วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โจร จิ้ม โจร ของแท้มาแล้วครับ ​กลุ่มก่อการร้ายไอเอสหรือดาอิชปล่อยคลิปวิดีโอประกาศสงครามกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย



             กลุ่มก่อการร้ายไอเอสหรือดาอิชปล่อยคลิปวิดีโอประกาศสงครามกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งในคลิปวิดีโอมีผู้ชายที่รายล้อมไปด้วยเด็ก และมีวัยรุ่นที่ยืนถือปืนไรเฟิล AK-47 โดยผู้ชายในคลิปพูดด้วยภาษาบาฮาซามลายูปนกับภาษาอาหรับ ขอพรจากพระอัลเลาะห์ จากนั้นก็พูดพร้อมถือพาสปอร์ตมาเลเซียว่า จงรู้ไว้ว่า เขาไม่ใช่พลเมืองของมาเลเซียแล้ว เขาได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากมาเลเซีย และกลุ่มไอเอสจะยกทัพไปบุกมาเลเซียและอินโดนีเซียแบบที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้ โดยย้ำว่านี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า กลุ่มไอเอสจะโค่นล้มรัฐบาลที่ไม่ทำตามหลักของศาสนาอิสลาม หรือไม่ส่งเสริมให้ใช้ศาสนาอิสลามปกครองประเทศ


           นอกจากคลิปวิดีโอนี้ ยังมีอีกหลายคลิปที่พูดเป็นบาฮาซา เพื่อมุ่งเป้าสื่อสารกับผู้สนับสนุนกลุ่มไอเอสในมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยมีภาพเด็กๆเรียนศาสนา ตอบคำถามเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนา มีการกล่าวสรรเสริญพระเจ้า และฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้ รวมไปถึงฝึกการใช้ปืนอีกด้วย

           ก่อนหน้านี้ กลุ่มไอเอสก็เพิ่งประกาศให้สาวกพุ่งเป้าโจมตีไปที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากการสู้รบในอิรักและซีเรีย และเมื่อวานนี้ (4 ก.ค.) ทางการมาเลเซียเพิ่งออกมายืนยันว่า เหตุระเบิดไนท์คลับเป็นฝีมือไอเอส






การบิดเบือนความจริงโดยพวกฟาตอนีในโลกออนไลน์ !!!




            หลายวันมานี้มีเหตุการณ์มากมาย ทั้งยิงผู้บริสุทธิ์ ลอบวางระเบิดคาร์บอม จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย สิ่งหนึ่งที่แอดมินเห็นชัดเจนมาก ๆ คือ การบิดเบือนข้อมูล การเบี่ยงเบนประเด็น และการไม่ยอมรับว่าพวกตัวเองทำผิด ซึ่งหลายวันมานี้ชัดเจนมาก ๆ แทบทุกเหตุการณ์จะมีพวกฟาตอนีมาบิดเบือน อาทิเช่น


  • 1. เหตุการณ์ยิงผู้หญิง 2 คนที่ตากใบ ตอนแรกแอดมินนั้งอ่านคอมเม้นตามเพจต่าง ๆ พวกบิดเบือนมาทันที พวกมันโยนไปเรื่องอื่นทันที บอกว่าระวังนะเค้าเป็นลูกตำรวจ EOD อาจเป็นเรื่องอื่นอย่าให้เค้าเสียชีอเสียง พอแอดอ่านคอมเม้นต่อมีคนว่ามันทันที เรื่องส่วนตัวอะไร ยิงแล้ววางระเบิดด้วย สุดท้ายคอมเม้นนั้นรีบลอบออกทันทีเมื่อความจริงปรากฏ
  • 2. เหตุการณ์ต่อมาเหตุคาร์บอมอันนี้ชัดเจนมาก มีพวกบิดเบือนเยอะมาก อย่างแรกที่แอดมินเจอ คือ วาทะกรรมเดิม ๆ ของคนพวกนี้นั้น คือ " เหตุสงบงบไม่มา " แถมพูดว่าใกล้จะถึงปีงบประมาณใหม่ต้องรีบสร้างสถานะการณ์ คนพวกนี้พยามโย่งเป็นอย่างมาก ที่แอดมินเห็น คือ มันบอกว่าเจ้าหน้าที่ในด่านมันรู้กัน

          เพราะไม่มีใครตาย ซึ่งตรงนี้เรายังไม่ทราบว่ามีตำรวจเสียชีวิต แต่พอเห็นภาพความเสียหาย ร่วมทั้งมีตำรวจพลีชีพ ร่วมทั้งพฤติกรรมโจรฟาตอนีด้วย ทำให้เรารู้เลยว่าฝีมือโจรฟาตอนีทำแน่นอน 100 % เมื่อความจริงปรากฏคนกลุ่มนี้จะรีบลบคอมเม้นทิ้งทันที

         ความคิดแอดมินคนพวกนี้ถูกปลูกฝังให้เกียดชังคนพุทธ และเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างมาก และพวกมันพยามโพสย่ำ ๆ ไปให้คนเห็นและเชื่อตามกัน ซึ่งมีคนไม่น้อยทีเดียวทีเชื่อเนื่องด้วยไม่มีการคิดวิเคราะห์นั้นเอง

          เรื่องการปล่อยข่าวลือ และการบิดเบือนข้อเท็จจริง มันคู่กับสังคม 3 จชตบ้านเรา และแก้ยากหากรัฐไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา หน่วยงานไซเบอร์ที่ตั้งขึ้นก็มั่วแต่ไปเล่นกลุ่มการเมือง แต่ไม่จัดการพวกบิดเบือนใน 3 จชต

         ทางเราก็ไม่ทราบว่าจะปล่อยให้มันบิดเบือนทำไม กลับกลายเป็นพวกเรากันเองที่ต้องออกมาจัดการพวกบิดเบือนพวกนี้ในการเปิดเผยความจริง ถ้าท่านไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาก็จงออกไปทำอย่างอืนซะ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับคนเสียสละจริง ๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ผู้ใหญ่ และทุกคนในพื้นที่ฝาก ๆ ให้คิดกันครับ

‘โรงเรียนอิสลามบูรพา’..กับความเชื่อมโยงกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น




โดย : ‘ลมใต้ สายบุรี’

           เมื่อกล่าวถึง “โรงเรียนปอเนาะ” รวมไปถึง “โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คนในพื้นที่ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาจากสถาบันเหล่านั้นซึ่งมีอยู่มากมายหลายพันโรง แต่สำหรับคนทั่วไปแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐกลับมองว่า “โรงเรียนปอเนาะ” หรือ “โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน” เป็นแหล่งบ่มเพาะ ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธของกลุ่มขบวนการที่สู้รบปรบมืออยู่กับรัฐ

           อะไร? คือสาเหตุที่คนทั่วไปและเจ้าหน้าที่รัฐ มอง “โรงเรียนปอเนาะ” หรือ“ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน” เหล่านั้นในแง่ลบ ซึ่งจะต้องมีเหตุและผลถึงความเป็นมาจะต้องมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้มีความเชื่อแบบนั้น

        เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนของ “โรงเรียนปอเนาะ” เหมือนกับโรงเรียนประจำ กินอยู่หลับนอนอยู่ภายในโรงเรียน การควบคุมดูแลของสถาบันการศึกษาเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง อีกทั้งที่ผ่านมาการเข้าไปตรวจสอบดูแลกระทำได้ยากเพราะมีบุคคลบางกลุ่มพยายามกล่าวอ้างว่า “โรงเรียนปอเนาะ”เป็นสถานที่สอนศาสนา การเข้าไปทำการตรวจสอบเป็นการคุกคามและไม่ให้เกียรติสถานที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปสอดส่อง กลุ่มขบวนการได้ฉวยโอกาสใช้ “โรงเรียนปอเนาะ” บางแห่งใช้เป็นแหล่งบ่มเพาะ ซ่องสุมกำลังทำการก่อเหตุในพื้นที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา “โรงเรียนปอเนาะ” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการและได้มีการสั่งปิดกิจการและเพิกถอนใบอนุญาต ที่รู้จักกันดีคือ โรงเรียนญีฮาดวิทยา (ปอเนาะญีฮาด) และโรงเรียนอิสลามบูรพา“ปอเนาะสะปอม”

          “ปอเนาะญีฮาด” ถูกศาลแพ่งพิพากษายึดที่ดินเนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนให้ตกเป็นของแผ่นดินเมื่อที่ 15 ธันวาคม 2558 ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย

         ส่วน โรงเรียนอิสลามบูรพา“ปอเนาะสะปอม”มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการ เนื่องจากมีการใช้บริเวณโรงเรียนเป็นสถานที่ฝึกอาวุธและเป็นแหล่งหลบซ่อนของผู้ก่อเหตุร้ายหลังปฏิบัติการ จึงมีเหตุอันควรเพิกถอนใบอนุญาต มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2550 แต่คณะผู้บริหารโรงเรียนอิสลามบูรพา และผู้บริหารมูลนิธิอัดดีรอซาตอัลอิสลามียะห์ชุดใหม่ ยังมีความพยายามที่จะจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนมิฟตาฮุลอูลูมอนุสรณ์”

ย้อนรอย“โรงเรียนอิสลามบูรพา”

         “โรงเรียนอิสลามบูรพา” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “ปอเนาะกาปงบารู, ปอเนาะสะปอม หรือ ปอเนาะบูเกะตันหยง” ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านใหม่ หมู่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส ถูกสั่งปิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 ภายหลังฝ่ายความมั่นคงได้เข้า ตรวจค้นภายในโรงเรียนเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ปีเดียวกัน และสามารถจับกุมผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัยรวมทั้งสิ้น 7 คน พร้อมด้วยของกลางวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง และอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากจากบ้านร้างซึ่งตั้งอยู่ในเขตโรงเรียน หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้คือ นายมะนาเซ ยา แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีความเชี่ยวชาญด้านการต่อวงจรระเบิด และยังเป็นครูฝึกให้กับแนวร่วมรุ่นใหม่

“โรงเรียนอิสลามบูรพา”กับความเชื่อมโยงกลุ่มขบวนการ

          จากข้อมูลเชิงลึก “โรงเรียนอิสลามบูรพา” มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเครือข่ายกลุ่มขบวนการ B.R.N.Coordinate เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างโรงเรียนโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการ B.R.N. โดย เมื่อเดือนธันวาคม 2533 แกนนำกลุ่ม B.R.N.Coordinate ในพื้นที่ จชต.จำนวน 12 คน ได้เข้าร่วมประชุมกับกลุ่ม BKPP ที่“โรงเรียนอิสลามบูรพา”เนื่องจากได้รับการร้องขอ ให้ นายฮาซัน ตอยิบ แกนนำ B.R.N.Coordinate ที่หลบหนีอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ให้เข้าร่วมกับกลุ่ม BKPP ซึ่งผลการประชุมปรากฏว่ามีมติไม่เข้าร่วม


เหตุระเบิดนำไปสู่การเข้าตรวจสอบ“โรงเรียนอิสลามบูรพา”

           เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 เวลาประมาณ 00.30 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณสวนยางพาราของ นายสุข คงจันทร์ ริมถนนสาย บ้านสะปอม – บ้านจาเราะสะโตร์ หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ, ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุพบรอยเลือดที่คาดว่ากลุ่มคนร้ายได้รับบาดเจ็บ จากการลอบวางระเบิด โดยระเบิดของกลุ่มคนร้ายเอง และพบว่าต้นยางพารา ของ นายสุข คงจันทร์ ถูกตัดโค่นได้รับความเสียหาย ประมาณ 300-400 ต้น โดยคนร้ายได้ลอบวางระเบิดไว้ที่บริเวณทางเข้าแต่ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นก่อน

           จากเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ติดตามตรวจสอบขยายผลพิสูจน์ทราบ บริเวณพื้นที่โรงเรียนอิสลามบูรพา และจับกุมผู้ต้องหาคดีก่อเหตุความไม่สงบพร้อมอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมาก

         หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายอุเซ็ง ปุโรง เจ้าของ/ผู้จัดการโรงเรียนอิสลามบูรพา ไปให้ข้อมูลโดย นายอุเซ็งฯ ยอมรับว่า ตนเองมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายอูลามา(ผู้รู้ทางศาสนา)ในสภาองค์การนำ (DPP) ของ BRN และเป็นที่ปรึกษาฝ่ายอูลามา ของคณะกรรมการเขต (กัส) จ.นราธิวาส ตามโครงสร้างของ DPP

ผลการตรวจค้น“โรงเรียนอิสลามบูรพา”นำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาต

         หลังจากเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจค้น “โรงเรียนอิสลามบูรพา ”นายอุเซ็ง ปุโรง เจ้าของ/ผู้จัดการโรงเรียนอิสลามบูรพา ยอมรับมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการ ในเวลาต่อมาได้มีการประชุมด่วนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งที่ประชุมมีมติลงความเห็นว่าทาง “โรงเรียนอิสลามบูรพา” เป็นแหล่งที่มีการประชุมวางแผนการก่อการร้าย การปลูกฝังอุดมการณ์ที่เป็นภัยต่อประเทศชาติ หรือมีการใช้บริเวณโรงเรียนเป็นสถานที่ฝึกอาวุธและเป็นแหล่งหลบซ่อนของผู้ก่อเหตุร้ายหลังปฏิบัติการ จึงมีเหตุอันควรเพิกถอนใบอนุญาต มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2550

         ทั้งนี้ คณะผู้บริหารโรงเรียนอิสลามบูรพา และผู้บริหารมูลนิธิอัดดีรอซาตอัลอิสลามียะห์ ชุดใหม่ ยังมีความพยายามที่จะจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า“โรงเรียนมิฟตาฮุลอูลูมอนุสรณ์” และได้ยื่นหนังสือถึงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดนราธิวาส เขต 1 แต่ถูกผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส สั่งระงับ และให้ปิดการเรียนการสอนไว้ก่อน เพื่อขอเวลาพิจารณาในเรื่องคดีความมั่นคง โดยพยายามชี้แจงให้เห็นว่า “โรงเรียนอิสลามบูรพา” ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุร้าย ในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจากผลการปิดล้อมตรวจค้น และการตรวจสอบของชุดนิติวิทยาศาสตร์ ของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ด้วยเครื่องมือพิเศษ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 และ วันที่ 5 พฤษภาคม 2551 เนื่องจากได้รับเบาะแสจากประชาชนว่ามีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเข้าไปซุกซ่อนในโรงเรียน และมีการใช้สถานที่ป่ายางด้านหลังเป็นที่ฝึกซ้อมในการผลิตระเบิด ผลการตรวจสอบ พบสารปนเปื้อนในการประกอบวัตถุระเบิดในระดับเกี่ยวข้องและสัมผัส จากสิ่งของในห้องพักภายในโรงเรียนอิสลามบูรพา ซึ่งสารปนเปื้อนที่ตรวจพบครั้งนี้ เป็นสารใหม่ที่เพิ่งตรวจพบจากโรงเรียนอิสลามบูรพา จึงเชื่อว่า โรงเรียนแห่งนี้ยังมีผู้ก่อความไม่สงบเข้ามาเคลื่อนไหวอยู่

ความพยายามในการเปิด“โรงเรียนมิฟตาฮุลอูลูมอนุสรณ์”หลังถูกสั่งปิดไป 4 ปี


        เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2554 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาสเขต 1 ได้มีหนังสืออนุญาตให้เปิดการเรียนการสอน “โรงเรียนมิฟตาฮุลอูลูมอนุสรณ์” หรือ “โรงเรียนอิสลามบูรพา” โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550

       เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 โรงเรียนอิสลามบูรพาได้จัดงานพบปะผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และศิษย์เก่าโรงเรียนอิสลามบูรพา ก่อนจะถูกคำสั่งปิดไปตั้งแต่เมื่อปี 2550 โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนใต้ในขณะนั้นเดินทางมาเป็นประธานมอบใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนอิสลามบูรพาด้วยตนเอง

ศาลจังหวัดนราธิวาสตัดสินประหารชีวิตอุสตาสโรงเรียนอิสลามบูรพา พร้อมพวก 5 คน

        เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 ศาลจังหวัดนราธิวาส พิพากษาตัดสินประหารชีวิตอุสตาสโรงเรียนอิสลามบูรพา พร้อมพวก 5 คน ในข้อหาคดีความมั่นคง เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดที่อุกอาจ ร้ายแรง เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักด้วยการประหารชีวิต 
  • นายมะนาเซ ยา, 
  • นายแวอัสมิง แวมะ, 
  • นายโมหะหมัดซอฮีมี ยา, 
  •  นายมะฟารีส บือราเฮง, 
  • นายฮารงหรืออารง บาเกาะ 
  • ส่วนนายรุสลี ดอเลาะ ศาลสั่งให้จำคุก มีกำหนด 27 ปี และ
  • นายมามะคอรี สือแม ได้ทำการหลบหนีในระหว่างการปล่อยชั่วคราว (ประกันตัว)

         “โรงเรียนอิสลามบูรพา”
ยังไม่พ้นพงหนามเสียทีเดียว เพราะวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 ที่จะถึงนี้ ศาลแพ่งจะมีการพิจารณาในส่วนของคดีความ ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อ 28 สิงหาคม 2555 พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดทรัพย์ตามมติคณะกรรมการธุรกรรม ที่ให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน จำนวน 3 รายการ มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ในความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการก่อการร้าย โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จะมีผลคำสั่งเป็นเช่นไร? น่าติดตามอย่างยิ่ง..

———————–

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เมื่้อ โจร จิ้ม โจร มือระเบิดฆ่าตัวตายถล่ม 3 เมืองซาอุดิอาระเบีย มะดีนะฮ์-เจดดาห์-กาติฟ


เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย 3 เมืองในซาอุดิอาระเบีย ที่มะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญในศาสนาอิสลาม ที่เจดดาห์ ใกล้สถานกงสุลสหรัฐอเมริกา และมัสยิดของชนกลุ่มน้อยชาวชีอะฮ์ในเมืองกาตีฟ
4 ก.ค. 2559 มีรายงานระเบิดฆ่าตัวตายที่เมืองมะดีนะฮ์ เมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของศาสนาอิสลาม รองจากเมืองเมกกะ
ในรายงานของบีบีซี ระบุด้วยว่าในโซเชียลมีเดีย มีผู้เผยแพร่ภาพวิดีโอเป็นภาพยานพาหนะลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงในสถานที่คล้ายกับเป็นลานจอดรถ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอน 2 รายอยู่ใกล้พาหนะคันดังกล่าว
โดยก่อนหน้านี้เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายใกล้มัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองกาติฟ ทางตะวันออกของประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นเมืองที่ชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์อาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ในรายงานของอัลจาซีราระบุว่ายังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
นอกจากนี้ในช่วงเช้าวันจันทร์ ที่เมืองเจดดาห์ มีมือระเบิดกดระเบิดเข็มขัดฆ่าตัวตาย หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซาอุดิอาระเบียเข้าไปใกล้เขา โดยเกิดเหตุใกล้กับสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา
สำหรับเมืองมะดีนะฮ์มีความสำคัญทางศาสนาอิสลามรองจากเมกกะ โดยเมืองมะดีนะฮ์เป็นสถานที่ฝังร่างของศาสดามูฮัมหมัด ที่มัสยิดนะบะวีย์ ทั้งนี้มุสลิมยังถือเอาปีที่ศาสดามูฮัมหมัดอพยพจากเมืองเมกกะ มายังเมืองมะดีนะฮ์เป็นจุดเริ่มของศักราชอิสลาม หรือฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) ตรงกับ ค.ศ. 622
อนึ่งเมื่อเที่ยงคืนเข้าสู่วันที่ 3 ก.ค. เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่เขตคาราดา กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ซึ่งเป็นเขตที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์จำนวนมาก และมีชาวคริสเตียนด้วย โดยเหตุเกิดในช่วงที่คนออกมาจับจ่ายเนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลถือศีลอด ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 213 ราย บาดเจ็บ 225 ราย ทั้งนี้กลุ่ม ISIS ได้ออกแถลงการณ์อ้างเป็นผู้ก่อเหตุ และระบุว่าการโจมตีพุ่งเป้าไปที่มุสลิมนิกายชีอะฮ์

ที่ไหนมีไอ้พวกนี้ ที่นั้นก็จะเกิดเหตุการแบบนี้



บ้านเราก็คาร์บอม อินโดก็ จกย.บอร์ม !!!


           คนร้ายขับขี่จักรยานยนต์เข้าไปกดระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณหน้าสถานีตำรวจในเมืองสุราการ์ตา (โซโล) บนเกาะชวาของอินโดนีเซียเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (5 ก.ค.) เป็นเหตุให้ตำรวจบาดเจ็บ 1 นาย

          ทางการอินโดฯได้ระดมกำลังตำรวจกว่าร้อยนายคุ้มกันสำนักงานตำรวจบนถนน อาดิ สุจิปโต (Jl. Adi Sucipto) ในเมืองสุราการ์ตา หลังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณถนนทางเข้าสถานีตำรวจ ก่อนถึงเทศกาลตรุษอีดิลฟิฏรีเพียง 1 วัน


        บอย รัฟลี อามาร์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ระบุว่า คนร้ายพยายามนำรถจักรยานยนต์ บุกเข้าไปยังถนนหน้าสถานีตำรวจ เมื่อเวลาประมาณ 07.35 น. (ตรงกับเวลาในไทย)
“เขาอ้างว่าจะเข้าไปที่โรงอาหาร และพยายามนำรถฝ่าเข้าไปให้ได้ จากนั้นก็กดระเบิดฆ่าตัวตาย” โฆษกตำรวจให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ เมโทร ทีวี “เท่าที่ทราบคือคนร้ายเสียชีวิต”  จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บด้วย


        ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ซึ่งเป็นชาวเมืองสุราการ์ตา เรียกร้องให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง “ขอให้ประชาชนทุกคนอย่าตื่นตระหนก... ขอให้ตั้งใจถือศีลอดต่อไปอย่างเต็มที่ และอย่าได้หวาดกลัวการก่อเหตุร้าย”  “ผมสั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจเร่งสืบหาเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดฆ่าตัวตายครั้งนี้แล้ว”

         เมื่อเดือน ม.ค.เพิ่งจะเกิดเหตุยิงปะทะและระเบิดฆ่าตัวตายบนถนนใจกลางกรุงจาการ์ตา โดยคนร้าย 4 คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และยังมีพลเรือนถูกสังหารไปด้วย 4 คน บาดเจ็บอีกนับสิบ ถือเป็นเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในแดนอิเหนาในรอบ 7 ปี โดยอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เคยเผชิญเหตุระเบิดโจมตีโดยมุสลิมหัวรุนแรงหลายระลอกระหว่างปี 2000-2009 โดยเฉพาะเหตุระเบิดไนต์คลับบนเกาะบาหลีเมื่อปี 2002 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 202 ศพ

         ปฏิบัติการกวาดล้างอย่างจริงจังของตำรวจอินโดนีเซียทำให้เครือข่ายนักรบหัวรุนแรงอ่อนกำลังลงไปมาก ทว่าการปรากฏตัวของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในตะวันออกกลางซึ่งเรียกร้องเชิญชวนมุสลิมเข้าไปเป็นแนวร่วม กำลังกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ที่ทางการอิเหนาต้องรับมือ

        ปัจจุบันคาดว่ามีชาวมุสลิมอินโดนีเซียหลายร้อยคนเดินทางไปเป็น “นักรบญิฮัด” ในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเกรงว่ากลุ่มคนที่ได้รับการปลูกฝังแนวคิดสุดโต่งเหล่านี้จะหวนกลับมาฟื้นฟูเครือข่ายก่อการร้ายในแดนอิเหนา และนั่นอาจหมายถึงเหตุวินาศกรรมครั้งใหญ่ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

พบอาวุธ โจรฟาตอนี้ ใช้ก่อเหตุ ซุกซ่อนในมัสยิด



           ปัตตานี - กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงเหตุรุนแรงในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เผยกระทบต่อพื้นที่ และประชาชนเป็นอย่างมาก พร้อมประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ไปหลบซ่อนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์



          วันนี้ (5 ก.ค.) พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดเผยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นหลายครั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งผลความเสียหายต่อภาพรวมของพื้นที่ และประชาชนส่วนใหญ่ พอสรุปได้ดังนี้

  • 1.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.59 เวลา 14.30 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดรางรถไฟ เส้นทางระหว่างสถานีบาลอ-รือเสาะ แรงระเบิดทำให้รางรถไฟได้รับความเสียหาย ยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และใช้เส้นทางในการสัญจรเพื่อเตรียมต้อนรับวันฮารีรายอ ต้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

  • 2.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.59 เวลา 19.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางระเบิดหน้ามัสยิดกลางปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสถานีตำรวจภูธรปัตตานี ซึ่งขณะเกิดเหตุกำลังปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องมุสลิมที่เดินทางมาประกอบศาสนกิจที่มัสยิดกลางปัตตานี ซึ่งในแต่ละคืนมีจำนวนมากกว่า 2,000 คน

           สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นับเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่พี่น้องมุสลิมในพื้นที่รับไม่ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้รวมตัวกันละหมาดฮายัต และออกมารณรงค์ต่อต้านการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ พร้อมกันนี้ ผู้นำศาสนาในพื้นที่ จ.ปัตตานี นำโดยอิหม่ามประจำมัสยิดปัตตานี ได้เข้าให้กำลังใจพร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว จ.ส.ต.อนุรักษ์ รักบุตร จำนวน 1,110,000 บาท ที่ได้จากการบริจาคของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ นอกจากนี้ นายอาซีส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ในนามตัวแทนพี่น้องมุสลิมทั้งประเทศได้บริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัว 50,000 บาท และกลุ่มองค์กรมุสลิมต่างๆ ได้ร่วมกันบริจาคเงินอีก 38,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัวในเบื้องต้น

           สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรดังกล่าว เกิดจากการร้องขอของอิหม่ามประจำมัสยิดปัตตานี ที่ได้ทำหนังสือไปยังสถานีตำรวจภูธรปัตตานี เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาคอยอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางมาประกอบศาสนกิจในยามค่ำคืน ซึ่งมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมาลอบวางระเบิดจนเสียชีวิตดังกล่าว

  • 3.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ก.ค.59 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกลงบนถนนใกล้หน้ามัสยิด อ.บันนังสตา ทำให้ราษฎรเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ในขณะที่พี่น้องชาวไทยมุสลิมกำลังปฏิบัติศาสนกิจช่วงละศีลอด สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คาดว่ามีการยิงมาจากพื้นที่ห่างจากด้านหลังมัสยิดกลาง และน่าจะประสงค์ยิงสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา แต่กระสุนกระทบสายไฟ หรือกิ่งไม้ก่อนจึงตกลงบริเวณถนนด้านหน้ามัสยิด ทำให้ราษฎรที่เดินทางมาละหมาดที่มัสยิดได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต

         นอกจากนี้ ยังมีผลการปฏิบัติงานเชิงรุกในการเข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัยจนนำไปสู่การตรวจพบอาวุธยุทโธปกรณ์อีกหลายรายการ ซึ่งมีผลการปฏิบัติงานสำคัญ ดังนี้

  • 1.เมื่อวันที่ 2 ก.ค.59 เวลา 09.30 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมปัตตานี สนธิกำลัง ฉก.นราธิวาส 30 และกำลังร่วม 3 ฝ่าย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง โดยเข้าทาการปิดล้อมบริเวณบ้านอูยิ หมู่ที่ 4 ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะทำการปิดล้อมตรวจค้นได้ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ผลการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จำนวน 2 นาย ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต จำนวน 2 ราย นอกจากนี้ ยังตรวจพบอาวุธยุทโธปกรณ์หลายรายการ ดังนี้
    • 1.1 อาวุธปืน M16 (ตัดสั้น) หมายเลขปืน 95473106 พร้อมซองกระสุน จากการตรวจสอบเป็นอาวุธปืนของ ร้อย ร.15121 ถูกแย่งชิงเมื่อ 19 ม.ค.54 จำนวน 1 กระบอก
    • 1.2 อาวุธปืน AK - 47 พร้อมซองกระสุน (อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มา) จำนวน 1 กระบอก
    • 1.3 อาวุธปืนพก ยี่ห้อนอริงโก้ ขนาด 9 มม. (อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มา) จำนวน 1 กระบอก

  • 2.เมื่อวันที่ 5 ก.ค.59 เวลา 01.30 น. ฉก.ทพ.45 ได้สนธิกำลังร่วมกับหน่วยปฏิบัติการร่วมพิเศษจังหวัดนราธิวาส ฉก.ทพ.46 และกำลังร่วม 3 ฝ่าย ได้เข้าพิสูจน์ทราบที่ซุกซ่อนอาวุธปืน ในพื้นที่บริเวณมัสยิดบ้านบาโงแยะ ม.2 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ผลการปฏิบัติที่สำคัญมีดังนี้
    • 2.1 อาวุธปืน M 16 A 1 จำนวน 1 กระบอก จากการตรวจสอบพบว่า เป็นอาวุธที่เคยใช้ก่อเหตุระเบิด และยิงซ้ำเจ้าหน้าที่ชุดครูฝึกเยาวชน โครงการใต้สันติสุขเสียชีวิต 7 นาย และคนร้ายได้ชิงอาวุธไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ค.50 ในพื้นที่ ม.4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
    • 2.2 ซองกระสุนขนาด 30 นัด
    • 2.3 กระสุนปืนขนาด 5.56 มม.
    • 2.4 เสื้อลายพรางทหาร 

          โดยในระหว่างการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้เชิญอิหม่ามประจำมัสยิดมาเป็นพยานในการพิสูจน์ทราบครั้งนี้ เนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตรวจพบได้มีการนำไปซุกซ่อนไว้ในมัสยิดดังกล่าว จึงขอประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ไปหลบซ่อนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พี่น้องมุสลิมใช้ในการประกอบศาสนกิจ โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนสูญเสียที่พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่จะได้รับ ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้นำศาสนาในมัสยิดดังกล่าวไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เป็นการลักลอบนำมาซุกซ่อนเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่

หน้าตัวเมีย หน้าหนา หน้าด้าน คือสันดานโจรฟาตอนี



สูตรสำเร็จโจรใต้ฟาตอนี..ยิงปืนใส่ประชาชนแล้วกล่าวหารัฐกระทำ โปรยใบปลิวสร้างความชอบธรรมเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพื่อทำการล้างแค้น..

         กรณีเหตุการณ์ เมื่อ 5 ก.ค.59 เวลา 07.23 น. สภ.มูโนะ รับแจ้งเหตุ พบศพผู้หญิงนอนเสียชีวิตอยู่บริเวณไหล่ทาง หน้าโรงเรียนบ้านปูโป๊ะ เจ้าหน้าที่ปิดกั้น เพื่อให้ EOD เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่


         ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นางแววตา ชาญแท้ อายุ 35 ปี หมายเลขประชาชน 3-4305-01161-60-1 อยู่บ้านเลขที่ 155/4 หมู่ที่ 3 ต.พร่อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ได้พบใบปลิวข้อความว่า “นี่คือการล้างแค้นสำหรับชาวบ้านบันนังสตา ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิง M79 เข้าในมัสยิด”

        เหตุการณ์ที่กลุ่มคนร้ายยิง M79 เมื่อคืนที่ผ่านมา (4 ก.ค.59) เวลาประมาณ 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืน M79 ยิงใส่บริเวณหน้ามัสยิดกลางบันนังสตา ม.2 ต./อ.บันนังสตา จ.ยะลา จำนวน 2 ลูก

          จากการตรวจที่เกิดเหตุพบกระสุนตกลูกแรก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ส่วนลูกที่สอง ตกบริเวณหลังคาห้องนอนบ้านเลขที่ 1 ม.2 ต./อ.บันนังสตา จ.ยะลา ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด รายชื่อผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ นายอับดุลเราะแม โต๊ะตาหยง อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 376 ม.11 ต/ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ถูกสะเก็ดบริเวณศีรษะ เสียชีวิตในเวลาต่อมา, ด.ช.ไฟซอล สาคอ อายุ 11 ปี อยู่บ้านเลขที่ 123/2 ม.3 ต./อ.ธารโต จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บ รู้สึกตัวดี และ นายซอลาฮุดดีน สาคอ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 142/2 ม.8 ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บ

         ความสุดโต่งในรูปแบบเดิมๆ ของกลุ่มโจรฟาตอนี 
  1. จัดฉากด้วยการยิง M79 ใส่หน้ามัสยิดกลางบันนังสตา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และเด็กและเยาวชนอายุ 11 ปี และ 19 ปี ได้รับบาดเจ็บ 
  2. ในตอนรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง กลุ่มโจรใต้ทำการก่อเหตุด้วยการยิงผู้หญิงที่ไม่มีทางต่อสู้ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ 
  3. แล้วทำการโปรยใบปลิวกล่าวอ้าง “นี่คือการล้างแค้นสำหรับชาวบ้านบันนังสตา ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิง M79 เข้าในมัสยิด”

          หากเราติดตามข่าวสารใน จชต. จะพบเห็นการปฏิบัติการของกลุ่มโจรใต้เช่นนี้บ่อยๆ ซึ่งจะเป็นรูปแบบเดิมๆ ที่คนในพื้นที่ต่างทราบดีว่าเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการทั้งสิ้นที่หาวิธีคิดขึ้นมาเพื่อทำการฆ่าคนแล้วอ้างเหตุผลแบบสุดโต่ง


คณะมนตรีแห่งอุดมการณ์อิสลาม เสนอกฎหมายอนุญาตให้สามีทำร้ายร่างกายภรรยาได้



        สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม โมฮัมหมัด ข่าน ชีรานี ผู้นำคณะมนตรีแห่งอุดมการณ์อิสลามในปากีสถานยื่นเสนอกฎหมายที่อนุญาตให้สามีสามารถ”ทำร้ายร่างกาย”เหล่าภรรยาของพวกเขาได้เล็กน้อยเพื่อเป็นการสร้างระเบียบวินัย

        คณะมนตรีแห่งอุดมการณ์อิสลามเป็นหน่วยงานเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจสูง และช่วยให้คำปรึกษาแก่ฝ่ายนิติบัญญัติปากีสถานว่ากฎหมายใดสอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม

         ภายในเอกสารความยาว 75 หน้า นายชีรานีชี้แนะว่า การทำร้ายร่างกายเล็กน้อยถือเป็นเรื่องที่ยินยอมได้และควรมีเพื่อลงโทษผู้หญิง อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอห้ามการใช้การทำร้ายร่างกายแบบรุนแรง ระบุว่าแค่เพียงไม้เรียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการปลูกฝังความกลัว

        หนังสือพิมพ์เอกเพรส-ทริบูนของปากีสถานรายงานถึงเนื้อหาของข้อเสนอระบุ “สามีควรที่จะได้รับอนุญาตให้ตีภรรยาของเขาได้ หากเธอขัดขืนต่อคำสั่ง ปฏิเสธที่จะแต่งตัวตามที่สามีปรารถนา ปฏิเสธคำร้องขอการร่วมเพศโดยปราศจากข้อกล่าวอ้างทางศาสนา หรือไม่อาบน้ำหลังการร่วมเพศหรือเป็นประจำเดือน”

         กฎหมายฉบับนี้ยังอนุญาตให้ทำร้ายร่างกายภรรยาได้ ในกรณีที่ผู้หญิงไม่สวมฮิญาบ มีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า พูดเสียงดัง หรือให้เงินผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสามี

       นอกจากนี้ กฎหมายยังชี้ให้สั่งห้ามกิจการหลายประเภท อาทิ ผู้หญิงไม่ควรได้รับอนุญาตให้ต้อนรับเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติหรือผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ห้ามผู้หญิงไม่ให้เข้าร่วมรบในสงคราม รวมถึงห้ามไม่ให้ผู้หญิงใช้ยาคุมกำเนิดโดยปราศจากการขออนุญาตจากสามี แต่กฎหมายฉบับนี้อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าร่วมในการเมืองและสามารถเป็นผู้พิพากษาได้

       กฎหมายที่ถูกยื่นเสนอถูกมองในฐานะการตอบโต้กฎหมายที่ถูกปัดตกอย่างกฎหมายคุ้มครองผู้หญิงปัญจาบที่ครอบคลุมการคุ้มครองมิให้ถูกทำร้ายร่างกาย คณะมนตรีแห่งอุดมการณ์อิสลามชี้ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวไม่มีความเป็นอิสลาม ก่อนที่จะเขียนกฎหมายของตนเองขึ้นซึ่งรวมถึงข้อเสนออนุญาตให้ทำร้ายร่างกายผู้หญิงได้เล็กน้อย

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โจรจิ้มโจร ไอสิส ระเบิดมาเลเซีย แล้ว ยืนยันจากทางการมาเลเซีย



โจรจิ้มโจร ไอสิส ระเบิดมาเลเซีย แล้ว ยืนยันจากทางการมาเลเซีย


           ทางมาเลเซียยืนยันแล้วว่า เหตุปาบึ้มบาร์ในศูนย์การค้าสัปดาห์ก่อน เป็นการโจมตีสำเร็จครั้งแรกของไอเอสบนแผ่นดินมาเลเซีย


           4 ก.ค.59 ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย แถลงวันนี้ว่า เหตุปาระเบิดที่บาร์โมวีดา" ในย่านศูนย์การค้าปูชอง กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อคืนวันอังคารที่แล้ว ที่ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 คน เป็นฝีมือของคนในมาเลเซียที่ได้รับคำสั่งโดยตรงจาก นายมูฮะหมัด วานดี้ โมฮะหมัด เจดี สมาชิกไอเอสจากประเทศซีเรีย


           ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัย 15 คน จำนวนนี้เป็นชาย 2 คนที่เป็นผู้ต้องสงสัยปาระเบิดมือ  "เราตรวจสอบพบว่า ชายสองคนนี้ได้รับคำสั่งจากชาวมาเลเซียคนหนึ่งในซีเรีย คือ โมฮะหมัด วานดี้ โมฮะหมัด เจดี ผู้สั่งให้พวกเขาโจมตีผู้นำระดับสูงของรัฐบาล นายตำรวจ ผู้พิพากษา เพราะว่าคนกลุ่มสามกลุ่มนี้ขัดขวางกิจกรรมของพวกเขา"

หนังสือพิมพ์ เดอะ สตาร์ของมาเลเซีย รายงานเพิ่มเติมว่า มือปาระเบิดสองคนเป็นตำรวจ
          ด้านนิวสเตรทสไทมส์ รายงานว่า ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในเหตุโจมตีครั้งนี้ ถูกจับกุมตัวได้ที่ท่าเรือคลาง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม โดยหลายคนเคยทำงานอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งที่ท่าเรือ ตำรวจเชื่อว่าระเบิดมือขนาดเล็กที่นำมาใช้ก่อเหตุครั้งนี้ ถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน

          จากการตรวจค้น ตำรวจยังได้ยึดอาวุธมีคมหลายรายการ หมวกคลุมหน้า ตลอดจนธงไอเอส และสื่อสั่งสอนอุดมการณ์ของกลุ่มสุดโต่ง

          เหตุปาระเบิดเกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันที่ 28 มิถุนายน ขณะลูกค้าที่บาร์โมวีดา กำลังชมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 แต่ในตอนแรก ตำรวจตัดประเด็นก่อการร้ายออกไป และคาดว่ามูลเหตุจูงใจน่าจะมาจากคู่แข่งทางธุรกิจ หรือเป็นการโจมตีที่มุ่งหมายใครบางคนในบาร์ แต่เริ่มมีความสงสัยมูลเหตุจูงใจอื่นหลังจากมีเฟซบุ๊คเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสอ้างอยู่เบื้องหลัง เฟซบุ๊คที่ว่าเป็นของ นายโมฮะหมัด วานดี้ ที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในชาวมาเลเซียที่อาสาไปรบกับไอเอส และอ้างว่าการโจมตีไนท์คลับเป็นฝีมือของสาวกไอเอสสองคนในมาเลเซีย

         นี่เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการของมาเลเซียเป็นครั้งแรกว่า ไอสิสเริ่มก่อการในมาเลเซียแล้ว ฉะนั้น อย่าเชื่อมากเวลาที่ได้ยินทางการบอกว่า ยังไม่เข้าไทย


          ผมต้องยอมรับตามตรงว่าผมตั้งกระทู้นี้ด้วยความสงสารแม่ของผู้ตาย, ที่วิงวอนขอชีวิตลูกโดยตรง จาก นายอบูบัค และอ้างฮาดีษถึงความเมตตากรุณาปราณีของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ดูภาพแล้วน่าสงสารมาก ผมใช้เวลาพิมพ์กระทู้ประมาณ 5 นาฑี และ แท๊กไปมันทุก ๆ แห่ง กรุณาอย่าแสดงความพอใจ หรือ คอมเม้นต์ อะไรเกี่ยวกับอิสลามเลยครับ ตำหนิสังคมมุสลิมที่ไม่ยอมรับผิดชอบในเรื่องนี้ ทั้งโลกมุสลิม ถ้าไม่ยับยั้งก็เหมือนเป็นการสนับสนุน

          การประณามออกแถลงการของ นายดร.ยูซุฟ อัมเกาะเราะฎอวีย์,ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ทั้งนี้เพราะเป็นการ ออกตัวเท่านั้น

        ดร.ยูซุฟ อัมเกาะเราะฎอวีย์ คือผู้ที่ ฟัตวาว่า "สตรีมุสลิมควรที่จะหิ้วระเบิดพลีชีพ เพื่อช่วยปาเลสไตน์ได้ โดยแปลงปลอมเป็น กาเฟร และไม่ต้องมีการ ขออนุญาติ สามีและ ครอบครัว ก็เป็นที่อนุมัติ ของอิสลาม และจะได้เป็น วีรสตรี โดยรับรองว่าการฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ถือว่าได้บุญและเป็นการจิฮาดเพื่อพระเจ้า/อัลลอฮ์ 

         การฟัตวา และแถลงการ ที่ออกมาเป็นการกระทำของมุสลิมที่ปากกับใจไม่ตรงกันในเรื่อง การฆ่าชีวิตคนบริสุทธิ์ ซึ่งขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม แถลงการร์นั้นเป็นการหลอกลวงชาวโลกในนามของอิสลาม


        นี่เป็นเพียงตัวอย่าง คลิปเดียวที่ ฟัตวาขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม ของ ท่านผู้รู้ทางศาสนาผู้นี้ ที่ มุสลิมไทยยกย่องว่าเป็นมุสลิมผู้นำของโลก

ดร.ยูซุฟ อัมเกาะเราะฎอวีย์ ประธานสมาพันธ์อุละลามาอฺมุสลิมีนโลก

สังคมฟายตอนี เป็นเช่นนี้



“ผิดประเวณี”ในมุมมองของสื่อวาร์ตานี “นั่งพูดคุยผิดประเวณี-ฉุดหญิงต่อหน้าแฟนหนุ่มพาไปรุมโทรมไม่เคยออกข่าวว่าผิดประเวณี”

          จากกรณี อส.ทพ.ฉก.ทพ.33 จำนวน 2 นาย นัดเจอพูดคุยกับหญิงสาวมุสลิม 2 คน ในโรงเรียนตาดีกา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา และมีคนไปพบเห็นเป็นการกระทำไม่เหมาะสม

         เมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ชาวบ้านได้รวมตัวกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทหารพรานได้กระทำผิดประเวณีกับหญิงสาวในหมู่บ้าน และเรียกร้องให้ ร้อยทหารพราน ที่ตั้งฐานอยู่ในบ้านบ่อทอง ย้ายฐานออกจากหมู่บ้าน และได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ 2 นายที่กระทำผิดออกมาขอโทษต่อหน้าประชาชน
ในเวลาต่อมามีการปล่อยข่าวแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และบางองค์กรได้นำไปบิดเบือนเพื่อสร้างความเกลียดชังขึ้นในสื่อสังคมออนไลน์


        ที่น่าสังเกตคือ แค่นัดเจอพูดคุย หญิง 2 ชาย 2 ไม่ได้อยู่แค่หญิง 1 ชาย 1 สองต่อสอง ส่วนในความถูกต้องก็ต้องยอมรับว่าเป็นการไม่เหมาะสมในยามค่ำคืนที่พบปะกัน แต่การใช้คำว่า “ผิดประเวณี”มันถูกต้องแล้วหรือ? 
  • หรือ เพราะเป็นคนต่างศาสนาคบหากันแล้วผิด 
  • หรือเพราะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีคนบางกลุ่มนำไปขยายผลสร้างความเสื่อมเสียดิสเครดิต

         แต่ในทางกลับกันความเน่าเฟะของสังคมที่น่าขยะแขยงของพวกเดียวกัน สื่อแนวร่วม กลุ่มองค์กรโคตรเหี้ยเหล่านี้ไม่เคยกล่าวถึง..เด็กเยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อวัยอันควร นั่งกอดรัดฟัดเหวี่ยงในที่สาธารณะ รึไม่จริง ว่างๆ ลองไปเดินเล่นสวนสาธารณะได้เลยว่าจริงมั๊ย

         และความน่าสมเพศที่เกิดขึ้นที่สื่อแนวร่วมขบวนการโจรใต้ไม่เคยกล่าวถึง อย่างเช่น ข่าวกลุ่มวัยรุ่นซึ่งอายุอานามอยู่ในราวๆ 15 ปี เป็นเยาวชนมุสลิม ได้ฉุดกระชากสาว อายุ 25 ปี ลูกจ้างร้านขายของในเขตเทศบาลนครยะลา ฉุดกระฉาก ต่อหน้าแฟนหนุ่ม ก่อนจะนำตัวไปรุมข่มขืน ที่ฝายแก้มลิงกักเก็บน้ำ ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อเวลา 02.00 น.ของคืนวันที่ 26 พ.ค.59 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ที่ร่วมเหตุการณ์ไม่ต่ำกว่า 11 คน ในที่สุดถูกรวบตัวจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพไว้ได้





         นั่นคือความป่าเถื่อนของพวกเดียวกันเองที่ไม่มีการกล่าวถึง นั่นคือยิ่งกว่าผิดประเวณีที่พวกสื่อเหล่านี้ได้ตั้งวาทกรรมขึ้นมา เป็นยิ่งกว่าสัตว์ป่าที่สิงอยู่ในร่างคน แต่ไปว่าเด็กและเยาวชนเหล่านี้มากไปก็ไม่ได้เพราะเกิดจากการอบรมสั่งสอนของผู้ใหญ่มากกว่า

        ที่กล่าวมาเพื่อให้เห็นว่าทั้งสองเหตุการณ์ เหตุไหนที่น่าประณาม และให้ความสำคัญมากกว่ากัน ก่อนจะดาหน้าออกมาด่าว่าคนอื่นหันกลับไปสะสางชำระล้างพรรคพวกตัวเองให้สะอาดก่อนดีมั๊ย.
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม