ฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมายรวมถึงพยายามแบ่งแยกประเทศ แต่แทนที่มาเลย์จะรังเกียจอาชญากรพวกนี้กลับเลี้ยงไว้ซะงั้น...

          หนังสือพิมพ์ สเตรทไทม์ส ในสิงคโปร์ อ้างรายงานของนิวสเตรทไทม์ส ในมาเลเซียว่า หน่วยความมั่นคงมาเลเซียพบและระบุชื่อกลุ่มก่อการร้ายสี่กลุ่มใหม่ ที่หวังจะตั้งรัฐอิสลามครอบคลุมพื้นที่หลายส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบเดียวกับกองกำลังรัฐอิสลาม(ไอเอส)

           มาเลเซียเผยชื่อกลุ่มทั้งสี่เป็นตัวย่อ ได้แก่ บีเคเอดับเบิลยู, บีเอเจ, ดิมเซีย และเอดีไอ โดยเชื่อว่าปฏิบัติการเคลื่อนไหวในหลายรัฐ อาทิ สลังงอร์ และเปรัค

          แหล่งข่าวกรองเผยกับนิวสเตรทไทม์สว่า กลุ่มเหล่านี้มีที่มาจากกลุ่มก่อการร้ายที่รู้จักกันก่อนหน้า อาทิ เจมาห์ อิสลามิยาห์ (เจไอ) และ "กัมปูลัน มูจาฮีดิน มาเลเซีย" (Kumpulan Mujahidin Malaysia) ที่อยู่เบื้องหลังส่งชาวมาเลเซียจำนวนหนึ่งไปร่วมรบกับกองกำลังในซีเรีย หลังผ่านการฝึกจากทางใต้ของไทย และกับกลุ่มอาบู ไซยาฟ ในฟิลิปปินส์

          แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ทั้งสี่กลุ่มเคลื่อนไหวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน แต่พวกเขารับอุดมการณ์เดียวกับกลุ่มสุดโต่งอย่างอัลไกดาและกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย ที่เปลี่ยนชื่อเป็น รัฐอิสลาม (ไอเอส) และเพิ่งประกาศตั้งรัฐอิสลามแบบในยุคกลางในดินแดนคาบเกี่ยวอิรักกับซีเรียหลังจากยึดครองได้

          ส่วนรัฐอิสลามตามเป้าหมายของกลุ่ม 4 กลุ่มในมาเลเซียนี้ มีชื่อว่า ดัวละห์ อิสลามิยะห์ นูซันตารา ครอบคลุมพื้นที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ทางใต้ของไทยและใต้ของฟิลิปปินส์ รายงานระบุด้วยว่า ค่ายฮูไดบิยาห์ ค่ายฝึกหลักของอาบู ไซยาฟ ในฟิลิปปินส์นั้น รับสมาชิกกลุ่มเหล่านี้ไปเรียนรู้สงครามในเมือง และฝึกทักษะความชำนาญประกอบวัตถุระเบิด

            แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ผู้นำและสมาชิกอาวุโสของสี่กลุ่ม มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคใต้ของไทย อินโดนีเซีย พม่า ตลอดจนอาบู ไซยาฟ และไอเอส ซึ่งหน่วยความมั่นคงวิตกว่า กลุ่มต่างๆ ทั้งหมดนี้อาจหันมาร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุความฝันในที่สุด

         มีรายงานว่า บีเคเอดับเบิลยู หาสมาชิกผ่านเฟซบุ๊กและตามที่ชุมนุม หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มคือ นายอาห์หมัด ทาร์มิมิ มาลิกิ คนงานโรงงานวัย 26 ปีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส และเป็นผู้สังหารทหาร 25 คนด้วยการโจมตีพลีชีพในอิรักเมื่อ 26 พฤษภาคม

           กลุ่มดิมเซีย (Dimzia) เพิ่งตั้งในปีนี้ เป็นกลุ่มแยกตัวออกมาจากกลุ่มบีเอเจ แม้ผู้นำของดิมเซียถูกทางการรวบตัวแล้ว แต่สมาชิกยังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนกลุ่มเอดีไอ มีอายุไม่ถึงหนึ่งปี แต่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์ชัดเจนกับกลุ่มหัวรุนแรงต่างชาติ รวมถึง เจมาห์ อันชารุต เทาฮิด ในอินโดนีเซีย

เยาวชน ยาวี ของบ้านเรา จะมีสมองเท่ากับเด็กไนจีเรียหรือปลาว


          เด็กสาวไนจีเรียวัย 13 เผยถูกพ่อแม่ส่งตัวให้โบโกฮาราม เอาไปเป็นมือระเบิดพลีชีพ

         บีบีซีรายงานวันที่ 25 ธ.ค. ว่า ตำรวจไนจีเรียนำเด็กหญิง อายุ 13 ปี เปิดแถลงข่าวถึงชะตากรรมน่าสลดใจที่ถูกพ่อแม่ส่งตัวให้กลุ่มติดอาวุธโบโกฮารามไปใช้เป็นมือระเบิดพลีชีพในรัฐคาโน ทางภาคเหนือ กระทั่งเด็กหญิงถูกจับกุมในสภาพยังถูกติดตั้งระเบิดอยู่กับร่างกาย ส่วนเด็กสาวอีก 2 คนจุดชนวนระเบิดเสียชีวิตไปแล้วในเหตุการณ์วันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 ราย

        เด็กหญิงเล่าว่า เมื่อพ่อแม่ส่งตนเองไปให้โบโกฮารามแล้ว สมาชิกในกลุ่มดังกล่าวถามตนว่า รู้หรือไม่ว่าการวางระเบิดพลีชีพคืออะไร แล้วถามว่า "เธอทำได้รึเปล่า" ซึ่งตนตอบกลับไปว่า ทำไม่ได้ สมาชิกโบโกฮารามจึงเกลี้ยกล่อมต่อว่า "ถ้าเธอทำ เธอจะได้ขึ้นสวรรค์" แต่ตนก็ยังยืนกรานว่าทำไม่ได้ พวกนั้นจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นก็จะยิงตนทิ้งหรือเอาไปขังที่ห้องใต้ดิน ตนจึงจำใจต้องทำและได้รับบาดเจ็บจากการที่เด็กสาวอีกสองคนจุดชนวนระเบิดในวันเกิดเหตุ

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปิดล้อมตรวจค้น ไอ้โจรลูกหมาฟาตอนี ยิงปะทะแหวกวงล้อมหลบหนีเข้าป่า 5 ตัว หนีไปอยู่กุโบ 1 ตัว


              เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 57 เวลา 12.00 น. พ.อ.รุ่งโรจน์ อนันตโท ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ได้สั่งการ ให้ ร.ต.สมมาตร หญิตจันทร์ ผบ.ร้อย กองร้องทหารพรานที่  4513 กรมทหารพรานที่ 45 นำกำลังชุดปฏิบัติการ 2 ชุด ออกลาดตระเวนจรยุทธ์ทางยุทธวิธี เพื่อกดดันแนวร่วมและสมาชิกกลุ่ม นายอารง ดือราแม ซึ่งเป็นคนประกอบระเบิดและเป็น 1ใน 6 ผู้ต้องหาที่หลบหนีออกจาก ห้องขัง สถานีตำรวจภูธรตันหยง อำเภอเมืองฯนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ม.ค.54 ที่ผ่านมา ได้แฝงตัวเคลื่อนไหวและหลบซ่อนอยู่ที่บ้านเลขที่ 44/9 หมู่ 4 บ้านบือแจง ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โดยมีกลุ่มคนร้ายและสมาชิกจำนวน 6 - 7 คน




           เมื่อกลุ่มคนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่ทหาร คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ ในขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามเจรจาให้กลุ่มคนร้ายยอมมอบตัว แต่คนร้ายยังคงยิงออกมาจากบ้านดังกล่าวเป็นระยะ ๆ จนมีการเปิดฉากยิงปะทะกันเป็นละลอก ๆ นานกว่า 10 นาที คนร้ายพยายามที่จะ อาศัยความชำนาญพื้นที่ยิง เบิกทางและกระโดดออกทางหน้าต่างเพื่อหลบหนีไปยังป่าหลังบ้านดังกล่าว  เจ้าหน้าที่พยายามบีบพื้นที่ โอบล้อมกลุ่มคนร้าย จนเจ้าหน้าที่และกลุ่มคนร้ายยิงปะทะกันอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ทำการเคลียร์พื้นที่ พบศพคนร้ายเสียชีวิต 1 คน คือ นายฟูรดีน หรือ ดิง ยูโซ๊ะ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน 1960500169799 อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 190 หมู่ 13 ตำบลมะรือโบออก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส โดยในมือยังกำอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 11 มม.พร้อมกระสุนไว้ 1 กระบอก พร้อมด้วยกระเป๋าสะพายเป้สนามที่ทำตกหล่นไว้ขณะหลบหนี ส่วนตัวนายอารง ดือราแม มือประกอบระเบิด และพวกอีก 5 - 6 คน สามารถหลบหนีไปได้ แต่เจ้าหน้าที่ทหารได้จัดส่งเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งออกทำการ ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดแล้ว










           ประวัติ นายฟูรดีน ยูโซ๊ะ นั้น เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา ได้ทำหน้าที่ขับขี่รถจักยานยนต์.ให้นายอายุ เปามะ ใช้อาวุธปืนยิง ส.ต.อ.ธรรมรงค์ กองรัมภ์ ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเจาะไอร้อง เสียชีวิต บนถนนในหมู่บ้านตันหยงลิมอ หมู่ 7 ตำบลตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส  ซึ่งนำไปสู่การจับกุม นายอายุ และได้ซัดทอดไปถึงตัว นายฟูรดีน ดังกล่าว

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มุสลิมมั่วนิ่ม กุขาว พระเข้ารับศาสนาอิสลาม




จากเพจ : ความโหดร้าย ในดินแดน ปาตานี

            ข่าวแปลกวันนี้ มีพระท่านหนึ่ง มารับอิสลาม ที่ใหนไม่รู้ ข้อมูลไม่แน่นอน อ้างอิงจากใหนไม่รู้ แต่มี เพจหน้าโง้ มาโชร์ ความโง่ การที่พระหรือ ผู้ใดจะรับ อิสลามหรือ ไม่มีมันขึ้นอยู่กับความเป็นส่วนตัว แต่การที่อ้างว่า พระรับอิสลามมันก็แปลก ในแง่มุมของสงฆ์

            การที่พระจะรับอิสลาม ก่อนที่จะรับ พระสงฆ์ผู้นั้นต้องออกจากผ้าเหลืองก่อนเป็นอันดับแรก อีกทั้ง การจะสึก ต้องมีพระชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้สึก ลาสิขา ออกมาเพื่อใช้ชีวิตทางโลก การที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้วรับ อิสลาม นั้นมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอิหม่ามท่านใหนรับหรอก อิมหม่ามไหนรับก็บ้าแล้ว ( คนศาสนาพุทธก็รู้)

         การจะรับอิสลามผู้รับต้องมีความรู้และเข้าถึงาศาสนา อิสลามให้นานและเข้าถึง อัลลอฮ์ พระนามของพระเป็นเจ้า ของมุสลิมที่แท้จริง หากรับ ไปแล้ว คนที่รับไปไม่ทำตามศาสนา คนที่บาปจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากคนที่ แนะนำ หรือ ผู้ทำการรับ หากรับไปแล้ว ผู้นั้นทำตามหลักศาสนาอิสลาม ผู้ที่แนะนำ หรือผู้ที่ทำการรับจะได้บุญ

        สิทธ์การนับถือศาสนาในประเทศไทย เป็นสิทธิ์ส่วนบุกคล ไม่มีใครบังคับได้ ศาสนาเป้นทางที่นำคนดี แต่การนำศาสนามาใช้ใน ทางไม่มี คือบาป

(มุสลิมก็รู้ จริงปะ ไม่จริงก็ทักเพจมาใด้ รับทุกความคิดเห็น ไม่มีการบล็อกเฟส) 
(เอดมินข้อให้ผู้เสพข้อมูล หรือผู้โพส จะเเชร์ หรือ เสนอข้อมูลอาไรควร รู้ข้อมูล และที่มาด้วย การเสนอข่าวของสื่อทางโลกออนไลน์ ในปัจจุบัน มีทั้งเรื่องจริง และไม่จริง เอดมินไม่ใช้คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่อยากให้เรื่องเล็กๆ นำมาหลอกตาผู้รับข้อมูล ด้วยความหวังดี)


อ่านต่อhttps://www.facebook.com/1492795557659181/photos/a.1492835824321821.1073741828.1492795557659181/1514275642177839/?type=1&theater






แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺนั้นพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จดอก


قُلْ إِنَّ الَّذِينَ يَفْتَرُونَ عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ لَا يُفْلِحُونَ

Say: Those who forge a lie against Allah shall not be successful

จงกล่าวเถิด "แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺนั้นพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จดอก"

[อัลกุรอาน10:69]


             นี่คือสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้สังคมมุสลิม ตกต่ำ ทั้งนี้เนื่องจาก หลังจากที่ ท่านรอซูลมูฮัมมัด สิ้นชีวิตแล้ว ราวๆ 200-300 ปี, ในสังคมมุสลิม เริ่มหาผลประโยชน์ ทั้งทางการเมืองและ ทางการสอนศาสนาโดยการ เริ่มแต่งเรื่อง โกหกขึ้นมาอ้างอิงหรืออุปโลก คำสอนของศาสดาและ บิดเบนอัลกุรอาน ตามความต้องการของหมู่คณะของตน

            ทางการเมืองจะเห็นได้ชัดระหว่าง นิกายซุนนีย์กับชีอะต์ การอุปโลกเรื่อง เกี่ยวกับการสอนของท่านศาสดา จะไม่ตรงกัน การโกหกนี้จับได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้อง ใช้ขบวนการ อะไร เพียงแต่ ใช้อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน ด้วยเหตุ ผล ก็จับโกหกได้ เช่นในเรื่อง,การสังหารโดย การ STONING และ เรื่องการสังหารในเรื่อง APOSTASY การละทิ้งอิสลาม


            ซึ่งกลุ่มบุคคลชั้น ปราชญ์ทางศาสนา รวมหัวกัน ปั้นเรื่องและสร้าง กฏหมายขึ้นมา เพื่อหลอกมุสลิม ให้ตกเป็นทาส ของหมู่คณะของตน และอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมมีเหตุผลว่า เป็นการบิดเบน บัญญัติ ที่ 24:31 บังคับสตรีมุสลิมให้คลุมหัว ซึ่ง เป็นที่ชัดเจนในตัวบัญญํติว่า ไม่มีการคลุมหัว แต่ ที่แน่นอนมีคำสั่งให้ปิดเต้านมที่ทรวงอก, การคลุมหัวในปัจจุบันจึง เป็น แฟชั่นมากกว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งผมจะยกตัวอย่างให้ดูภายหลัง ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจาก กระทู้นี้

           การโกหกโดยการอ้างหรืออุปโลกหลักการของพระเจ้าหรือศาสดา นั้นเป็นบาปอย่างแรงที่ 70-80 % ในสังคมมุสลิม ยังนิยมการโกหก และ ปิดบังความชั่วของคนเลวด้วยการโกหกต่อสังคมและตนเอง อย่างเช่นการสอน ในคลิป ที่ลิ้งค์ ให้เห็นในกระทู้นี้

         การโกหกว่า คนตายในหลุมฝังศพสามารถที่จะรับรู้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ที่คนเป็นบนพิ่นดิน กล่าวหรือพูดกับเขา การโกหกในการขอพรจากคนตาย เป็นต้น



ติดต่อทีมงาน
 ความคิดเห็นที่ 2
ก่อนอื่นต้องให้มุสลิมที่รักสันติและมีความรู้ทางอิสลาม
ยอมรับเสียก่อนว่า การสอนเช่นนี้ไม่ถุกต้อง และจะต้อง
ปฏิเสธการสอนเช่นนี้ ไม่ใช่งุบงิบ และนิ่งเฉย ทำทองไม่
รู้ร้อน หรือ ประณามผู้ที่ ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ ว่า ไม่ใช่
มุสลิม  ซึ่งทำให้ไม่มีมุสลิมผู้ใดกล้าที่จะ เปิดเผยความ
จริง ในข้อผิดพลาดของสังคมมุสลิมได้ เมื่อไม่รู้จักมอง
ปัญหาสังคมของตัวเองแล้ว สังคมมุสลิมจะไม่มีทาง เจริญ
 เท่าเทียม ผู้อื่นได้  ผมหมายถึงโดยรวม ไม่ใช่ในสังคม
เฉพาะแห่งเท่านั้น

ขอกล่าวถึงเรื่อง "ฮิญาบ" หรือการคลุมหัว อีกครั้ง



คำสั่งใน 24:31

وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّ

 and to draw their veils all over their Juyub

ก็คือ  หมายถึง ให้หญิง ดึงชายผ้า คิมัร มาปิดทับบนทรวงอกนาง

(ตามหลักการแต่งตัวอย่างสุภาพของอิสลาม)

ไม่มีคำสั่งให้ คลุมหัว



               จากรูปนี้ สตรีมุสลิมผู้นี้สวม "คิมัร" (หรือ ที่นิยมเรียกว่า ฮิญาบ)  ทั้งนี้เนื่องจากว่า  ถูกสอนมาว่า บัญญัตินี้ เน้นการคลุมผมมากกว่าการ "คลุมอก"


ในรูปนี้เป็นแฟชั่นการแต่งกาย แบบ ประเพณีอรับ ผสม อเมริกันและยุโรป การแต่งตัวตามประเพณีอรับมุสลิมที่ถูกต้อง เน้นใน"การปิดทรวงอก" และ ใส่เสื้อผ้าที่หลวมๆ ไม่รัดรูป, แต่การคลุมศรีษะเป็นประเพณีหญิงอรับมาก่อนที่จะมีอัลกุรอาน





           เนื่องจากภาพนี้เป็นภาพสาธารณะที่นำมาเผยแพร่ในเวบนี้,ผมจึงนำมาโพสต์ได้
  จากภาพนี้ จะเห็นว่า  การสวมผ้าคลุมหัว, เพื่อเน้นใน"การคลุมหัวเพียงอย่างเดียว" , ซึ่งไม่ตรงตามคำสั่งในบัญญัติ 24:31, ที่มีคำสั่งให้ปิดทรวงอก


  จากภาพ ทำให้ผู้ดูภาพ สามรถเห็นการแต่งตัวแบบตะวันตกตั้งแต่ชั้นในออกมาถึงภายนอกได้, ซึ่งเสื้อในเป็น  Victoria's Secret Fashion ซึ่งไม่ตรงตามตามหลักการแต่งตัวแบบ บัญญัติ 33:59 ในอัลกุรอาน

{33:59} ดูกร นบี! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเธอ และบุตรสาวของเธอ และบรรดาสตรีของบรรดาผู้มีศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของตนลงมาปิดร่างของตน นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ

  เนื่องจากสตรีมุสลิมถูกสอนมาให้คลุมหัว โดยที่ไม่สนใจ คำสั่งของบัญญัติที่ 24:31 อย่างถุกต้องที่มีคำสั่งให้หญิง "ดึงชายผ้า คิมัร มาปิดทับบนทรวงอกนาง"
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม