วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

“ญิฮาดุนนิกะห์” การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าหรือ “นางบำเรอ” ตอน 2




           สำนักข่าว IMM :ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่าเชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า “การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”

           ในรายงานนี้นอกจากจะเปิดเผยคำบอกเล่าต่างๆ ของเด็กสาวถึงสิ่งต่างๆ ที่เธอประสพในแผ่นดินซีเรีย และความโหดร้ายบรรดานักรบกบฏซีเรียที่ได้กระทำกับพวกเธอ ยังมีนักวิชาการด้านสังคม และด้านสาธารณสุขได้ออกมาให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกสองคน ซึ่งทั้งสองได้กล่าวย้ำเหมือนกันต่อความรุนแรง ความป่าเถื่อนของพวกวะฮาบีย์สลาฟีย์ นับวันพวกวะฮาบีย์จะนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่สามารถพามวลมุสลิมไปสู่การเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายมากขึ้นทุกวัน กิริยามารยาท การเป็นอยู่ในสังคมของพวกเขา โดยเฉพาะการปฏิบัติกับบรรดาสตรี เป็นการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์

           นักวิชาการทั้งสองได้เรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ทางการของตูนิเซีย นอกเหนือจากการมีมาตรการดำเนินการกับกลุ่มวะฮาบีย์ในตูนิเซียแล้ว ควรที่จะมีมาตรการจัดการกับบรรดาหญิงสาวที่ถูกหลอกให้เดินทางไปซีเรียด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะปลดปล่อยพวกเธอจากการถูกนำตัวไปเป็น “นางบำเรอ” ในประเทศซีเรีย

            มีนักเขียนชื่อดังชาวตูนิเซียคนหนึ่ง ถือว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกวะฮาบีย์ในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” คือ “การทำลายล้างความบริสุทธิ์ เกียรติยศ และความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ”

            หลังบทรายงานที่หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้ตีพิมพ์ไม่นาน นายมุฮัมมัด อัลอาราวีย์ โฆษกรัฐบาลตูนิเซียได้มีคำแถลงการณ์ออกมาอย่างเป็นทางการทันที และได้ถูกนำออกเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ โดยประกาศว่า “กองกำลังความมั่นคงภายในประเทศได้ทำการบุกทลายรังต่างๆ ที่กำลังล่อลวงหญิงสาวตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย และนักเคลื่อนไหวหลายๆ คนที่ทำงานให้กับเครือข่ายของกลุ่มวะฮาบีย์ในตูนิเซีย”

            โฆษกรัฐบาลตูนิเซีย ยังได้กล่าวอีกว่า “การลวงหลอกสตรีไปเป็นนางบำเรอทางเพศในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” ไม่ได้มีเฉพาะสตรีชาวตูนิเซียเพียงประเทศเดียว ในประเทศอาหรับหลายประเทศพวกวะฮาบีย์ก็มีการดำเนินการเช่นเดียวกัน”

            ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลตูนิเซียได้ทำการจับกุมบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ และบรรดาสาวกที่มีส่วนในการโฆษณาชวนเชื่อฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในประเทศตูนิเซีย ทว่าสื่อต่างๆ ของตูนิเซียรายงานว่า ยังมีอีกหลายช่องทางที่ทำงานกันอย่างลับๆ ลวงหลอกสตรีตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย นอกเหนือจากนั้นนักวิชาการของวะฮาบีย์อีกจำนวนมากที่ยังคงกระทำความผิดนี้ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินที่จะหยุดการทำงานนี้ได้

            ฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) “ญิฮาดุนนิกะห์” ที่บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ได้ประกาศออกมานั้น คือ ถ้าหากสตรีคนใดสามารถทำให้ตัวเองเดินทางไปยังแผ่นดินซีเรีย และปฏิบัติภารกิจสนองอารมณ์ใคร่แก่บรรดานักรบกบฏซีเรีย ผลบุญที่เธอจะได้รับเทียบเท่ากับการ “ญิฮาด” (ต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) เคียงคู่นักรบเหล่านั้น” ซึ่งฟัตวานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนมหาศาลจากบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ซาอุดิอาระเบีย และกาตาร์ ด้วยเหตุนี้เองบางส่วนของสตรีที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ เพียงเพื่อต้องการเงินทองจำนวนหนึ่ง โดยการทำงานเพียงระยะสั้นๆ บ้างเดิมทีก็เป็นโสเภณี และผู้หญิงหากิน

           เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเด็กสาวคนหนึ่งชาวซีเรียอายุเพียง 15 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัคบารียะฮฺแห่งซีเรีย ผ่านรายการหนึ่งของสถานีดังกล่าว โดยเธอได้เล่าให้ฟังว่า “พ่อของหนูเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียและได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏซีเรีย เมื่อไม่นานมานี้พ่อของหนูได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับนักรบกบฏอีก 3 คน พ่อของหนูได้บังคับให้หนูทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับนักรบชายทั้งสามคนนั้น หนูขัดขืนแต่ก็ต่อสู้ไม่ไหวจึงต้องตกเป็นเหยื่อ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของนักรบชายทั้งสามจนสลบไป ทันทีที่หนูฟื้นจากสลบหนูก็ได้พบกับพ่อ พ่อได้กล่าวกับหนูว่า ถ้าลูกทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับพ่อ หนูจะได้เข้าสรวงสวรรค์ ทันใดนั้นพ่อก็ข่มขืนหนูทันที และนับแต่วันนั้นหนูก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลย”

            ช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติในซีเรียบรรดาสตรีเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ ทว่าหลังจากมีฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยนักวิชาการวะฮาบีย์ การเดินทางเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของสตรีอาหรับท่ามกลางบรรดานักรบกบฏซีเรียเวลานี้มีจำนวนไม่น้อย นักวิชาการวะฮาบีย์ยังได้มีฟัตวาอีกว่า “บรรดาสตรีชาวซีเรียที่ถูกจับตัวได้ ถือเป็นเฉลยศึกสงคราม อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอได้ตามหลักการศาสนา” ในเวลานี้บรรดาสตรีชาวซีเรียถูกบรรดานักรบกบฏข่มขืนกระทำชำเราไม่เว้นแต่ละวัน นักวิชาการวะฮาบีย์ได้อ้างว่า “สตรีคนใดก็ตามที่ได้พลีตัวเองเพื่อสนองความใคร่ให้กับบรรดานักรบที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เธอคือผู้ที่เปรียบเสมือนได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่สนามรบแล้ว”

            “ญาดดุลลอฮ์ ซอฟา” นักเขียนชาวอาหรับ ได้แสดงปฏิกิริยาต่อบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ที่ออกคำฟัตวาต่าง ๆ เช่นนี้ เขาถือว่าบุคคลเหล่านี้คือ “พวกเชคค้าประเวณี” โดยที่ประเด็นของพวกเขาเป็นเพียงการทำให้การค้าประเวณีนี้ดูเป็นที่อนุมัติทางศาสนา (ฮะล้าล) เท่านั้น และเขาได้ย้ำว่า ตราบที่ประชาชาติยังมองดูสตรีว่าเป็นสินค้าอยู่นั้น ย่อมไม่มีเกียรติศักดิ์ศรี นอกจากนี้เขายังตั้งคำถามว่า : อีกนานเท่าใดที่เกียรติและศักดิ์ศรีของเราจะถูกละเมิดภายใต้ชื่อของศาสนา และเราก็จะยังคงเงียบเฉยอยู่?

            เช่นเดียวกันนี้ ฮุเซน บินอะห์มัด อัซซิรอญี ได้เขียนบทความหนึ่งภายใต้หัวข้อ "ญิฮาดุ้นนิกะห์ในซีเรีย" เขาถือว่าการญิฮาดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในตูนิเซียนั้น เป็นสิ่งอุตริ และเป็นการสร้างโดยการปลุกปั่นของกลุ่มตักฟีรีย์ (พวกที่ถือว่าผู้ที่มีความเชื่อและแนวคิดไม่เหมือนกับตนคือผู้ปฏิเสธศาสนา) และบรรดาผู้ออกฟัตวาที่ชั่วร้าย และเขาได้เขียนว่า : เป็นที่น่าเกลียดยิ่งที่คำฟัตวาที่ชั่วร้ายเหล่านี้ได้ถูกออกมาในชื่อของอิสลาม เนื่องจากว่าคำฟัตวาลักษณะเช่นนี้นอกจากก่อให้เกิดความเสียหายต่ออิสลามแล้ว ยังแนะนำชาวมุสลิมให้ถูกรู้จักในนามผู้คลั่งตัณหาอีกด้วย ในขณะที่ญิฮาด (การต่อสู้) นั้นจะถูกปฏิบัติเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อตอบสนองอารมณ์ใคร่ต่าง ๆ และตราบที่บรรดาผู้ที่ออกคำฟัตวาเหล่านี้ยังไม่ส่งพี่สาว น้องสาวและลูกสาวของตนเองออกไปเพื่อกระทำ “ญิฮาดุ้นนิกะห์” แน่นอนผมจะยังไม่ยอมรับถึงความถูกต้องของสิ่งนี้!

            ในความเป็นจริงแล้ว บรรดาบุคคลเหล่านี้สวมใส่อาภรณ์ของความเป็นอิสลามสำหรับตน แต่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังพยายามทำลายอิสลามและศาสนาแห่งฟากฟ้าทั้งมวล และพวกเขากำลังหว่านเมล็ดพันธ์ของความเกลียดชัง ความเครียดแค้นชิงชังและความเป็นปฏิปักษ์ให้เกิดขึ้นในระหว่างพี่น้องและประชาชาติทั้งหลาย และการออกคำฟัตวาเช่นนี้ภายใต้ธงแห่งอิสลามนั้น ถือเป็นความอัปยศสำหรับประชาชาติอาหรับ

          เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ คือหนึ่งจากบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์ ที่ได้ออกมาเชิญชวนบรรดาสตรีโลกอาหรับเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อสองความใคร่ทางเพศแก่บรรดานักรบกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยเขาได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลายครั้งเพื่อชวนเชิญสตรีโลกอาหรับ โดยได้กล่าวว่า “การญิฮาดที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาสตรีในเวลานี้ที่ต่อรัฐบาลนายบาชัร อัลอัซซาด คือการ “ญิฮาดุนนิกะห์” อีกทั้งได้รับประกันสรวงสวรรค์สำหรับพวกนางไว้เสร็จสรรพ และยังได้มีการระบุอายุห้ามต่ำกว่า 14 ปีอีกด้วย

          เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งได้ถามกับเชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ว่า “โอ้... เชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ถ้าท่านมีความเชื่อต่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียจริงๆ ทำไมท่านไม่ส่งภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว หรือหลานสาวของท่านไปแผ่นดินซีเรีย เพื่อทำการญิฮาดดุนนิกะห์บ้างล่ะ?”


           การประกาศฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียแก่บรรดาสตรี นำไปสู่การผิดประเวณีอย่างกว้างขวางในหมู่นักรบกบฏซีเรีย ถึงขั้นมีการบังคับชาวซีเรียที่มีลูกสาวให้นำตัวลูกสาวของตนมาปฏิบัติภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางศาสนา ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทว่ามันได้ลุกลามไปในหมู่รักร่วมเพศที่เป็นนักรบกบฏซีเรียอีกด้วย

           เมื่อวานนี้ 25/9/56 สำนักข่าวอัลอาลัม ALALAM NEWS NETWORK รายงานว่า เชคฟารีด อัลบาญี หัวหน้ากลุ่ม “ดารุลฮะดีษุลซัยตูนียะฮฺ” ในตูนิเซีย ได้กล่าวแก่สื่อของตูนิเซียว่า “ญิฮาดุนนิกะห์ ไม่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน และไม่มีในแบบฉบับของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ญิฮาดุนนิกะห์ไม่มีในอิสลาม”

          เชคฟารีด อัลบาญี ได้ประณามบรรดาผู้ที่ได้ส่งตัวหญิงสาวชาวตูนิเซียไปเป็นนางบำเรอกามรมณ์แก่บรรดานักรบกบฏในซีเรีย และได้เรียกร้องไปยังประชาชนตูนิเซียอย่าหลงเชื่อคำฟัตวาหลอกลวงในนามอิสลาม

  • “ญิฮาดุนนิกะห์” คือการข่มขืนกระทำชำเราสตรีมุสลิมในนาม “ญิฮาด”
  • “ญิฮาดุนนิกะห์” เครื่องมือสร้างความเป็นทาสทางกามรมณ์แก่สตรีมุสลิมในประเทศซีเรีย
  • “ญิฮาดุนนิกะห์” การต่อสู้ในหนทางของพระผู้เจ้า หรือ “นางบำเรอ” ?

- See more at: http://www.immjournal.com/analysis/752-yehadnekah.html#sthash.lWnDYf2B.dpuf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม