วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กลุ่มขบวนการบิดเบือนประวัติศาสตร์ปัตตานีปลุกกระแสญีฮาดให้เป็นดินแดนฮัรบี






โดย ‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’

        การปลุกกระแส ชี้นำ บิดเบือนในเรื่องประวัติศาสตร์ปัตตานี หากเราคือผู้หนึ่งที่ท่องโลกอินเตอร์เน็ตคงผ่านตาเห็นเนื้อหา บทความต่างๆ ที่มีลักษณะกล่าวหาว่าดินแดนปัตตานีถูกรุกรานจากการการล่าอาณานิคม ถูกข่มเหงรังแกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ในการประกอบศาสนกิจ ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศไทย อีกทั้งพยายามชี้เชื่อมโยงให้เห็นว่าพื้นที่ปัตตานีเป็นดินแดน “ดารุลฮัรบี”

        การปลุกระดมที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อทางเลือกในเรื่อง “ดารุลฮัรบี” เป็นแค่ช่องทางหนึ่งที่สร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายหาสมาชิกแนวร่วมของกลุ่มขบวนการ ซึ่งเราสามารถรับรู้พฤติกรรมบางส่วนของผู้ที่แอบแฝงอยู่ในโลกเสมือนจริง

         การเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์หรือสื่อทางเลือก กลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้นการสร้างกระแสของกลุ่ม ผกร.อยู่ในวงจำกัดการรับรู้ยังไม่ครอบคลุมไปยังกลุ่มอื่นๆ

      สิ่งที่เป็นประเด็นและเป็นปัญหาต่อความมั่นคง คงจะเป็นการบรรยายธรรมของบาบอในการละหมาดอีซา ตามมัสยิดหรือสถานที่ต่างๆ ที่มีการรับเชิญไปบรรยาย ซึ่งผู้บรรยายธรรมเหล่านี้จะเป็นการจัดตั้งของกลุ่ม ผกร. เป็นฝ่ายอูลามาระดับสูงตั้งแต่ระดับคอมมิสขึ้นไป ลักษณะการบรรยายธรรม มีการกระตุ้น ปลุกระดมให้ผู้รับฟังทำการกอบกู้ปัตตานีคืนมาจากผู้รุกราน (ประเทศไทย)



        รูปแบบวิธีการในการปลุกระดมที่ยังคงใช้ได้ผลคือการชี้นำว่าดินแดนปัตตานีเป็นพื้นที่ถูกยึดครองจากการล่าอาณานิคมของสยาม ชาวมลายูปัตตานีต้องอยู่ภายใต้ มีการกดขี่ทางด้านศาสนา ซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีในอดีต ว่าถูกรัฐสยามรุกราน และไม่มีความยุติธรรม ประเด็นในเรื่องความยุติธรรม เป็นเรื่องที่กลุ่มขบวนการ สามารถหยิบไปใช้ในการสร้างความชอบธรรมได้มาก ที่ผ่านมากลุ่มขบวนการได้นำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปลุกระดม และเชื่อมโยงว่า เจ้าหน้าที่รัฐ กดขี่ข่มเหงรังแกคนมุสลิม เช่น ตัวอย่างกรณีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ, เหตุการณ์การชุมนุมประท้วงที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเหตุการณ์ล่าสุดคือกรณีศาลสั่งยึดที่ดินโรงเรียนปอเนาะญิฮาด ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินวากัฟ ทำให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ไม่มีสถานที่ศึกษาด้านศาสนา มีการปลุกระดมให้พี่น้องมุสลิมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม กีดกันในเรื่องศาสนา นำไปสู่การโฆษณา ชวนเชื่อชี้นำในสื่อสังคมออนไลน์ และการจัดเวทีในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งการบรรยายธรรมของฝ่ายอูลามา เนื้อหาจะเป็นในเรื่อง “ดารุลฮารบี”และการญีฮาดเป็นหลัก


      ดินแดนปัตตานีจะเป็น “ดารุลฮารบี” หรือไม่เป็น “ดารุลฮารบี” ผู้รู้ทางด้านศาสนาและนักวิชาการหลายๆ ท่าน ได้แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยอธิบายว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดสภาวะที่เป็นดารุลฮัรบีมี 2 ส่วน ด้วยกัน กล่าวคือ

  • ประการแรก พี่น้องมุสลิมไม่สามารถปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามได้อย่างครบถ้วน
  • ประการที่สอง พี่น้องมุสลิมถูกกดขี่ข่มเหง
        ไม่ว่าในประเด็นใดก็แล้วแต่ ซึ่งเขาก็มีความชอบธรรมที่จะต่อสู้ ถ้าหากว่าเขามีกำลัง แต่ถ้าหากว่าไม่มีกำลัง พวกเขาก็มีสิทธิที่จะอพยพไปอยู่ในดินแดนอื่น ที่ให้ความเป็นธรรมต่อพวกเขา หากผู้นำปกครองด้วยความไม่เป็นธรรม ใช้มาตรฐานที่ต่างกันในการปกครองพลเมืองมีนโยบายบางอย่างที่เห็นได้ว่าเป็นการทำลายอัตลักษณ์ของคนมุสลิม

       การที่จะเป็นดินแดนดารุลฮัรบี ได้อย่างแท้จริง จะต้องได้รับการรับรองจากผู้นำในแต่ละพื้นที่ ว่าในพื้นที่แห่งนั้นมีการถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ จนพี่น้องชาวมุสลิมไม่สามารถที่จะประกอบศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอิสลามได้ จึงมีเหตุผลสมควรที่พี่น้องชาวมุสลิมจะต้องลุกขึ้นต่อสู้ 

        นี่คือเหตุผลที่กล่าวได้ว่ากลุ่มขบวนการพยายามที่จะบิดเบือน ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีการกดขี่ข่มเหง รังแก พี่น้องชาวมุสลิม เพื่อต้องการดึงมวลชนให้หันมาร่วมมือกับกลุ่มขบวนการในการที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐ ด้วยการทำญีฮาด หรือทำสงครามเพื่อศาสนา
        ตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นได้กล่าวถึงการญีฮาดว่า

      “การญีฮาด” นั้นต้องเป็นไปเพื่อเทิดทูนพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) ให้สูงส่ง หาใช่อื่น (มินญาฮุ้ลมุสลิม ; อบูบักร อัลญะซาอิรี่ย์ หน้า 392 ; 1996) 

       ดังมีระบุในพระวจนะของท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า

         من قاتل لتكون كلمة الله هي العليافهوفي سبيل الله “ผู้ใดสู้รบเพื่อให้พระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ คือสิ่งสูงสุด ผู้นั้นอยู่ในวิถีทางของพระองค์อัลลอฮฺ”(บุคอรีย์และมุสลิม)




           หากการสู้รบเป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นใด นั่นไม่เรียกว่าเป็นการญิฮาดที่แท้จริง ผู้ใดสู้รบเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หรือต้องการทรัพย์สงครามหรือแสดงวีรกรรมความกล้าหาญหรือชื่อเสียง ผู้นั้นย่อมไม่ได้รับอานิสงค์แต่อย่างใด (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ ; อัซซัยยิด ซาบิก 3/134-135 ; 1996)

        มิหนำซ้ำ การมีเจตนาเป็นอื่น ย่อมเป็นการนำพาตนเองสู่การลงทัณฑ์ในวันปรโลกอีกด้วย (อ้างแล้ว 3/136) ดังนั้น การญิฮาดจึงมิได้มุ่งหมายถึง การเอาชนะศัตรูแต่อย่างใด หากแต่เป้าหมายหลักของการญีฮาด คือ การพิทักษ์ศาสนาเอาไว้เพียงนั้น (อัลมุนตะกอ ; 3/159, อีฎอฮุ้ลมะซาลิก ; ก็อฟ 95 บาอฺ, มุกอตดิมาต อิบนิ รุชด์ 1/379)

         “การญิฮาด” เป็นเครื่องมืออันกอปรด้วยปัญญาในมือของมุสลิมหาใช่เป็นสิ่งอื่น โหดร้าย ทารุณ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อยึดครองโลกหรือเพื่อสร้างอำนาจอันมั่นคง หรือเพื่อการขยายอำนาจ หรือลบล้างศาสนาอื่นๆ และเปลี่ยนดินแดนคู่สงคราม (دارالحرب) ให้เป็นรัฐอิสลาม (دارالاسلام) โดยไร้เหตุผลรองรับ (คุดูรีย์, อัลฮัรบฺ วัซซลาม หน้า 53)

         ที่สำคัญที่สุดในการประกาศญีฮาด อูลามาจะต้องประชุมร่วมกันและลงมติเอกฉันท์ว่าจะต้องสู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นแค่เพียง “แนวคิด” 
         นอกจากนี้ การญีฮาดไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนประเภทใดก็ตาม “นักรบจะไม่สามารถฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้”

          เราจะเห็นได้ว่าจากข้อมูลในหลักศาสนา และข้อมูลจากนักวิชาการ เมื่อนำมาวิเคราะห์การปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐในปัจจุบัน หน่วยงานรัฐได้ให้โอกาส และให้สิทธิกับคนมุสลิมในทุกๆพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สนับสนุนในเรื่องการนับถือศาสนา รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาต่างให้การสนับสนุนในการสร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และมีการสนับสนุนการเดินทางไปแสวงบุญในการประกอบพิธีฮัจญ์, อูมเราะห์ และอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวมุสลิมในห้วงเทศกาลถือศีลอดในเดือนรอมฎอน อันเป็นเดือนประเสริฐ สนับสนุนในเรื่องการศึกษา จากการมาของโอไอซี หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องทางด้านการศาสนาต่างได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยโชคดีที่สุด ที่รัฐดูแลเอาใจใส่ในทุกด้าน และยืนยันได้ว่าแม้ประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ หรือแม้กระทั่งผู้นำประเทศเองเป็นมุสลิม ก็ไม่สามารถดูแลเอาใจใส่พี่น้องมุสลิมได้ดีเท่า “รัฐบาลไทย”

         ที่กล่าวมาย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า การปลุกกระแส “ดารุลฮารบี” และมีการปลุกระดมให้พี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วยการญีฮาดนั้น เป็นการชี้นำของกลุ่มผู้คิดต่างจากรัฐเพื่อหวังผลในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เป็น “ดารุลฮารบี” และเข้าหลักเกณฑ์ใดๆ เลยที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม เพราะนี่คือเล่ห์กลของกลุ่มขบวนการที่หวังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการหลอกให้ประชาชนร่วมมือกับฝ่ายตน.

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ขบวนการฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่อสันติสุขหรือ? (KILLING FOR PEACE)



โดย : ‘Ibrahim’

          “สันติสุขชายแดนใต้” จะกลายเป็นแค่เรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังในวันข้างหน้าหรือ?..ทุกคนต่างโหยหาให้หวนกลับมาเป็นเช่นวันเก่า..เมื่อครั้งอดีตที่พี่น้องพื้นที่ชายแดนใต้แห่งนี้ ต่างอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ภายใต้พหุวัฒนธรรม ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา แบ่งเค้าแบ่งเราถ้อยทีอาศัยซึ่งกันและกันมาช้านาน ก่อนที่จะเกิดปัญหาไฟใต้ มีการสร้างความหวาดกลัว หวาดระแวงต่อกันของพี่น้องในพื้นที่โดยกลุ่มขบวนการ

          หลายองค์กรได้เรียกร้อง “สันติสุข” “สันติภาพ” หรือแม้กระทั่งคิดการไกลไปถึง “เอกราช” แยกตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลไทย แต่ “KILLING FOR PEACE” ขบวนการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง น้ำตาอีกกี่หยด..เลือดจะต้องอาบแผ่นดินอีกเท่าไหร่ กลุ่มขบวนการเหล่านี้ถึงจะหยุด เป็นพวกปากอย่างใจอย่างบนเวทีพูดคุยต้องการสันติสุข ในพื้นที่กลับสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์

          ศาสนาทุกศาสนาได้สั่งสอนให้ศาสนิกชนกระทำแต่ความดี มนุษย์มีศาสนาเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิต เป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจ ปฏิบัติตนตามข้อบัญญัติของแต่ละศาสนาซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป

          ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาของกลุ่มที่คิดต่างต้องการแบ่งแยกดินแดน ต้องการเอกราชได้ ใช้กำลังทำการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ บ้างต้องได้รับบาดเจ็บ แขนขาขาดพิกลพิการ ไม่ใช่เป็นเรื่องความขัดแย้งทางด้านศาสนา



           แต่ไม่น่าเชื่อว่ากลุ่มขบวนการกลับใช้ศาสนาอิสลาม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือ มาบิดเบือน ปลูกฝังแนวคิด ฝังชิปความชั่วร้ายเข้าไปในสมองให้สมาชิกแนวร่วม RKK ทำการเข่นฆ่าผู้คนแล้วได้บุญ อย่างเช่นในห้วงเดือนรอมฎอนที่เหตุการณ์ความรุนแรงจะเกิดขึ้นถี่ยิบ

           กลุ่มขบวนการ BRN ใช้อิหม่ามที่คนส่วนใหญ่เคารพนับถือ บิดเบือนเสี้ยมสอนให้สมาชิกแนวร่วมมีความเชื่อว่า “การฆ่ากาฟิรฺ” (คนต่างศาสนา) และ “มุนาฟิก” (ผู้กลับกลอก) เป็นสิ่งที่อนุมัติในอิสลาม ผู้ฆ่าจะได้ผลบุญ และหากผู้ที่จะไปฆ่าผู้อื่นกลับถูกฆ่าเสียเอง เขาก็จะได้ขึ้นสวรรค์เป็นการตอบแทนโดยไม่ต้องรอฟังคำพิพากษา

“กาฟิรฺ” มีความหมายโดยรากศัพท์ทางภาษาแปลว่า ผู้ปฏิเสธ ผู้ดื้อดึง ผู้ฝ่าฝืน แต่ในทางศาสนา   “กาฟิรฺ” หมายถึง “ผู้ปฏิเสธต่อศาสนาอิสลาม”
"กาฟิรฺ” จำแนกได้ 3 ประเภท คือ
  • “กาฟิรฺหัรบียฺ” หมายถึง คนต่างศาสนิกที่เป็นคู่สงครามและเป็นศัตรูซึ่งมีความพยายาม ที่จะทำลายล้างศาสนาอิสลาม
  • "กาฟิรฺซิมมียฺ” หมายถึง คนต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม ซึ่งรัฐจะต้องดูแลพวกเขาด้วยความยุติธรรมและพวกเขาต้องจ่ายภาษีแก่รัฐอิสลาม และ 
  • “กาฟิรฺมุอาฮัด” คือคนต่างศาสนิกที่ได้ทำสัญญา และมีพันธสัญญาที่ไม่รุกรานและไม่ ละเมิดซึ่งกันและกัน


          “มุนาฟิก” คือ “บุคคลที่ยอมรับความเป็นมุสลิมเพียงด้วยวาจาแต่จิตใจปฏิเสธ” ในสมัยท่านเราะสูล (ศ็อลฯ) มีผู้ที่เป็นมุนาฟิกหลายคน แต่ท่านเราะสูล (ศ็อลฯ) ไม่เคย อนุญาตให้ฆ่ามุนาฟิกแม้แต่คนเดียว ต่อความคิดของผู้ที่ปลุกปั่นยุยงเยาวชนว่าคนที่เห็นต่างจากตน เป็นกาฟิรฺหรือมุนาฟิกและต้องฆ่าเสียให้หมดนั้น จึงเป็นความ คิดที่ผิดหลักศาสนาอิสลาม ไม่มี อายะฮฺใดเลยที่ปรากฏในอัลกุรอานที่ระบุให้ฆ่า “มุนาฟิก”

         หลายต่อหลายครั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความรุนแรงที่กลุ่มขบวนการ หรือนักรบ RKK ได้หยิบยื่นให้กับพี่น้องมุสลิมที่รับราชการ หรือทำงานให้รัฐ แม้กระทั่งคนต่างศาสนาต้องเสียชีวิตจากเหตุลอบยิง เหตุลอบวางระเบิด กลุ่มขบวนการ BRN หรือ “จูแว” จะมีปฏิกิริยาในทันที แสดงความคิดเห็นและแสดงความดีใจที่เห็นมุสลิมหรือคนต่างศาสนาเสียชีวิต อยากจะรู้ว่าความต้องการที่แท้จริง “ต้องการความสงบสุข” หรือ “ต้องการความรุนแรง” แล้วสันติสุขที่ทุกคนเรียกหาละ...

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ฮาขี้แตก รับคนบ้าเข้าอิสลาม









ฮือฮา! เจ้าอาวาสเข้ารับอิสลาม ระบุนอนไม่หลับตื่นเช้าจึงเข้ารับ แต่หลังเป็นข่าวถูกกดันหนัก



วันนี้ (3 ตุลาคม) เจ้าอาวาสวัดวัดตอหลัง วัดตันติการาม " วัดตอหลัง" ตำบลตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ได้เข้ารับอิสลามโดยที่ยังสวมผ้าเหลือง โดยได้กล่าวกาลีเมาะห์ชาดะห์ ที่สำนักงานณะกรรมการอิสลสมประจำจังหวัดนราธิวาส (กอจ.นราธิวาส)


เจ้าอาวาสวัดตอหลัง เดิมชื่อ นายหัสดิน ศิริสุวรรณ เป็นศิษย์เก่า วิทยาลัยเกษตรกรรมนราธิวาส รุ่น 2 คืนก่อนเข้ารับอิสลาม เจ้าอาวาสนอนไม่หลับทั้งคืน ฝันและคิดว่า ต้องเข้าอิสลามให้ได้ ในตอนเช้า จึงโทรศัพท์หาเพื่อนที่อยู่ อ.เจาะไอร้อง ให้มารับตัว..พาไปเข้ารับอิสลามที่ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาส และหลังเข้ารับอิสลาม เจ้าอาวาสได้เปลื้องจีวร และสวมชุดแบบมุสลิม


ภายหลังมีการเผยแพร่คลิป การเข้ารับอิสลามของเจ้าอาวาสวันตอหลัง ได้เกิดปฏิกริยาอย่างกว้างขวางทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีโทรศัพท์สอบถามไปยังเจ้าอาวาสจำนวนมาก และมีการสอบถามคนที่เผยแพร่คลิปการเข้ารับอิสลาม เพราะเจ้าอาวาสไม่อยากให้สังคมโดยทั่วไปรับรู้กว้างขวางนัก เพราะจะกระทบต่อทางวัด ลูกวัด และตัวเจ้าอาวาสเอง
"ท่านต้องการให้เรื่องค่อยเป็นค่อยไปโดยการอธิบายของท่านเอง และไม่อยากให้คลิปนี้เผยแพร่แบบรวดเร็ว จะเป็นการสร้างเขื่อนไขที่ลำบากต่อเจ้าอาวาสมากยิ่งขึ้น" รองประธานกอจ.นราธิวาส ระบุ


ดูคลิป นาทีเจ้าอาวาสเข้ารับอิสลาม https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1449318885084392&id=617227244960231

https://youtu.be/oWxibr6LIHo 

****************************************************************
เมื่อความจริงปรากฏ



พระดังนราฯ อ้างนอนไม่หลับทั้งคืน “ต้องเข้าอิสลามให้ได้”ที่แท้หนีการตรวจสอบพฤติกรรม
‘ลมใต้ สายบุรี’

จากกระแสในโลกโซเซียล และสื่อสังคมออนไลน์ อย่างเช่น เพจ:คนเข้ารับอิสลาม กระหึ่มได้มีการตีข่าวและโพสต์คลิปวีดีโอพระทั้งจีวรห่มเหลืองเข้ารับอิสลาม ได้มีการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ www.muslimtoday.in.th ได้มีการขยายผลเพื่อสื่อต่อสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้คนต่างไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง อีกทั้งยังได้ตั้งข้อสังเกต และแสดงทัศนะข้กันไปต่างๆ นาๆ บางรายถึงกับจ้องจับผิดกล่าวว่าเป็นการจัดฉาก


จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระแสในเรื่องดังกล่าว ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และพิธีดังกล่าว ได้มีการจัดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ต.ค.59 ซึ่งมีพิธีปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามของพระรูปดังกล่าว 


พิธีปฏิญาณเข้ารับอิสลาม จะมีการยืนยันความศรัทธา 5 ประการด้วยกัน คือ 1.การกล่าวปฏิญาณตนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์” 2.การละหมาดวันละ 5 เวลา 3.การถือศีลอด 4.การจ่ายซะกาต (จ่ายทาน) และ 5.การทำฮัจญ์

จากนั้น ผู้ทำพิธีก็จะถามผู้ที่เข้ารับอิสลามว่า จะรับหรือไม่รับ ถ้ารับก็จะกล่าวปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม มีการทำความสะอาดร่างกาย รวมทั้งขลิบอวัยวะเพศชาย


ระแสตีกลับเมื่อเหตุผลิกผันเนื่องจากพระวัดน้ำตอหลังรูปดังกล่าวมีพฤติกรรมเจาะหลังพระประธานนำพระเครื่องนับพันองค์เป็นของส่วนตัว

กรณีพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสที่ จ.นราธิวาส ตัดสินใจเปลี่ยนศาสนา เข้าปฏิญาณตนรับอิสลามทั้งๆ ที่ยังครองผ้าเหลืองส่อเค้าพลิกผัน เมื่อถูกตรวจสอบพบว่าอาจเป็นการพยายามสึกจากพระเพื่อหนีการตรวจสอบพฤติการณ์เจาะด้านหลังองค์พระประธานในศาลาการเปรียญเพื่อนำพระเครื่องที่ประเมินค่ามิได้ออกไป

เมื่อมีการตรวจสอบพระที่เป็นข่าวดังรูปนี้คือ พระครูปัญญาธนากร ศิริสุวรรณ อายุ 60 ปี พรรษา 23 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสวัดตันติการาม หรือ วัดน้ำตอหลัง ตั้งอยู่ที่ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
ชื่อเดิมคือ นายหัสนิล ศิริสุวรรณ ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ตากใบ
จ.นราธิวาส จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากวิทยาลัยในพื้นที่ 

           ข้ออ้างในการเปลี่ยนศาสนาจากพุทธไปรับอิสลามที่มีการระบุในโซเชียลมีเดีย คือ นายหัสนิล ขณะยังเป็นพระ และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดน้ำตอหลังนั้น นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดแต่ว่าต้องเข้าอิสลามให้ได้ พอรุ่งเช้าจึงโทรศัพท์หาเพื่อนที่อยู่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ให้ไปรับตัว และพาเข้ารับอิสลาม โดยหลังเข้ารับอิสลามแล้ว เจ้าอาวาสได้เปลื้องจีวร และสวมชุดแบบมุสลิม ใช้ชื่อว่า “เป๊าะซู”
น้ำลดตอผุดเปลี่ยนศาสนาหนีการตรวจสอบ


         หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ มีการประชุมร่วมกันที่วัดน้ำตอหลัง โดยมีปลัดอำเภอระแงะ ในฐานะตัวแทนนายอำเภอ, พระผู้ปกครอง, ผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด และคณะกรรมการวัดตันติการาม รวมถึงชาวบ้าน ได้มีการเปิดโปงพฤติการณ์ของพระครูปัญญาธนากร อดีตเจ้าอาวาส ที่ได้เจาะด้านหลังองค์พระประธานในศาลาการเปรียญ แล้วนำพระเครื่องออกไปนับพันองค์ โดยชาวบ้านและกรรมการวัดทราบเรื่องมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่พระรูปหนีได้กล่าวอ้างในโลกโซเซียลว่านอนไม่หลับทั้งคืน “เพราะคิดแต่ว่าต้องเข้าอิสลามให้ได้”

          ส่วนข้อมูลล่าสุด ภายหลังการประชุม ร่วมกันที่วัดน้ำตอหลัง ตัวแทนกรรมการวัดได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ระแงะ เพื่อเป็นหลักฐาน และตัวแทนจากทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินภายในวัด รวมถึงบัญชีเงินฝากของวัดจำนวน 4 เล่มด้วยเพื่อตอบสังคมให้ได้รับการรับรู้ต่อไป.

ใคร? คือจอมบงการโจรใต้ฟาตอนี






"Ibrahim"


      ในที่สุด...โจรใต้ฟาตอนี ก็ได้รับความสำเร็จ ในการทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าภาพของการต่อสู้ คือ “องค์กรศาสนาอิสลาม” โดยเฉพาะองค์กรศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก (เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์กรอิสลามในกรุงเทพมหานครและในภูมิภาคอื่นๆ ไม่มีบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้เลยว่า ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งวิธีการของโจรใต้ปาตานีมักจะอ้างอยู่ 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ


  • ประการแรก กล่าวอ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม มีการกดขี่ข่มเหง
  • ประการที่สอง ร่ำร้องว่ารัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!และไม่ได้รับความยุติธรรม
       โจรใต้ฟาตอนี ได้อาศัย 2 ประเด็นนี้ เป็นชนวนคอยจุดกระแสและเป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในชุมชน ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ “ทำร้าย” หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำการทิ้งใบปลิว แขวนป้ายผ้าทำการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ที่ให้ความร่วมมือรัฐ ควบคู่กับการปล่อยข่าวลือส่งผลให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้านได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่เป็นความจริง



       โจรใต้ฟาตอนี มีขีดความสามารถในการสร้างผู้นำศาสนา รวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นแกนนำในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่งกันรับผิดชอบ ออกปฏิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้ผู้นำศาสนาเหล่านี้มีความเลื่อมใสศรัทธา พอกพูนอุดมการณ์อย่างชนิดถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการได้เป็นนักรบของพระเจ้า หลงเชื่อว่าเป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลามจากการกดขี่ข่มเหงของคนต่างศาสนา


       แล้วก็ สร้างภาพให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า “คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด”


         โจรใต้ฟาตอนี ได้ใช้วิธีการหลากหลายรูปแบบ ด้วยการอบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบรุ่นใหม่ สร้างความฮึกเหิม ความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะยินยอมพร้อมใจ ยอมมอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา


        โจรใต้ฟาตอนี บิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของมลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง  เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตารางนิ้วเดียว



สิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์


          ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้านบางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯ เหมือนคนบางกอกไม่มีผิดเพี้ยน!!


        ประเทศไทยเสียอีกที่เสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมาเลเซียให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดินแดนคืน กลับสูญเสียดินแดนไปอีกรวมแล้ว 5 จังหวัดด้วยกัน เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น


        ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก ประกอบกับนับถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช


         เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งเหนิง ถูกโจรใต้ปาตานี แหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งแต่เมื่อ 500 ปีก่อน จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันยังไม่ยอมเลิกรา..

         วิธีการที่พวกโจรใต้เอามาใช้อย่างได้ผล นั้นคือเรื่องของการ “บิดเบือน” แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเบือนให้น่าเชื่อถือว่า ว่าเป็นเรื่องจริง โจรใต้ปาตานี ได้อาศัยสถาบันศาสนาอิสลาม แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ “องค์อัลเลาะห์” มาเรียกร้องความเป็นพวกเดียวกันจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกันพี่น้องอิสลามผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรใต้ปาตานี ขยายวงกว้างออกไปทุกที





         โจรใต้ฟาตอนี ชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ


        รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต 
  • แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุดเลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ
  • แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก

            วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที่ “บงการ” กับคนที่จะมาเป็น “สุลต่าน” ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล


         คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ “รบ” เป็นการจำเพาะโฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้


  • 1. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ “อับดุลกาเดร์” ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
  • 2. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ “หะยีสุหลง” ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?


         สรุปแล้วมีอยู่ 2 สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง “อ๋อ” คนนี้นี่เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้นหาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคนหนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน

           และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์ (พ.ศ. 2540) เรื่องราวเมื่อ 109 ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ. 2494) เรื่องราวเมื่อ 55 ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่






         เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ “ผู้บงการ” อยู่หนึ่งเดียวขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว 5 ล้านบาท) สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ “เบอร์ซาตู” ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย


        ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น “แม่ทัพใหญ่”ควบคุมทุกขบวนการเอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง 23 องค์กร เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า “พูโล” พ่วงท้ายเลย เบอร์ หมายถึง “อับดับที่...” ซาตู..หมายถึง “หนึ่ง”


       ผู้สันทัดกรณีเอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน “หนึ่งหมื่นล้าน” ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขายังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีตนายกฯ มหาเธร์


       อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฏชัดออกมาว่า องค์กรศาสนาอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!



        โจรใต้ฟาตอนี เองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานีสามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม “ปั้นกรอบ” ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ


       แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย “พลังอิสลาม” เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จพร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจุฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ในโลก


     พวกเขาคิดการไกลขนาดนั้น ผมพยายามที่จะกะเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่านอ่านออกได้เองแล้วว่า “คนนั้นกับคนนี้” คือจอมบงการ แม้ว่าโจรใต้ปาตานีจะหาทางให้ศาสนาอิสลามเป็นเจ้าภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลังอำนาจ และอิทธิพล ที่สำคัญคนๆ นั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่น้องมลายูปาตานี


        แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร?...จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า “ไฟใต้...ใครบงการ?” เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรใต้ปัตตานีพวกนี้ ป้วนเปี้ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่ไกลจากตัวท่านหรอกครับ
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม