วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เจ้าชายซาอุ คนที่ขนยาเสพติด 2 ตัน ขึ้นเครืองบินส่วนตัว





       แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงของเลบานอนปูด เจ้าหน้าที่สนามบินเบรุตสกัดการลำเลียงยาเสพติดหนัก 2 ตันก่อนขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ซาอุดีอาระเบียออกนอกประเทศเมื่อวันจันทร์ พร้อมจับกุมเจ้าชายซาอุดี 1 องค์ พร้อมคณะอีก 4 คน


          สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างแหล่งข่าวความมั่นคงรายหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินเบรุตได้ควบคุมตัวเจ้าชายอับเดล โมห์เซ็น บิน วาลิด บิน อับดูลาซิซ พร้อมด้วยชาวซาอุดีอาระเบียอีก 4 คน ฐานต้องสงสัยว่า "พยายามลักลอบขนยาเม็ดแคปตากอนน้ำหนักประมาณ 2 ตันและโคเคนอีกจำนวนหนึ่ง"
          แหล่งข่าวซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อรายนี้กล่าวว่า ปฏิบัติการลักลอบขนยาเสพติดครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ทางการเลบานอนสามารถขัดขวางได้ที่ท่าอากาศระหว่างประเทศเบรุต

        ยาแคปตากอนนี้เป็นตราสินค้าของแอมเฟตามีนเฟเนทิลลีนที่เป็นยาสังเคราะห์กระตุ้นประสาท ยาผิดกฎหมายชนิดนี้มักเสพกันส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง และมีรายงานว่าพวกนักรบในซีเรียใช้กันอย่างกว้างขวาง
          แหล่งข่าวความมั่นคงรายเดิมกล่าวว่า ยาเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในกล่อง รอขนย้ายขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่จะเดินทางสู่ซาอุดีอาระเบีย
        พลเมืองชาวซาอุดี 5 คนยังคงถูกควบคุมตัวไว้ที่สนามบินและเจ้าหน้าที่ศุลกากรของเลบานอนจะสอบปากคำ
          เมื่อเดือนเมษายน 2557 กองกำลังความมั่นคงเลบานอนก็เคยสกัดการลอบขนยาเม็ดแคปซูล แคปตากอน 15 ล้านเม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกข้าวโพดที่เตรียมส่งออกจากท่าเรือเบรุต
        สำนักข่าวของทางการเลบานอนก็รายงานข่าวการจับกุมยาเสพติดครั้งใหญ่นี้ โดยกล่าวว่า เครื่องบินส่วนตัวลำนี้เตรียมเดินทางไปยังกรุงริยาด และขนกระเป๋าเดินทาง 40 ใบที่ภายในบรรจุยาแคปตากอน
           ราชวงศ์ซาอุดีซึ่งมีเชื้อพระวงศ์จำนวนมากมาย เคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่กฎหมายบ้านเมืองของประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง เมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าชายซาอุดีพระองค์หนึ่งถูกตำรวจสหรัฐจับกุมที่เมืองลอสแอนเจลิส ฐานพยายามบีบบังคับหญิงคนหนึ่งประกอบโอษฐกามให้ภายในคฤหาสน์ที่เบเวอร์ลีฮิลส์ แต่ทางการสหรัฐไม่ตั้งข้อหา โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน เมื่อปี 2556 เจ้าหญิงซาอุดีองค์หนึ่งถูกกล่าวหาว่ากักขังหญิงแม่บ้านชาวเคนยารายหนึ่งเป็นทาสที่ลอสแอนเจลิส แต่สุดท้ายข้อกล่าวหานี้ถูกยกเลิกไป.

ปิดล้อมตรวจค้นรังโจรใต้ ยาบ้ากว่า 600,000 เม็ด







            กำลัง3ฝ่ายเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ต.มูโนะ พบยาบ้ากว่า600,000เม็ด ด้านผู้การนราฯกำชับเร่งขยายผลหากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดรายนี้โดยเร็วที่สุด

          เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรมูโนะ และชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.1913 และฝ่ายปกครองที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่บ้านปาดังยอ หมู่3 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยจุดแรกเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่54/1 ม.3 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ของนายเปายี สาและ อายุ 52 ปี ค้นพบยาบ้าอยู่ในกระโปรงหลัง รถยนต์โตโยต้า รุ่นวีออส ป้ายทะเบียน กค-5738 นราธิวาสซึ่งจอดอยู่ใต้ถุนบ้านหลังดังกล่าว จำนวน114มัด รวม 684,000 เม็ด จากการสอบสวนเพิ่มเติมทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของนายสำราญ บากา อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่3 ต.มูโนะ อสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นน้องชายของนายเปายี สาและ เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจค้นที่บ้านของนายสำราญ บากา พบยาบ้าเพิ่มอีก 4,000 เม็ด แต่นายสำราญหลบหนีไปก่อน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายเปายี สาและ เจ้าของบ้านพร้อมของกลางยาบ้าทั้งหมดไปสอบสวนขยายผลที่สถานีตำรวจภูธรมูโนะ


          หลังจากนั้นพลตำรวจตรีพัฒนวุธ อังคะนาวิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และนายวรเชษฐ พรมโอภาษ ปลัดจังหวัดนราธิวาส จึงได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่ายของกลุ่มผู้ยาเสพติดกลุ่มนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่27 ต.ค.58 นี้

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โจรใต้ติดระเบิดรถยนต์เจ้าหน้าที่อาสาสมัครตากใบ เสีียชีวิต 1 นาย





        วันที่ 20 ตุลาคม  2558 เวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรตากใบ จังหวัดนราธิวาส ได้รับแจ้งเหตุ คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดรถยนต์เจ้าหน้าที่อาสาสมัครอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส  ขณะกำลังเดินทางกลับที่พักหลังปฏิบัติหน้าที่ ณ ที่ว่าการอำเภอตากใบ โดยคนร้ายนำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องผูกติดมากับรถยนต์กระบะของเจ้าหน้าที่อาสาสมัครคันที่เกิดเหตุ แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชึวิต 1 ราย ทราบชื่อ อาสาสมัคร สะมะแอ จิหามาด อายุ 54 ปี เหตุเกิดหน้าสำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน หมู่ 3 ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สตูลจับยาบ้าได้กว่า 2 พันเม็ด พบเส้นทางสั่งยาจากเรือนจำกลางสงขลา



สตูล - สตูล จับยาบ้า 2,007 เม็ด สอบทราบเส้นทางสั่งยานรกออกจากเรือนจำกลางสงขลา ในขณะที่ผู้ว่าฯ สตูล เน้นทุกคนต้องช่วยเป็นหูเป็นตาป้องกันเยาวชนเป็นลูกค้ารายใหม่

          วันนี้ (18 ต.ค.) นายเจน รัตนพิเชฏฐชัย ผู้ว่าฯ สตูล ร่วมแถลงข่าวที่ สภ.ควนโดน อ.ควนโดน จ.สตูล ร่วมกับ พ.ต.อ.โสภณ ปานสมทรง รอง ผบก.ตร.ภ.จว.สตูล พร้อมหลายหน่วยที่ร่วมกันวางแผนจับกุมนักค้ายาเสพติดเครือข่ายในเรือนจำจังหวัดสงขลา หลังร่วมกันจับกุม น.ส.สุรีรัตน์ หมันเหม หรือดา อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 3 ต.ควนสตอ อ.ควนโดน จ.สตูล พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 2,007 เม็ด ยาบ้าลักษณะกลมแบนสีส้ม และสีเขียว มีอักษรภาษาอังกฤษ WY ประดับไว้ด้านหนึ่ง ซุกซ่อนในถุงขนมถั่วตัดบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าอีกชั้นหนึ่งชนิดรีดปากห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอยล์ จำนวน 10 ถุง รถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีน้ำเงินขาว ทะเบียน 1 กก 6683 สตูล โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันพวกร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย


          เหตุเกิดที่บริเวณบนสะพานบ้านเขาน้อยเหนือ ซอยเขาน้อยเหนือ หมู่ที่ 3 ต.ย่านซื่อ อ.ควนโดน จ.สตูล ต่อเนื่องถึงบริเวณแยกไฟแดงสถานีดับเพลิงฉลุง ถ.ยนตรการกำธร ต.ฉลุง อ.เมือง จ.สตูล วันที่ 17 ต.ค.58 สอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การรับว่า เป็นคนติดต่อในการซื้อขายยาเสพติดครั้งนี้จริง และรับเงินค่ายาเสพติดในครั้งนี้ จำนวน 150,000 บาท

           โดยพฤติกรรมผู้ต้องรายนี้ พบว่า ร.ต.ท.มานิตย์ ไตรภูมิ รอง หน.ชปข.กก.ตชด.43 ได้รับแจ้งจากสายว่า น.ส.สุรีรัตน์ หมันเหม หรือดา อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 3 ต.ควนสตอ อ.ควนโดน จ.สตูล มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาบ้าให้แก่กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ จ.สตูล จึงได้สั่งซื้อยาบ้า จำนวน 1 มัด จึงได้ติดต่อกับ นายโอะ ซึ่งอยู่ในเรือนจำจังหวัดสงขลา โดยนายโอะ ตอบตกลงที่จะขายยาบ้าให้จำนวน 1 มัด ในราคา 150,000 บาท นัดส่งยาในพื้นที่ อ.ควนโดน จ.สตูล ในวันที่ 17 ต.ค.58 พร้อมกับมอบเบอร์โทรศัพท์ซึ่งเป็นเบอร์เครือข่ายยาเสพติดของนายโอะ เพื่อใช้ในการติดต่อส่งมอบยาบ้า ส่วนเงินค่ายาบ้านั้นนายโอะ แจ้งให้ส่งมอบให้แก่ น.ส.ดา ผู้ต้องหาในพื้นที่ อ.ควนโดน จ.สตูล



             จากนั้นได้มีการประสานกับชุดจับกุมต่างๆ ในพื้นที่วางแผนจับกุม โดยนัดรับยาบ้ากันที่บริเวณสะพานบ้านเขาน้อยเหนือ ซอยเขาน้อยเหนือ หมู่ที่ 3 ต.ย่านซื่อ อ.ควนโดน จ.สตูล และได้ติดต่อกับ น.ส.ดา แจ้งว่า มารับยาแล้ว โดยให้นำเงินค่ายาบ้ามาส่งมอบให้ที่บริเวณแยกไฟแดงดับเพลิงฉลุง ต.ฉลุง อ.เมือง จ.สตูล จากนั้นสายได้นำเงินที่ผ่านการลงบันทึกประจำวันแล้วไปมอบให้แก่ น.ส.ดา ค่ายาบ้า ก่อนส่งสัญญาณให้ชุดเข้าจับกุม จากการสอบขยายผล น.ส.ดา หรือ สุรีรัตน์ หมันเหม ให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้ติดต่อกับนายโอะ หรือคุณาวุฒิ บินดาโอะ ซึ่งอยู่ในเรือนจำกลางสงขลา เพื่อหายาบ้า จำนวน 1 มัด และนายคุณาวุฒิ หรือโอะ ให้ตนเองไปรับเงินค่ายาบ้า จำนวน 150,000 บาท จนกระทั่งมาถูกจับกุม

           นายเจน รัตนพิเชฏฐชัย ผู้ว่าฯ สตูล กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายในการบูรณาการในการกวาดล้างยาเสพติดให้สิ้นซากไปจากพื้นที่ จ.สตูล และเป็นนโยบายหลักที่ทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการกวาดล้างยาเสพติด โดยไม่มองว่าเป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง ต้องช่วยกันป้องกันโดยเฉพาะเยาวชนลูกค้ารายใหม่ไม่ให้เกิดในกลุ่มนักเสพ หรือนักค้ายาเสพติดให้ได้

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนเหตุการณ์ตากใบ ใคร?ได้...ใคร?เสีย...



          25 ตุลาคม 2547 เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งปีนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 11 ของการเกิดเหตุการณ์ ซึ่งหลายองค์กรต่างเตรียมการจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ พร้อมทั้งมีการยกย่อง เชิดชูให้เป็น“วีรชน 25 ตุลากับเหตุการณ์ตากใบ”

         ความเป็นมาของเหตุการณ์ตากใบเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านหลายท่านคงจะทราบเรื่องดี ว่าได้เกิดอะไรขึ้นนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายสิบรายในวันนั้น

         บทความในเว็บไซต์สำนักสื่อ Wartani เรื่อง “โศกนาฏกรรมเหตุการณ์ตากใบ”ประวัติศาสตร์บาดแผลที่รัฐต้องทบทวน ซึ่งเขียนโดย Zawawee Jujur ซึ่งแอดมินขอยกมากล่าวอ้างเพียงบางช่วงบางตอน

         “วีรชน 25 ตุลากับเหตุการณ์ตากใบ” สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ที่คนในพื้นที่ต้องจดจำ ปัญญาชนอย่างเรา ควรคิดว่าจะนำประวัติศาสตร์นี้เป็นบทเรียนได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุม เมื่อเกิดความผิดพลาดแล้ว อะไรเป็นสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบต่อการกระทำเช่นนี้ การเยียวยาจากรัฐเป็นคำตอบสุดท้ายแล้วรึ ผมเองก็ไม่รู้ อยากให้เราในฐานะปัญญาชนเอามาคิด วิเคราะห์เอง และสิ่งสำคัญ ความพึงพอใจของประชาชน ที่ถูกกระทำ การได้รับทรัพย์เยียวยา ประชาชนที่ถูกกระทำ มีความพอใจขนาดไหน เราในฐานะปัญญาชนสามารถหาคำตอบเองได้ ซึ่งผมก็ไม่สามารถที่จะพูดหรือตอบแทนคนเหล่านั้นได้ สิ่งที่เราควรตระหนักคือ บทเรียนครั้งนี้ “เราได้อะไร สังคมได้อะไร หากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในอนาคต รัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร นี่คือบทเรียนที่ปัญญาชนอย่างเรา ต้องนำมาคิด”
      ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เขียนสื่อเป็นประเด็นคำถาม? 
  • “เราได้อะไร สังคมได้อะไร 
  • หากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในอนาคต รัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร ?
นี่คือบทเรียนที่ปัญญาชนอย่างเรา ต้องนำมาคิด”

       ก่อนอื่นเราต้องตั้งคำถามก่อนว่าผู้ที่ไปชุมนุมหน้า สภ.ตากใบในวันนั้น ไปด้วยสาเหตุอะไร?...

       การรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมากที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา เหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการจับกุมชาย 6 คน ซึ่งทำหน้าที่ ชรบ. ในข้อหายักยอกอาวุธปืนของทางราชการ และแจ้งความอันเป็นเท็จกล่าวอ้างว่า อาวุธปืนถูกผู้ก่อความไม่สงบช่วงชิงไป ระหว่างนั้นเริ่มมีกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวปิดล้อมโรงพักเป็นจำนวนมาก เพื่อเรียกร้องทำการกดดันให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม ซึ่งในเวลาต่อมามีกลุ่มไม่หวังดีแอบแฝงสร้างสถานการณ์ พร้อมทั้งใช้อาวุธก้อนหินขว้างปา จนนำไปสู่การสลายการชุมนุม แต่จุดที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมจริง ๆ คือการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจำนวนมากด้วยการนอนราบทับซ้อนกัน ผู้ชุมนุมมีสุขภาพอ่อนแออยู่แล้วเพราะอยู่ในห้วงเทศกาลถือศีลอด จากแรงกดทับ ขาดอากาศหายใจ จนเกิดการสูญเสียขึ้น

       อย่าลืมว่า ณ ห้วงเวลานั้น มีหลายเหตุการณ์ด้วยกันที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจะมีการปล่อยข่าวแบบปากต่อปากทั้งข่าวจริงข่าวลวงสร้างกระแสบิดเบือนความจริง สร้างความเกลียดชัง จนเกิดกระแสการรวมตัวกันขึ้นของกลุ่มมวลชนเป็นร้อยเป็นพันคนได้เพียงไม่กี่นาที แต่มวลชนที่มานั้น มาด้วยอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว ไร้สติยากแก่การควบคุม แล้วใคร? คือผู้ที่ทำการปลุกระดมมวลชนตัวฉกาจ การรวมตัวอย่างได้ผลและรวดเร็วปานนั้นในแต่ละหมู่บ้านย่อมมีแกนนำกลุ่มขบวนการแฝงตัวอยู่เพื่อหลอกใช้ประชาชน
        อยากจะตั้งคำถามกลับไปว่า “เหตุการณ์ตากใบ 
  • ใคร? ได้..
  • ใคร? เสีย 
  • คร? ได้ผลประโยชน์ และ
  • ใคร? คือผู้รับกรรม”

         เหตุการณ์ได้ผ่ามา 11 ปี เราได้บทเรียนอะไรบ้างจากความสูญเสียดังกล่าว สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงคือ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบ ต้องการอยู่อย่างสงบสุข แต่กลับมีกลุ่มนักศึกษา-กลุ่ม NGOs พยายามปลุกผีตากใบขึ้นมาเพื่ออะไร? หรือกลุ่ม องค์กรเหล่านี้ต้องการตอกย้ำรอยแผลให้กับผู้ที่สูญเสีย
“โศกนาฏกรรมตากใบ" ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐต่างตกเป็นเหยื่อของกลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนี ที่ได้วางกับดักจัดฉากขึ้นมา สุดท้ายนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาทำการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ตอกย้ำความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เพื่อต้องการสื่อไปยังองค์กรระหว่างประเทศ

         กล่าวอย่างตรงไป-ตรงมา การขุดคุ้ยรำลึกเหตุการณ์ตากใบในทุกปี เป็นการสะกิดบาดแผลความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา แต่ในอีกมิติหนึ่งเป็นการดีที่จะสื่อให้เห็นว่า กลุ่มขบวนการโจรใต้แบ่งแยกดินแดน คือผู้อยู่เบื้องหลังความสูญเสียเหตุการณ์ตากใบ ในวันนั้น อีกทั้งหลังเกิดเหตุการณ์ผสมโรงด้วย "องค์กรแนวร่วมโจรใต้" ใช้ความตายของผู้คนในการกอบโกยผลประโยชน์เพื่อองค์กรของตัวเอง โดยไม่ใยดีคราบน้ำตาของครอบครัวผู้สูญเสียเหตุการณ์ตากใบ”

        “โจรใต้และองค์กรแนวร่วมหยุดเสียทีเถอะ!!!..หยุดหากิน หาผลประโยชน์บนกองทุกข์พี่น้องตากใบ”

บทความ cr.เพจลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน....

กองขี้ แห่งความละเอียดอ่อน



          จากปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ในวันที่ผมได้นั่งคุยกับ พี่ต๋อง วิษณุ รัตนหิรัญ 1 ใน 2 ท่าน ที่เดินเท้าจากปัตตานีเข้ากรุงเทพฯ วันนั้นพวกเราพักกับใน อ.รัตภูมิ
พี่ต๋องบอกกับผมว่า…….

       ....“กับปัญหาความไม่สงบ ในบ้านเกิดของพวกเรานั้น พวกเราต่างก็รู้กันดีอยู่ว่า มันมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่มันทำชั่วทำเลวกับคนบริสุทธ์ หากเปรียบเทียบพวกนี้ก็คงไม่แตกต่างจาก กองขี้ 1 กอง ที่ถูกวางอยู่ตรงใจกลางของ 3 จังหวัด มันเป็นของเสียที่น่ารังเกียจ ที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ 3 จชต. เกิดเหตุขึ้นมาที มันก็ส่งกลิ่นมาเข้าจมูกพวกเราทุกครั้ง จนทุกวันนี้เหตุการณ์ยิ่งหนักขึ้น กลิ่นก็แรงขึ้น จนทุกคนทนกลิ่นไม่ไหว 

.... จนพวกเราต้องหันไปถามกันว่า เหม็นกลิ่นอะไร??????
ถามทั้งๆ ที่ ‪#‎พวกเราก็รู้ว่ากลิ่นมันมาจากไหน‬ ทั้งๆ ที่เราต่างก็รู้ว่ามันมี “กองขี้” ที่น่ารังเกียจอยู่กองหนึ่ง ในพื้นที่ 3 จชต. “

         ... กองขี้ ที่มันถูกปล่อยออกมาจากพวกนอกรีต เป็นพวกไส้ติ่งเน่าของศาสนา เป็นเพียงเศษเน่าๆ เพียงส่วนเล็กๆ ในศาสนา ที่พยายามใช้ความเชื่อ และคำสอนที่บิดเบือนไปจาก สิ่งที่ถูกต้องของหลักคำสอนในศาสนา

        .... หากถามว่า พวกเราปฏิเสธได้มั้ยว่า ‪#‎มันไม่เคยมี‬ ความเชื่อของ กลุ่มคลั่งศาสนาที่สุดโต่ง และใช้ความรุนแรงกับคนที่คิดเห็นต่างจากพวกเขา ทั้งพวกศาสนาเดียวกัน และคนนอกศาสนา อยู่ใน 3 จชต. เลย??????

          …. พี่ต๋องบอกว่า “เราทุกคนรู้ว่า ในพื้นที่มันมีพวกนี้อยู่จริงๆ แต่เราทุกคนกลับเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงมัน เรากลับพูดมันเฉไปซ้ายทีขวาที กลับไปพูดว่ามันเป็นเรื่องยาเสพติด เรื่องของผู้มีอิทธิพล เรื่องของหนีภาษี เรื่องของผลประโยชน์ เราไปพูดถึงเรื่องที่มันเป็นแค่ส่วนล็กๆ ที่ใช้เหตุความไม่สงบนี้หากิน” แล้วแกก็ถามผมว่า...

         ...”แล้วเรื่อง ยาเสพติด, ผู้มีอิทธิพล, ของหนีภาษี, เรื่องผลประโยชน์ ที่อื่น จังหวัดอื่น มีมั้ย? เรื่องแบบนี้มันมีอยู่ทุกซอกทุกมุมของประเทศไทย แต่ทำไมที่อื่นเขาไม่ฆ่าแกงกันเหมือนกับใน 3 จังหวัดบ้านเราล่ะ? ทำไม 3 จังหวัดบ้านเรา ถึงได้ฆ่ากันแบบโหดร้ายขนาดนี้ กับเรื่องที่มันมีเหมือนๆ กันกับที่อื่น แต่บ้านเรา ฆ่าพระ ฆ่าคนไปทำไร่ทำนา ฆ่าครู มันฆ่าใครก็ได้ที่มันอยากฆ่า เราลองคิดดูสิ ว่าเขาใช้อะไรขับเคลื่อนให้ คนที่เป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน ออกมา เข่นฆ่ามนุษณ์ด้วยกันเองได้อย่างเลือดเย็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ฆ่าโดยที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกันหรือว่าไม่เคยโกรธแค้นกันมาก่อน‪#‎เมื่อเรารู้แล้วทำไมเราไม่โกยกองขี้ก้อนนั้นทิ้งไปล่ะเรารออะไรกันอยู่‬????”

         ....ผมนั่งฟังมันก็จริงอย่างที่พี่ต๋องพูด เพราะพอเราพูดว่า ก็ในศาสนาของท่านนั้นล่ะ มีพวกนอกรีต มีพวกที่เสี้ยมสอนกันแบบผิดๆ แฝงอยู่ พอเราพูดแบบนี้ ทุกคนก็จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ ‪#‎ละเอียดอ่อน‬ เราไม่ควรพูดแบบนั้น

       ........พวกเรากำลังทำตัวเหมือนนกกระจอกเทศที่หนีปัญหา คือพอเห็นภัยมาก็รีบเอาหัวมุดดิน แล้วก็พูดเฉไฉไปว่า ไม่เห็นมีปัญหาอะไรแบบนั้นเลย เหมือนพวกเรากำลังหนีความจริง ที่เราก็รู้อยู่เต็มอกและสัมผัสมันได้ในพื้นที่ ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ แต่เราก็เลือกที่จะเอาหัวมุดดิน แล้วไม่เอ่ยถึงมัน แล้วอย่างนี้ปัญหาจะได้รับการแก้ไขได้ทุกมิติอย่างไร แล้วเมื่อไหร่ความรุนแรงมันจะได้รับการกำจัดให้หมดไปจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ของบ้านเรา

       ..... และประเด็นสำคัญคือ ‪#‎การยอมรับความจริง‬ ไม่ว่าจะศาสนาไหนๆ เราก็รู้ว่ามันมีพวกนอกรีต มันมีจุดดำๆ เป็นกาฝากแฝงอยู่ แม้แต่ในศาสนาพุทธของเราเอง ก็มีเช่นกัน ทั้งประพฤติตัวไม่เหมาะสม ประพฤติตัวให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมเสีย แต่พวกเราก็ยอมรับมัน แจ้งเจ้าอาวาสแจ้งเจ้าคณะจังหวัด เพื่อทำการค้นหาความจริงและลงโทษ 

        .... แล้วในศาสนาที่กำลังสอนให้เบียดเบียนเพื่อมนุษย์ด้วยการ “เข่นฆ่า” เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของตนเพียงกลุ่มเดียว ถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่หลักคำสอนที่ถูกต้อง ทำไมผู้นำศาสนาไม่ออกมาต่อต้านและ เคลื่อนไหวให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่พอมีคนพูดว่า “ในศาสนานี้มีกลุ่มหัวรุนแรง และมีพวกบิดเบือนหลักคำสอนแฝงอยู่” ทุกคนก็รีบออกมาบอกว่า นั้นมันไม่ใช่หลักคำสอนของเรา!!! แล้วผมอยากจะถามว่า แนวคิดแบบนี้ที่มันกำลังแพร่พันธ์และถูกปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่ในพื้นที่ 3 จชต. มันเป็นติ่งออกมาจากศาสนาพุทธ หรือว่าศาสนาคริสต์ ใช่มั้ยครับ???

         .... กล้ายอมรับความจริง จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ช่วยกับปกปิดปกป้องคนเลวๆ เอาไว้ใต้ผ้าถุงเน่าๆ นั้น ให้มันเป็นผลเสียต่อศาสนาของตัวเอง

เครดิจ : เพจชนพุทธกุ่มน้อยใน 3 จชต

จากนาลันทาถึงมหาจุฬา



           ตำนานทิเบตบอกว่า นาลันทาถูกทำลายหลายครั้งก่อนที่จะล่มสลาย ครั้งที่ ๑ ประมาณ พ.ศ. ๑๑๔๓ หลังจากที่กษัตริย์ กุมารคุปตะที่ ๑ (ศักราทิตย์) สร้างนาลันทา มหาวิหารเสร็จ และกษัตริย์แห่งคุปตะ องค์ต่อมาได้ขยายการก่อสร้างเพิ่มเติม

          กษัตริย์หูณะชื่อมิหิลรกุละได้ทำลาย แต่นาลันทาก็กลับรุ่งเรืองขึ้นมาอีกในสมัยปาละครั้งที่ ๒ มีหลักฐานปรากฏในงานเขียนชื่อ มัญชุศรีมูลกัลปะว่า กษัตริย์ต่างชาติชื่อ โคมี (Gomi) เข้ามาอินเดียทางแคชเมียร์ ทำลายวัด และฆ่าพระสงฆ์จำนวนมาก นาลันทาถูกทำลายล่มสลายโดยสิ้นเชิงประมาณปี พ.ศ.๑๗๗๗-๑๘๙๙ **

            ราชวงศ์ปาละสิ้นสุดลงใน พ.ศ. ๑๖๘๓ โดยการรุกรานของพวกเสนา (senas) จากทางใต้ซึ่งต่อต้านพระพุทธศาสนา พวกเสนานับถือพระวิษณุ(Vaishnavite) รื้อฟื้นนิกายวิษณุดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ และสนับสนุนมหาวิทยาลัยตันตระให้เป็นสถาบันการศึกษาและวัฒนธรรม แต่อาณาจักรเสนาแห่งเบงกอลก็มีอายุสั้น ปราชัยต่อพวกมุสลิมเติร์กและพวกอัฟกัน ใน พ.ศ. ๑๗๔๒

             พวกนิยมศาสนารุกรานเข้ามา ไม่ได้ทำลายเฉพาะองค์กรและบุคลากรทางด้านการเมืองและทหารเท่านั้น แต่ทำลายประชาชนและสถาบันศาสนาอื่นๆ ด้วย มีความเข้าใจผิดว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้บูชารูปปั้น (idolater-ผู้บูชารูป วัตถุด้วยความหลงใหล)*** จึงถูกฆ่าอย่างทารุณ เจดีย์ วิหาร มหาวิทยาลัย และ โรงเรียน ทั้งหมดถูกเผาทำลาย เฉพาะที่นาลันทา การเผาทำลายห้องสมุดดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาหลายเดือน มินหซัด (Minhazad) นักประวัติศาสตร์มุสลิม บันทึกไว้ในหนังสือ ตวกตะ(Tavakata) ว่า

          ใจกลางเมือง มีวัดขนาดใหญ่และมั่นคงกว่าที่อื่น ไม่สามารถบรรยายถึงความใหญ่โตโอ่อ่าได้ สุลต่าน(Sultan)บรรยายด้วยความชื่นชมว่า ถ้าใครปรารถนาที่จะสร้างตึกให้เทียบเท่ากับวัดนี้ต้องใช้จ่ายทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ ดินาร์แดง (hundred thousand red dinars) ต้องใช้เวลาสร้าง ๒๐๐ ปี  และ ต้องใช้คนงานก่อสร้างที่มีประสบการณ์ และความสามารถมากที่สุดอีกด้วย จึงจะสามารถทำได้ แต่สุลต่านก็สั่งทหารว่า วัดทั้งหมดควรจะต้องถูกเผาด้วยการเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผา และทำลายให้ราบเป็นหน้ากลอง

        สันนิษฐานว่า ขณะที่สุลต่านสั่งทหารเข้าเผาทำลายนาลันทานั้น กิจกรรมการเรียนการสอนและศาสนกิจอย่างอื่นยังคงดำเนินไปตามปกติ เห็นได้จากบันทึกของมินหซัดตอนต่อมาว่า คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นจำนวนมาก หนีกระจัดกระจายไปต่างถิ่น หลายคนหนีไปได้สำเร็จ แต่ที่หนีไม่พ้นก็ถูกฆ่า การนับถืออิสลามหรือความตาย คือทางเลือกที่มาหมุด(Mahmud) กำหนดให้ประชาชน คนที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นส่วนมากเป็นพราหมณ์ โกนศีรษะ(พระภิกษุนั่นเอง) ถูกฆ่า หนังสือจำนวนมากซึ่งถูกค้นพบในที่นั้น เมื่อกองกำลังมูฮัมหมัดมาเห็นเข้า จึงถามว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แต่คนที่รู้เรื่องถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว จึงไม่มีใครอธิบายได้

         "ถ้าคนเหล่านั้น(ชาวนาลันทา)หันมานับถือศาสนาของเรา(อิสลาม) นั่นเป็นการดี ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเขาต้องถูกคมดาบ"กองกำลังมูฮัมหมัดจึงเริ่มฆ่าคนที่อาศัยอยู่ในนาลันทา ต่อจากนั้น เก็บกวาดเอาทรัพย์สินเงินทอง จับชายหญิงที่รูปร่างหน้าดี ประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน รวมทั้งเด็กไปบำเรอกาม ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์โหดร้ายเหลือที่จะบรรยาย

         เมื่อเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต สุลต่าน ควบคุมไม่ได้ มีคนถูกจับและถูกฆ่าไปทั้งหมด ๑๒,๐๐๐ คน รวมทั้งชาย หญิง และเด็ก ทำลายล้างสถานที่มั่นทั้งหมด หลังจากที่เข่นฆ่า กวาดเก็บเอาทรัพย์สินจนพอใจแล้ว สุลต่านจึงกลับไปและประกาศชัยชนะที่ได้มาเพื่ออิสลาม มีประชาชนชายหญิง และเด็กออกมาร่วมแสดงความยินดี ขอบคุณพระเจ้า

         เมื่อนาลันทาถูกทำลายลงอย่างนี้ พระสงฆ์ที่หนีรอดจากความตาย ได้เดินทางไปเนปาลและทิเบต เมื่อพระสงฆ์ถูกทำลาย ชาวพุทธก็ถูกละเลยไม่มีคนอบรมสั่งสอน นับแต่นั้นมา หลักการและวิธีการระหว่างชาวพุทธกับผู้ที่มิใช่ชาวพุทธก็ผสมผสาน เกิดความสับสน ในที่สุด ชาวพุทธก็ถูกกลืนเข้าไปในประชาคมที่มิใช่ชาวพุทธ เพราะแรงกดดันจากระบบวรรณะของฮินดู และแรงบีบคั้นจากมุสลิม

        เจดีย์ซึ่งรอดพ้นจากการถูกทำลาย ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นวัดฮินดู ทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายไปจากอินเดีย ปัจจุบัน มีเพียงกลุ่มชาวพุทธอิสระเล็กๆ เท่านั้น เหลืออยู่ในรัฐ เบงกอล รัฐอัสสัม รัฐโอริสสา และบางส่วนของอินเดียตอนใต้ พระพุทธศาสนาอยู่ในฐานะเกือบจะเรียกได้ว่าเป็น ศาสนาต่างถิ่นในถิ่นมาตุภูมิของตนเอง 

       ความสูญสลายแห่งพระพุทธศาสนาจากอินเดียในยุคที่ชาวเติร์กรุกราน ทำให้สรุปได้ว่า
‪‎การรุกรานของมุสลิมคือสาเหตุหลัก‬ ของการเสื่อมสูญแห่งพระพุทธศาสนาจากดินแดนซึ่งเป็นถิ่นกำเนิด ของตนเอง

โจรใต้ไม่กลัวบาปจ่อยิงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านขณะละหมาด....



วันนี้ (16 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. พ.ต.อ.ปัญญา คารวนันท์ ผกก.สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต โดยเหตุเกิดบริเวณมัสยิดบ้านเจาะกือแย ม.3 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วนำกำลังไปที่เกิดเหตุ

ในที่เกิดเหตุ พบเพียงกองเลือดจำนวนมากอยู่บริเวณประตูมัสยิด ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี ทราบชื่อคือ นายอารง รีกาซอ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82 ม.3 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้ากลางหลัง 2 นัดอาการสาหัส แพทย์พยายามยื้อชีวิต แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ตายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายความมั่นคง ก่อนเกิดเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพักกับลูกชายวัย 12 ปี เพื่อเดินทางไปละหมาดที่มัสยิดดังกล่าว แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุขณะเดินจูงลูกชายเดินเข้าประตู ได้มีคนร้าย จำนวน 4 คน ใช้รถจักรยานยนต์ 2 คันมาจอด ก่อน 2 คนร้ายจะเดินตามหลังทำทีมาละหมาด จากนั้นได้ชักอาวุธปืนจ่อยิงผู้ตายทันทีจนล้มกองกับพื้นต่อหน้าลูกชาย และชาวบ้านจำนวนมาก แล้วคนร้ายได้วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไป เจ้าหน้าที่เชื่อเป็นฝีมือแนวร่วมในพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ศชต.เผยคืบหน้าออกหมายจับ 3 คนร้ายจากเหตุยิงถล่มจุดตรวจบาโร๊ะ จ.ยะลา





ยะลา - ศชต. เผยคืบหน้าคดีคนร้ายยิงถล่มจุดตรวจบาโร๊ะ พร้อมขโมยอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ออกหมายจับแล้ว 3 ราย มี 2 คนอยู่ระหว่างหลบหนี และอีกคนเสียชีวิตแล้ว

วันนี้ (15 ต.ค.) พ.ต.อ.ณฐกรญ์ กาญจนาภรณ์ ผู้กำกับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ศชต. เปิดเผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 58 คนร้ายไม่ทราบชื่อ จำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาดระดมยิงใส่ฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลบาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา พร้อมทั้งได้เข้าไปจี้ชิงเอาอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลไปด้วยจำนวนหนึ่ง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลได้รับบาดเจ็บ จำนวน 14 ราย และในขณะเดียวกัน คนร้ายอีกส่วนหนึ่งได้ระเบิดเสาไฟฟ้า และตัดต้นไม้ขวางทาง จำนวน 2 จุด และวางวัตถุต้องสงสัยอีก จำนวน 1 จุด เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่อื่นๆ เข้าไปช่วยเหลือผู้ถูกโจมตี และเพื่อให้ความสะดวกแก่การหลบหนีของคนร้ายที่เข้าโจมตี

ซึ่งกรณีข้างต้น เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันสืบสวนสอบสวนมาอย่างต่อเนื่องจนมีความคืบหน้าเกี่ยวกับคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยได้ตรวจเก็บ DNA จากวัตถุพยานต่างๆ จำนวน 13 รายการ ผลการตรวจปรากฏความเชื่อมโยง จำนวน 1 รายการ โดยเชื่อมโยงกับ DNA ของคนร้ายที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณถนนสายหลังเทศบาล ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 11 ก.พ.56 แต่ทั้งนี้ยังไม่ทราบว่าเป็น DNA ของผู้ใด

“ผลการตรวจปลอกกระสุนปืน 491 ปลอก เมื่อส่งไปตรวจที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ยะลา พบว่า ใช้ยิงจากอาวุธปืน 23 กระบอก พบประวัติการก่อเหตุทั้งสิ้น 32 คดี และผลการสอบปากคำพยานแล้ว จำนวน 14 ปาก โดยมีประจักษ์พยาน จำนวน 1 ราย ซึ่งนำไปออกหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายซายูตี อาลีมามะ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191 ม.4ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และนายมะฮารน โตะลู อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68/1 ม.1 ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี ปัจจุบัน ทั้ง 2 คน อยู่ระหว่างการหลบหนี และนายสุขทา บากา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81 ม.2 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากถูกคนร้ายยิง เมื่อวันที่ 6 ต.ค.58 พื้นที่ ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ขณะกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ไปกรีดยาง ทั้งนี้ กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” พ.ต.อ.ณฐกรญ์ กล่าว


วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บีอาร์เอ็นประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวมาร่าและการเจรจากับรัฐไทย


บีอาร์เอ็นให้สัมภาษณ์นิเคอิ เอเชียน รีวิว บอกไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับ 'มาร่า ปาตานี' หรือ องค์กรร่วมของขบวนการปลดแอกเอกราชซึ่งร่วมคุยกับรัฐบาลไทย ยืนยันว่ายังดำเนินการทางทหารในพื้นที่พร้อมดำเนินงานการเมืองในเวทีโลก- ขณะเดียวกันพบเอกสารอ้างว่าเป็นแถลงการณ์บีอาร์เอ็น ระบุไม่ปฏิเสธแนวทางสันติวิธี แต่เรียกร้องให้มีกระบวนการสันติภาพที่มีองค์กรต่างประเทศมาร่วมและทำอย่างจริงใจและโปร่งใส
12 ต.ค. 58 ตัวแทนสี่คน ซึ่งอ้างตัวว่า เป็นฝ่ายข้อมูลของบีอาร์เอ็น หรือ แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี :ซึ่งเป็นองค์กรปลดแอกเอกราชสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สัมภาษณ์กับ นิเคอิ เอเชียน รีวิว ระบุว่า องค์กรบีอาร์เอ็นไม่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยกับรัฐบาลไทย และมองด้วยว่า การพูดคุยนี้เป็น “ปรากฎการณ์ในแง่ลบ” ในขณะที่มีเอกสารที่อ้างว่า เป็นแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็นเผยแพร่ออกมาในอินเทอร์เน็ตวันนี้ กล่าวว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้ปฏิเสธกระบวนการสันติภาพ หากแต่ต้องทำอย่างจริงใจ และไม่ใช่อุบายทางการเมือง
โดยประชาไทแปลและถอดความบทความในนิเคอิ โตเกียว รีวิว ชื่อ Thailand condlict: Southern Thai insurgents stake out peace terms ซึ่งเขียนโดย แอนโทนี เดวิส โดยตัวแทนของบีอาร์เอ็นคนหนึ่งกล่าวว่า “ให้ผมพูดให้ชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพตอนนี้: บีอาร์เอ็นจะไม่มีวันเกี่ยวข้องเด็ดขาด” และกล่าวด้วยว่า “วิธีการที่กระบวนการนี้ถูกจัดขึ้น ถูกคัดค้านอย่างหัวชนฝาโดยบีอาร์เอ็นตั้งแต่แรก” แต่เขาก็กล่าวเสริมว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้ปฏิเสธการเจรจา และกระบวนการสันติภาพ “หากการพูดคุยนั้นเคารพมาตรฐานและวิธีการสากล”
ผู้แทนของบีอาร์เอ็นนั้นนำโดย ชายคนหนึ่งซึ่งแนะนำตัวเองว่าชื่อ “ยูซูฟ” พบกับ แอนโทนี เดวิส นักเขียนรับเชิญของ นิเคอิ เอเชียน รีวิว ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ณ เมืองหลวงหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และให้สัมภาษณ์เป็นภาษามาเลย์
ยูซูฟกล่าวกับ นิเคอิ เอเชียน รีวิวว่า บีอาร์เอ็นเชื่อว่า กระบวนการสันติภาพซึ่งเกี่ยวข้องกับมาร่าในตอนนี้ ซึ่งมีผู้ที่อ้างว่าตัวเองเป็นบีอาร์เอ็นอยู่ด้วยอย่างน้อยสี่คน นั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ และควรจะล้มเลิกไปซะ เพื่อให้เกิดการริเริ่มใหม่ และหากมีการเจรจาอีกครั้งก็ควรจะเอากลุ่มปลดแอกเอกราชหลากหลายกลุ่ม และภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาร่วมด้วย “เราได้เตรียมที่จะเชิญ หรือสร้างพื้นที่ ให้กับภาคส่วนอื่นๆ ด้วย เพราะปัญหานี้เกี่ยวข้องกับทุกคนในปาตานี”
“เรายินดีที่มาเลเซียมาเกี่ยวข้องกับกระบวนการสันติภาพใดๆ แต่มาเลเซียอย่างเดียวนั้นไม่พอ” ยูซูฟกล่าว “มันจำเป็นต้องมีองค์กรนานาชาติอื่นๆ มาร่วมด้วย พูดตรงๆ ก็คือ เรามีความไม่ไว้ใจอย่างสูงกับการพูดคุยใดๆ กับรัฐบาลไทย ซึ่งไม่ได้นำเอาประชาคมนานาชาติมาเกี่ยวข้องด้วย”
“เราไม่รู้สึกว่ามันแปลก เมื่อไหร่ที่มีการเจรจา คุณจะเห็นการมีส่วนร่วมจากประชาคมนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นรัฐ หรือ องค์กรเอกชนนานาชาติ นี่มันเป็นเรื่องปกติมากๆ”
แม้พวกเขายอมรับว่า มีความรุนแรงลดลง ผู้แทนบีอาร์เอ็นกลับปฏิเสธที่จะยอมรับว่า กลุ่มก่อความไม่สงบนั้นเริ่มเสียโมเมนตัม เพราะเจอฏิบัติการต่อต้าน และการสูญเสียการสนับสนุนจากคนในพื้นที่ พวกเขากล่าวว่า บีอาร์เอ็นกำลังขยายการทำงานทางการเมืองทั้งภายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และในเวทีนานาชาติ ในขณะที่ยังคงรักษาการกดดันทางทหารเอาไว้
“การลดลงของปฏิบัติการทางทหารเป็นแค่เรื่องชั่วคราว แต่ภาพใหญ่ของกลุ่มนั้น เรายังเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เครื่องพิสูจน์ก็คือ หลังการรัฐประหาร [พ.ค. 2557] รัฐบาลชุดนี้มากดดันเราอย่างหนัก แต่เราก็ยังคงปฏิบัติการต่อไป หากใครก็ตามในกองทัพไทยคิดว่า นี่จะจบลงในไม่กี่ปี ผมขอบอกไว้ง่ายๆ ว่า ให้พวกเขารอดู”
ตัวแทนบีอาร์เอ็นกล่าวว่า เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูดเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารและยุทธวิธี อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามว่า บีอาร์เอ็นเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดนอกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ ยูซูปฟกล่าวว่า “ในทางหลักการแล้ว ปฏิบัติการที่อยู่นอกปาตานีนั้นไม่ใช่นโยบายของเรา อย่างไรก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง มันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดขึ้น”
ยูซูฟยังกล่าวกับ นิเคอิ เอเชียน รีวิว อีกว่า บีอาร์เอ็นได้เฝ้าติดตามข่าวเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย (ไอเอส) อย่างใกล้ชิด “เหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และอุดมการณ์สุดโต่ง คือสิ่งที่เรารู้สึกว่า ห่างไกลพวกเรามากๆ เนื่องจากบีอาร์เอ็นถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2503 อุดมการณ์ของบีอาร์เอ็นได้ถูกพัฒนาจนไปไกลกว่า การก่อการร้ายและกลุ่มสุดโต่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศาสนา และเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมัน”
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเพิ่มว่า บีอาร์เอ็นนั้นกังวลกับอิทธิพลของไอเอสต่อเยาวชนมุสลิมในสามจังหวัด “เราอยู่ในโลกโลกาภิวัฒน์ และมันยากมากที่จะป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลจากภายนอก แต่เราก็ระแวดระวังเทรนด์ของโลกที่อาจทำให้เยาวชนเราลุ่มหลง”
แอนโทนี เดวิส ตั้งข้อสังเกตไว้ตอนท้ายว่าา การเก็บตัวของบีอาร์เอ็นนั้นแสดงถึงความพยายามที่จะแยกตัวเองออกจากมาร่า และพวกเขายังดูไม่มีความคาดหวังต่อรัฐบาลทหารไทย ว่าจะยอมรับข้อเรียกร้องเพื่อสืบสานการเจรจาที่แท้จริง 

แถลงการณ์บีอาร์เอ็น ย้ำไม่ได้ปฏิเสธเจรจาสันติภาพแต่รัฐไทยต้องจริงใจ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ (12 ต.ค.) มีการเผยแพร่เอกสารที่อ้างว่าเป็นแถลงการณ์ของฝ่ายข้อมูล ของบีอาร์เอ็น โดยลงวันที่ 12 ตุลาคม โดยใจความสำคัญระบุว่าไม่ได้ปฏิเสธกระบวนการเจรจาสันติภาพ แต่รัฐไทยจะต้องจริงใจและไม่ใช้การเจรจาเป็นอุบายทางการเมือง
ในขณะที่เอกสารที่อ้างว่าเป็นแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็น กล่าวว่า “ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าขบวนการบีอาร์เอ็นปฏิเสธสันติวิธีหรือกระบวนการสันติภาพผ่านการพูดคุยสันติภาพและการเจรจา บีอาร์เอ็นได้ตระเตรียมการที่จะบรรลุสันติภาพผ่านสันติวิธี อย่างไรก็ตามกระบวนการสันติภาพนั้น จะต้องให้เกียรติและจริงใจที่จะต้องการมีสันติภาพจริงๆ ไม่ใช่การใช้กระบวนการสันติภาพเป็นรูปแบบหนึ่งของอุบายทางการเมืองเพื่อหลอกลวงและบ่อนเซาะยุทธศาสตร์เพื่อความก้าวหน้าของประชาชนมลายู-ปาตานี”
ทั้งนี้แถลงการณ์ดังกล่าวลงวันที่ 12 ตุลาคม 2015 หรือสองวันหลังวันครบรอบการก่อตั้งกลุ่มติดอาวุธ ของบีอาร์เอ็น ประชาไท ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของแถลงการณ์ได้
ในเอกสารดังกล่าว บีอาร์เอ็น ยังอ้างถึงเงื่อนไข 5 ประการที่เคยเสนอไปถึง “การยึดครองโดยสยาม” ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการสันติภาพที่ประเทศไทยแสดงออกเหมือนว่าได้สอบถามประชาชนมลายู-ปาตานี ผ่านกระบวนการเจรจากับบีอาร์เอ็น โดยในแถลงการณ์ตั้งคำถามว่าเป็นความจริงใจหรือไม่ และระบุด้วยว่า การเจรจาควรดำเนินไปอย่างเป็นทางการ ยึดมาตรฐานและบรรทัดฐานของนานาชาติ ซึ่งรวมถึงการมีคนกลางและผู้สังเกตการณ์จากประเทศอื่น “เพราะปัญหาของปาตานีเป็นเรื่องของการที่ชาติหนึ่งยึดครองอีกชาติหนึ่งเป็นอาณานิคม จุดยืนและการมีอยู่ของชาติมลายู-ปาตานีจะต้องได้รับการรับรอง”
“แต่เป็นที่ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่เคยยอมรับข้อเท็จจริงว่ารากฐานของปัญหาปาตานีคือการยึดครองและการทำให้เป็นอาณานิคม ด้วยเหตุผลนี้ ประเทศไทยจึงปฏิเสธเงื่อนไขห้าประการ (ในปี 2556) ตั้งแต่เจรจาครั้งแรก” ในแถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า “การยึดครองของสยาม” มุ่งที่จะกลืนชาติและทำให้คนมลายูกลายเป็นคนสยามผ่านระบบการศึกษาทั้งที่คนมลายูก็มีอัตลักษณ์ของตน อย่างไรก็ตามในแถลงการณ์อ้างว่า “กระบวนการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงใช้การหลอกลวงเพื่อทำลายคนรุ่นหนุ่มสาวของปาตานีด้วยการอนุญาตให้มีการใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้สถานการณ์เลวร้าย และเพื่อกล่าวหาว่ากลุ่มนักรบที่ต้อต้านรัฐไทยเกี่ยวข้องด้วย” ในแถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า “เพราะผู้ยึดครองทั่วโลกต่างหวาดกลัวการลุกฮือของประชาชน นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ “การยึดครองของสยาม” พยายามที่จะเจือยาพิษให้กับคนรุ่นหนุ่มสาวของปาตานีด้วยยาเสพย์ติดและความชั่วร้ายต่างๆ” แถลงการณ์ที่อ้างว่าเป็นของบีอาร์เอ็นกล่าว
ในตอนท้ายของแถลงการณ์ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ ระบุด้วยว่า การต่อสู้ของบีอาร์เอ็น เป็นการต่อสู้ของประชาชนเพื่อปกป้องเอกราชและนำมาตุภูมิกลับคืนมา ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นสิทธิของทุกชาติที่จะกำหนดชะตากรรมของตนเอง โดยในแถลงการณ์อ้างถึงมติของสมัชชาใหญ่แห่งประชาชาติที่ 1514 (มติที่ 1514 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2503)  ในแถลงการณ์ระบุอีกว่า บีอาร์เอ็นเชื่อว่าไม่มีการต่อสู้เพื่ออิสรภาพเพื่อให้เกิดสันติภาพใด ที่จะไม่มีเหยื่อ ด้วยเหตุนี้บีอาร์เอ็นจึงพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อลดผู้ได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุดในความขัดแย้งนี้ นี่จึงทำให้เห็นว่าประชาชนยังคงสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ บีอาร์เอ็นเชื่อว่าประชาชนทุกคนของปาตานีจากทุกพื้นฐานและศาสนาจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งจะต้องเป็นอิสระจากการยึดครอง การกดขี่ และการถูกเลือกปฏิบัติ “บีอาร์เอ็นสนับสนุนทุกๆ ความพยายามของทุกๆ กลุ่ม ในทุกๆ ภาคส่วน ในเงื่อนไขที่ว่าความพยายามของพวกเขาเป็นไปเพื่อสร้างปาตานี ไม่ใช่บ่อนทำลายปาตานี อย่างกรณีที่เกิดขึ้นจาก “การยึดครองของสยาม” ที่ไม่มีเกียรติ”
ในตอนท้ายของแถลงการณ์ยังทิ้งท้ายอีกด้วยว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ปาตานีจะไม่ได้รับอิสรภาพ อิสรภาพ และอิสรภาพ”

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โจรใต้ใช้โรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร OTOP (ฮาลาล) เป็นที่หลบซ่อนถังแก๊ส และถังดับเพลิงประกอบระเบิด....



โจรใต้ใช้โรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร OTOP (ฮาลาล) เป็นที่หลบซ่อนถังแก๊ส และถังดับเพลิงประกอบระเบิด....

        เมื่อ 10 ต.ค.58 เวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าทำการควบคุมตัว นายแวรอซะ บือราเฮง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/20 ม.8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ปัจจุบัน เป็น รปภ. โรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร OTOP (ฮาลาล) ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชี้จุดที่นายแวรอซะฯ ได้นำถังแก๊ส จำนวน 6 ถัง และ ถังดับเพลิง จำนวน 17 ถัง มาเก็บซุกซ่อนไว้ภายในโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร OTOP (ฮาลาล) ซึ่งตั้งอยู่ที่ ม.1 บ.ควนคูหา ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี


         จากพฤติกรรมดังกล่าวต้องสงสัยได้ว่า นายแวรอซะฯ อาจมีส่วนรู้เห็น หรือเตรียมนำถังแก๊ส และถังดับเพลิงไปประกอบระเบิด เพื่อใช้ทำการก่อเหตุในพื้นที่ ของกลางที่ตรวจยึดได้เจ้าหน้าที่ได้นำไปเก็บไว้ที่หน่วยทหาร และจะทำการซักถาม นายแวรอซะฯ หาความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องในการนำถังแก๊ส และถังดับเพลิงไปประกอบระเบิดต่อไป

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ระเบิดรถจักรยานยนต์หมู่บ้าน ปูไล อ.กัวมูซัง กลันตัน เชื่อมโยงกลุ่มผลิตระเบิดฝั่งไทย




           เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2558 เวลาประมาณ 09.00 น. เกิดเหตุระเบิด จยย.บอมบ์ ขี้น บนถนน กม.10 ถนน กัวมูซัง หมู่บ้าน ปูไล อ.กัวมูซัง รัฐกลันตัน มาเลเซีย ทำให้ผู้ขับขี่รถ รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว เสียชีวิต ทั้งสองคน ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ทราบชื่อ

  • 1. Cha Mok Liong ( ชา มอค ลียอง )
  • 2. Fong Ah Fong ( ฟอง อะ ฟอง )


           เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวลูกเลี้ยงของผู้ตาย มาทำการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุครั้งนี้ หัวหน้าตำรวจรัฐกลันตันได้ให้สัมภาษณ์ว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ซื้อวัตถุระเบิดมาจากฝั่งไทย ในราคา 3,000 บาท และได้ประกอบติดไว้กับ รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ไว้ก่อนล่วงหน้า 3 วัน ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุระเบิดนั้น ต้องรอผลตรวจพิสูจน์ของหน่วย อีโอดี สำนักงานตำรวจชาติ มาเลเซียและเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่ม ไอ เอส หรือก่อการร้ายแต่อย่างใด


พบกระสุนปืนสงครามปริศนานับร้อย ตร.เร่งตรวจสอบเอี่ยวยิง “กำนันใบย” หรือไม่?!


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - พบกระสุนปืนสงครามปริศนากว่า 100 นัด ถูกทิ้งในพงหญ้าบริเวณเขต ทน.หาดใหญ่ ตำรวจเร่งตรวจสอบเอี่ยวเหตุยิงกำนัน และอดีตนายก อบต.เกาะนางคำ จ.พัทลุง เมื่อคืนนี้หรือไม่?!

วันนี้ (10 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.ท.วัลลภ สุภาไชยกิจ ร้อยเวร สภ.หาดใหญ่ รับแจ้งพบกระสุนปืนสงครามจำนวนมากใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายสีดำ และถูกนำมาทิ้งไว้ในพงหญ้าภายในซอย 41 ถนนเพชรเกษม เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ หลังรุดตรวจสอบ พร้อมด้วยชุดสืบสวน สภ.หาดใหญ่ และ พ.ต.ท.ธราดล เหมพัฒน์ พงส.ผนพ.กก.6 บก.ป.ผู้ประสานงานกอง 6 กองปราบ

จากการตรวจสอบพบว่า มีทั้งกระสุนปืนใหม่ และเก่าหลายชนิดรวม 110 นัด ประกอบด้วยเอ็ม 16 จำนวน 43 นัด กระสุนปืนขนาด TW 52 จำนวน 31 นัด และขนาด A0 A65 จำนวน 36 นัด นอกจากนี้ ยังมีถุงมือผ้าสีน้ำเงิน 1 คู่ หน้ากากผ้าปิดจมูก 1 อันอยู่ภายในกระเป๋า จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยกระสุนปืนทั้งหมดชาวบ้านพบโดยบังเอิญขณะที่กำลังตัดหญ้าอยู่ในบริเวณดังกล่าว

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่คาดว่ากระสุนปืนทั้งหมดอาจถูกนำมาทิ้งไว้เพราะกลัวถูกจับกุม เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการเข้าแผนปฏิบัติการตรวจค้นกวาดล้างอาชญากรรม โดยเฉพาะอาวุธปืน และเครื่องกระสุน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ากระสุนปืนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องต่อคดียิง นายละใบย เส็นยีหีม อดีตกำนัน และนากยก อบต.เกาะนางคำ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เสียชีวิตในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองคอหงส์ อ.หาดใหญ่ เมื่อคืนนี้หรือไม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการนำไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์ตรวจพิสูจน์หลักฐาน 9






โจรใต้ลอบวางระเบิดหวัดทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชาวบ้านถูกลูกหลงเจ็บ 4 คน







นราธิวาส - โจรใต้กดระเบิด! หวังดักสังหาร จนท.ตำรวจ สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส ชาวบ้านถูกลูกหลงบาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย อาการปลอดภัยแล้วทั้งหมด

วันนี้ (10 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ณทรรศ ชัยรัตน์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหาร ร.ต.ท.อมรศักดิ์ โงกเขา พนักงานสอบสวน สภ.จะแนะ ริมถนนสายระแงะ-ดุซงญอ ช่วงบริเวณบ้านกาลิซา ม.2 ต.กาลิซา อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ส่งผลทำให้ชาวบ้านถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 คน

จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ภักดี ปรีชาชน ผกก.สภ.ระแงะ พ.อ.รุ่งโรจน์ อนันตโท ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 พ.ต.ต.ประจวบ นิ่มเรือง หัวหน้าชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

โดยพบที่บริเวณเพิงขายของริมถนนซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายวางระเบิด ถูกอานุภาพระเบิดได้รับความเสียหายจนชิ้นส่วนต่างๆ ของเพิงขายของได้กระเด็นมาอยู่บนถนน และไหล่ทาง พร้อมทั้งมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิคนิค หนัก 20 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน และพงหญ้ารกทึบริมทาง และห่างไปประมาณ 30 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง ทะเบียน ญย 3330 กทม. ซึ่งเป็นรถยนต์ของพนักงานสอบสวน สภ.จะแนะ ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายที่กระจกหน้าร้าว

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จำนวน 4 คน ซึ่ง 1 ใน 4 คนทราบชื่อนั้น คือ นายอาซัน บาแย อายุ 31 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณหัวเข่า ส่วนอีก 3 คน ยังไม่ทราบชื่อ ซึ่งมีอาการหูอื้อและแน่นหน้าอกเล็กน้อย พลเมืองดีได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลระแงะ ไปก่อนหน้าแล้ว และเมื่อแพทย์ทำการปฐมพยาบาลก็ได้อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านพักได้

จากการสอบสวน ร.ต.ท.อมรศักดิ์ โงกเขา พนักงานสอบสวน สภ.จะแนะ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้นำตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 2 คน เดินทางไปฝากขังที่ศาล จ.นราธิวาส โดยมี ส.ต.อ.วาริช โต๊ะแม เป็นพลขับออกจาก สภ. และเมื่อทำการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 รายแล้วเสร็จ ได้นั่งรถยนต์กระบะเพื่อกลับ สภ. ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้ใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิดที่ลอบนำไปซุกไว้ในเพิงขายของริมทางจนเกิดระเบิดขึ้นในขณะที่รถยนต์แล่นผ่าน

แต่โชคดีที่เสา และแผงสำหรับวางสินค้าของเพิงขายของได้บดบังอานุภาพของระเบิดไว้ ทำให้ นายอาซัน ที่กำลังตัดหญ้าอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แถมยังมีชาวบ้านอีก 3 คน ที่กำลังขี่ และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผ่านมาถูกอานุภาพของระเบิดมีอาการหูอื้อ และแน่นหน้าอก ส่วนตนเองปลอดภัย แต่รถยนต์กระบะถูกสะเก็ดระเบิดจนกระจกหน้าร้าวดังกล่าว

ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อลอบดักสังหารเจ้าหน้าที่รายวัน

ตชด.43 จับพ่อค้าใบกระท่อมรายใหญ่สงขลายึดได้เกือบ 160 กก.



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ตชด.43 ไล่ล่าจับกุมขบวนการค้าใบกระท่อมรายใหญ่ใน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลังขับรถแหกด่านชนเจ้าหน้าที่ก่อนจนมุมในป่าสวนยาง ยึดของกลางล็อตใหญ่หนัก 159 กก. พร้อมแจ้ง 2 ข้อหาหนักทั่งจำหน่ายและพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่


วันนี้ (10 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.พยุหะ บุษบงค์ ผบ.ฉก.ตชด.43 พ.ต.อ.พหล เกตุแก้ว ผกก.ตชด.43 พ.ต.ท.บูรหัน ตานีเห็ง รอง ผบ.ฉก.ตชด.43 และ ร.ต.ท.สุริวงศ์ สมทรง หัวหน้าชุดชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามหน่วยเฉพาะเกาะ ตชด.43 ร่วมกันจับกุมขบวนการค้าใบกระท่อมในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลังจากที่พยายามขับรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อดีแม็ค หมายเลขป้ายทะเบียน 7243 ปัตตานี แหกด่านและชนเจ้าหน้าที่พยายามขับหลบหนีเข้าไปในป่าสวนยางพาราท้ายหมู่บ้าน ม.5 ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา แต่จนมุมถูกจับกุมได้

ก่อนเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายมะตอเฮ หอมะแอ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นคนขับเอาไว้ได้ จากการตรวจค้นภายในรถพบใบกระท่อมล็อตใหญ่ จำนวน 1,460 มัด น้ำหนักประมาณ 159 กิโลกรัม และเงินสดอีก 7,240 บาท

โดยก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าได้รับรายงานว่า นายมะตอเฮ ซึ่งเป็นเอเย่นต์ค้าใบกระท่อมรายใหญ่ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย เตรียมขนใบกระท่อมล็อตใหญ่ไปส่งให้เครือข่ายค้าใบกระท่อมในพื้นที่ จ.ปัตตานี โดยขนมาจากพื้นที่บ้านทุ่งไทรแจ้ ต.เขาแดง อ.สะบ้าย้อย เจ้าหน้าที่จึงวางแผนสกัดจับ แต่เกิดไหวตัวทันได้ขับรถแหกด่านและขับชนเจ้าหน้าที่ แต่กระโดดหลบได้ทันปลอดภัยทุกนาย สุดท้ายไม่รอดถูกเจ้าหน้าที่ขับรถไล่ล่า ก่อนจนมุมในป่าสวนยาง เนื่องจากขับมาสุดทางไม่มีทางหลบหนี

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ใบพืชกระท่อม) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติตามหน้าที่ 

ยิงถล่ม “กำนันใบย” อดีตกำนัน-นายก อบต.เกาะนางคำคนดังเมืองลุงดับคาที่




ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ดุ! คนร้ายใช้อาวุธสงครามอาก้า-เอ็ม 16 ยิงถล่ม “กำนันใบย” อดีตกำนัน และนายก อบต.เกาะนางคำ จ.พัทลุง จนพรุนทั้งร่าง 31 นัดดับคาที่ ขณะเดินทางมาทำธุระที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตำรวจคาดปมขัดแย้งทั้งการเมืองในอดีต และเรื่องส่วนตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (9 ต.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.ของคืนที่ผ่านมา เกิดเหตุยิงถล่มกันด้วยอาวุธปืนสงครามภายในซอย 27 ถนนกาญจนวนิช เขตเทศบาลเมืองคอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย หลังจาก พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา พร้อมด้วย พ.ต.อ.ตรีวิทย์ ศรีประภา รอง ผบก.ภ.จ.สงขลา พ.ต.อ.ศักดา เจริญกลุ ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา และกำลังตำรวจ สภ.คอหงส์ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี

ในที่เกิดเหตุพบศพ นายละใบย เส็นยีหีม อายุ 49 ปี หรือกำนันใบย อดีตกำนันตำบลเกาะนางคำ และอดีตนายก อบต.เกาะนางคำ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามทั้งอาก้า และเอ็ม 16 จนพรุนทั้งร่างรวม 31 นัด นอนเสียชีวิตอยู่ในพงหญ้าริมทาง และในบริเวณจุดเกิดเหตุเต็มไปด้วยปลอกกระสุนปืน ทั้งปืนอ้าก้า จำนวน 15 นัด และเอ็ม 16 จำนวน 16 นัด ในระยะห่างจากศพประมาณ 3 เมตร และบริเวณจุดที่นอนตาย ซึ่งเป็นลักษณะการไล่ยิง และตามมายิงซ้ำ ส่วนคนร้ายคาดว่าน่าจะมีอย่างน้อย 3 คน และใช้รถยนต์เป็นพาหนะ แต่ขณะเกิดเหตุไม่มีใครเห็นว่าเป็นรถชนิดใด ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งไล่ตรวจกล้องวงจรปิดเพื่อหาเบาะแสของคนร้าย

จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุ กำนันใบย ได้เดินทางมาทำธุระที่บ้านญาติภายในซอยดังกล่าว ระหว่างที่จอดรถ และเดินเข้าไปในซอยได้มีกลุ่มคนร้ายขับรถตามหลังมา และลงมายิง แต่กำนันใบย น่าจะรู้ตัว และพยายามวิ่งหลบหนีแต่ไม่รอด ถูกคนร้ายไล่ยิงถล่มทั้งอาก้า และเอ็ม 16 จนเสียชีวิตคาที่



ส่วนสาเหตุเบื้องต้นนั้นตำรวจทั้งไว้ 2 ประเด็นคือ ความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่นในอดีต รวมทั้งความขัดแย้งส่วนตัว โดยกำนันใบย เป็นหนึ่งในผู้กว้างขวางในพื้นที่ จ.พัทลุง และเคยเป็นทั้งอดีตกำนัน ต.เกาะนางคำ และอดีตนายก อบต.เกาะนางคำ แต่ระยะหลังได้วางมือทางการเมือง ซึ่งสาเหตุที่ถูกยิงในครั้งนี้น่าจะเชื่อมโยงทั้งการเมืองท้องถิ่นใน ต.เกาะหมาก ที่มีการยิงอดีตนายกตายไปแล้วถึง 3 ราย รวมถึงพ่อของกำนันใบย ด้วย รวมทั้งในพื้นที่ ต.เกาะนางคำ ที่กำนันใบย เคยเป็นกำนัน และอดีตนายกมาก่อน

ทั้งนี้ หากย้อนหลังไปดูประวัติเส้นทางทางการเมืองของกำนันใบย นั้นพบว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 24 มี.ค.2549 นายยะฝาด เส็นยีหีม นายก อบต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง 2 สมัย ซึ่งเป็นพ่อของของกำนันใบย ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตกลางวันแสกๆ ขณะกำลังนั่งดื่มกาแฟ และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2549 กำนันใบย ซึ่งขณะนั้นอายุ 39 ปี และเป็นกำนันตำบลเกาะนางคำ ซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับ ต.เกาะหมาก ถูกคนร้ายยิงถล่มด้วยอาวุธปืนเอ็ม 79 อาก้า และเอ็ม 16 จนบ้านพรุนแต่ก็รอดมาได้

จากนั้นกำนันใบย จึงผันตัวเองมาลงสมัครเลือกตั้งนายก อบต.เกาะนางคำ ในช่วงปี 2553 แต่เป็นได้เพียงสมัยเดียวก็วางมือทางการเมืองไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีก จนกระทั่งมาถูกยิงถล่มเสียชีวิตในที่สุด

สำหรับพื้นที่ จ.พัทลุง นั้น เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีผู้อิทธิพลหลายกลุ่ม และล่าสุด เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ทางกองปราบได้เปิดปฏิบัติการยุทธการประจัญบานคนพาล กวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่นครศรีฯ-พัทลุง มาแล้วครั้งหนึ่ง











วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หัวหน้าชุด EOD ปัตตานีเข้าตรวจจุดลอบสังหารทหารลาดตระเวนเคราะห์ดีพลาดเป้า



ปัตตานี - ตำรวจ พร้อมหัวหน้าชุด EOD เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุลอบวางระเบิดทหารลาดตระเวนบริเวณหมู่บ้านเตราะหัก ต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี โชคดีพลาดเป้าไร้คนเจ็บ

วันนี้ (8 ต.ค.) พ.ต.ต.แดนไชย พันธุ์ชา พนักงานสอบสวน สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พร้อมด้วย ร.ต.ท.สยบมาร ไมตรีจร หัวหน้าชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ตชด.บ้านโต๊ะตีเต นำกำลังทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.4215 หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 42 ในขณะออกลาดตระเวนเส้นทาง เมื่อคืนที่ผ่านมา เหตุเกิดบริเวณหมู่บ้านเตราะหัก ต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ โชคดีระเบิดพลาดเป้าจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่องจุดชนวนด้วยคลื่นวิทยุสื่อสารระบบ TTMS บรรจุไว้ในถังแก๊สปิคนิคสีส้ม มีน้ำหนักรวมไม่ต่ำกว่า 25 กิโลกรัม แล้วนำมาซุกไว้ใต้ผิวถนน หมายดักสังหารเจ้าหน้าที่ แต่โชคดีที่ระเบิดพลาดเป้าทำให้เจ้าหน้าที่ปลอดภัยทั้ง 10 นาย ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบชิ้นส่วนของถังแก๊สปิคนิค ชิ้นส่วนของแผงวงจรวิทยุสื่อสาร และชิ้นส่วนของเหล็กตัดที่ใช้ทำเป็นสะเก็ดระเบิดกระจ่ายทั่วบริเวณรัศมีของระเบิด เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้ตรวจสอบที่มาอีกครั้ง แรงระเบิดทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่กลางถนนทางหลวงสายปะนาเระ-สายบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาซ่อมแซมต่อไป

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะกำลังพล 10 นาย ทำการลาดตระเวนด้วยการเดินเท้าซุ่มเฝ้าตรวจกลางคืน พร้อมรถยนต์หุ้มเกราะ fist win 4/4 โดยสภาพพื้นที่มีลักษณะเป็นสวนมะพร้าว ในระหว่างทางได้พบบุคคลต้องสงสัยประมาณ 3 คน เจ้าหน้าที่จึงเดินเข้าไปหาเพื่อทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้วิ่งหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้กระจ่ายกำลังตรวจค้น ในระหว่างนั้นได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นห่างจากจุดที่พบบุคคลต้องสงสัยประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

ผู้การฯ สรุปยุทธการ “ประจัญบานคนพาล” จับผู้ต้องหา ยึดปืนเครื่องกระสุน และรถยนต์เพียบ!



นครศรีธรรมราช - ผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุปฏิบัติการ “ประจัญบานคนพาล เมืองลุงเมืองคอน” ช่วงแรกประสบความสำเร็จ จับผู้ต้องหา ยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุน และรถยนต์ผิดกฎหมายจำนวนมาก

วันนี้ (8 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ายุทธการ “ประจัญบานคนพาล เมืองลุงเมืองคอน” ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ความคืบหน้าช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่กองปราบปราม และเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางจากหลายกองบังคับการ ได้รวบรวมกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเกิดจากการเปิดแผนยุทธการประจัญบานคนพาล เมืองลุงเมืองคอน ที่ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เวลา 04.00 น. ก่อนฟ้าสาง

ซึ่งได้ปฏิบัติการตามเป้าหมาย โดยใช้หมายค้นจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลจังหวัดทุ่งสง และศาลจังหวัดพัทลุง ตามเขตอำนาจศาลเข้าทำการตรวจค้น 21 จุดใน จ.นครศรีธรรมราช และ จ.พัทลุง เพื่อกวาดล้างการใช้อาวุธปืนเข้าก่อเหตุ รวมทั้งแหล่งซ่องสุมอาวุธสงคราม ยาเสพติด บุคคลเป้าหมายในการก่อเหตุ รวมทั้งบุคคลตามหมายจับคดีค้างเก่า

โดยหลังจากการรวบรวมผู้ต้องหา รวมทั้งของกลาง พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปราม ได้สรุปผลการตรวจค้นจับกุมประกอบด้วย ในการค้นเป้าหมายสามารถจับกุมผู้ต้องคดีค้างเก่าตามหมายจับในกลุ่มคดีอาวุธปืน ยาเสพติด และความผิดต่อชีวิตและร่างกาย รวม 13 ราย จับกุมผู้ต้องหาครอบครองอาวุธปืน และยาเสพติดโดยผิดกฎหมาย ซึ่งพบของกลางในขณะตรวจค้น 6 ราย

ส่วนอาวุธปืนที่ทำการตรวจยึดประกอบด้วย อาวุธปืน 9 มม. จำนวน 5 กระบอก กระสุน 155 นัด อาวุธปืน 11 มม. 2 กระบอก กระสุน 47 นัด อาวุธปืนขนาด .357 จำนวน 2 กระบอก กระสุน 6 นัด อาวุธปืนสงครามชนิดเอ็ม 16 จำนวน 2 กระบอก อาวุธปืนลูกซองยาว 5 กระบอก และอาวุธปืนที่มีทะเบียนที่ต้องตรวจสอบอีก 5 กระบอก รวมทั้งหมด 21 กระบอก รวมเครื่องกระสุนทั้งหมด 247 นัด ตรวจยึดรถยนต์ตรวจสอบหลักฐาน 46 คัน ซึ่งพบว่าเป็นแหล่งจำนำนอกระบบ








รองโฆษก กอ.รมน.เผยแม่ทัพภาค 4 เร่งคลายคดีคนร้ายยิงสามีภรรยาขายหมูเสียชีวิต


ยะลา - รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงข่าวเหตุคนร้ายยิงสองสามี-ภรรยาขายหมูเสียชีวิตที่ปัตตานี พร้อมแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ ด้านแม่ทัพภาค 4 กำชับเร่งคลี่คลายสถานการณ์ และตรวจสอบสาเหตุ รวมทั้งให้ปรับมาตรการรักษาความปลอดภัย

วันนี้ (8 ต.ค.) ที่ห้องแถลงข่าวศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พ.ต.อ.แวสาแม สาและ รองผู้กำกับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ศชต. นายสัมพันธ์ มูซอดี ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติงานในรอบสัปดาห์

พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า กรณีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงราษฎรชาวไทยพุทธเสียชีวิต จํานวน 2 ราย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทราบชื่อคือ นายซุ้ยบี้ ชูช่วยคํา อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/3 บ้านคู (โคกวัด) หมู่ที่ 5 ต.ยาบี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กระสุนถูกบริเวณศีรษะ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นางนวลศรี ณ ตะกั่วป่า อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ซอย 5 ถ.นาเกลือ ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี กระสุนถูกบริเวณลำตัว เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการตรวจสอบพบปลอกกระสุนปืนขนาด 5.56 มม. จํานวนหนึ่งตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ

“จากเหตุการณ์ดังกล่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัว และญาติของผู้ที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจากการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายสถานการณ์ และตรวจสอบสาเหตุ รวมทั้งให้ปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยเป้าหมายอ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มไทยพุทธให้รัดกุมมากขึ้น พร้อมกับเน้นย้ำในเรื่องการรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะปลอกกระสุนปืนที่พบในจุดเกิดเหตุ เพื่อติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเร่งด่วนต่อไป” พ.อ.ยุทธนาม กล่าว



Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม