วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

“อวสาน ญีฮาดวิทยา” ช่วงเวลาที่สื่อโจรรอประโคมข่าว


“อวสาน  ญีฮาดวิทยา”

          เป็นอันสิ้นสุดของคดีเมื่อ “ครอบครัวแวมะนอ”ไม่มีการอุทธรณ์ กรณีศาลแพ่ง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.26/2556 ให้ยึดที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย

       14 ก.พ.59 “ครอบครัวแวมะนอ” เก็บข้าวของทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านที่ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ. ปัตตานี มีชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ช่วยในการขนย้ายออกจากบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปอเนาะ

        นายบันยาล แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ แวมะนอ กล่าวว่า “ผมเคารพการตัดสินใจของศาล” ส่วนเรื่องที่ว่าคนที่มีหมายจับและเป็นต้นตอของการยึดทรัพย์หนนี้ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือเป็นเจ้าของโรงเรียนนั้น เขาเชื่อว่าศาลรู้แล้ว “ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร แต่เรื่องที่ดินผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามันเป็นของคนอื่น แต่ศาลคงคิดว่ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เมื่อศาลตัดสินผมก็ยอมรับ ผมบอกแต่แรกแล้วว่า เมื่อเราสู้คดี ไม่ว่าแพ้หรือชนะเราก็จะยอมรับคำตัดสิน”

        “ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร” ซึ่งเป็นคำพูดที่สะดุดหูและชวนคิด มีอยู่บ่อยครั้งที่สมาชิกในครอบครัวไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทำ แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้วก็จะต้องยอมรับจากผลการกระทำของคนในครอบครัว

       “วันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารมาถาม พอเห็นเราจะย้ายไปอยู่มัสยิดก็บอกว่าทำไมไม่ไปบอกทหารก่อน ผมก็บอกว่ามีชาวบ้านที่จะช่วยเราอยู่แล้ว ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของผมบ้าง ”นายบันยาล ได้กล่าวถึงเจ้าหน้าที่ที่มาสอบถาม


        ภาพที่ชาวบ้านที่ช่วยกันขนข้าวของ“ครอบครัวแวมะนอ”ออกจากผืนแผ่นดินที่เคยอยู่อาศัยและใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนปอเนาะญีฮาดวิทยามานานหลายสิบปี สื่อแนวร่วมจงใจกันและพร้อมใจเผยแพร่ ไปในทิศทางเดียวกัน เสมือนหนึ่งมีการนัดหมายและได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกทางด้านจิตวิทยาสังคม โดยปฏิเสธเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าทำการช่วยเหลืออย่างไม่มีเยื่อใย

        นายบันยาล ยังกล่าวต่อไปว่า “มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาพูดคุยบอกให้เราอุทธรณ์ ครอบครัวก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมเจ้าหน้าที่มาบอกให้พวกเราอุทธรณ์ ในเมื่อพวกเขาเองเป็นคนฟ้องร้องเรา มันเหลือจะบรรยาย ตกลงเจ้าหน้าที่จะเอายังไงกับเรากันแน่”

       นายโสภณ ทิพย์บำรุง อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 9 กล่าวว่า “ถ้าครอบครัวแวมะนอไม่ยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องถือว่าคดีสิ้นสุด คำพิพากษามีผลทันที โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินจะตกเป็นของรัฐ หมายถึงรัฐเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ดี หากรัฐยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ใครก็ตามสามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่มีสิทธิครอบครอง แต่ถ้าวันใดรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา ก็ต้องย้ายออกไป”

         “แนวทางที่ดีสำหรับครอบครัวแวมะนอ คือ การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่ต่อสู้ตามกระบวนการ ก็ไม่มีช่องทางอื่นที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลย และเห็นว่าทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ”อัยการโสภณ ระบุ

        ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 อัยการโสภณ ทิพย์บำรุง ได้แถลงข่าวอธิบายเหตุผลของศาลแพ่งในการริบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของปอเนาะญีฮาดให้ตกเป็นของแผ่นดินให้สาธารณชนได้รับรู้ โดยย้ำเหตุผลที่ศาลรับฟัง คือ ที่ดินผืนนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกของกลุ่มคนร้ายในขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีหลักฐานทั้งพยานบุคคล และพยานแวดล้อมอื่นๆ ครบถ้วน

       หากวิเคราะห์สาเหตุที่ “ครอบครัวแวมะนอ” ไม่ยื่นอุทธรณ์ น่าจะมาจากสาเหตุไม่สามารถนำหลักฐานมาหักล้างต่อศาลได้ และที่สำคัญ มูลนิธิทนายความมุสลิมที่ปรึกษาในคดี“ครอบครัวแวมะนอ” อาจจะมีการประเมินหนทางต่อสู้แล้วว่าหากอุทธรณ์ไปก็ไม่สามารถชนะคดีความได้


      ที่น่าสนใจ ทำไม?  “ครอบครัวแวมะนอ” จึงรีบย้ายออกจากที่ดินผืนดังกล่าวทั้งๆ ที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าวได้อยู่ ยกเว้นรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา จึงจะต้องย้ายออกไป ตามที่ทนายโสภณได้กล่าวไว้

       ซึ่งจากข้อสังเกต น่าจะมีบุคคลอยู่เบื้องหลังให้ทำการย้ายออก เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะสื่อแนวร่วมที่ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอดว่ารัฐรังแกประชาชน และแล้วก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ มีการนำภาพพร้อม และเขียนข่าวมีการขยายผลแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง สร้างกระแสให้ประชาชนมลายูปาตานีรู้สึกคล้อยตาม สงสารและเห็นอกเห็นใจ“ครอบครัวแวมะนอ”ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำมาโดยตลอดตามที่ นายบันยาล แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่ปอเนาะญีฮาด ได้กล่าวมาโดยตลอด

        ในความเป็นจริงการหาทางออกที่ดินผืนดังกล่าว รัฐมิได้ยึดมาเป็นทรัพย์สินของรัฐโดยที่ประชาชนในชุมชนไม่สามารถใช้ในการใดการหนึ่งได้เลย ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนในพื้นที่รวมทั้งชาวบ้านสามารถที่เสนอความต้องการในการใช้ที่ดินผืนดังกล่าวตามที่ตกลงกัน แล้วนำเสนอต่อรัฐเพื่อเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน

        ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ขับเคลื่อนและใกล้ชิดประชาชนมาโดยตลอด คือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้มีแนวทางช่วยเหลือเยียวยา “ครอบครัวแวมะนอ” อยู่แล้ว โดยมีแนวความคิดในการปรับปรุงปอเนาะญีฮาดแห่งนี้ให้เป็นสถานศึกษาของชุมชนต่อไป และให้เจ้าของปอเนาะเดิมเป็นผู้จัดการบริหารสถานศึกษาอีกด้วย

       จะเห็นได้ว่าปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วมีทางออก และหนทางในการแก้ไขปัญหา ยกเว้นการไม่ยอมให้ความร่วมมือหันหลังให้กับปัญหา มีการตั้งแง่รังเกียจรังงอน มีอคติกับรัฐและเจ้าหน้าที่ กลายเป็นช่องว่างให้ผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยโอกาสในการสร้างบาดแผลทางใจ ตกเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความบาดหมางจนยากจะแก้ไข ในส่วนของคดีความทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล ตัดสินไปตามหลักฐานและพยานแวดล้อม ด้วยความสุจริตยุติธรรมให้ความเท่าเทียมและเสมอภาคกับทุกฝ่ายทุกคนอยู่แล้วโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา…เพราะฉะนั้นตามที่ได้มีบุคคลผู้ไม่หวังดีทำการยุยงปลุกปั่นกล่าวหารัฐกลั่นแกล้ง รัฐรังแกประชาชนไม่ได้เป็นความจริงที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่ประการใดเลย…จะเห็นได้ว่ารัฐได้มีการอะลุ่มอล่วยยืดหยุ่นในการปฏิบัติมาโดยตลอดเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้….

—————

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม