วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

ตูนิเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกผู้ก่อการร้ายที่เรียกว่า “ผู้คลั่งไคล้ญิฮาด” ที่ใหญ่ที่สุดของโลก



         หนังสือพิมพ์ “เดอะไทมส์” อังกฤษ เขียนว่า ปัจจุบันตูนิเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกผู้ก่อการร้ายที่เรียกว่า “ผู้คลั่งไคล้ญิฮาด” ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และชาวตูนิเซียที่หนีออกจากประเทศเพื่อเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายไอซิสคาดการณ์ว่าอยู่ที่ประมาณ 5,000 คน ซึ่งบุคคลจำนวนดังกล่าวได้ใช้เส้นทางเมืองเบนกอร์ดาน (Ben Gardane) เมืองชายแดนติดกับประเทศลิเบียในการลักลอบหนีออกนอกประเทศ

         เมื่อปีที่ผ่านมากลุ่มก่อการร้ายสุดโต่งได้ปฏิบัติการโจมตีพิพิธภัณฑ์บาร์โด (Bardo) และโรงแรมชายหาดซูสส์ (Sousse) และภายหลังจากผ่านการฝึกอบรมในลิเบียก็จะกลับเข้าสู่ตูนิเซียผ่านชายแดนเมืองเบนกอร์ดาน


         ในส่วนหนึ่งของรายงาน “เดอะไทมส์” ระบุว่า ในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนของตูนิเซีย เช่น เบนกอร์ดานครึ่งหนึ่งของเยาวชนจะว่างงาน และอีกด้านหนึ่งอัตราการว่างงานของนักศึกษาในตูนิเซียมีมากถึงร้อยละ 70 และการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในปีที่ผ่านมานั้นได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในตูนิเซีย

          ปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจเป็นภัยคุกคามมากยิ่งขึ้น และเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาได้เกิดคลื่นกระแสของการประท้วงต่อต้านความยากจนในภูมิภาคต่างๆของประเทศตูนิเซียรวมทั้งเมืองเบนกอร์ดาน

       หนังสือพิมพ์ดังกล่าวยังอ้างถึงการฉวยโอกาสจากการว่างงานของเยาวชนในตูนิเซียในการดึงดูดให้เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายไอซิส การปราบปรามกลุ่มที่เรียกว่า “อิสลามนิยม” ในตูนิเซียโดยกองกำลังความมั่นคงนั้นเป็นเหตุผลหนึ่งในความสำเร็จของไอซิสในการดึงดูดเยาวชนในตูนิเซียเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย บางสถิติเผยว่า ตูนิเซียมีอัตราที่สูงที่สุดของการเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

เปิดปูม “เป๊าะลง” แกนนำโจรใต้





       กรณีเจ้าหน้าที่จับตัวผู้ต้องหาคดีคนร้ายปล้นรถยนต์ของชาวบ้านมาก่อเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ เผยประวัติ “อับดุลรอหิ สนิมิง” ฉายา “เป๊าะลง” เป็นระดับแกนนำโจรใต้ระดับสั่งการ

       วันนี้ (26 เม.ย.) จากรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้สนธิกำลังร่วมกันตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 13 จุด จากการสืบสวนขยายผลในคดีคนร้ายปล้นรถยนต์ของชาวบ้านมาก่อเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ เมื่อวันที่ 5 เม.ย.59 ที่ผ่านมา จนสามารถควบคุมตัว นายอับดุลรอหิ สนิมิง แกนนำก่อเหตุ

      โดยมีข่าวรายงานจากชุดจับกุมว่า สำหรับ นายอับดุลรอหิ สนิมิง ปัจจุบันอายุ 43 ปี มีชื่อจัดตั้งว่า เป๊าะลง เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับแกนนำ มีหน้าที่อบรม บรรยายเพื่อชักชวนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของขบวนการ โดย นายอับดุลรอหิ จบการศึกษาจากประเทศอินโดนีเซีย เป็นอดีตครูสอนศาสนาโรงเรียนตาดีกา บ้านมาแบ หมู่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา มีคดีสำคัญที่เชื่อว่าร่วมก่อเหตุหลายคดี คือ ลอบยิง จนท.ทหารเสียชีวิต เมื่อวันที่ 22 ก.ค.47 ที่บ้านอาเส็น อ.ยะหา จ.ยะลา ร่วมกันลอบยิง นายมะดาโอ๊ะ ดูแวมะ เสียชีวิตเมื่อ 30 พ.ค.50 ร่วมกันลอบยิงนายสิทธิชัย จันทร์อภิบาล เมื่อ 5 ส.ค.51 ร่วมกันลอบวางระเบิด จนท.ทหาร ที่บ้านแบแจง หมู่ 5 ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา เมื่อ 18 ก.พ.52

      โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค.53 ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นแกนนำแทน นายมะกาตาร์ หามะ ที่เสียชีวิตจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ โดย นายอับดุลรอหิ สนิมิง มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนเอชเค 33 อยู่ในกลุ่มเดียวกับ นายฮูไบดีละห์ รอมลี แกนนำก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ และมีหลักฐานเชื่อว่า นายอับดุลรอหิ สนิมิง เข้าร่วมปฏิบัติการก่อเหตุยิงรถตู้โดยสารสายหาดใหญ่-เบตง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ที่บ้านอุเบง หมู่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 15 มี.ค.50 ที่ผ่านมา


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

โจรมุสลิมมาเลเซีย หวังยกระดับตัวเอง แต่น่าจะไม่รอด



        ตำรวจมาเลเซียประกาศว่า ชาวมาเลเซีย 76 คนที่ได้เข้าร่วมกลุ่มไอซิสนั้น 46 คนยังคงอยู่ในซีเรีย

         อับยูบ คาน มัยดีน หัวหน้าตำรวจปราบปรามการก่อการร้ายมาเลเซียกล่าววันนี้ว่า (ศุกร์ 22 ) ในจำนวน 76 คนผู้ก่อการร้าย 19 คนถูกฆ่าตายและอีกแปดคนได้กลับมายังประเทศมาเลเซีย  เขากล่าวว่า ตามข้อมูลที่ได้รับ 7 คนจาก 19 ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตในการโจมตีฆ่าตัวตาย(พลีชีพ)และอีก 12 คน ถูกฆ่าตายในการปะทะกับกองทัพในซีเรีย

          เจ้าหน้าที่ระดับสูงของมาเลเซียกล่ากับสำนักข่าวทางการของมาเลเซีย(บัรนามา) ว่า ล่าสุดมีการจับกุมชาวมาเลเซีย 10 คน ในข้อหาผู้ต้องสงสัยกับกลุ่มก่อการร้าย อับยูบ คาน มัยดีน เรียกร้องให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับตำรวจในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

        ตำรวจมาเลเซียได้ร่วมมือกับหน่วยงานภายในและภายนอกเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังและจับตาบุคคลคนที่มีการเผยแพร่ความคิดสุดโต่งและความคลั่งไคล้ในสังคมและร่วมมือกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

ภิกษุสงฆ์ 500 รูปร่วมประกาศอุกเขปนียกรรม"พุทธะอิสระ"




ภิกษุสงฆ์ 500 รูปร่วมประกาศอุกเขปนียกรรม"พุทธะอิสระ"

         วันนี้( 23 เม.ย.) เมื่อเวลา 7.00 น. ที่ลานโพธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม คณะสงฆ์กรุงเทพมหานครและภาคกลาง ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สระบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี และลพบุรี จำนวน 500 รูป ได้มาร่วมประกอบพิธีอุกเขปนียกรรม พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ พระพุทธอิสระ วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยระบุว่ามีความผิดตามพระวินัยข้อ 200 มีพฤติกรรมปรากฏทั่วไป ดังนี้ 


  • 1. ก่อวิวาทะ ระราน กล่าวหา ใส่ร้าย ยกตนข่มท่านต่อพระสงฆ์ คณะสงฆ์ พระมหาเถระ พระเถระ และพระสังฆาธิการทั่วสังฆมณฑล 
  • 2. เป็นภิกษุพาล ก้าวล่วง จ้วงจาบ ดูหมิ่นเหยียดหยาม ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ สร้างตวามแตกแยกในหมู่สงฆ์ ละเมิดอาบัติเป็นอาจิณ ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งในอาณาจักรและศาสนจักรไม่หยุดหย่อน
  • 3. คลุกคลีตีโมงกับคฤหัสถ์ สร้างความแตกแยกในสังคม ไม่ฟังเสียงทักท้วงจากพระมหาเถระ พระผู้ปกครอง และเสียงท้วงติงจากพุทธบริษัท จับมือกับคฤหัสถ์หาเหตุสร้างแตกแยกวุ่นวายในหมู่คณะไม่มีที่สิ้นสุด 
        ด้วยเหตุนี้ คณะสงฆ์กรุงเทพมหานครและภาคกลาง จึงประกาศกระทำอุกเขปนียกรรมต่อพระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือพุทธะอิสระ ขอคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าได้สังเสวนา คบหาสมาคม ร่วมสังฆกรรม ให้การต้อนรับ วางเฉยเสมือนไม่มีตัวตนของพระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือพุทธอิสระในคณะสงฆ์และสังคม จนกว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย 

         ประกาศ ณ วันที่ 23 เมษายน 2559 ณ ลานโพธิ์ พระปฐมเจดีย์ เมืองนครปฐม 

        ในวันเดียวกันพระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ เปิดเผยว่า ในส่วนของคณะสงฆ์ภาคใต้ จะมีการประชุมกันในเร็วๆนี้ เพื่อวางแนวทางในการทำพิธีอุกเขปนียกรรมต่อพุทธะอิสระ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนส่งบัตรสนเท่ห์ไปยังวัดต่างๆในเครือข่ายขององค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ ข่มขู่ให้หยุดดำเนินการ และมีการโทรมาข่มขู่ที่ตนด้วยว่าหากยังไม่หยุดดำเนินการจะไม่เข้าไปทำบุญที่วัดก็ตาม ทั้งนี้ยังยืนยันว่า องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้จะเดินหน้าทำพิธีอุกเขปนียกรรมต่อพุทธะอิสระต่อไป และการออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับวัดพระธรรมกาย หรือกลุ่มสีทางการเมือง.“

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ที่่แท้ก็มาเลเซียหนุนหลัง แกนนำ พูโล ปรากฎตัว ในการประชุม OIC



           กรุงอิสตันบูล: 13 เมษายน 2016 ดร.อลิฟ มุคต๊าร หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศของกลุ่มพูโล(PULO) ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือของประเทศอิสลาม(OIC) ครั้งที่ 13 ณ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ภายใต้หัวข้อ “เอกภาพและความเป็นปึกแผ่นเพื่อแสวงหาสันติภาพและความยุติธรรม” ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 10-15 เมษายน 2016 ดร.อลิฟได้นำเสนอรายงานพิเศษฉบับหนึ่งของกลุ่มพูโลเมื่อวันที่ 13 เมษายน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการต่อสู้ของชาวมลายูปัตตานีและพัฒนาการในการแก้ปัญหาของชาวปัตตานีระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยปัตตานีภายใต้ร่มเงาของกลุ่ม(มาลาปัตตานี) ที่ต่อสู้กับรัฐบาลไทย โดยได้รับการอำนวยความสะดวกจากรัฐบาลมาเลเซีย 

          อาจเป็นไปได้ว่า จะมีมติที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาออกมาในภายหลัง ที่แสดงให้เห็นถึงข้อยุติของปัญหาในการต่อสู้ของชาวปัตตานี

9 ขั้นตอนที่อิสลามใช้ยึดครองดินแดนต่างๆทั่วโลก




  • 1. ก่อตั้งมัสยิด
  • 2.สร้างกลุ่มแบ่งแยกทางเชื้อชาติและความเชื่อในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ สร้างกลุ่มแบ่งแยกทางการเมืองและวัฒนธรรมในกลุ่มชนที่อยู่อาศัยล้อมรอบ
  • 3. ขยายเผ่าพันธุ์ เพิ่มจำนวนประชากร
  • 4. อ้างว่าพวกตนเป็นกลุ่มเหยื่อ
  • 5. ต่อต้านอำนาจรัฐและขนบธรรมเนียมประเพณี
  • 6. ฉกฉวยผลประโยชน์ตามกฏหมาย
  • 7. ตั้งกฏเหมายอิสลาม(ชารีอะห์)
  • 8. แบ่งแยกดินแดน
  • 9.ใช้อำนาจควบคุม
      ลักษณะคล้ายๆ กันของกลุ่มอิสลามในที่ต่างๆ ทั่วโลกคือต้องก่อตั้งมัสยิดในทุกสังคม และรัฐที่ตนเข้าไปอยู่อาศัย จัดตั้งสังคมที่แปลกแยกแตกต่างทางการเมือง วัฒนธรรมและเชื้อชาติ ไม่กลมกลืนกับคนในสังคมและรัฐที่อยู่แวดล้อม หวงอาณาเขต ขยายเผ่าพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรโดยไม่สนใจภาระการเลี้ยงดูบุตรแต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐ อ้างว่ากลุ่มของตนเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิพิเศษ ไม่ยอมรับกฏหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม/รัฐที่ตนเข้าไปอาศัย ฉกฉวยเอาประโยชน์จากสิทธิต่างๆ ทางกฏหมายอย่างเห็นแก่ตัว ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม สร้างกฏเกณฑ์แบบชีราอะห์เพื่อแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา ปลีกตัวออกจากสังคม และใช้อำนาจบังคับให้ผู้อื่นยอมรับและปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของตน

คณะสงฆ์กรรมฐานมีมติไม่ไว้วางใจ ต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปฏิบัติต่อสถาบันพระพุทธศาสนา


มติสงฆ์จากจตุรทิศ ณ สวนแสงธรรม

เรื่อง คณะสงฆ์กรรมฐานมีมติไม่ไว้วางใจ ต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปฏิบัติต่อสถาบันพระพุทธศาสนา
         ตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เมตตารับเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมที่ก่อตั้งจากความเสียสละของพระสงฆ์และประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้นมา ครั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ละขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อต้นปี ๒๕๕๔ พื้นที่กระจายเสียงซึ่งเป็น “มรดกธรรม” เหล่านี้ย่อมตกเป็น “สมบัติของสงฆ์” ในพระพุทธศาสนา เพื่อเผยแผ่ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
        แม้คณะรัฐบาลแม้คณะรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายชุด แต่ก็ไม่ถึงกับได้ออกคำสั่งซึ่งส่งผลเลวร้ายถึงขั้น "ปิดกั้นทำลาย" สื่อวิทยุในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเช่นที่ได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้ามาปกครองบ้านเมืองเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมา สิ่งที่แถลงต่อสาธารณชนว่าจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปพระพุทธศาสนา กับความจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะกรณี "วิทยุเสียงธรรมหลวงตาฯ" นั้น ถึงวันนี้คณะศิษย์ฯ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ต่างก็ประจักษ์ด้วยสายตาตนเองอย่างชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็น "รัฐบาลทุศีลในระดับชาติ” หลายข้อ เริ่มต้นด้วยการกล่าว "มุสาวาทา" ไม่ทำตามที่พูดแล้วก้าวเข้าทำ "อทินนาทานา" ด้วยการเข้าปล้นพื้นที่กระจายเสียง "มรดกธรรมหลวงตา" ให้ถึงแก่ความวิบัติ
      ในทางกลับกัน รัฐบาลเลือกปฏิบัติคุ้มครองเฉพาะ "วิทยุกลุ่มทุน" ซึ่งหากินกับรัฐจากการผูกขาดสัมปทานวิทยุของรัฐ โดยปล่อยให้ออกอากาศได้ตามปกติทั้งที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตใดๆ จาก กทช. มาก่อนและยังปล่อยให้ใช้กำลังส่งและความสูงเสาเกินกว่าที่เคยจดทะเบียนไว้กับกรมไปรษณีย์โทรเลขได้อีกด้วย ด้วยความอยุติธรรมเช่นนี้ ประชาชนผู้รับฟังธรรมะหลวงตาฯ ในแต่ละภูมิภาคที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก จึงพากันร้องทุกข์มายังคณะสงฆ์กรรมฐาน แม้สงฆ์และมูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ จะเพียรพยายามทำหนังสือร้องขอไปยังหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า ๕๐ ฉบับ แต่จนกระทั่งบัดนี้สถานีเครือข่ายที่ถูกปิดก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้กลับมาออกอากาศได้แม้คลื่นความถี่ในที่นั้นๆ จะว่างอยู่ก็ตาม
      ต่อมาแม้คณะสงฆ์ฯ และประชาชนจะพากันไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือที่ พิเศษ ๐๕๔/๒๕๕๘ ลว. ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้แจ้งไว้อย่างชัดเจนว่า จะร้องขอต่อนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อหวังให้ใช้อำนาจโดยธรรมตามที่ตนเองได้แถลงไว้ เพื่อยุติการรังแก “วิทยุธรรมะ” ของ กสทช. ในเบื้องต้นดูเหมือนจะได้ผล เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้ กสทช. เร่งหาทางออกให้ได้ข้อยุติ จึงตั้ง "คณะทำงานแก้ไขปัญหาวิทยุกระจายเสียงที่เกี่ยวข้องกับศาสนา" ซึ่งต่อมาได้มีการประชุมกันเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ มีมติให้ "กลุ่มวิทยุศาสนาที่ไม่มีโฆษณา" ที่ได้รับผลกระทบสามารถใช้มาตรฐานเทคนิคตามที่เคยจดทะเบียนไว้กับ กทช. ได้ และสามารถก่อตั้งขึ้นใหม่ได้เฉพาะในพื้นที่ที่คลื่นความถี่ว่าง
       บัดนี้ มติที่ประชุมคณะทำงานฯ ชุดดังกล่าวได้รับการลงนามรับรองจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานเป็นที่เรียบร้อยจนนานเกินสมควรแล้วซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับคำยืนยันของเลขาธิการ กสทช. ที่ได้กล่าวรับรองท่ามกลางที่ประชุมว่า ขอให้รอเพียง ๓ สัปดาห์เท่านั้นนับจากวันนี้ ผมจะนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม กสทช. ฝ่ายที่ดูแลกิจการกระจายเสียง (ซึ่งมี พ.อ.นที ศุกลรัตน์เป็นประธาน) แต่จนถึงขณะนี้ ไม่ปรากฏว่าได้กระทำการจริงตามที่แจ้งไว้แต่อย่างใด กล่าวได้ว่า เลขาธิการ กสทช. เข้าลักษณะเป็น "บุคคลทุศีล" ซ้ำอีกเป็นวาระที่สอง นับจากได้โป้ปดต่อสงฆ์ให้ออกอากาศที่จังหวัดกระบี่ได้แต่แล้วก็กลับ "ทรยศหักหลัง" ต่อคณะสงฆ์ ด้วยการออกคำสั่งให้เข้าจับกุมโดยอ้างเหตุว่าทำตามนโยบายของ คสช. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า
       กล่าวโดยสรุปอย่างตรงไปตรงมา กรณีปัญหาดังกล่าวได้ปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งมาโดยลำดับแล้วว่า ปัญหาความเดือดร้อนจากการปิดกั้นทำลาย "วิทยุเสียงธรรมหลวงตาฯ" ได้ก่อเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการเข้ามาปกครองของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบทั้งทางโลกทางธรรมของสงฆ์ที่มีต่อพระพุทธศาสนา ต่อชาติบ้านเมือง และต่อมรดกธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ผู้แทนคณะสงฆ์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากจตุรทิศทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต ซึ่งยึดถือหลักพระธรรมวินัย โบราณราชประเพณี และกฎหมายบ้านเมืองเป็นหลักเกณฑ์ จึงร่วมกันพิจารณาโดยคำนึงถึงประโยชน์สุขที่แท้จริงทั้งในโลกนี้และโลกหน้าของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งตามมาตรา ๒ วรรค ๒ มีสาระสำคัญแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระพุทธศาสนากับสถาบันพระมหากษัตริย์จนกลายเป็นรากฐานและธรรมนูญของชาติที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ดังนั้น จึงเป็นภาคบังคับที่องค์กรของรัฐทุกแห่งต้องเข้ามาสนองงานในการอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุผลความจริงที่กล่าวมาทั้งหมด คณะสงฆ์จากจตุรทิศที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กุฏิพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ มีมติเห็นเป็นเอกฉันท์ดังนี้

  • ๑. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีตำแหน่งหน้าที่ ในบ้านเมืองที่มีอำนาจอย่างเต็มที่และยังใช้เพื่อสิ่งอื่นได้ มากมาย หากแต่ในกรณีนี้กลับเพิกเฉย ไม่ เคยคิดจะนำมาใช้กับงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาผ่านสื่อวิทยุแต่ อย่างใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่สื่อประเภทนี้เข้าถึงประชาชนได้โดยง่ายกว่ากว้างกว่าก็ตาม ประหนึ่งว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนได้ยินได้ฟังเสียงธรรมในพระพุทธศาสนาฉะนั้น จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า หาความจริงใจมิได้ ไม่มีแม้แต่การติดตามผล แล้วยังมีเจตนาหลีกเลี่ยงหลบหนีอยู่ตลอดเวลา แม้คณะสงฆ์ และคณะศิษย์ฯ จะร้องทุกข์เพียงใดก็ไม่ใส่ ใจและไม่ให้ความสำคัญ
สงฆ์จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่ไว้วางใจในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการปฏิบัติต่อสถาบันพระพุทธศาสนา เข้าลักษณะของ "บุคคลทุศีล" จากการ "เสียสัตย์"

  • ๒. พ่อแม่ครูอาจารย์ฯ เมตตาแสดงธรรมไว้เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ ว่า
“ศาสนาไม่ควรที่จะถูกเบียดเบียนอย่างนี้ ควรจะได้รับการส่งเสริมจากคนผู้มีหัวใจเป็นธรรม ที่มันกีดกันนี้ก็คือว่า หัวใจไม่เป็นธรรมนั่นแหละมันเป็นอยู่เวลานี้ .. วิทยุตั้งทางไหนมันตั้งกำหนดกฎเกณฑ์ให้ความกว้างความแคบ ความสูงความต่ำ จากนั้นก็หาว่าไปเบียดเบียนทำลายวงราชการ นี่ละอุบายวิธีทำลายศาสนา ก็เท่ากับทำลายหัวใจคนทั้งชาติทีเดียว”
       โดยที่สงฆ์มีหน้าที่โดยตรงที่จะปกป้องศาสนา ในเมื่อสาธารณชนต่างรับรู้ความจริงกันแล้วว่า มีผู้บุกรุกเข้ามาก่อกรรมทำลายพื้นที่กระจายเสียงซึ่งเป็นสมบัติของสงฆ์ให้วิบัติลงไป สงฆ์ย่อมพิจารณาเห็นในทางธรรมว่าผู้นั้นคือ “มหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา” ประกอบกับกฎหมายได้บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ซึ่งแทนที่จะทำหน้าที่เพื่อการพิทักษ์รักษาก็หาไม่ กลับกระทำการในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเองได้เคยปฏิญาณและได้เคยแถลงไว้ทั้งที่มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่กลับจงใจละเลยได้อย่างผู้เก้อยากไม่รู้สึกละอายแก่ใจ
      ในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงให้สงฆ์ทำญัตติทุติยกรรมวาจา “คว่ำบาตร” แก่คฤหัสถ์ผู้เบียดเบียนศาสนา แม้ในกาลบัดนี้ก็เช่นกัน ในเบื้องต้นสงฆ์มีมติเห็นสมควรอาจจะลงนิคหกรรม “คว่ำบาตร” แก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการปิดกั้นทำลาย "วิทยุเสียงธรรมหลวงตาฯ" ทั้งทางตรงและทางอ้อมดังที่ได้กล่าวมาแล้วโดยลำดับ
      อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทำญัตติทุติยกรรมวาจา “คว่ำบาตร” สำเร็จผลได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเมื่อครั้งพุทธกาล สงฆ์จึงมีมติให้กราบเรียนหารือในรายละเอียดต่อพระมหาเถระผู้มีอายุพรรษาสูงและมีคุณธรรมอีกครั้ง เพื่อวางแนวทางกำหนดกาลเวลาสถานที่ขั้นตอนให้เกิดความรอบคอบและเหมาะสมสูงสุด การจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไรนั้น เมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว สงฆ์จะแจ้งต่อสาธารณชนต่อไป

  • ๓. สงฆ์เห็นชอบให้นำมตินี้แจ้งอย่างเป็นทางการต่อบุคคลสำคัญของชาติในแต่ละสายที่มีความรักเทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายผู้มีใจรักชาติศาสน์กษัตริย์อย่างแท้จริงเหล่านั้น จักได้ช่วยกันอบรมตักเตือน รวมทั้งพิจารณา และวินิจฉัยถึงความประพฤติและการปฏิบัติหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองโดยมิชักช้าต่อไป


  • ๔. สงฆ์มีมติให้แจ้งเป็นที่สุดว่า มติสงฆ์นี้ มิได้กระทำไปด้วยอคติ ๔ หากแต่สงฆ์มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ที่จะพิทักษ์ปกป้องมหาชนผู้สนใจใฝ่ธรรมอย่างสุดกำลังความสามารถ เขาเหล่านั้นสมควรได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตจากการรับฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อมรรคผลนิพพาน แก่มหาชนทั้งหลายเหล่านั้น จึงถือเป็นความจำเป็นที่ต้องออกมติสงฆ์ในครั้งนี้
จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
คณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙






วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

สถานการณ์ใต้รายวันคนร้ายยังคงมุ่งก่อเหตุเพื่อสร้างความปั่นป่วน



สะบ้าย้อยคนร้ายคลุมหน้าลอบเผากล้องวงจรปิดเสียหาย


          เมื่อ 3 เม.ย.59 เวลา 07.50น. ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ว่าเมื่อเวลา 03.20 น. ได้มีคนร้ายลอบเผากล้องวงจรปิดของหมู่บ้าน เสียหายจำนวน 2 ตัว จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบความเสียหาย


         ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สะบ้าย้อย, ฉก.ตชด.43 และ อส.อ.สะบ้าย้อย ได้ประสานเจ้าหน้าที่ EOD เข้าตรวจสอบ พบกล้องวงจรปิดถูกเผาได้รับความเสียหาย โดยมีคนร้ายจำนวน 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด์ด้าเวฟ สีดำ สวมผ้าคลุมหน้า คนขับใส่เสื้อสีดำ คนซ้อนท้ายใส่เสื้อสีขาว มาบนถนนสาย 4085 มาจากฝั่ง อ.กาบัง จ.ยะลา มาจอดแล้วใช้ยางรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายนำมา 2 เส้น เผากล้องวงจรปิด ช่วงเวลา 03.22น. เริ่มเผากล้องตัวที่ 3 ซึ่งอยู่ด้านใน เวลา 03.23.54 น. เผากล้องตัวที่ 1 ซึ่งอยู่ติดถนนสาย 4085

         จากนั้นคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไปทางถนนสาย 4085 มุ่งหน้าไปทาง อ.กาบัง ซึ่งจากการสังเกตจากกล้องวงจรปิดคนร้ายได้เตรียมการมาอย่างดี มีการใส่ผ้าคลุมหน้า ใช้ถุงมือในการก่อเหตุ และทำอย่างใจเย็น เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อเหตุรุนแรงเพื่อต้องการสร้างสถานการณ์

ยะลา – เจ้าหน้าที่ EOD ยะลา เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุหลังคนร้ายลอบวางระเบิดทหารพรานเมื่อคืนนี้

        เมื่อ 3 เม.ย.59 เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณริมถนนสายชนบท บ้านพงลูกา ม.3 ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา

 


          หลังจากที่เมื่อคืนที่ผ่านมา (2 เม.ย.) เวลาประมาณ 20.50 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายกดชนวนระเบิดที่ซุกไว้ทางข้างขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดปฏิบัติการ กองร้อยทหารพราน 4707 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพราน 47 ออกลาดตระเวนเส้นทางดูแลความปลอดภัยพื้นที่ด้วยรถยนต์ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ส่วนรถยนต์ของทางราชการได้รับความเสียหาย ยางแตก จำนวน 3 เส้น และบริเวณตัวรถเป็นรูพรุนจากสะเก็ดระเบิด

          โดยในที่เกิดเหตุบริเวณกองดินริมถนนสายดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบเหล็กเส้นตัด เศษแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนเศษเหล็กตกอยู่บริเวณถนนจำนวนมาก จึงรวบรวมเก็บไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้น เชื่อว่าคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องมาวางไว้ที่บริเวณกองทราย ก่อนจะจุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพรานขับรถยนต์ผ่าน

           จากการสอบสวนทราบว่า ในขณะที่ จ.ส.อ.ธีระพงศ์ แท่นพรหม หัวหน้าชุดร้อยทหารพราน 4707 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพราน 47 พร้อมกำลังพล รวม 6 นาย กำลังเดินทางด้วยรถยนต์เพื่อจะกลับไปยังฐานปฏิบัติการหลังปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนเสร็จสิ้น เมื่อรถยนต์ขับมาถึงจุดเกิดเหตุ คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที แต่โชคดีที่รถยนต์ที่ใช้เป็นรถยนต์หุ้มเกราะ ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ หูอื้อ และแน่นหน้าอกดังกล่าว เบื้องต้น เจ้าหน้าที่เชื่อคนร้ายต้องการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความไม่สงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

คนร้ายประกบยิงชาวบันนังสตา จ.ยะลา เจ็บสาหัส ขณะขับรถกระบะกลับบ้าน


               เมื่อ 3 เม.ย.59 เวลา 08.45 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิง นายอับดุลกอเด สาหะ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/3 หมู่ที่ 8 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะขับรถยนต์กระบะส่วนตัว มาตามถนนสาย 410 จากพื้นที่ อ.กรงปินัง เพื่อเดินทางกลับบ้านพัก หมู่ที่ 8 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ระหว่างทางได้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด ยิงผู้บาดเจ็บกระสุนปืนถูกบริเวณไหล่ขวา และบริเวณคอ ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลเมืองดีได้ช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลยะลา  สาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่



วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

เปิดข้อมูล “ลับ” กลุ่ม ผกร. ต่อสู้แบบไร้อุดมการณ์




โดย : ‘Ibrahim’


        เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งต้นปี 2547 จุดเริ่มของการจุดไฟใต้มาจนถึงปัจจุบันได้ผ่านมาร่วมสิบกว่าปีไม่มีทีท่าว่าจะดับมอด มีการคอยเติมเชื้อไฟให้ลุกโหมอยู่เป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายพยายามได้ร่วมกันดับ


        การก่อเหตุความรุนแรงได้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสังคมไทยในภาพรวม การดำเนินนโยบายดับไฟใต้มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ผู้นำรัฐบาลแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยภัยแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันจากภายนอกประเทศ


        การก่อเหตุของกลุ่ม ผกร.ในปัจจุบันนี้ที่ยังคงเดินหน้าสร้างสถานการณ์ไม่เว้นวัน หลายเหตุการณ์ หลายพื้นที่ยังคงวนเวียนคอยทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมสมาชิก ผกร.ทำการขยายผลตรวจพบฐานปฏิบัติการ แหล่งผลิตวัตถุระเบิด รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก


         ผู้เขียนมีความสงสัยใคร่รู้ว่าสมาชิก ผกร.ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมมีแรงจูงใจอะไรในการเข้าร่วมขบวนการ และเมื่อเข้าไปแล้วอยากทราบสมาชิกเหล่านั้นมีทัศนคติ ความคิดเห็นอย่างไร? ต่อแนวทางการต่อสู้ของขบวนการในปัจจุบัน และประการสุดท้ายที่ใคร่รู้คืออุดมการณ์ของกลุ่มขบวนการยังคงมีอยู่หรือไม่? อย่างไร เพราะจากพฤติกรรมในการก่อเหตุได้เปลี่ยนไป


          คำถามหากไร้คำตอบก็เหมือนตะโกนไปในป่าใหญ่แต่ไม่มีใครได้ยิน เช่นเดียวกันเมื่อความอยากรู้กลุ่ม ผกร.จำนวนมากที่มีการจับกุมเนื่องจากมีการซักถามเคยมีการเก็บข้อมูลเหล่านี้หรือไม่ เพื่อตอบปัญหาคาใจของใครอีกหลายคน


         ผู้เขียนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่าสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเข้าร่วมขบวนการของผู้หลงผิดเหล่านั้นคือเกิดจากการถูกชักชวนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ โดยอ้างต่อสู้เพื่อพี่น้องชาวมุสลิมที่ไม่ได้รับความยุติธรรม มีส่วนน้อยที่คิดแก้แค้นเจ้าหน้าที่ด้วยความรุนแรง และส่วนมากไร้อุดมการณ์ในการต่อสู้ มีส่วนน้อยมากที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์เพื่อปลดปล่อยรัฐฟาตอนี


         ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ในปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มเยาวชนเป็นจำนวนมาก ที่เข้าเป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเมื่อผ่านกระบวนการดื่มน้ำสาบาน และทำพิธีซูมเปาะแล้วไม่สามารถถอนตัวออกจากองค์กรได้ เมื่อหลงผิดและเข้าร่วมขบวนการแล้วแทบหมดโอกาสกลับมาสู่สังคมปกติได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะร่วมทำการก่อเหตุแต่เมื่อไม่ร่วมมือกลับถูกแกนนำข่มขู่ หากจะหนีไปก็ไม่รอดเพราะทุกพื้นที่ที่มีพี่น้องมุสลิมอาศัยอยู่นั้น ย่อมหมายถึงทุกแห่งจะมีคนของขบวนการแฝงตัวอยู่ และจะมีคนคอยติดตามหมายปองเอาชีวิตเพื่อปิดปากในที่สุด


สาเหตุและแรงจูงใจให้ผู้หลงผิดตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ

        สาเหตุและแรงจูงใจให้ผู้หลงผิดตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ สาเหตุใหญ่เกิดจากบ่มเพาะโดยการบิดเบือนความเชื่อทางด้านศาสนา มีการปลูกฝังแนวความคิด การปลุกระดมการทำสงครามญิฮาด ผูกมัดด้วยการสาบานตน (ซูมเปาะ) และเหตุผลที่ใช้ได้ตลอดคือการถูกสยามรุกรานศาสนา และแผ่นดินเกิด ในเมื่อผู้ที่ถูกปลุกระดมไม่ทราบถึงหลักการที่แท้จริง จึงหลงผิดเข้าร่วมกับขบวนการในที่สุด เนื่องจากกลัวเกรงถ้าไม่ปฏิบัติตามพระเจ้าจะลงโทษ เมื่อเข้าร่วมแล้วจะได้รับผลบุญ และสามารถสร้างบารมีให้กับตนเองด้วยการลงมือทำการเข่นฆ่าคนต่างศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาวไทยพุทธ


        การปลุกจิตสำนึกสร้างความเป็นอัตลักษณ์ชาวมลายู กลุ่ม ผกร.ใช้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างความแปลกแยกของคนในพื้นที่ อ้างชนชาติพันธุ์มลายูปาตานี กระตุ้นให้มีความรู้สึกอันแรงกล้าในการลุกขึ้นมาปกป้องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ และศาสนาของคนในพื้นที่ร่วมกัน


        การกล่าวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ถูกครอบงำทางการเมือง ถูกเลือกปฏิบัติทางสังคม ถูกกดขี่ข่มแหงรังแกจากเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ปกครอง และคนมลายูคือผู้อยู่ภายใต้การปกครอง


         การคอยตอกย้ำบาดแผลในอดีตโดยการสร้างวาทะกรรม รัฐปัตตานี มีการส่งต่อไปยังลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยการบ่มเพาะบิดเบือนประวัติศาสตร์ นับแต่สยามได้ปัตตานีเป็นเมืองขึ้นได้มีการรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียว คือชาติไทย ที่มีความแตกต่างกับมลายูในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและจารีตประเพณี ความคิดความเชื่อต่างๆ


       สร้างความเชื่อมั่นว่ากลุ่มขบวนการสามารถแบ่งแยกดินแดนได้จริง จากการต่อสู้จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนปัตตานีออกจาการปกครองของรัฐไทย เมื่อสำเร็จจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน และสิทธิต่างๆ เพิ่มมากขึ้นและดีกว่าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐไทย


          เกิดจากภาวะจำยอม สภาพแวดล้อม เมื่อเครือญาติสามีภรรยาเป็นสมาชิก ผกร.รวมทั้งหากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดตั้ง สภาพความเป็นอยู่ได้บังคับให้ต้องเข้าร่วมหรือสนับสนุนขบวนการโดยปริยาย


          เกิดจากความเกรงกลัวจากการข่มขู่ของสมาชิกระดับแกนนำในหมู่บ้าน เมื่อสมาชิกถูกจับกุมตัวมีการซักถาม เมื่อให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่มีการรับรองความปลอดภัยใดๆ ต่อตนเองและครอบครัว เพราะกลุ่มขบวนการกลัวผู้ที่ถูกจับกุมจะเปิดเผยความลับ สุดท้ายเมื่อถูกกดดันจะกลับเข้าร่วมขบวนการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


แรงจูงใจให้สมาชิก ผกร.ทำการก่อเหตุ


            การกลัวเกรงต่อโทษที่ได้รับซึ่งมีหัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นผู้กำหนดเป้าหมายในการก่อเหตุ เมื่อมีการสั่งการหากไม่มีการปฏิบัติใดๆ หัวหน้าชุดจะเป็นผู้รับผิดชอบในการถูกลงโทษด้วยการถือศีลอด การถูกตำหนิอย่างรุนแรง หรือการสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งจากแกนนำระดับสูง รวมทั้งได้มีการปลุกระดมเพิ่มขวัญกำลังใจ โดยใช้การบิดเบือนหลักศาสนาเกี่ยวกับ “ชะอีด” คือความตายที่เกิดจากการต่อสู้ มีการให้สมาชิกบริจาคเงินให้กับขบวนการวันละ 1 บาทต่อคน เพื่อต้องการให้สมาชิกระลึกอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพื่อแนวทางการต่อสู้และความสำเร็จของขบวนการ


        ปัญหาภัยแทรกซ้อนในพื้นที่จากการค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน สินค้าลักลอบหนีภาษี สมาชิก ผกร.จะเข้าไปมีบทบาทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสำคัญ และจะนำเงินบางส่วนจากรายได้เหล่านี้ส่งสนับสนุนกลุ่มขบวนการเพื่อใช้ในการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่


         ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าจากการก่อเหตุของกลุ่ม ผกร.ไม่ว่าจะเป็นกรณีบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง แล้วทำการก่อเหตุกราดยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน จะเห็นได้ว่าจากพฤติกรรมดังกล่าวของกลุ่ม ผกร.มีการละเมิดและขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ขัดกับหลักการอิสลาม เพราะหลักสิทธิมนุษยชนในอิสลาม แม้ในช่วงสงคราม สถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องได้รับการคุ้มครอง


        ในวันเดียวกันกับการบุกยึดโรงพยาลเจาะไอร้องของกลุ่ม ผกร. ยังมีการแต่งกายเลียนแบบสตรีมุสลิม เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ด้วยการใช้ปืนกลเบาอูซี่ยิงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นความผิดตามหลักศาสนาอิสลาม


         นั่นคือเหตุการณ์ตัวอย่างที่ กลุ่ม ผกร.ทำการเคลื่อนไหวอย่างที่ ผิดทั้งหลักศาสนาและกติกาสากล นอกจากที่ยกตัวอย่างมายังมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่สิ่งที่ยืนยันจากผู้ที่ถูกจับกุมเมื่อมีการซักถามได้ให้ข้อมูลว่า แนวทางในการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการยังไร้ทิศทาง และไร้อุดมการณ์ในการต่อสู้ แต่ละครั้งในการก่อเหตุยังมีการถามตัวเอง
  • ทำไปเพื่ออะไร? 
  • และเพื่อใคร? 
นั่นคือคำสารภาพที่ออกจากปากของสมาชิก ผกร.ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว....

------------------------

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

แถลงข่าวจับกุมคนร้ายแต่งกายเลียนแบบสตรีมุสลิมใช้ปืนกลเบาอูซี่ยิงชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ





กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงข่าวจับกุมคนร้ายแต่งกายเลียนแบบสตรีมุสลิมใช้ปืนกลเบาอูซี่ยิงชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ
Posted on เมษายน 1, 2016 by admin


เมื่อ 1 เมษายน 2559 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์เมื่อ 13 มีนาคม 2559 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้บุกเข้าไปใช้โรงพยาบาลเจาะไอร้องเป็นฐานยิงโจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4816 และยังมีการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานบ้านยานิง เพื่อสกัดกั้นการเข้าช่วยเหลือ และมีการโจมตี ชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 31 ซึ่งตั้งอยู่ที่ สถานีรถไฟเจาะไอร้อง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้นำนโยบายของ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พลโทวิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 จึงได้สั่งการให้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเฉพาะกิจติดตามเป้าหมายกลุ่มบุคคล (สมาชิก ผกร.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อบังคับใช้กฎหมาย และสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

สำหรับความคืบหน้าในการติดตามจับกุม ผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ร่วมก่อเหตุเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 ทั้งในเรื่องกลุ่มผู้ก่อเหตุ และพยานหลักฐานนั้น ทาง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าว ให้ทราบแล้วนั้น สำหรับกลุ่มผู้ก่อเหตุ เฉพาะที่ก่อเหตุโจมตี ชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 31 จากเหตุการณ์นี้ มีคนร้ายที่ก่อเหตุ จำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เป็นยานพาหนะ และใช้ปืนกลเบาอูซี่ ในการก่อเหตุ อีกทั้งยังได้มีการแต่งกายเลียนแบบสตรีมุสลิม เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้

จัดกำลังร่วม 3 ฝ่าย ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งจากที่เกิดเหตุ และจากการแจ้งข่าวสารจากพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วย กับการก่อเหตุดังกล่าวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทำให้สามารถติดจับกุม และควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก จากผลการดำเนินการตามกรรมวิธีซักถามมีผู้ที่ถูกควบคุมตัว
ยอมรับว่ามีส่วนร่วมในการก่อเหตุ ทั้งสิ้น จำนวน 6 คน โดยแบ่งตามหน้าที่และการปฏิบัติ ดังนี้


จากคำรับสารภาพของผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 6 คน เพิ่มเติม ได้ให้ข้อมูลซัดทอดถึงผู้ที่นำรถจักรยานยนต์คันที่ 2 ไปพยายามดัดแปลงและทำลายหลักฐาน จำนวน 2 คน ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามจนสามารถเชิญตัว ผู้ที่ถูกซัดทอดดังกล่าวมาเข้าสู่กระบวนการซักถาม และผู้ที่ถูกซัดทอดได้ยอมรับว่า เป็นผู้ดำเนินการดังกล่าวจริงและยังสามารถยึดรถจักรยานยนต์
ที่ใช้ก่อเหตุได้ที่บ้านของผู้ถูกซัดทอดซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า สีดำ ซึ่งได้แจ้งหายไว้แล้วที่ สภ.ระแงะ เมื่อ 10 มิ.ย.2558 ตามคดีอาญาที่ 183/2558 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้ใช้เป็นหลักฐาน
ในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สรุป สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุโจมตี ชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 31 ได้จำนวน 8 คน


นอกจากนี้ผู้ที่ถูกควบคุมตัว ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายชื่อผู้ร่วมก่อเหตุ ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนรถจักรยานยนต์คันที่ 2 ทั้งรวมถึงข้อมูล ผู้ที่นำรถจักรยานยนต์คันที่ 1 ไปซุกซ่อน ในปัจจุบันทั้ง 3 คน ยังคงหลบหนีการติดตามจับกุม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาดำเนินทางกฎหมาย ต่อไป


จากผลสำเร็จในการดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุดังกล่าว เป็นผลจากการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสของพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง และมีความต้องการให้เกิดความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นการชี้ให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุต้องอยู่อย่างยากลำบากไม่สามารถ
ใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข ต้องหลบซ่อนหนีการจับกุมไปตลอดชีวิตส่งผลกระทบกับตนเองและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในครอบครัว แต่ทั้งนี้รัฐยังได้เปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่าง หรือผู้หลงผิดเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่า และขอให้องค์กรทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาสังคม และองค์กรสิทธิมนุษยชน ทั้งภายในและภายนอกประเทศรวมถึงประชาชนทั่วไปให้ร่วมรณรงค์ต่อต้านการกระทำที่รุนแรงและช่วยกันสอดส่องดูแลหมู่บ้านและชุมชนของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงก่อเหตุสร้างสถานการณ์ อีกทั้งร่วมมือกันแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิด เพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม