วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เจ้าหน้าที่ สนธิกำลังกวาดล้างยาเสพติดยะลา จับผู้ต้องหาพร้อมของกลางเพียบ


ยะลา - กำลังตำรวจ ทหารพราน ฝ่ายปกครอง ตชด. ชุดปฏิบัติการยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังตามแผนประชารัฐร่วมใจสร้างหมู่บ้านชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด กวาดล้างผู้ค้า-ผู้เสพยาเสพติด


วันนี้ (23 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ สภ.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา พ.ต.อ.สุชาติ สอิด ผกก.สภ.เบตง พร้อมด้วยกำลังตำรวจ ทหารพราน ฝ่ายปกครอง ตชด. กำลัง ชุดปฏิบัติการยาเสพติด สภ.เบตง ได้ร่วมกันสนธิกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย เพื่อตรวจค้นเป้าหมาย ที่มีการมั่วสุมกันเสพยาเสพติด


โดยกำลังเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจค้นแหล่งมั่วสุมยาเสพติดอันดับต้นๆของ อ.เบตง โดยได้เข้าพื้นที่บ้านสุตันตานนท์ ม.7ต.ตาเนาะแมเราะ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นบ้านของ นายปรีชา ยาหัวดง อายุ 54 ปี พบของกลาง อาวุธปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก กระสุนขนาด 9 มม. จำนวน 50 นัด ต้นกระท่อมจำนวน 30 ต้นซึ่งปลูกไว้รอบบ้าน เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางไว้ทั้งหมด พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เบตง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

















วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไม่ว่าจะสาเหตุใด คนเดือดร้อน คือประชาชน






          สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นต่อเนื่องยืดเยื้อยาวนาน นับจากปี 2547 จนถึงปัจจุบันนับได้ 12 ปี มีผู้ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนถูกทำลายเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ กลุ่ม ผกร.ยังคงเดินหน้าทำการก่อเหตุโดยไม่แยแสต่อความเดือดร้อนของประชาชนแต่อย่างใด และไม่มีที่ท่าที่จะยุติความรุนแรง





         หากย้อนดูปรากฏการณ์ความรุนแรงชายแดนใต้ จุดเริ่มต้นความชั่วร้ายครั้งแรกในการก่อเหตุของกลุ่ม ผกร.ทำการปล้นอาวุธปืนและสังหารเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตไปสี่นาย ในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตามด้วยการลอบวางเพลิงเผาโรงเรียน 20 แห่ง ในพื้นที่ อ.แว้ง, อ.จะแนะ, อ.รือเสาะ, อ.ตากใบ, อ.สุไหงโกลก, อ.สุไหงปาดี, อ.ศรีสาคร และ อ.ระแงะ ในจังหวัดนราธิวาส และการมีการเผายางรถยนต์ก่อกวนในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา การลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปัตตานีในวันถัดมา และการเข้าโจมตีสถานีตำรวจภูธรตำบลอัยเยอร์เวง จ.ยะลา ส่งผลให้รัฐบาลต้องเข้ามาจัดการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในทันทีด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาหลายคณะเพื่อขับเคลื่อนวางแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้



        ผลกระทบจากการก่อเหตุของกลุ่มโจรใต้ไร้ซึ่งสำนึก ไร้อุดมการณ์ ไร้มนุษยธรรม และสุดโต่ง เปรียบเสมือนหนึ่งไซตอนที่ลอบทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรับได้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็ก ผู้หญิง และประชาชนในพื้นที่ทั้งที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ต้องพิการตัดแขนขา กรณีบิดามารดาต้องเสียชีวิต เด็กต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมธาตุแท้ของโจรใต้ที่ไม่มีความปราณีและแยกแยะเป้าหมายในการก่อเหตุ มุ่งทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิมกันถ้วนหน้า ซึ่งการก่อเหตุของกลุ่มโจรใต้ ปัจจุบันนี้ที่ยังคงเดินหน้าสร้างสถานการณ์ไม่เว้นวัน หลายเหตุการณ์ หลายพื้นที่ยังคงวนเวียนคอยทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุกคนในพื้นที่รับไม่ได้



        นอกจากนี้แล้ว ยังได้เกิดการถกแถลงกันอย่างแพร่หลายในสังคมไทยในประเด็นที่ว่า 
  • เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 
  • กลุ่มใดเป็นผู้ก่อการ และ
  • จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป รวมทั้ง
  • เราควรจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น 
         บางฝ่ายมองว่าเป็นการขัดแย้งกันเองของกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ บางฝ่ายมองว่าเป็นปัญหาทางด้านการเมืองในระดับประเทศ บางฝ่ายมองว่าเป็นเพียงโจรหรืออาชญากรรมข้ามชาติที่มีเครือข่ายอยู่ในภูมิภาคนี้ และแน่นอนบางท่านมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเดิมๆ ที่ยังมิได้ถูกขจัดให้หมดสิ้นไปอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือปัญหาของความพยายามในการแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มขบวนการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

        การสร้างความมั่นใจและสนับสนุนให้ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ผู้นำปัญญาชน ผู้นำจิตวิญญาณ และพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่กล้าที่จะลุกขึ้นมาปฏิเสธความรุนแรง และสร้างกระแสต่อต้านการใช้ความโหดเหี้ยม โหดร้ายทารุณ โดดเดี่ยวกลุ่ม ผกร.แต่กลุ่มโจรใต้เหล่านี้โต้กลับด้วยการก่อเหตุสร้างความหวาดกลัว ปล่อยกระแสข่าวลือจะมีการลอบทำร้ายผู้ที่ไม่ให้การสนับสนุนฝ่ายตน และจัดการกับผู้มีความคิดต่างทั้งที่เป็นชาวไทยมุสลิมด้วยกันและต่างศาสนิก ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักคำสอนศาสนา และหลักมนุษยธรรมอย่างรุนแรง

        ผู้ที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา ต้องปลุกเร้าผู้นำศาสนา ผู้รู้หาช่องทางสร้างความเข้าใจกับผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชี้ให้เห็นถึงความถูกต้อง ความชั่ว ความดี อีกทั้งความเป็นไปได้และโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้โดยใช้ความรุนแรง ทั้งในแง่มุมของศาสนา ในมุมมองของอดีตนักต่อสู้ที่เคยร่วมขบวนการ และความเป็นจริงของโลกในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ “สปาร์ก” ตั้งข้อสงสัยในหมู่ผู้ก่อเหตุรุนแรงว่า สิ่งที่เขาเชื่อถูกต้องหรือไม่ มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และมีทางเลือกอื่นๆ อีกหรือไม่?


        แม้ว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยังอยู่อีกไกล รัฐได้จุดประกายฝันของประชาชนในพื้นที่ ผ่านมาสิบกว่าปีถึงแม้ยังห่างไกลความสันติสุข และไม่รู้ว่าจะเป็นจริงเมื่อไหร่ อีกเมื่อไหร่เหตุการณ์ความรุนแรงจะสงบ ไร้ซึ่งเสียงระเบิด สิ้นเสียงปืนมีแต่เสียงแห่งความสุขของประชาชนที่อยู่ร่วมกันอย่างฉันท์พี่น้อง

         การตั้งความหวังเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมาย เป็นสิ่งที่ดีและน่าสนับสนุน ยิ่งได้เห็นการทุ่มเทการทำงานของท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา และพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นพิเศษมากขึ้นภายใต้ “โครงการประชารัฐร่วมใจสร้างอำเภอสันติสุข” ที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหา ผ่านพลังประชารัฐที่มีประชาชน กลุ่มผู้เห็นต่าง และภาครัฐมาร่วมแก้ไขปัญหาภายใต้หลักคิด ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมทำ และร่วมประเมินผล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชน และผู้เห็นต่างเจ้าหน้าที่รัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้ง ลดความรุนแรง เสริมสร้างความสงบสุข และพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และยั่งยืนต่อไป สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้แสงสว่างเห็นชัดเพิ่มมากขึ้น..และอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอยู่บนรากฐานของความจริง.

นักศึกษา PerMAS หวังหลอกใช้คน 3 จังหวัดชายแดนใต้


นักศึกษา PerMAS หวังหลอกใช้คน 3 จังหวัดชายแดนใต้


         ที่ผ่านมาได้มีกลุ่มนักศึกษาที่มีชื่อว่า กลุ่ม PerMas ได้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีแนวทางการเคลื่อนไหวคือ
  • การกำหนดใจตนเองเพื่อไปสู่การแบ่งแยกการปกครอง การแบ่งแยกดินแดน โดยการตระเวนจัดกิจกรรมต่างๆนานาเพื่อปลุกระดมคนให้มาเข้าร่วมกับพวกตน เป้าหมายของกลุ่มนี้คือ คนหนุ่มสาวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 
         แต่เมื่อมีการทำการสำรวจแนวความคิดของคนในพื้นที่ ผลสำรวจที่ออกมา คนในพื้นที่เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น คือเขาไม่ได้ต้องการแบบที่กลุ่มนักศึกษาจอมทรยศต่อชาติคิดไว้ นักศึกษากลุ่มนี้คงเห็นว่าตัวเองได้เรียนหนังสือ พอที่จะมีความฉลาดกว่าชาวบ้านเลยหวังจะหลอกใช้ชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ต่อกลุ่มตน 



        ชาวบ้านเขาไม่ได้โง่นะ อย่ามาหลอกกันให้ยากเลย.....เขาไม่เอาด้วยหลอก เขาไม่คิดทรยศต่อแผ่นดินถิ่นเกิด เหมือน PerMAS หลอกนะ....

น่าส่งสารยุโรป แต่สายไปเสียแล้ว


        On the wake of the migrant crisis; lets look at the implications of importing muslims into the civilised European countries. SHARE This video. Subscribe and comment. 

ไทยพุทธมุสลิมร่วมทอดผ้าป่าบูรณะที่พักสงฆ์ ภาพหาดูยากในรอบ 12 ปีไฟใต้




         ประชาชนชาวไทยพุทธ และมุสลิม อ.สุไหงโก-ลก ร่วมใจทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อบูรณะที่พักพระสงฆ์ สร้างความปลาบปลื้มให้ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมงาน เผยบรรยากาศแบบนี้หายไปกว่า 12 ปี นับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

         วันที่ 22 พ.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พักสงฆ์แก้วศิริธรรม บ้านเจาะบากง ม.3 ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มีประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ ภายใต้การนำของ นางเสาร์ ดำประเสริฐ และประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ภายใต้การนำของ นายไซมิง มะ จำนวนกว่า 300 คน ได้หอบลูกจูงหลานมาร่วมกันเดินแห่ขบวนผ้าป่าสามัคคีด้วยแรงศรัทธาจากการบริจาดเงินของประชาชนทั้ง 2 ศาสนา เพื่อนำมาบูรณปฏิสังขรณ์ศาลา โรงเลี้ยง และกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรม โดยมีนายปรีชา นวลน้อย นายอำเภอสุไหงโก-ลก และพระขจรวุฒิ เขมธัมโม เจ้าสำนักที่พักสงฆ์แก้วศิริธรรม คอยให้การต้อนรับ




         ซึ่งบรรยากาศดังกล่าวค่อนข้างที่จะพบเห็นได้ยาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้เงียบหายไปนานกว่า 12 ปี หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่ประชาชนทั้ง 2 ศาสนาได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และได้ถือโอกาสพูดคุยถามถึงความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใยจากใจจริง โดยทั้ง 2 ฝ่าย ได้แสดงออกทางแววตา สีหน้า และรอยยิ้มที่เห็นได้ชัดเจน และไม่ค่อยได้พบเห็นง่ายนัก ประการสำคัญ งานทอดผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้ถือได้ว่า เป็นบันไดก้าวแรกที่การันตีได้ว่า หมู่บ้านเจาะบากง จะกลายเป็นหมู่บ้านตัวอย่างแห่งแรกของ จ.นราธิวาส ที่ประชาชนชาวไทยพุทธ และมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และให้การช่วยเหลือกิจกรรมซึ่งกันและกันโดยที่ไม่มีเรื่องของศาสนามาสร้างความแตกแยกอีกต่อไป

มุสลิม ISIS จุดไฟเผาเด็กคริสเตียน 12 ขวบ




       กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) จุดไฟเผาบ้านของคนคริสต์ในนครโมซูลจนเป็นที่ทำให้เด็กหญิงวัย 12 ปีรายหนึ่งโดนเผาทั้งเป็น โดยมีต้นเหตุเพียงแค่ผู้เป็นแม่จ่ายค่าครองชีพให้ไอเอสไม่ทันเวลา


        เงินที่จำเป็นต้องจ่ายนั้นเป็น "ภาษีศาสนา" (Jizya) จะเรียกเก็บต่อบุคคลที่มีศาสนาอื่นซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐมุสลิมเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง

       ผู้เป็นแม่ของเหยื่อเล่าให้ฟังว่า กลุ่มไอเอสสัญชาติต่างประเทศได้มาเคาะประตูเพราะยื่นข้อเสนอว่า "จะจ่ายภาษีดีๆ หรือ จะให้ไล่ออกไป?" ซึ่งผู้แม่ก็บอกขอเวลาสักครู่หนึ่งจะจ่ายให้เพราะลูกสาวกำลังอาบน้ำอยู่ในบ้าน แต่ไอเอสกลับปฏิเสธที่จะรอและจุดไฟเผาบ้านของเธอทันที


        แม่และลูกสาววัย 12 ปีได้หาทางหนีออกมาจากบ้านได้แต่ลูกสาวกลับได้บาดเจ็บเป็นแผลไหม้ระดับสูงสุดจนร่างไหม้เกรียม แต่ยังคงหายใจอยู่


        แม่ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวเธอไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายลูกสาวซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจก็สิ้นใจในอ้อมกอดของเธอ และคำสุดที่ลูกสาวสั่งเสียคือ "อภัยให้พวกเขาด้วย"


        ด้าน 'มาร์ติน เฮอร์มิส ดาวูด'บาทหลวงในกรุงแบกให้สัมภาษณ์ว่า คริสต์ศาสนิกชนในประเทศอิรักอาจค่อย ๆ หายไปจนหมดสิ้นภายใน 5 ปีเนื่องจากการคุกคามของกลุ่มไอเอส โดยจากเดิมเมื่อ 20 ปีก่อนมีคริสต์ศาสนิกชนในอิรักกว่า 1.3 ล้านคน แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 4 แสนคนเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ความรุนแรงของผู้เข้ามาขอลี้ภัยในเดนมาร์กที่มีต่อเด็กสาวจนตาบอด





         เด็กสาวนิโคล แซนลิสท์ อายุ 15 ปี ชาวเดนมาร์กกำลังรอรถแท็กซี่ในเมืองของสเปนมาร์เบล กลุ่มมุสลิมอพยบแอฟริกาเหนือเข้าทำร้ายเธอด้วยความสนุกสนาน เฉือนใบหน้าของเธอกับขวดวอดก้าเสียก่อให้เกิดตาบอดถาวรในตาข้างขวาของเธอ


         ความรุนแรงต่อผู้หญิงในยุโรปโดยผู้อพยพชาวมุสลิมลุกลามดังระเบิดนาปาล์มในอัตราที่ไม่น่าเชื่อ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นว่าทำไม ผู้ร้ายมุ่งเอาเธอเป็นเป้าหมาย เธอเป็นคนสวยและผิวสวย ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่าผู้ทำร้ายเป็นผู้อพยบชาวโมร็อกโกที่มาพึ่งพาอาศัยอยู่ในเดนมาร์ค ซึ่งรุนแรงมากกว่าสื่อส่วนใหญ่ของสหรัฐได้รายงาน


       อย่างไรก็ตามการรายงานยังคงเบี่ยงเบนประเด็น แทนที่จะยกมาถกกันว่านี่เป็นสันดานของอาชญากรที่ทำรุนแรงกับผู้ยังมิได้บรรลุนิติภาวะ




storyline: 15 year old Nicole Zanlith, a Danish citizen, was waiting for a taxi in the Spanish town of Marbella. A group of North African Muslim immigrants attacked her for the fun of it. The slashed her face with a broken vodka bottle causing permanent blindness in her right eye. Violence against European


This is what happens when you let Muslims into your country Take courage, stand up and reclaim your culture and homeland: expel ALL muslims along with their political stooges - WE ARE THE PEOPLE. Islam has no place anywhere in the modern civilized world.

• Danish Teen Girl blinded by six Moroccans in racially motivated Hate Crime

มุสลิม ISIS ตัดศรีษะ แม้ทารกก็ไม่ได้รับการยกเว้น !



          กลุ่มกบฏตักฟีรีย์ดาอิช ( ISIS ) ได้ก่ออาชญากรรมมากมายในการโจมตีไปยังพื้นที่ต่างๆ ของอิรัก โดยกลุ่มตักฟีรีย์กลุ่มนี้ไม่เคยปราณีผู้ใด เเละเพื่อสร้างความหวาดกลัวพวกเขาได้ตัดศรีษะประชาชน เเม้เเต่ทารกก็ไม่ได้รับการยกเว้น !


        ตามการรายงานข่าวสำนักอัลอาลัมในวันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า : หนึ่งในพลเรือนของอิรักซึ่งมีนามว่า ” ตะฮ์ซีน ” โดยในอดีตชายผู้นี้มีภรรยาคนหนึ่ง เเละบุตรชายอีกสองคนอายุ 3 เเละ 4 ปี ทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน ชันกาล จังหวัดนัยนะวา ของอิรัก เเต่ในปัจจุบันเขาได้สูญเสียครอบครัวทั้งหมดเนื่องจากอาชญากรรมของดาอิช ( ISIS ) โดยในขณะนี้กองกำลัง pismargi ได้ปกป้องคุ้มครองบ้านเกิดเมืองนอนของเขา จากการรุกรานของดาอิช ( ISIS ) !

        หนังสือพิมพ์เดลีเมล ของอังกฤษตีเเผ่ว่า : ด้วยกับการรุกคืบเข้ายึดพื้นที่ต่างๆของกลุ่มตักฟีรีย์ดาอิช ( ISIS ) ในเมืองโมซูล จังหวัดนัยนะวา ทำให้ชาวอัยซะดีประมาณสองเเสนคนได้หนีออกจากสถานที่ใช้ชีวิตของพวกเขา เเละนับพันคนจากพวกเขาถูกสังหารอย่างทารุณ ส่วนบรรดาสตรีก็ถูกจับไปเป็นทาสอีกนับสิบ !

         เดลีเมล ได้อ้างจากนายตะฮ์ซีนว่า : ในขณะที่กลุ่มตักฟีรีย์ดาอิช ( ISIS ) ได้เข้าใกล้หมู่บ้านชันกาล ผมได้โทรหาครอบครัวของผมเพื่อให้พวกเขาหนีออกจากหมู่บ้านทันที เเต่เเล้วพวกเขาก็ปะทะเข้ากับกลุ่มตักฟีรีย์ดาอิช ( ISIS ) ในระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่เชิงเขาซันญาร เเละทั้งหมดก็ถูกฆ่าตาย !
        นายตะฮ์ซีนได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยกับดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาว่า : กองกำลังดาอิช ได้ฆ่าพี่ชายคนโตของผม บิดามารดา ภรรยา เเละบุตรชายตัวน้อยทั้งสองของผม เเละสิ่งที่เหลืออยู่จากพวกเขาสำหรับผมมีเพียงเเค่รูปหนึ่งใบเท่านั้น !


        นายตะฮ์ซีนกล่าวว่า : ดาอิชนั้นดุร้ายเเละป่าเถื่อน ไม่มีความสำคัญใดสำหรับค่าต่างๆของศาสนาเเละความเป็นมนุษย์สำหรับพวกเขา เเละบรรดาสิงสาราสัตว์นั้นมีความเมตตามากกว่ากลุ่มดาอิช ( ISIS ).


         เช่นเดียวกันนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้เขียนถึงเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ ที่มีนามว่า ออซีน โดยระบุว่า : ออซีนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองซูฮาร ซึ่งบิดาเเละมารดาของเธอต้องกลายเป็นเชลยในการโจมตีของกลุ่มตักฟีรีย์ ไปยังหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ เเละเพื่อรักษาชีวิต เธอต้องหนีเป็นระยะเวลาเจ็ดวันด้วยกับการเดินเท้าอย่างไม่มีทางเลือกใด !

         ออซีน ได้เผยว่า : บิดาเเละมารดาของฉันถูกจับเป็นเชลยในซันญาร ฉันได้หนีมา ซึ่งตอนนี้ฉันไม่มีข่าวคราวใดๆเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกท่านเลย !


        รัยซาล ผู้เป็นย่าของออซีนได้กล่าวเช่นกันว่า : เราเดินทางทั้งกลางวันเเละกลางคืน บรรดาบุรุษจำนวนมากจากหมู่บ้านของเราโดนฆ่าตาย เเละบรรดาสตรีก็ถูกจับเป็นเชลยอย่างมากมาย อีกทั้งบางส่วนจากบรรดาเด็กๆ ก็ต้องเสียชีวิตเนื่องจากอากาศที่ร้อนระอุที่ในบางครั้งร้อนถึง 50 องศาด้วยกัน !

         เดลีเมลได้เผยว่า : ชาวอัยซะดี ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในค่ายอพยพ ลาเลช ที่ใกล้กับหมู่บ้านชันกาล พวกเขาต้องทุกข์ทรมานกับความเหน็บหนาว เเละบางส่วนได้ล้มป่วยลง พวกเขาไม่มีอะไรเลย เพราะทิ้งทุกอย่างที่มีอยู่เเละหนีมา หนึ่งจากบรรดาสตรีของอัยซะดีที่รอดเงื้อมมือของกลุ่มดาอิชมาได้ กล่าวว่า : กองกำลังของดาอิชตัดเเม้กระทั่งศรีษะของบรรดาทารกที่ยังไม่หย่านม .

ย้ำอีกครั้ง สำหรับพวกที่ชอบใช้วาทะกรรม แพะ แพะ แพะ



โดย : ‘อิมรอน’


            จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 เวลาประมาณ 19.30 น.ได้มีคนร้ายประมาณ 40 คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนนานาชนิด จำนวนหลายสิบกระบอก และวัตถุระเบิดแสวงเครื่องประกอบขึ้นเอง ได้บุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย.ร.15121 (ฐานพระองค์ดำ) ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส


          การเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำของผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนั้น ยังได้ทำการปล้นอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารไปด้วยทั้งสิ้น 61 กระบอกด้วยกัน ส่วนหนึ่งเป็นปืนกลเบามินิมิ โดยมีพลทหารยาห์ยา บือราเฮง เป็นไส้ศึก ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นทหารกองประจำการได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานปฏิบัติการที่ 4 และได้เป็นผู้นำแนวร่วมเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำ ส่งผลให้กำลังพลภายในฐานปฏิบัติการ เสียชีวิตจำนวน 4 นาย ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 11 ราย ด้วยกัน


         ผู้ที่เสียชีวิตในครั้งนั้นประกอบด้วย ร้อยเอกกฤช คัมภีรญาณ หรือ “ผู้กองบอย” ผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 15121, สิบเอกเทวารัตน์ เทวา หัวหน้าชุดยิง, สิบเอกดุลเลาะ ดะหยี และพลทหาร ประวิทย์ ชูกลิ่น


        เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2555 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้มีคำพิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ 3508/2555 พิพากษาให้จำคุกจำเลย คนละ 35 ปี 12 เดือน จำนวน 3 ราย ด้วยกันคือ นายมะตอฮา เซะ, นายอารีย๊ะ มะแซ และนายอาบัส สือแต ในคราวเดียวกันนี้ได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตจำเลย 1 ราย คือ นายอุษมาน ยาแต


         ศาลได้พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยซึ่งเป็นไส้ศึก ขณะเกิดเหตุยังเป็นพลทหารประจำการภายในฐานพระองค์ดำ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต จำนวน 1 ราย คือ นายยาห์ยา บือราเฮง และได้พิจารณาให้ยกฟ้องจำเลย จำนวน 9 รายเนื่องจากพยานหลักฐานโจทย์ไม่เพียงพอ แต่ให้ขังไว้ในระหว่างอุทธรณ์คดีความ


       ถึงแม้เหตุการณ์กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงบุกโจมตีฐานพระองค์ดำได้ผ่านไป 4 ปีเศษแล้วก็ตาม ความความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงมาลงโทษดำเนินคดียังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐยังมีความพยายามติดตามอาวุธปืนที่ถูกแย่งชิงกลับคืนมายังได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง


        เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2558 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ตั้งจุดสกัดในพื้นที่ บ้านไอร์ซูซง บ้านย่อย บ้านไอร์จูโจ๊ะ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย จำนวน 2 คน และตรวจยึดอาวุธปืน จำนวน 2กระบอก ซึ่งอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ถูกแย่งชิงมาจากเหตุผู้ก่อเหตุรุนแรงบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย.ร.15121 (ฐานพระองค์ดำ) จำนวน 1 กระบอก


        ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามอาวุธปืนที่ถูกแย่งชิงกลับคืนมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากยอดอาวุธปืนที่ถูกแย่งชิงจำนวนทั้งสิ้น 61 กระบอก ณ ปัจจุบันสามารถยึดคืนได้แล้ว จำนวน 22 กระบอก คงเหลือต้องติดตามกลับคืนมาอีก 39 กระบอก


        ในส่วนผลของการซักถามผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายนาวาวี ยะโก๊ะ และนายอับดุลฮาเล็ง ฮาแว ได้ให้การยอมรับว่าเมื่อ 10 เมษายน 2558 ได้เดินทางไปรับอาวุธปืนกับ นายอับดุลการี หะแว และนายอิสมาแอ มะนุ ในพื้นที่บ้านบือแนนากอ หมู่ 6 ตำบลตะมะยูง อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เพื่อนำมาใช้ในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่


      จากแหล่งข่าวได้เปิดเผยพฤติกรรมของนายอับดุลการี หะแว บุคคลที่ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คน ได้กล่าวพาดพิงว่าได้ไปรับอาวุธปืนมานั้น เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับหัวหน้า Compi ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส

       เมื่อมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงจากผลการซักถาม นายมูฮำหมัดสักรี ไซซิง ซึ่งถูกจับกุมตัวเมื่อ 12 สิงหาคม 2557 นั้นเคยให้การว่า นายอับดุลการี หะแว เป็นผู้สั่งการและร่วมก่อเหตุในพื้นที่ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสมาแล้ว ถึง 9 เหตุการณ์

       ผลการซักถาม นายนาวาวี ยะโก๊ะ ได้ให้การยอมรับว่า เคยรับฟังประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี, ผ่านการสาบานตน (ซูมเปาะ) และ ผ่านการฝึกร่างกายขั้นต้นมาแล้วซึ่งมีผู้ร่วมทำการฝึก 3 คน โดยมี นายอิสมาแอ มะนุ เป็นผู้ฝึก


        เมื่อ 12 เมษายน 2558 นายนาวาวี ยะโก๊ะ และนายอับดุลฮาเล็ง ฮาแว มีความประสงค์ขอถอนคำสาบานตน (ซูมเปาะ) เจ้าหน้าที่ได้เชิญ บาบอ มาดำเนินการถอนซูมเปาะให้เป็นที่เรียบร้อย



     หลังจากถอนคำสาบาน หรือ ซูมเปาะห์ นายนาวาวี ยะโก๊ะ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ผู้ต้องสงสัย ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ นายนาวาวีฯ ให้การเพิ่มเติมอีกว่าหลังจากเข้าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง และได้ผ่านการฝึกหลักสูตร RKK แล้ว ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส จำนวน 3 เหตุการณ์ด้วยกัน ดังนี้


  • เหตุการณ์ที่ 1 ร่วมก่อเหตุลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 37 ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 นาย เมื่อ 31 มกราคม 2556 มีผู้ร่วมก่อเหตุ จำนวน 9 คน โดยตนเองทำหน้าที่เป็นคนซุ่มยิง
  • เหตุการณ์ที่ 2 ร่วมก่อเหตุขว้างระเบิด และยิงใส่จุดตรวจร่วมเฉลิมชัย ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย เหตุเกิดเมื่อ 16 เมษายน 2556 มีผู้ร่วมก่อเหตุ จำนวน 3 คน โดยตนเองทำหน้าที่ยิงรบกวน
  • เหตุการณ์ที่ 3 ร่วมก่อเหตุซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 เสียชีวิต 2 นาย และ บาดเจ็บ 5 นาย เมื่อ 22 มิถุนายน 2557 มีผู้ร่วมก่อเหตุ 3 คน โดยตนเองทำหน้าที่ซุ่มยิง


          สำหรับอาวุธปืนที่ถูกตรวจยึดทั้ง 2 กระบอก นายนาวาวี ยะโก๊ะ ยอมรับว่า รับมาจากนายอับดุลการี หรือโต๊ะแช หะแว ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับหัวหน้า COMPIบริเวณบ้านไอร์กาแซ ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ซึ่งนายอับดุลการีฯ ได้สั่งการให้ตนเองกับนายอับดุลฮาเล็ง ฮาแว ใช้ก่อเหตุรุนแรง ในวันที่ 10 ถึง 15 เมษายน 2558 เพื่อสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส


        หลังจากรับคำสั่งแล้ว ตนเองพร้อมด้วย นายอับดุลฮาเล็งฯ ซึ่งถูกจับกุม ได้เดินทางไปยังบ้านบือแนนากอ ตำบลตะมะยูง อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เพื่อที่จะไปพบกับนายอาบัส หรือ บาซิ เจ๊ะหะ ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ ซึ่งเคยถูกเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมตัว แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างหนีประกัน เพื่อร่วมกันวางแผนเตรีมการก่อเหตุรุนแรง แต่มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเสียก่อน


         ซึ่งในขั้นต้น นายนาวาวี ยะโก๊ะ ได้วางแผนเตรียมการที่จะก่อเหตุซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสาคร ระหว่างเดินทางสับเปลี่ยนเวรยาม บริเวณสี่แยกในพื้นที่ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2558




         ในส่วนของการพิสูจน์หลักฐานความเชื่อมโยงทางคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้มีการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของอาวุธปืน จำนวน 2 กระบอกที่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึด พบว่ามีความเชื่อมโยงกับการการก่อเหตุ 6 คดี ด้วยกัน กล่าวคือ


  • อาวุธปืนกระบอกที่ 1 ปืนกลมือ (UZI) ขนาด 9 มม. LUGER เลขหมายประจำปืน 36400157 พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 อัน จำนวน 1 กระบอก ตรวจพบประวัติในสารบบของ ศพฐ.10 จำนวน 4 คดี ด้วยกัน
    • คดีที่ 1 เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เหตุคนร้ายลอบยิงนายชัยภัทร นกเขาแดง (เสียชีวิต) นางแดง นกเขาแดง (ไม่ได้รับบาดเจ็บ) เหตุเกิดบริเวณสวนยางพาราบ้านไอร์วอ หมู่ 1 ตำบลกาหลง อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
    • คดีที่ 2 เมื่อ 20 มีนาคม 2554 เหตุคนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีสาคร (ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ) เหตุเกิดบริเวณจุดตรวจถาวนเฉลิมชัย หมู่ 1 ตำบล/อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
    • คดีที่ 3 เมื่อ 16 เมษายน 2556 เหตุลอบยิงจุดตรวจถาวนเฉลิมชัย หมู่ 1 ตำบล/อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
    • คดีที่ 4 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2556 เหตุคนร้ายซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ขณะขับรถปิดท้ายขบวนรักษาความปลอดภัยคณะแพทย์กองทัพบก จังหวัดชายแดนภาคใต้ บนถนนสายบ้านอีนอใน หมู่ 2 ตำบล/อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
  • อาวุธปืนกระบอกที่ 2 ปืนพกออโตเมติก (NORINCO) ขนาด 9 มม. LUGERเครื่องหมายทะเบียน กท 4402220 เลขหมายประจำปืน 6008739 พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 อัน ตรวจพบประวัติในสารบบของ ศพฐ.10 จำนวน 2 คดี ด้วยกัน 
    • คดีที่ 1 เมื่อ 13 กันยายน 2556 เหตุคนร้ายลอบยิงราษฎรหาของป่า และมีการยิงปะทะกัน (ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต) เหตุเกิดบริเวณถนนบ้านจือกอ หมู่ 3 ตำบลศรีบรรพต อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
    • คดีที่ 2 เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2557 เหตุคนร้ายลอบยิงนายจรูญ ศรีจันทร์ (เสียชีวิต) นางเตือนใจ บุญเกลี้ยง (ได้รับบาดเจ็บ) ขณะกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์บนถนนสายศรีสาคร-บ้านกาหลง หมู่ 5 ตำบล/อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส


         ที่กล่าวมาคือผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของอาวุธปืน จะเห็นได้ว่าอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอก มีการใช้ในการก่อเหตุและอยู่ในบัญชีคดีความมั่นคงอย่างชัดเจน


         นั่นคือหลักฐานการตรวจสอบกระสุนปืน อาวุธปืนในสารบบของตำรวจ ที่มีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุคดีสำคัญที่ผ่านมา แต่หลักฐานชิ้นสำคัญคือการที่ นายนาวาวี ยะโก๊ะ ได้ให้การยอมรับสารภาพเป็น RKK กับเจ้าหน้าที่โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ และใช้ความรุนแรงใดๆ ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนการปฏิบัติอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ได้เชิญบิดา มารดา ของนายนาวาวีฯ เข้าร่วมรับฟังการซักถามครั้งนี้ด้วยตลอดทุกขั้นตอนเพื่อความโปร่งใส




        แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องยอมรับความเป็นจริงเมื่อบิดา มารดา ของนายนาวาวี ยะโก๊ะ ได้รับรู้จากคำรับสารภาพของบุตรชายตนเองว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากในห้วงที่ผ่านไม่เคยทราบพฤติกรรมของบุตรชายตนเองมาก่อนเลยว่าเป็นสมาชิก RKK
        บิดา มารดา นายซาวาวี ยะโก๊ะ ได้กล่าวว่าบุตรชายของตนเองเป็นคนดีของครอบครัว ขยันทำงานเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งเมื่อรู้ว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง เคยก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ด้วยการใช้อาวุธปืนลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ รู้สึกตกใจ และเสียใจที่บุตรชายเข้าร่วมกับขบวนการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม


        จะมีอีกกี่ครอบครัวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เด็กหนุ่มเหล่านี้ได้เดินทางผิดหันหน้าเข้าร่วมกับขบวนการ มุ่งก่อเหตุสร้างสถานการณ์โดยที่พ่อแม่ ลูกเมียไม่เคยรับรู้เลยว่าเป็นแนวร่วมขบวนการโจรใต้ เมื่อรู้อีกทีโดนเจ้าหน้าที่จับกุม และเมื่อมีการถอนคำสาบานตน (ซูมเปาะ) ยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ต่อหน้าพ่อแม่ ลูกเมีย ต่อหน้าผู้นำศาสนา ว่าตนเองเป็นนักรบ RKK เคยก่อเหตุเข่นฆ่าเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์มาอย่างโชกโชน


         และสุดท้ายเมื่อโดนจับกุมตัวดำเนินคดี ติดคุกติดตาราง ครอบครัวพลอยได้รับความเดือดร้อน มีแต่หน่วยงานภาครัฐเท่านั้นที่คอยดูแลญาติพี่น้องที่อยู่เบื้องหลัง แล้วขบวนการล่ะ!!! ที่เคยหลอกใช้งานได้ช่วยเหลืออะไรครอบครัวสมาชิกRKK เหล่านี้บ้าง?..มีแต่ลอยแพให้รอรับยถากรรมอยู่ในเรือนจำอย่างเดียวดายไร้การเหลียวแล..สมแล้วหรือ? กับการทุ่มเททั้งชีวิตยอมแม้กระทั่งตัวตาย แต่คนที่สุขสบายกลับกลายเป็นผู้สั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอก..อนิจจา!! ขบวนการปริ้นปร้อนหลอกลวง หลอกผู้คนให้หลงผิดคิดแบ่งแยกผืนแผ่นดินไทย หลอกให้สมาชิกแนวร่วม RKK ทำการเข่นฆ่าพี่น้องมลายูปาตานีกันเอง....
---------------------------

PerMAS เลว ลวง โลก



WHO IS PerMAS
นักศึกษาเพื่อโจรปาตานี รอแต่แดกงบ หลวง

------------------------------------------------------------------------------

         กลุ่ม PerMAS หรือสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ได้ดำเนินกิจกรรมในการปลุกระดมประชาชนเพื่อให้มีการลงประชามติในการกำหนดใจตนเอง นำไปสู่การแยกตัวเป็นเอกราช

         นับวันองค์กรนักศึกษากลุ่มนี้มีความหมิ่นเหม่เป็นปัญหาต่อความมั่นคงของรัฐบาลไทยเข้าไปทุกที การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากลุ่ม PerMAS เป็นปีกการเมืองของขบวนการ BRN เป็นการทำงานเคลื่อนไหวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และต่างประเทศ ทำการแย่งชิงมวลชนเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของฝ่ายตน และมีการปลุกระดมให้ประชาชนและมวลสมาชิกเครือข่ายเห็นว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวปาตานี กรณีที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม มีการตรวจค้นหรือมีเหตุปะทะจนสมาชิกแนวร่วมเสียชีวิต

        และล่าสุดตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคมในนาม “กลุ่มปาตานี” (Patani group) ประมาณ 20 คน นำโดยนายอาร์ฟาน วัฒนะ รองประธานกลุ่ม PerMAS, นายอิสมาแอ ฮายีแวจิ ผอ.สำนักสื่อ Wartani และนายทวีศักดิ์ ปิ จากสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน ได้เข้าร่วมประชุมเวทีองค์กรประชาสังคม และภาคประชาชนอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มซ. ระหว่างวันที่ 22 – 23 เม.ย.58โดยนายอาร์ฟาน ได้นำเสนอบทความหัวข้อ Who is Patani และปัญหาการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

        ขณะเดียวกันสมาชิกกลุ่ม PerMAS ได้เผยแพร่บทความหัวข้อ “การเสียสละของกลุ่ม PerMAS” เพื่อให้กำลังใจแก่นายสุไฮมิง ดุลละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS ต่อกรณีถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย โดยมีเนื้อหาปลุกระดมให้สมาชิกออกมาร่วมเคลื่อนไหว เนื่องจากกลุ่ม PerMAS เป็นความหวังของสังคมปาตานี

         ขณะที่เว็บไซต์ kabarkampus.com ของอินโดนีเซีย ได้นำเสนอข่าวว่า นักศึกษาจากพื้นที่ จชต. ที่อยู่ระหว่างศึกษา ในเมืองบันดุง อินโดนีเซีย ได้จัดการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งชาติ (UIN) เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมประจำปี เอเชีย - แอฟริกา ครั้งที่ ๖๐ นำประเด็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนในปาตานีเข้าหารือในที่ประชุม โดยอ้างว่าการใช้อำนาจทางทหารของรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของประชาชน

        เพื่อให้เห็นธาตุแท้ของกลุ่ม PerMAS โปรดอ่านบทความเพื่อทำความเข้าใจของพฤติกรรมขององค์กรนักศึกษาดังกล่าว เป็นความพยายามของ ในการปลุกเร้าในเครือข่ายสังคมออนไลน์ อีกทั้งมีการประสานงานกับกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่างๆ ให้มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเพื่อกดดันในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งมีความพยายามให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งบทความเรื่อง “คำสารภาพผู้ก่อเหตุระเบิดเมืองนรา...ฉีกหน้า PerMAS”ลิ้งhttp://pulony.blogspot.com/2015/04/permas.html จะเห็นได้ว่าเป็นความพยายามในการช่วยเหลือโจรใต้ที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดเมืองนราธิวาส

        ส่วนบทความเรื่อง “จับกุม 2 โจรใต้ BRN-ยึดคืนอาวุธปืนปล้นจากฐานพระองค์ดำ” ลิ้ง http://pulony.blogspot.com/2015/04/2-brn.html เป็นบทความที่สื่อให้เห็นว่า บุคคลในครอบครัวเป็น RKK แต่พ่อแม่ ลูกเมียกลับไม่รู้ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นแนวร่วมขบวนการถึงกับเสียใจรับไม่ได้...

ที่ฆ่ากันอยู่นี้ สมุนโอลันล้าทั้งนั้น


อะไรคือ เหตุแห่งความรุนแรง

          ในเมื่อได้สอนให้มนุษย์แก้ไขปัญหาด้วยการฆ่า ทำลายกัน ถึงจะมีเหตุผลที่อนุโลมเพื่อเป็นการเอาตัวรอดก็ใช่ แต่


  • ๑) การบัญญัติวิธีการฆ่า
  • ๒) การทำโทษด้วยการให้ประชาชนที่บอกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำการลงมือเป็นเพชฌฆาตเสียเองด้วยการขว้างก้อนหินใส่จนกว่าจะตาย ซึ่งแต่ละครั้งมีประชาชนจำนวนไม่น้อยเลยที่เข้ามารับการฝึกจิตเป็นเพชฌฆาต
  • ๓) การทำโทษด้วยการตัดมือ
  • ๔) การที่สามีทำโทษ โดยการทุบ ตี หรือ ฆ่า ภรรยาและลูกตนเองโดยอ้างว่าเป็นการกู้เกียรติยศโดยไม่ผิดหลักศาสนา จนกลายเป็นอัตลักษณ์

       และมีอีกมากมาย ล้วนเป็นการ สร้างจิตของ ศาสนิกชนให้มีความกระด้าง ใช้การฆ่า ทำลายเพื่อการแก้ไขปัญหาทั้งสิ้น

       ในโลกที่เจริญแล้ว จะไม่สอนให้ประชาชนของตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวการลงทัณฑ์เสียเองแม้แต่ “การุณยฆาต” ซึ่งเป็นการยินยอมสละสังขาร (ตาย) เพื่อให้พ้นจากการเจ็บป่วย ทุกข์ ทรมาน ก็ยังต้องพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลายแง่หลายมุม



         เมื่อมีสาเหตุก็ต้องมีผลลัพธ์ ในที่สุดโลกอิสลามทั่วโลก ก็ฆ่ากันเองได้อย่างที่เห็นกันทั่วโลก ตะวันออกกลางเช่นที่ซีเรีย ได้พิสูจน์ให้เห็นกันแล้ว ที่ฆ่ากันนั้นก็ล้วนแต่เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น

        มิใช่ว่าอัลเลาะห์ผิด แต่ด้วยชนรุ่นหลังอยากได้อำนาจจึงได้เอาคำสอนของอัลเลาะห์มาบิดเบือนเสียจนกลายเป็นการทำลายศาสนาตนเองไปเสียแล้ว

       ที่กล่าวมานี้ ได้ทราบว่าทางฝ่ายอิสลามก็ได้มีการพยายามแก้ไขกันอย่างที่สุด แต่ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือฝ่ายศาสนจักรคลั่งคัมภีร์ ก็เป็นการยากที่แก้ไข

• สลด!ขว้างก้อนหินประหารชาย-หญิงฐานคบชู้ในซีเรีย

https://www.youtube.com/watch?v=sU6iOgiI9wI

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พรรคการเมืองเยอรมนีประกาศนโยบาย "ต้านมุสลิม"




            สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ว่าที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (เอเอฟดี ) ซึ่งมีสมาชิกอยู่ราว 2,400 คน มีมติเห็นชอบเมื่อวันอาทิตย์ ให้บรรจุนโยบาย "ต่อต้านมุสลิม" ลงในคำแถลงนโยบายฉบับใหม่ ที่รวมถึงการไม่ยอมรับการปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิด การสวดมนต์ และการสวมฮิญาบหรือผ้าคลุมศีรษะ ตอกย้ำจุดยืนของพรรคที่คัดค้านนโยบายเปิดพรมแดนรับผู้อพยพของรัฐบาลเบอร์ลินชุดปัจจุบัน 

          นอกจากนี้ ที่ประชุมพรรคเอเอฟดียังมีมติเห็นชอบให้มีการยกระดับนโยบายส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างทุกเพศ การสร้างค่านิยมครอบครัว และการเสนอให้เยอรมนีกลับมาใช้กฎหมายการเกณฑ์ทหารอีกครั้ง ตลอดจนการให้รัฐบาลเบอร์ลินถอนตัวออกจากกลุ่มยูโรโซน เนื่องจากอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของพรรค คือการต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ 

         ทั้งนี้ พรรคเอเอฟดีซึ่งประกาศตัวว่ามีอุดมการณ์ทางการเมืองชาตินิยมแนวอนุรักษ์ "แบบสุดขีด" จดทะเบียนก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2556 จึงยังถือเป็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ของเยอรมนี แต่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประชาชน โดยผลสำรวจความคิดเห็นชาวเยอรมันครั้งล่าสุดโดยหนังสือพิมพ์ "บิลด์" ปรากฏว่าคะแนนนิยมของพรรคเอเอฟดีพุ่งขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 เป็นรองเพียงพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนแห่งเยอรมนี ( ซีดียู ) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล และพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ( เอสพีดี ) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลขนาดใหญ่ที่สุดเท่านั้น 

         อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางการเมืองในเยอรมนีมีความกังวลมากขึ้นว่า นโยบายสุดโต่งเกินไปของพรรคเอเอฟดีอาจยิ่งเป็นการกระตุ้น "ภาวะหวาดกลัวชาวต่างชาติ" และเป็นการโดดเดี่ยวเยอรมนีจากโลกภายนอก ซึ่งกลุ่มต่อต้านพรรคเอเอฟดีประท้วงครั้งใหญ่ที่หน้าที่ทำการพรรคในเมืองชตุทท์การ์ท เมื่อวันเสาร์ มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 500 คน“

จับกลางดึกสมาชิก ผกร.หมาย ป.วิอาญา“มือระเบิด”หนีประกันศาล



วันที่ 20 พ.ค.59 เวลา 01.09 น.เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจได้สนธิกำลัง นปพ.ร่วม จ.ปัตตานีประกอบกำลังจาก ฉก.ทพ.43, ฉก.ตชด.44, บก.ควบคุม4, ชปข.พิเศษ สขว.ฯ, ชค.543, ขกท.พล.ร.15, นปพ.กก.สส.ภ.จว.ป.น., ชุดเครื่องมือพิเศษ นฝต.ฯ, ฉก.ทพ.22 และ สภ.ยะรัง ได้ ติดตามบุคคลเป้าหมายเพื่อบังคับใช้กฎหมาย ในพื้นที่ ม.4 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

ผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นบ้านพักไม่มีเลขที่ พิกัด QH 551746 พบต้องสงสัย เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่พยายามหลบหนีออกทางหลังบ้าน แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ก่อน



จากการตรวจสอบทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายแวสาเฮาะ ดอเลาะ หมายเลขประจำตัวประชาชน 3-9410-00507-88-9 อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 221 หมู่ที่ 4 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม ผกร.ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.ยะรัง ซึ่งเป็นมือประกอบระเบิด อยู่ในระหว่างหลบหนีการประกันตัวในชั้นศาล และมีหมาย ป.วิอาญา ศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 84/2559 ลง 24 ก.พ.59

ข้อมูลเบื้องต้นของ นายแวสาเฮาะฯ เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมจากเหตุปะทะปอเนาะบานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 2 พ.ค.58 จากผลการซักถามยอมรับสารภาพว่าเป็น “มือระเบิด” สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่จึงได้ออกหมายจับ ป.วิอาญา และ นายแวสาเฮาะฯ ได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา



ระหว่างประกันตัวเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบ DNA นายแวสาเฮาะฯ ตรงกับเหตุรุนแรงในพื้นที่ สภ.โสร่ง จึงออกหมาย ป.วิอาญา เพิ่มเติม 1 หมาย หลังจากนั้น นายแวสาเฮาะฯ ได้หลบหนีประกัน จนกระทั่งถูกควบคุมตัว เมื่อคืนที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวส่งให้หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ส่งตัวมาดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ หน่วยซักถาม ขกท.สน.จชต.

10 Year Old Child Gets A Divorce


10 Year Old Child Gets A Divorce Part 1

A Yemeni girl who won a divorce at 10 is struggling to reclaim her childhood. CNN's Paula Newton reports.




10 Year Old Child Gets A Divorce Part 2

A Yemeni girl who won a divorce at 10 is struggling to reclaim her childhood. CNN's Paula Newton reports.

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

9 คำถาม PerMAS กับคำตอบที่คาใจประชาชน





          สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีกลุ่มนิสิตนักศึกษา นักเรียน ในพื้นที่กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวกิจกรรมสนับสนุนงานการเมืองของขบวนการ BRN ภายใต้ชื่อกลุ่ม “PerMAS” ซึ่งย่อมาจาก Persekutuan Mahasiswa Anak muda dan Siswa Patani (สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี) มีการจัดเวทีเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ปลุกระดม กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในเวทีภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนเรียกร้องความเป็นธรรมต่างๆ ให้กับสมาชิกแนวร่วมกลุ่มขบวนการ ซึ่งกลุ่ม “PerMAS” ถือได้ว่าเป็น “คู่กรณี” โดยตรงกับรัฐและฝ่ายความมั่นคง โดยมีสงครามแย่งชิงมวลชนชายแดนใต้เป็นฉากหลัง!!!


        ที่ผ่านมามีนักศึกษาที่เป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการ BRN แต่ในอีกบทบาทหนึ่งมีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในร่มเงาของ “PerMAS” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีความสัมพันธ์กันในทุกมิติของการเคลื่อนไหว จากกรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงบุกเข้าโจมตีฐานนาวิกโยธินกองทัพเรือในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส คือตัวอย่างชัดเจน และผลในวันนั้นปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต 16 ราย เนื่องจากถูกตอบโต้จากเจ้าหน้าที่ แต่ที่ฮือฮามากกว่านั้นคือการเสียชีวิตของ นายมะรอโซ จันทรวดี อดีตกลุ่มนักศึกษา PNYS อีกมิติหนึ่งเป็นแกนนำสมาชิก BRN และในจำนวนผู้ที่เสียชีวิตอีกรายที่น่าสนใจเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดยะลา อีกทั้งเป็นสมาชิก “PerMAS” รวมอยู่ด้วย


         เป็นที่ทราบกันดีว่า “PerMAS” เป็นองค์กรนักศึกษาที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลย ทั้งกลุ่มที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนล้วนเป็นผู้ที่กระทำความผิดกฎหมาย หมิ่นเหม่ต่อปัญหาความมั่นคงของชาติแทบทั้งสิ้น อีกทั้งบางรายมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ ที่สำคัญกิจกรรมที่กลุ่ม “PerMAS” ได้จัดขึ้นมีความท้าทายต่ออำนาจรัฐ และเปราะบางต่อภัยความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกิจกรรมเวที Bicara Patani ที่มุ่งปลุกระดมให้พี่น้องประชาชนปาตานีลุกขึ้นมาเรียกร้องในการกำหนดชะตากรรมของตนเองด้วยการลงประชามติ (The Principle of Rights to Self-Determination)


        บุคคลที่เคลื่อนไหวทั้งเป็น “ตัวเปิด” และ “หลังฉาก”(อีแอบ) ของกลุ่ม “PerMAS” เป็นการขับเคลื่อนใน “ปีกการเมือง” เพื่อเป้าหมาย “ปลดปล่อยปาตานี” โดยสอดรับประสานกับอีกปีกหนึ่ง คือ “ปีกการทหาร” ของขบวนการ BRN ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์


          ที่ผ่านมากลุ่ม “PerMAS” และภาคีเครือข่ายได้ออกมาตอบโต้กล่าวหาว่าฝ่ายความมั่นคงมีความพยายามบ่อนทำลายองค์กรและแกนนำ ด้วยการแฉประวัติด้านลบและพฤติกรรมของแกนนำบางคนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพจเฟซบุ๊คไม่ระบุตัวตน หรือที่เรียกว่า “เพจผี” ซึ่งหากไม่มีมูลหรือพฤติกรรมที่ส่อไปในทางประพฤติมิชอบในการแสวงหาประโยชน์ด้วยการกระทำผิดกฎหมาย ไม่มีประวัติที่ด่างพร้อย ด้วยการนำเงินเหล่านั้นมาทำการเคลื่อนไหวก็คงจะไม่มีใครออกมาแฉอย่างแน่นอน!!!!


         สำนักข่าวอิศรา ได้มีการนำเสนอบทความและชี้ให้เห็นว่า “PerMAS” มีพื้นที่ในสื่อกระแสหลักค่อนข้างน้อย และคนนอกพื้นที่ไม่ค่อยรู้จักพวกเขา ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา จึงเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ “PerMAS” และถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์ 9 คำถามกับประธาน “PerMAS” คนปัจจุบัน คือ นายสุไฮมี ดูละสะ ให้เป็นที่รู้จักเพื่อจุดประสงค์อะไร? ทั้งๆ ที่องค์กรนี้มีการเคลื่อนไหวในการแบ่งแยกดินแดนให้เป็นอิสระจากรัฐไทย


        ถือได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศราได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก่อนหน้านี้ ปกรณ์ พึ่งเนตร ได้เขียนในคอลัมน์ คุยกับบรรณาธิการ เรื่อง “ไอโอล้ำเส้น ที่ชายแดนใต้” เป็นผู้ตั้งวาทะเด็ด “เพจผี” และกล่าวหาว่าเป็นเพจของฝ่ายความมั่นคงโดยไม่มีการกล่าวถึง “เพจโจรใต้ฟาตอนี” ของแนวร่วมขบวนการที่ได้มีการปลุกระดม บิดเบือน สร้างความขัดแย้งใดๆ เลย


         การออกมากล่าวหาฝ่ายความมั่นคงน่าจะมีนัยอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่!! ยากที่จะคาดเดา แต่ที่แน่ๆ ได้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เชิงลึกอย่างแนบแน่นของสำนักข่าวอิศรากับกลุ่ม “PerMAS” เป็นแค่เหตุบังเอิญ หรือแค่ต้องการขายข่าว

1. “PerMAS” คือใคร?

             PerMAS (Persekutuan Mahasiswa Anak muda dan Siswa Patani) หมายถึง สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ที่มีการแอบอ้างเสียงนักศึกษาส่วนใหญ่ในการดำเนินจัดกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน และมุ่งสนับสนุนกลุ่มขบวนการ BRN ในงานการเมือง


2.พันธกิจของ PerMAS

            กลุ่ม PerMAS มีพันธกิจ 2 ประการ คือ Peace destroying กับ Struggle for BRN หมายถึงเป็นผู้ทำลายสันติภาพ และต่อสู้เพื่อ BRN เมื่อแปรสู่การปฏิบัติก็คือ 
  • 1) เป็นกระบอกเสียงและปีกการเมืองให้กับขบวนการ BRN 
  • 2) เป็นองค์กรกลางหนุนการสร้างความรุนแรง 
  • 3) เป็นแกนนำทางการเมืองของนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ในการแบ่งแยกดินแดนเพื่อเอกราชจากรัฐบาลไทย


3.การทำงานของ“PerMAS”

          วิสัยทัศน์ของกลุ่ม PerMAS เพื่อเรียกร้องความเสมอภาคให้กับโจรใต้ฟาตอนี และความยุติธรรม มีเป้าหมายหลักเพื่อเอกราช รองลงมาก็เพื่อจัดขบวนและเพิ่มศักยภาพบทบาทนักศึกษา นักเรียน เยาวชนปาตานี มียุทธศาสตร์ในการเปิดพื้นที่ทางการเมืองเพื่อการกำหนดชะตากรรมตนเอง


4.จุดยืนของ“PerMAS”

          จุดยืนที่แท้จริงของกลุ่ม เมื่อ “PerMAS” มีความพึงพอใจต่อสันติภาพอย่างไร ประชาชนก็มีความพึงพอใจต่อสันติภาพอย่างนั้น สรุปคือ “PerMAS” เป็นใหญ่ทางความคิดสามารถชี้นิ้วสั่งประชาชนขวาหันซ้ายหันได้ตามที่ใบสั่งของขบวนการ BRN


5.พัฒนาการของ“PerMAS”

         สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานและยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งไทยพุทธและมลายูปาตานีมุสลิม กลุ่ม PerMAS จึงได้อาศัยสถานการณ์สร้างภาวะความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนโดยใช้ศาสนา เชื้อชาติเป็นเครื่องมือ เพื่อผลนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขบวนการ BRN อยากให้เกิดขึ้น


6. “PerMAS” ในปัจจุบันมีโครงสร้างอย่างไร

        “PerMAS” รุ่นที่ 3 มีแผนงานและความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละฝ่ายก็จริงแต่ในความเป็นจริงตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นเป็นแค่ตุ๊กตาไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในองค์กรอย่างแท้จริง
อย่างเช่น 
  • นายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน “PerMAS” คนปัจจุบัน ไม่ได้มีอำนาจใดๆ เลย ผู้ที่มีอำนาจและมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังในการเคลื่อนไหว คือ
  • นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก อีกทั้งนายอาเต๊ฟฯ ยังเป็นผู้หาแหล่งเงินทุนที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมของ “PerMAS” มาโดยตลอด เนื่องจากมีพ่อตา ญาติพี่น้องอยู่ในแวดวงนักค้ายาเสพติดตัวยง
          ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ แค่เป็นโครงสร้างที่ตั้งขึ้นมาจอมปลอมในเมื่อประธานไม่ใช่ตัวจริงแล้วอย่าไปหวังให้ยากกับระดับรองๆ ลงมา ทุกครั้งที่สมาชิกแนวร่วมขบวนการเสียชีวิตผู้ที่อยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลจะมีการเดินหมากทางการเมืองแย่งชิงมวลชนด้วยการสั่งให้สมาชิกลงพื้นที่หาข้อมูลในพื้นที่เกิดเหตุแล้วกลับมาบิดเบือนข่าวสารกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ


7.มุมมอง“PerMAS” ต่อรัฐไทย

         สำหรับมุมมองของ “PerMAS” ที่มีต่อรัฐบาลไทย ไม่เคยมีอะไรเป็นบวกในสายตาของคนกลุ่มนี้ รัฐไทยคือผู้รุกรานดินแดนปาตานี รังแกพี่น้องมลายูปาตานี ละเมิดสิทธิเสรีภาพของของโจรใต้ฟาตอนี


8.ทำไม“PerMAS” มองรัฐในแง่ลบ

        เนื่องจากการปลูกฝังอุดมการณ์ การบ่มเพาะทางความคิดที่ผิดๆ ในสถาบันการศึกษาปอเนาะ ตาดีกา จากผู้นำศาสนา ผู้นำทางความคิด และระดับแกนนำขบวนการ ให้นักเรียนเยาวชนเหล่านั้นเกลียดชังคนต่างศาสนา รวมถึงเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลไทย ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กลับมาสันติสุขก็ตามที ก็จะถูกขัดขวางทุกรูปแบบ


9.เป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการสันติภาพและ “PerMAS” ต้องการเอกราช ปกครองพิเศษ หรือประชามติกำหนดใจตนเอง



         “PerMAS” ได้ตั้งเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการสันติภาพ จะต้องจบลงด้วย “เอกราช” หรือ “ออโตโนมี” (ปกครองตนเอง) เท่านั้น เป็นแผน “แยกกันเดินร่วมกันตี” กับขบวนการ BRN


          “PerMAS” จึงไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขชายแดนใต้ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงได้มีการเดินหน้าเคลื่อนไหวคัดค้านและทำลายแนวทางสันติวิธีทุกรูปแบบ และกลับสนับสนุนแนวทางความรุนแรงของกลุ่มขบวนการ BRN เพื่อยั่วยุให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเข้าดำเนินการปราบปราม ซึ่งเป็นแนวทางที่กลุ่ม “PerMAS” ต้องการเพื่อสื่อไปยังต่างประเทศว่ารัฐบาลไทยมีการใช้กำลัง ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง สุดท้ายนำไปสู่การลงประชามติ (right to self determination) เพื่อกำหนดใจตนเองแยกตัวเป็นเอกราชต่อไป


           นี่คือ 9 คำถาม “PerMAS” กับคำตอบที่คาใจประชาชน ประชาชนเป็นใหญ่เป็นเจ้าของพื้นที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด หรือกลุ่ม“PerMAS”? เป็นผู้ชักนำ

         ....แต่ผู้เขียนขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า หาก “PerMAS” พึงพอใจต่อสันติภาพอย่างไร ประชาชนก็พอใจต่อสันติภาพอย่างนั้น....เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาได้บอกกล่าวถึงสันดานขององค์กรกลุ่มนี้อย่างชัดเจน

         ...จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทุกรูปแบบ แทบทุกครั้งที่มีการจัดเวทีพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมา และการเดินหน้าพูดคุยสันติสุขในปัจจุบัน....

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กลุ่มสุดโต่งในบังกลาเทศสังหารต่อเนื่อง-เหยื่อล่าสุดเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย



Thu, 2016-05-05 19:02


ขณะที่ในบังกลาเทศยังคงมีปัญหาการสังหารนักคิดและนักกิจกรรมที่ถูกกมองว่าเป็นผู้ต่อต้านศาสนาโดยที่ยังมีหลายกรณีที่จับคนร้ายไม่ได้ โดยเหตุล่าสุดมีอาจารย์มหาวิทยาลัยราชฮีถูกฆ่า ด้านรัฐบาลบังกลาเทศกล่าวหาเหยื่อว่าไม่ควรพูดในเรื่อง "ทำร้ายความรู้สึก" ผู้นับถือศาสนา แต่ก็มีประชาชนส่วนหนึ่งและต่างชาติไม่พอใจและเริ่มประท้วงเรียกร้องให้รัฐจริงจังกว่านี้กับการนำตัวผู้สังหารโดยอ้างศาสนามาลงโทษ

โกลบอลวอยซ์ออนไลน์ นำเสนอกรณีการสังหาร เรซัล คาริม ซิดดิค ศาตราจารย์ภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยราชฮี ในบังกลาเทศตั้งแต่ช่วงวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมาใกล้กับบ้านพักของเขาในทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นเหยื่ออีกรายที่ถูกสังหารโดยกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาในช่วงปีที่แล้วถึงปีนี้

เหตุสังหารเกิดขึ้นในตอนที่ซิดดิคกำลังรอรถโดยสารเพื่อเดินทางไปมหาวิทยาลัย มีคน 2-3 คน โจมตีจากข้างหลังแล้วก็แทงที่ลำคอเขาจนเป็นเหตุให้ซิดดิคเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

เว็บไซต์ At-Tamkin ซึ่งเป็นเว็บไซต์เป็นพวกเดียวกับสำนักข่าวอามัคของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส (ISIS) อ้างว่ากลุ่มดาวัตทุย อิสลาม เป็นกลุ่มที่ก่อเหตุในครั้งนี้เนื่องจากคิดว่าซิดดิคเคย "เรียกร้องให้ผู้คนหันมาหาแนวคิดไม่มีศาสนา"

กลุ่มติดอาวุธศาสนาอิสลามในบังกลาเทศถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารบล็อกเกอร์และนักกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ตหลายรายตั้งแต่ช่วงปี 2556 โดยกรณีที่เกิดขึ้นไม่นานนี้คือการสังหาร นาซีมอุดดิน ซาหมัด นักกิจกรรมผู้ไม่ฝักใฝ่ศาสนา เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

ซิดดิค เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยราชฮีรายที่ 4 แล้วที่ถูกสังหารในช่วง 12 ปีหลังมานี้ ซิดดิคเป็นนักเขียน คนเล่นซิตาร์ (เครื่องดนตรีดีดสายประเภทหนึ่งในอินเดีย) และมีส่วนร่วมกับองค์กรทางวัฒนธรรมหลายองค์กร เขาเป็นผู้นำกลุ่มทางวัฒนธรรมที่เรียกว่ากลุ่ม โกมล กันดาร์ และเป็นบรรณาธิการของนิตยสารวรรณกรรมที่ออกสองเล่มต่อปี ทั้งนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนดนตรีที่บักมาราซึ่งในอดีตเคยเป็นรังของกลุ่มมูจาฮีดีนเจเอ็มบี

มีบล็อกเกอร์ ปัญญาชนและชาวต่างชาติในบังกลาเทศหลายคนถูกสังหารด้วยวิธีแบบเดียวกัน โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของบังกลาเทศกล่าวว่าผู้ก่อเหตุมักจะใช้มีดมาเชตต์หรือปังตอฟันเหยื่อจนเสียชีวิต มีกลุ่มอย่างอัลกออิดะฮ์สายแถบอนุทวีปอินเดียอ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุสังหารบล็อกเกอร์หลายคนและกลุ่มไอซิสอ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารชาวต่างชาติ 2 คนที่เป็นคนทำงานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชาวอิตาลีและชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่บังกลาเทศอ้างว่ากลุ่มอิสลามในประเทศตัวเองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุสังหารเหล่านี้และคำอ้างจากกลุ่มไอซิสและอัลกออิดะฮ์เป็นไปเพื่อปกปิดร่องรอยและทำให้การสืบสวนไขว้เขวเท่านั้น

โกลบอลวอยซ์รายงานว่าทางการบังกลาเทศยังคงตอบคำถามเรื่องสถานการณ์เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้ไม่ดีพอ ในฐานะที่เป็นประเทศประชาธิปไตยรัฐสภาที่ไม่เป็นรัฐศาสนา บังกลาเทศไม่มีกฎหมายชะรีอะฮ์หรือกฎหมายหมิ่นศาสนาและผู้ที่ไม่นับถือศาสนาก็มีสิทธิแบบเดียวกับพลเมืองคนอื่นๆ โดยที่ส่วนใหญ่แล้วคนในบังกลาเทศจะเป็นชาวมุสลิม แต่บังกลาเทศก็ยังคงมีกฎหมายอาญาที่สามารถดำเนินคดีกับผู้ที่ "ทำร้ายความรู้สึกของผู้นับถือศาสนา" อย่าง "จงใจ" หรือ "มีประสงค์ร้าย"

ในเหตุสังหารซาหมัดเมื่อต้นเดือน เม.ย. รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน อะซาดุสมาน ข่าน ตะคอกต่อว่าเหยื่อในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อซีเอ็นเอ็นว่า "บล็อกเกอร์ควรควบคุมการเขียนของตนเอง ประเทศของพวกเราคือประเทศที่ไม่ใช่รัฐศาสนา ...ผมต้องการบอกว่าประชาชนควรจะระวังไม่ทำร้ายความรู้สึกใครด้วยการเขียนอะไรก็ตาม ทำร้ายศาสนา ความเชื่อของใครก็ตาม หรือผู้นำศาสนาใดๆ ก็ตาม"

ทั้งนี้ในช่วงวันก่อนวันขึ้นปีใหม่ของชาวเบงกาลี นายกรัฐมนตรีชีค ฮาสินา ของบังกลาเทศกล่าวไว้ว่ามันเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้เลยที่จะมีการเขียนอะไรบางอย่างที่จะทำร้ายความรู้สึกทางศาสนาของอื่นๆ

เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวบุคคลที่ก่อเหตุได้เพียงบางคนเท่านั้นส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มอันซารูลาห์ บังกลา ที่ถูกห้ามจากทางการ เมื่อเดือน ธ.ค. 2558 เพิ่งมีการตัดสินคดีการสังหารบล็อกเกอร์ชื่อราจีบ ไฮเดอร์ ที่ถูกสังหารเมื่อปี 2556 เขาถูกฟันเสียชีวิตกลางถนนในช่วงที่มีการประท้วงเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตผู้ที่ก่ออาชญากรรมสงครามในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพจากปากีสถานในปี 2514

อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์สังหารผู้ไม่ฝักใฝ่ศาสนากรณีอื่นๆ อีก 6 กรณียังไม่มีการดำเนินคดีผู้ต้องหาแต่อย่างไรถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมตัวนักศึกษาผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารซิดดิคได้

การสังหารซิดดิคทำให้เกิดความไม่พอใจทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ มีกลุ่มด้านสิทธิต่างๆ รวมถึงสมาคมนักเขียนนานาชาติ (PEN International) เรียกร้องให้รัฐบาลบังกาเทศนำตัวผู้ก่อเหตุดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมและให้การคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นรวมถึงคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนไม่ว่าจะมีความเชื่อแบบใด

นอกจากนี้ยังมีการประท้วงจากกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยราชฮีเพื่อประณามการสังหารอาจารย์มหาวิทยาลัยของพวกเขา รวมถึงมีการเรียกร้องให้บอยคอตต์ชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยโดยสมาคมอาจารย์มหาวิทยาลัยราชฮีด้วย

อดีตนักศึกษารายหนึ่งที่เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนิตสารวรรณกรรมที่ซิดดิคทำอยู่ตั้งสมมติฐานถึงสาเหตุที่ซิดดิคตกเป็นเป้าโจมตี เขาระบุว่าซิดดิคเป็นคนที่เขียนบทกวี เรื่องสั้น วิจารณ์ภาพยนตร์ สิ่งที่เขาเขียนมีความหมายต่อสังคม เขาไม่มีบทความถกเถียงลงในหนังสือพิมพ์หรือมีข้อเขียนใดที่สร้างความเกลียดชังต่อศาสนาเลย แต่ซิดดิคก็เป็นคนที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับการกระทำผิดและเป็นบุคคลที่ใฝ่ทางศิลปวัฒนธรรมมาก ทั้งสองอย่างนี้ถูกมองว่าเป็น "ปัญหา" ในสังคมบังกลาเทศ

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เริ่มแล้วครับ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนนอร์เวย์



          มุลสีมในนอร์เวย์กำลังเรียกร้องให้แบ่งแยกรัฐ “พวกเราไม่ต้องการเป็นส่วนของสังคมชาวนอร์เวย์”

         นอร์เวย์กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 (มีมูลสีมมากกว่า 20 %) กลุ่มผู้ก่อการร้าย อันซาร์ อัล-ซุนนะ ขู่ว่า ถ้าเมืองหลวงออสโลไม่ยอมรับจากชาวนอร์เวย์ว่าเป็นเมืองมูลสีมและเป็นประเทศมูลสีม พวกเขาจะประกาศสงครามศาสนากับทุกคนที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นการประกาศของกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวอีลสาม
แรกเริ่มก็เรียกร้องให้เมืองหลวงเป็นเมืองแห่งอีลสาม ให้เป็นประเทศอีลสาม พอไม่ได้ตามที่ขอ ก็เรียกร้องขอแบ่งแยกประเทศ พฤติกรรมนี้คุ้นๆ นะครับ

---------------------------------------


         Muslims in Norway now demand a separate state, Greece will soon see similar!
Muslims of Norway are now demanding a separate Islamic state and threaten terrorist actions if their demands are not met. Norway has already completed phase 3 of Islamization. The following explains the three phases.



  • Phase 1: When muslims constitute 1-3% of the population. Their behavior in society is decent and non intrusive.
  • Phase 2: When Muslims constitute 4-20% of the population, political demands begin, such as building of mosques, minarets, bans on Christian ceremonies and events and celebrations Muslim holidays like Ramadan.
  • Phase 3: When muslims constitute over 20% of the population a holy war begins (jihad). Muslim areas of the city (ghettos) now become inaccessible to non-Muslims. Full implementation of ghetto Sharia laws begin, along with conducting terrorist attacks for secession and the creation of an Islamic state.
Norway, is already in phase 3. The terrorist organization Ansar al-Sunna threatens that if the capital Oslo is not recognized by the Norwegian State as a Muslim city and a Muslim nation they will declare a holy war, with all that this entails. The announcement of the Islamic terrorist organization states:

“We do not want to be part of the Norwegian society.
ที่มา : http://www.jewsnews.co.il/…/muslims-in-norway-now-demand-a…/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม