หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

เพียงแค่อิมามตรัสว่า"จงเป็น" มันก็จะ"เป็น.
ผู้คนส่วนมากในบ้านเราเมื่อจะพิจารณาถึงหลักความเชื่อในเรื่องของ "ผู้นำ" หลังจากนบีหรือเรื่องของ "อิมามะฮฺ" ตามหลักความเชื่อถือของพวกลัทธิรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ก็มักจะศึกษาอย่างฉาบฉวยเพียงแค่ว่า 

มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไหม? 

ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นผู้นำที่ฆอดีรคุมไหม? 

หะดิษ 12 คอลีฟะฮฺคือผู้นำของพวกรอฟิเฎาะฮฺใช่ไหม? เป็นต้น 

ซึ่งหากเราศึกษาประเด็นเหล่านี้อย่างฉาบฉวยจากการนำเสนอของพวกรอฟิเฎาะฮฺที่จะพยายาม "ฝืน" โดยนำหลักฐานมาอธิบายอย่างบิดเบือน ก็มักจะทำให้คนที่ขาดความรู้เกิดการหลงไหลและสุดท้ายก็เข้ารีตเดินหน้าสู่ความเป็นรอฟิเฎาะฮฺไปในที่สุด 

โดยเพียงแค่นึกฝันเอาเองว่ามีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อเรื่อง "อิมามะฮฺ" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ 

ทั้งๆที่หากเราพิจารณาถึงเนื้อแท้ของความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺที่ถูก "ซ่อนเร้น" ไม่เปิดเผยจากอุลามาอ์ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ผมเองก็มั่นใจหลือเกินว่าคงไม่มีใครที่คิดจะอ้อมแขนรับความเชื่อเรื่อง "ผู้นำที่ถูกแต่งตั้ง" จากนบีตามจินตนาการของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺเป็นแน่แท้ 

อุปมาเรื่องผู้นำหลังจากนบีโดยมีฉากอยู่ที่ฆอดีรคุมซึ่งฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺพยายามจะนำเสนอ ก็อุปมัยดังเรื่อง ความเมตตาของพระเยซูที่สละชีพเพื่อล้างบาปแก่ชาวโลกซึ่งฝ่ายคริสเตียนพยายามจะโน้มน้าวแก่ผู้คนในการเผยแพร่เสมอๆ 

กล่าวคือ หากเราได้เคยมีโอกาศรับฟังเหตุผลและการนำเสนอถึงความเมตตาและสถานภาพของพระเยซูที่ยอมสละชีพเพื่อไถ่บาปชาวโลกแล้ว เราก็มักหลงไหลได้ปลื้มไปกับความยิ่งใหญ่ในตัวของพระเยซูซึ่งมากมายเหลือเกินที่มันสามารถเปลี่ยนคนต่างศาสนิกอื่นๆที่มิใช่มุสลิมให้รับศาสนาคริสต์ได้แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมุสลิม 

ซึ่งการที่มุสลิมไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองไปรับนับถือศาสนาคริสต์นั้นหาใช่เกิดจากการไม่ศรัทธาต่อพระเยซูหรือนบีอีซา(อลัยฮิสสลาม)แต่อย่างใดไม่ แต่เกิดจากการที่มุสลิมรู้ดีถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อเรื่อง "ตรีเอกานุภาพ" ที่ฝ่ายคริสเตียนได้หยิบยกพระเยซูเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าไป 

ดังนั้นต่อให้เหตุผลเบื้องหน้าในเรื่องของพระเยซูจะดีเลิศน่ารับฟังเต็มไปด้วยเหตุผลหลักฐานมากเพียงใด มุสลิมก็ไม่ "ฉาบฉวย" พอที่จะน้อมรับอากีดะฮฺคริสเตียนอย่างขาดวิจารณญาณนอกจากคนที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งไม่มีพื้นฐานเรื่อง "เตาฮีด" เท่านั้นที่จะน้อมรับเรื่องดังกล่าวได้ 

และเช่นกัน การที่ชาวซุนนะฮฺไม่ยอมน้อมรับหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นหาได้เกิดจากการที่ฝ่ายซุนนะฮฺเกลียดชังในลูกหลานนบี,ปฏิเสธเหตุการณ์ที่ฆอดีรคุม,ปฏิเสธหะดิษษะกอลัยนฺ(สิ่งหนักสองสิ่ง)และอื่นๆแต่อย่างใดไม่ 

แต่การที่นักปราชญ์ผู้ทรงภูมิธรรมของฝ่ายซุนนะฮฺได้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวไปนั้นก็สืบเนื่องจาก "หลักความเชื่อที่เลยเถิด" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดาอิมามที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้นำหลักจากนบีตลอดจนความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของหะดิษต่างๆที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนิยมแอบอ้างหยิบยกมานำเสนออย่างฉาบฉวยต่างหาก 

ไม่ว่าจะ หะดิษฆอดีรคุมและหะดิษ 12 คอลีฟะฮฺก็ดี 

ดังนั้นสภาพของคนบางกลุ่มที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมระหว่าง อะฮฺลุซซุนนะฮฺฯกับรอฟิเฎาะฮฺ เพียงแค่เหตุการณ์ที่ฆอดีรคุมหรือเรื่องผู้นำหลังจากนบี ก็ไม่ต่างอะไรกับคนต่างศาสนิกบางกลุ่มที่ตัดสินว่า "ศาสนาคริสต์คือสัจธรรม" เพียงแค่จากเรื่องราวของการสละชีพเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติของพระเยซูและความเมตตาอันสูงส่งของท่านนั่นเอง 

จะต่างกันก็ตรงที่ว่าการที่มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้น้อมรับหลักความเชื่อเรื่องพระเยซูมิใช่ว่าไม่ศรัทธาต่อนบีอีซา 

แต่เกิดจากเหตุผลที่ว่าคริสเตียนเชื่อในพระเยซูอย่างไม่ถูกต้องโดยยกท่านเป็นพระเจ้า แต่สำหรับการที่มี "มุสลิมบางจำพวก" ได้หันหน้าเข้ารีตสู่ลัทธิรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺ ก็สืบเนื่องจากว่า "ความไม่เดียงสา" ต่อเนื้อแท้ของหลักความเชื่อในเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่ได้เลยเถิดหยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้า แต่แนบเนียนกว่าตรงที่ "ปกปิด" ไม่ยอมนำเสนอแก่คนเอาวาม เพราะกลัวว่าคนจะไม่รับแนวทางชีอะฮฺหากรู้ความจริงดังกล่าวนี้!!! 

ดังนั้นก็เลยนำเสนอเรื่องราวเพียงแค่ว่า 
ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีเป็นอิมามจริงไหม? 
หรือท่าน 3 คอลีฟะฮฺแรกของอิสลามขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างชอบธรรมหรือไม่? 
ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉาบฉวยในการหาข้อสรุปเป็นอย่างยิ่ง


1. แก่นแท้ของหลักความเชื่อเรื่อง "อิมาม" หรือผู้นำหลังจากท่านนบีของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ



ถึงจุดนี้ข้าพเจ้าจะขอนำเสนอถึงแก่นแท้ของความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อผู้นำหลังจากนบี โดยจะขอหยิบยกคำบรรยายของปราชญ์ชั้นสูงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺมานำเสนอกัน ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว ผู้นำหลังจากท่านนบีในหลักความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นไม่แตกต่างอะไรกับพระเจ้าหรือหลักความเชื่อในแบบคริสเตียนที่ได้หยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้านั่นเอง!!!



อัลลามะฮฺ อัลฟากีฮฺ ซัยยิดมุฮัมมัด ริฏอ อัชชัยรอศีย์


ปราชญ์ผู้โด่งดังของรอฟิเฎาะฮฺรายนี้มาจากประเทศอิรัคซึ่งเขาได้บรรยายถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อที่แท้จริงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดา "มนุษย์ทั้ง 12 คน" ที่พวกเขาเชื่อว่านบีได้เลือกสรรให้เป็นผู้นำของอุมมะฮฺอิสลามหลังจากท่านไว้ว่า



"เมื่อใดที่เราได้เรียกหา,ได้สวดอ้อนวอนและขอความจำเริญในปัจจัยยังชีพและความต้องการทางด้านสังคมจากบรรดาอิมาม พึงรู้ไว้เถิดว่าท่านกำลังขอจากบรรดาอิมามผู้ซึ่งทรงอำนาจในการควบคุมดูแลบริหารสากลจักรวาลและทุกๆสิ่ง(บนโลกนี้) และเมื่อใดก็ตามที่บรรดาอิมามได้กล่าวแก่บางสิ่งว่า "จงเป็น"มันก็ "เป็น" ตามที่อิมามได้กล่าวไป (กุนฟะยะกูน)"



ข้อความดังกล่าวนี้ ถอดความมาจากคำบรรยายของเจ้าตัวที่



ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้


จากคำบรรยายที่สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของหลักความเชื่ออันแท้จริงในเรื่อง "อิมาม" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺจากนักวิชาการรอฟิเฎาะฮฺรายนี้จึงสามารถสรุปออกมาให้เห็นถึงความขัดแย้งกับอิสลามออกเป็น 3 ประการดังนี้



1. รอฟิเฎาะฮฺสามารถสวดอ้อนวอนขอความจำเริญจากบรรดาอิมามของพวกเขาได้

สิ่งนี้ถือเป็นการกระทำที่สวนทางกับหลักการของอัลอิสลามดังคำดำรัสในอัลกุรอานความว่า


{ إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ }
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ (*1*) และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ (*2*) (อัลฟาติฮะฮฺ:5)



(1) คือมอบการเคารพอิบาดะฮฺทุกประเภท่ให้แก่พระองค์ แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น โดยปราศจากการให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีหุ้นส่วนในการอิบาดะฮฺดังกล่าว เป็นต้นว่า การวิงวอนขอความช่วยเหลือ การบน การสาบาน และการเชือด ฯลฯ 
(2) ขอความช่วยเหลือในสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฏสภาวการณ์ หรือสิ่งที่ไม่อยู่ในความสามารถของมนุษย์ที่จะให้ความช่วยเหลือได้ 




2. รอฟิเฎาะฮฺเชื่อว่าบรรดาอิมามมีอำนาจในการควบคุมจักรวาลสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงและขัดแย้งกับโองการอัลกุรอานความว่า



{ لَّهُ مُلْكُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِلَى ٱللَّهِ تُرْجَعُ ٱلأُمُورُ }



อำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และการงานทั้งหลายถูกให้กลับไปยังอัลลอฮ.เท่านั้น (*1*) (อัลหะดีด:5)



(1) ทุก ๆ สิ่งย่อมกลับไปหาอัลลอฮ. พระผู้สร้างและพระผู้จัดระบบ ทรงตัดสินชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์ 3. รอฟิเฎาะฮฺอ้างว่าหากอิมามกล่าวสิ่งใดว่า "จงเป็น" มันก็ "เป็น" (กุนฟะยะกูน)ไปตามที่อิมามได้กล่าวไว้สิ่งนี้ถือเป็นการยกบรรดาอิมามให้เสมอเหมือนกับพระองค์อัลลอฮฺอย่างชัดแจ้งเพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า

{ بَدِيعُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِذَا قَضَىٰ أَمْراً فَإِنَّمَا يَقُولُ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ }


พระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้า และแผ่นดิน และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดแล้วพระองค์ก็เพียงแต่ประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นแล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นขึ้น-กุนฟะยะกูน- (อัลบะกอเราะฮฺ:117)



สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หาใช่การใส่ไคล้อย่างเลื่อนลอยหรือนั่งเทียนเขียนโจมตีฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺอย่างที่พวกเขามักจะโฆษณาหลอกผู้คนกัน 

อัลเลาะห์ เป็นศิลปินเดี่ยว


อยาตุลลาต อัลฟาลีย์กล่าวว่าอัลลออฺเป็นนักกวี!!



อุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺ

นามว่า อยาตุลลาต อัลฟาลีย์ กล่าวว่าอัลลออฺเป็นนักกวี!

วุ่นวายอยู่กับเรื่องจิ๋มนี่แหละ


การมองอวัยวะเพศของคนที่มิใช่มุสลิมไม่บาป






สิ่งที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้หาใช่การใส่ร้ายจากฝ่ายซุนนะฮฺต่อ พวกรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺไม่ เพราะนั่นไม่ใช่อุดมการณ์ของพวกเรา แต่สิ่งที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่นำมาจากตำราชีอะฮฺ(ซึ่งมี ให้ดาวน์โหลดทางเว็บไซต์พวกเขา) โดยที่พวกเราได้ทำการเซฟมาจากหน้าเว็ปไซต์ของพวกเขาเพื่อให้ท่านได้ดูเป็น หลักฐานกันชัดๆ


แปล:

6 ـ باب جواز النظر الى عورة البهائم ومن ليس 
بمسلم بغير شهوة 
บทที่ 6 การอนุมัติให้ดูอวัยวะเพศของสัตว์และของบุคคลที่ไม่ใช่มุสลิม
โดยปราศจากความ กำหนัด (มีด้วยหรือดูอวัยวะเพศแล้วไม่กำหนัด ?
แล้วเอามาตรฐานอะไรวัดว่าแบบไหนกำหนัดอันแบบไม่กำหนัด) 

ริวายัติจาก มุฮัมมัดยะกูบ กุลัยนี(เจ้าของอัลกาฟีอันยิ่งใหญ่) จากอะลีบิน
อิบรอฮิมอัลกุมมี(เจ้าของตัฟซีรกุมมี) จากบิดาของเขาจากอิบนิอุมัร
(หะดีษบทต่อไปนี้นำมาจากหนังสือ อัลกาฟีย์อีกที)

แปล ประโยคที่ขีดเส้นแดง:
อบูอับดิลละฮ์กล่าวว่าการมองอวัยวะเพศของพวกที่ไม่ใช่มุสลิมก็
เท่ากับการมองอวัยวะเพศของลา(แปลว่าไม่บาปเพราะการมอง
อวัยวะเพศ สัตว์ไม่มีข้อห้ามทางศาสนา) 

หะดิษหมายเลขที่ 1406: อิมามญะฟัรศอดิกกล่าวว่าเป็นความจริงที่ว่า
มันคือสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับการมองดูอวัยวะเพศของคน มุสลิมด้วยกัน
และในขณะเดียวกันการมอ งอวัยเพศของคนที่ไม่ใช่มุสลิม
ก็เท่ากับการมองอวัยวะเพศของลา(แปลว่า ไม่บาป) 

อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าเชื่อว่าฝ่ายชีอะฮฺมักจะอ้างว่าหะดีษดังกล่าว 
ดออีฟ ซึ่งในความเป็นจริงการอ้างในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้
เพราะหากมาตรฐาน ทางศาสนาของฝ่ายชีอะฮฺดีจริงอุลามาอ์ชีอะฮฺ
คงไม่นำหะดิษแบบนี้มาบันทึกให้ ขายหน้าตั้งแต่แรกแล้ว
อย่างไรก็ตามหะดิษชีอะฮฺที่เราได้นำเสนอไปนั้น บันทึกอยู่ในหนังสือ 
วะซาอิลุชชีอะฮฺ ของหัรรุ้ลอามิลี ซึ่งเขานำหะดิษมาจากหนังสือ
อัลกาฟีย์อีกทีนั่นย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่าหะดิษที่ ให้ดูของลับกาเฟร
ได้นี้สอเฮี๊ยฮฺตามทัศนะของอุลามาอ์ผู้ยิ่งยงของชีอะฮฺนาม 
ว่าหัรรุ้ลอามิลี เพราะเขาได้กล่าวรับรองหนังสืออัลกาฟีย์ไว้แล้วว่า

ซัย ยิด อัลฮัรรุลอามิลี ปราชญ์ชีอะฮฺผู้รวบรวมตำรา วะซาอิลุช
ชีอะฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า 
: أصحاب الكتب الأربعة وأمثالهم
 قد شهدوا بصحة أحاديث كتبهم وثبوتها
 ونقلها من الأصول المجمع عليها
 , فإن كانوا ثقات تعين قبول قولهم وروايتهم ونقلهم

บรรดาผู้ประพันธ์ตำรา “กุตตุบอัรบะอะฮฺ” (หนังสือ 4 เล่มสำคัญ
ของชีอะฮฺซึ่งรวมอัลกาฟีย์ด้วย)ของชีอะฮฺ ได้พิสูจน์แล้วว่า บรรดา
หะดิษจากตำราเหล่านั้นคือหะดีษซอเฮี๊ยฮฺ!!! จากอูศูลทั้งหมด
ของชีอะฮฺซึ่งเห็นพ้องต้องกัน และหากท่านพิจารณาว่านักปราชญ์
เหล่านั้น เชื่อถือได้ ดังนั้นท่านต้องยอมรับคำพูดและรายงานของ
พวกเขา (วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 20 หน้า 104)

หะดิษบทน้ของรอฟิเดาะฮฺเป็นการเปิดทางไปสู่ การดูคลิปโป๊,
การนุ่งน้อยห่มน้อยและอื่นๆอีกมากที่มาจากพฤติกรรมของกาเฟร 
เพราะดูสิ่งเหล่านั้นก็เหมือนดูลา

อย่างไรก็ตามมีข้อที่น่าสงสัยว่า การดูของลับของสตรีชาวซุนนี
นั้นเป็นที่หะรอมไหมสำหรับชายชีอะฮฺหากมองจากคำ สอนนี้เพราะ 
เชคมุฟีด หนึ่งในนักปราชญ์ชีอะฮฺที่ซัยยิดสุไลมานเคยรับรองและ
ยังเป็นหนึ่งในผู้วาง รากฐานให้แก่ศาสนาชีอะฮฺด้วยการแบ่งรูกุ่น
อีมานออกเป็น 5 ข้อได้ฟัตวาไว้ว่าชาวซุนนีมิใช่มุสลิมดังนี้

اتفقت الامامية على أن من أنكر إمامة
 أحد من الائمة وجحد ما أوجبه الله
 تعالى له من فرض الطاعة فهو
 كافر ضال مستحق للخلود في النار 
มีมติเป็นเอกฉันท์ในหมู่ผู้รู้อิมามียะฮฺต่อความจริงที่ว่า 
คนหนึ่งคนใดที่ไม่ศรัทธาต่ออิมามะฮฺแม้เพียงคนเดียว
ของอิมามและบรรดาผู้ไม่ ศรัทธาในสิ่งที่อัลลอฮฺถือเป็น
หน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังพวกเขา(บรรดาอิมาม) บุคคลเช่นนั้น
คือผู้ปฏิเสธที่หลง และสมควรพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล 


หนังสือ อัลมะซาอิล หน้าที่ 120 ของ ชัยคฺมุฟีด 

ชาวซุนนีซึ่งไม่ศรัทธาต่อ บรรดาอิมามของชีอะฮฺก็ย่อมเป็น
กาเฟรแน่นอน 

ดังนั้นการดูของลับตลอดจนเอา เราะฮฺของสตรีซุนนีจึงเป็นที่
อนุมัติแก่ชายลัทธิรอฟิเดาะฮฺชีอะฮฺหรือไม่ อุ ลามาอ์ชีอะฮฺ
คนใดรู้บอกที

อนาจารลูกสาวตัวเองก็ได้


โอ้ อัลเลาะห์ อนุญาตให้ทำหนาจารลูกสาวตัวเองได้ 

แม้แต่นบีมูฮัมหมัด ก็เคยทำ

การทำอนาจารลูกสาวเป็นที่อนุมัติในศาสนาชีอะฮฺ!!!!


ฟัตวาต่อไปนี้นำมาจากเว็ปไซต์ของพวกรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺเอง ซึ่งทางทีมงานของเรา

ได้ทำการเซฟหน้าเว็ปเพื่อเก็ยเป็นหลักฐานไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันเป็นหลักฐาน 

ฟัตวานี้ถูกฟัตวาโดย อยาตุลลาต อับฏอฮีย์ อุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺคนสำคัญในกาล

ปัจจุบัน ซึ่งต้องขอขอบคุณท่าน 


ถาม : ฉันเป็นผู้หญิงอายุ 15 ปี พ่อของฉันเคร่งศาสนามาก 
(ชีอะฮฺอิมามมียะฮฺ) เวลาฉันออกจากบ้านก็คลุมฮิญาบ 
อัลฮั้มดุลิ้ลลาฮฺ แต่พ่อของฉันจูบฉันบ่อยมากที่ระหว่างหน้าอก 
หรือไม่ก็จูบปาก หรือแม้กระทั่งเข้ามากอดฉันทางด้านหลัง
แล้วก็จูบฉันที่คอ 

ดังนั้นฉันก้เลยถามพ่อไปว่า “การกระทำเหล่านี้อนุญาตด้วยหรือ?” 
พ่อของฉันก็ตอบกลับมาว่า “มันฮารอมถ้าหากว่าทำไปด้วยอารมณ์
ทางเพศ แต่ที่พ่อทำก็คือในฐานะความเป็นพ่อ 

และท่านนบีมูฮำหมัด(ศ็อลฯ) ก็เคยจูบที่ปากของลูกสาว
ของท่าน(ท่านหญิงฟาตีมะฮฺ) ที่คอ และก็ที่ระหว่างหน้าอก
ของท่าน และก็จูบแบบใช้ลิ้น เช่นนี้ท่านรอซูลทำลามกกับ
ลูกสาวของท่านหรือปล่าว??? ไม่! 

และถ้าท่านรอซูลทำนั่นก็แสดงว่าเป็นที่อณุญาติแก่ผู้ที่เป็นพ่อ
จะทำแบบนั้น กับลูกสาวของเขา!

(ผู้หญิงก็ได้กล่าวตอไปว่า) และพ่อก็บอกต่อมาอีกว่า “พ่อไม่ได้แตะต้อง
เอาเราะฮฺ(ของลับ) ทั้งทางหน้าและทางด้านหลังเลย และสิ่งที่ไม่ใช่
เอาเราะฮฺทั้งหมดนั้นอนุญาตให้มอง, แตะ สัมผัส, หรือจูบได้” และ

(ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวต่อไปว่า) “ที่พ่อทำอย่างนี้ก็เพราะว่าจะได้
ไม่เป็นห่วงเรื่องตกเป็นเหยื่อของพวก ผู้ชาย, และผู้หญิง
ที่ยอมปล่อยตัวเขาเองให้แก่ผู้ชายคนใดก็ตามก็คือคนที่ปราศจาก
ความรักและไม่มีความอ่อนโยนใดๆที่บ้านเลย 

ดังนั้น(และตอนนี้เธอก็ได้ถาม อยาตุลลอฮฺ อับตาฮีว่า) 

“การที่พ่อฉันทำแบบนั้มันฮาลาล หรือ ฮารอม? และถ้าหากว่า
มันฮารอม ท่านนบีได้ทำอย่างไรกับลูกสาวของท่าน(ท่านหญิงฟาตีมะฮฺ) 
และขอบคุณสำหรับเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์นี้

คำตอบ ขออัลลอฮฺโปรดประทานความสันติสุขจงมีแด่ท่าน , 
สิ่งที่พ่อของคุณได้ปฏิบัตินั้นเป็นที่อนุญา และขอให้มี
ความอดทนต่อสิ่งที่พ่อของคุณได้ปฏิบัติไป และนั่นคือสิ่งที่อยู่ใน
หัวอกของเขา อย่าได้คิดไปเช่นอย่างอื่น ยินดีครับ


ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้ปัญญาของท่านไตร่ตรองดูเถิดว่าศาสนา
ที่มีหลักปฏิบัติที่หยาบโลนเช่นนี้คือ ศาสนาหรือ ??
เมื่อสองอยาตุลลาตยอมรับว่า
อัลกุรอานฉบับปัจจุบันไม่สมบูรณ์!!
ต่อไปนี้คือเทปบันทึกเสียงที่ถูกเปิดโปงจนฉาวโฉ่ไปแล้วในโลกอาหรับซึ่งเป็นเทปบันทึกเสียงคำสอนของอุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺชื่อดังทั้งสองคนซึ่งก็คือ


1. อยาตุลลาต อะลี กูรอนี เป็นอุลามาอ์ผู้โด่งดังจากเลบานอนอีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของ ดร.อิซอมุลอิมาต


2.อยาตุลลาต อัลกอซิม อัลฮาอิรีย์ เกิดที่อิหร่านแต่ไปเป็นอุลามาอ์ที่กัรบาลาอฺ(เสียชีวิตแล้ว)



สำหรับ ไฟล์เสียงดังกล่าวฟังได้ที่นี่เลย



คำแปลไฟล์เสียง

คนที่ 1. อยาตุลลาต อะลี กูรอนี

“และสำหรับประเด็นในเรื่องที่บอกว่าอัลกุรอานถูกเปลี่ยนแปลงนั้นอุ ลามาอ์ชีอะฮฺส่วนหนึ่งกล่าวว่ามีโองการในอัลกุรอานที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไขไปแล้ว และส่วนหนึ่งกล่าวว่ามีโองการที่ไม่ถูกต้องปรากฏอยู่ แต่อุลามาอ์ของเราส่วนมากเห็นพ้องต้องกันว่ามีโองการที่ไม่ถูกต้องปรากฏ อยู่(ในอัลกุรอานฉบับปัจจุบัน)ซึ่งเป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก ตลอดจนมีอุลามาอ์ชีอะฮฺบางส่วนกล่าวว่าบางโองการของอัลกุรอานได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน ได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน ได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน”


คนที่ 2. อยาตุลลอฮฺ กอซิม อัลฮาอิรีย์
“อัลกุรอานที่ถูกต้องและแท้จริงอยู่กับท่านอิมามอะลี และต่อมาก็ได้ถูกสืบทอดโดยท่านอิมามฮะซันและต่อมาก็อยู่กับท่านฮุเซน และอัลกุรอานที่ถูกต้องในขณะนี้นั้นอยู่กับอิมามมะฮฺดี ซึ่งเมื่อถึงคราวที่ท่านปรากฏตัวใกล้วันกิยามะฮฺ ท่านจะเอามันมาด้วย ซึ่งอัลกุรอานที่เรามีอยู่ในขณะนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่ เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบางอย่างภายในมัน อุลามาอ์บางส่วนกล่าวว่า มันไม่สมบูรณ์และอุลามาอ์บางส่วนกล่าวว่ามันได้สูญหายไป และนี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา นี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา นี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา!!! 

คำถามสำหรับรอฟิเฎาะฮ์
1.ฮุ กุ่มแก่คนทั้งสองคืออะไร กาเฟร หรือ มุสลิม?
2.ทั้งสองพูดถูกแล้ว หรือว่ารอฟิเดาะฮ์ที่เชื่อต่างจากทั้งสองเป็นฝ่ายผิด?


คลิปหลุดระบำเกย์ของผู้รู้รอฟิเฎาะฮฺ!!!!!


หลุดจนเป็นที่แตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว เมื่อรัฐอิหร่านที่เคยประกาศตัวเองว่าเป็น "รัฐอิสลาม" ได้เกิดมีคลิประบำเกย์หลุดออกมา ซึ่งระบำเกย์ดังกล่าวนี้กระทำขึ้นในศาสนสถานแห่งหนึ่งในอิหร่าน ภายใต้การดูแลของอุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺ ซึ่งท่านสามารถรับชมคลิประบำเกย์ดังกล่าวได้เลย



1) คลิปวิดิโอนี่ ไม่ได้ถ่ายที่มัสยิดหรอกครับ แต่ถ่ายในสถานที่ ๆ เลวร้ายกว่านั้น คลิปนี้ถ่ายที่หลุมฝังศพจำลองของอะบูลุลุอะห์ ซึ่งเป็นฆาตกรสังหารคอลีฟะห์อุมัร (ร) พวกชีอะห์จะมาเฉลิมฉลองกันที่นี่ทุกปีในวันที่ 7 รอบีอุลเอาวัล ดู http://www.siamic.com/islam/index.php?t ... B%E0%B8%BA ก่อนที่จะถูกปิด ไม่ให้คนเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกต่อไป (เพราะโลกอิสลามต่อต้านอิหร่านอย่างรุนแรง หลังจากมีคลิปนี้ออกมา) สุสานจำลองที่ชาวชีอะห์ไปเคารพสักการะนี่ อยู่ในกาชาน จังหวัดอิศฟาฮาน อิหร่าน

2) นี่เป็นการเต้นรำและร้องเพลงสรรเสริญอะบูลุลุอะห์ ที่เป็นพระเอกของชาวอิหร่าน เพราะสามารถลอบฆ่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในอิสลามได้ เห็นชัด ๆ เลยว่าพวกนี้เกลียดอิสลามที่แท้จริงมากแค่ไหน

คำยืนยันจากอิมามอัลคูอีย์"

อัลกุรอานฉบับปัจจุบันถูกบิดเบือนแล้ว!!!"




ชาวรอฟิเดาะฮ์นั้นมักจะปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดในประเด็นของการบิดเบือนอัลกุรอาน ถ้าหากยังจำกันได้ถึงวิดีโอ ที่ท่านอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ เคยไปถกทางวิชาการกับ อ.สุไลมาน ของฝ่ายรอฟิเดาะฮ์นั้น เราจะพบว่า อ.สุไลมานได้พยายามปฏิเสธตลอดการเสวนาว่ารอฟิเดาะฮ์ไม่ได้เชื่อว่า อัลกุรอานไม่สมบูรณ์ส่วนหะดิษต่างๆที่ปรากฏอยู่ในตำราของฝ่ายชีอะฮที่ระบุว่าอัลกุรอานถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหะดิษดออีฟ(อ่อน) ไม่สามารถนำมาใช้ได้ 

อย่างไรก็ตามเข้าใจได้ว่าการปฏิเสธในลักษณะของ อ.สุไลมาน คงทำไปตามหลักการ "อัตตะกียะฮ์" หรือการซ่อนเร้นอำพราง เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้น หะดิษจากฝ่ายรอฟิเดาะฮ์ที่ระบุถึงความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอานนั้นได้ผ่านการตรวจสอบตามระบบตรวจสอบหะดิษ(มุสตอละฮ์)ของทางฝ่ายรอฟิเดาะฮ์แล้วว่ามันมีความ "ศอเฮี๊ยฮ์" เชื่อถือได้!!

ปรากฎในหนังสือชิ้นสำคัญของ อิมามอัลคูอีย์ อุลามาอ์รอฟิเดาะฮ์จากเมืองนะญัฟ ประเทศอิรัคที่ชื่อว่า "มัจมัวอฺอัลบะยานฟิตัฟซีรอัลกุรอาน" ซึ่งเจ้าตัวได้ตอบคำถามแก่ชาวรอฟิเดาะฮ์ไว้ว่า



ถาม: บรรดาสายรายงาน(หะดีษ)มุตะวาติร(ยิ่งกว่าศอเฮี๊ยฮ์)จากบรรดาอะฮฺลุลเบต อลัยฯ ได้ชี้ให้เห็นว่า 

การบิดเบือนได้ปรากฏขึ้นในอัลกุรอาน และดังนั้นอัลกุรอานจะต้องถูกเลือกนำมาใช้ใช่ไหม? (เอามาใช้ทั้งหมดไม่ได้-ผู้แปล)

ตอบ:ตอบ : ผู้คนที่รายงานมาจากอะฮฺลุลบัยตฺซึ่งปรากฎอยู่ในอิสนาดของมันนั้นนำเอารายงานมาจากบรรดาอิมามซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความถูกต้อง


ต่างคนต่างบิดเบือน


คำถามที่สุลัยมาน หุสัยนีย์(แกนนำชีอะฮฺในไทย) ไม่กล้าตอบ!!!


เพราะต่างคนก็ต่างบิดเบือนเพื่อเอามาสนองตัณหาในเรื่องอำนาจ
และการปกครอง เพื่อกดขี่มุสลิม ผู้ไม่รู้ความในอัลกุรอาน
ได้แต่ฟังอีหม่าม กรอกหูว่า นี่คำสั่งของอัลเลาะห์ 

ที่มา http://shiahcode.blogspot.com/2009/05/blog-post_4091.html


ผมได้ดูวีดีโอการเสวนาระหว่างฝ่ายซุนนีและฝ่ายชีอะฮฺ ซึ่งเป็นวีดีโอที่นานพอสมควรแล้ว สัก 10 ปีแล้วเห็นจะได้ แต่ถึงแม้จะนานแค่ไหนก็ตามดูเหมือนวีดีโอดังกล่าวนนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงกัน อยู่จนถึงทุกวันนี้จากฝ่ายชีอะฮฺ ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺและความอัปยศอย่างน่าอดสูของพวกวะฮาบี ย์!!!! ผมเองจากการได้ดูวีดีโอชิ้นนี้ก็ยอมรับนะครับว่าคุณสุลัยมาน ของฝ่ายชีอะฮฺนั้นเป็นนักพูดตัวยงและถือเป็นคนที่ถ่ายทอดสื่อสารเก่งพอดู ผิดกับโต๊ะครูฝ่ายซุนนีที่การพูดค่อนข้างจะไม่เอาอ่าวเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของความเป็นวิชาการและข้อมูลของคุณสุลัยมานแล้ว ผมเห็นจะบอกได้อย่างเต็มปากว่า คุณสุไลมานยังอ่อนหัดและนิยมใช้วิทยายุทธการตะกียะฮฺในการเสวนาอยู่มาก

อนึ่งบทความมิได้มีเจตนาจะวิภาษทุกๆส่วนของวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้ หากแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของคุณสุลัยมานใน ประเด็นของอัลกุรอาน ตลอดจนการบิดเบือนผู้ฟังถึงข้อเท็จจริงของการบิดเบือนอัลกุรอานของฝ่ายชีอะ ฮฺ

ในวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้เกี่ยวกับประเด็นของอัลกุรอาน คุณสุลัยมานสรุปเอาว่า รายงานหรือริวายัติที่ระบุถึงการบิดเบือนในอัลกุรอานตามที่ปรากฎในตำราของชี อะฮฺนั้น หมายถึงการบิดเบือนในเชิงความหมาย หาใช่หมายถึงการบิดเบือนโดยการเพิ่มเติมอัลกุรอานเข้าไปใหม่ไม่ พร้อมกับได้ยกตัวอย่างในซูเราะฮฺอัศศอฟาที่เกี่ยวกับท่านนบีอิสมาอีล มาเป็นตัวอย่างแก่ผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตอนที่ท่านอาจารย์อะมีน เหมเสริม ของฝ่ายซุนนีได้ทำการยกหลักฐานจากตัฟซีรอัลกุมมี โดยการอ่านอายะฮฺกุรซี ที่ถูกระบุอยู่ในตำราของฝ่ายชีอะฮฺอย่างตัฟซีรอัลกุมมี ปรากฏพบว่าอายะฮฺกุรซี ในตัฟซีรอัลกุมมี นั้นผิดเพี้ยนและแตกต่างจากอัลกุรอานฉบับที่มุสลิมทั่วโลกเขาใช้กัน โดยมีการเพิ่มประโยคบางประโยคเข้าไป ซึ่งหากใครยังไม่เคยได้รับชมวีดีโอชิ้นนี้กรุณาดูให้เข้าใจเสียก่อน


http://www.youtube.com/v/5Z_4R-tvAQw&hl=en_US&fs=1&

http://www.youtube.com/v/vcgcdctIoyM&hl=en_US&fs=1&

http://www.youtube.com/v/yyYNUyV4Ymw&hl=en_US&fs=1&


จากวีดีโอที่ได้ยกมานี้เราจะพบว่า ท่านอาจารย์อะมีน ได้อ่านอายะฮฺกุรซี ในเวอร์ชั่นชีอะฮฺออกมา จากนั้นทีมงานชีอะฮฺผู้อัดวีดีโอชิ้นนี้ก็ได้แสดง ความเขลา ออกมาโดยการขึ้นตัวอักษรว่า "เกินจริงหรือ" ในวีดีโอชิ้นที่สอง และจากนั้นในวีดีโอชิ้นที่สาม เมื่อถึงคราวที่คุณสุไลมานต้องพูด คุณสุไลมานก็เฉไฉ ด้วยการอ้างว่าตอบเคลียหมดแล้ว อยู่ที่ท่านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจต่างหาก โดยพยายามเลี่ยงไม่ตอบหลักฐานที่อาจารย์อะมีน นำมาอ่านให้ฟัง แล้วก็เปิดประเด็นเรื่องซอฮาบะฮฺเข้ามาแทน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงหลักฐานของท่านอาจารย์อะมีน นั้นเป็นหมัดเด็ดที่สำคัญที่มาล้มล้างคำอธิบายมักง่ายของคุณสุไลมานในตอนต้น ที่ว่าอัลกุรอานนั้นบิดเบือนในเชิงความหมายเท่านั้น !!! เพราะหลักฐานที่ท่านอาจารย์อะมีนได้อ่านไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการ บิดเบือนอัลกุรอานตามที่ปรากฏอยู่ในตำราของลัทธิชีอะฮฺนั้นหมายถึงการบิด เบือน โดยการเพิ่มข้อความใหม่ๆเข้าไป หาใช่การบิดเบือนในเชิงความหมาย และเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบันไม่สมบูรณ์ และชีอะฮฺใช้อัลกุรอานคนละเล่มกับซุนนีย์!!!!

สำหรับทีมงานชีอะฮฺผู้ทำ วีดีโอชุดนนี้ออกมาปล่อยทางเว็บไซต์ ผมก็อยากจะกล่าวว่า การที่ท่านแสดงความขี้เท่อออกมาด้วยการเขียนข้อความในวีดีโอแทรกขึ้นมาว่า "เกินจริงหรือ" นั้นท่านได้เคยอ่านตัฟซีรอัลกุมมีบ้างแล้วสักครั้งหรือยัง? หากว่ายัง อย่างน้อยท่านก็ไม่ควรแสดงความฉลาดน้อยออกมาให้เห็นกันได้ขนาดนี้ เพราะอะไรนั้นหรือ? ก็เพราะว่าในวันนี้นั้นพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงเปิดโปงอากีดะฮฺที่แท้จริงของชี อะฮฺ เกี่ยวกับอัลกุรอานซึ่งจะเป็นหลักฐานที่มาสนับสนุนคำพูดของอาจารย์อะมีนในวี ดีโอชิ้นนี้ว่า อาจารย์อะมีนเป็นผู้ที่พูดจริง และคุณสุไลมานก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามของท่าน อาจารย์อะมีน นั่นเอง

หลักฐานดังกล่าวนำมาจากเว็บไซต์ชื่อดังของโลกชี อะฮฺเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเว็บไซต์ ศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ เว็บไซต์ดังกล่าวก็คือ อัลชีอะฮฺ ดอมคอม ซึ่งเป็นเว็บภาษาอาหรับ และที่สำคัญเว็บนี้มีตำราชีอะฮฺให้ดาวน์โหลดมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือ ตัฟซีรอัลกุมมี !!!! เมื่อเราได้ทำการเข้าไปโหลด หนังสือเล่มดังกล่าวโดยเฉพะไปตรงส่วนของการตัฟซีรอายะฮิกุรซี เราจะพบสิ่งที่น่าตกใจก็คือ อายะฮฺกุรซีของชีอะฮฺไม่เหมือนของซุนนี!!! และเป็นแบบเดียวกับที่อาจารย์อะมีน เหมเสริมอ่านมันในวีดีโอ และสุไลมานนก็หลีกเลี่ยงไม่ตอบนั่นเอง!!!!!!!!!

กรุณาดูอายะฮฺกุรซีจากตัฟซีรอัลกุมมี ที่เราได้ทำการบันทึกมาจากหน้าเว็บไซต์ของพวกชีอะฮฺ(หากเห็นไม่ชัดกรุณาคลิกที่รูป)
โปรดสังเกตุตรงขีดสีแดงจะพบว่ามีการเพิ่มข้อความเข้ามาซึ่งผิดเพี้ยนจากอายะฮฺกุรซี ที่เราอ่านๆกันทุกวันหลังละหมาดฟัรดู
อีก หลักฐานหนึ่งก็คือจากเว็บไซต์ชีอะฮฺเช่นกันชื่อเว็บว่า 14mason.com ซึ่งปรากฎหะดีษจากกุลัยนี ซึ่งมีระบุอายะฮิกุรซี แบบเดียวกับตัฟซีรอัลกุมมีเป๊ะ

เราได้พบเห็นกันแล้วว่า ในขณะที่ชีอะฮฺเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเราปากจะพูดเสมอว่าอัลกุรอานสมบูรณ์ๆๆๆ แต่ในเว้บไซต์ของพวกเขากลับสอนว่าอัลกุรอานไม่สมบุรณ์

เมื่อเราได้พบหลัก ฐานที่ชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว ก็อยากให้เราถามดูว่านี่หรือชัยชนะของการเสวนาที่ชีอะฮฺ ยกย่องและภูมิใจ การตะกียะฮฺหลีกเลี่ยงไม่ตอบนี่คือชัยชนะของชีอะฮฺงั้นหรือ และนี่ก็คือตัวอย่างเดียวจากหลายๆตัวอย่างที่คุณสุไลมานได้บิดเบือนไป

สำหรับ ทีมานชีอะฮฺผู้ทำวีดีโอชิ้นนี้ที่อุตส่าแสดงความเขลาออกมาด้วยการขึ้นตัว อักษรว่า "เกินจริงเหรอ" ก็ขอตอบว่า โครตจริงครับ น้องตะกียะฮฺ เอ๋ย

อ้อ ในวีดีโออันที่สองผมเห็นแว่บๆ ว่ามีตัวอักษรขึ้นใหญ่เลยว่า ชีอะฮฺท้าสาบานมุบาฮาละฮฺ ใครจะรับคำท้าบ้าง ก็ขอตอบว่าเมื่อเห็นการตะกียะฮฺกันขนาดนี้แล้ว จะกลัวกันอีกหรือ ผมคนนึงล่ะครับที่ขอรับคำท้าสาบานมุบาฮาละฮฺ

แต่ถ้าชีอะฮฺจะมาหา ทางออกด้วยวิชามารตลอดกาลว่า เราไม่ยอมรับตัฟซีรอัลกุมมี ก็อยากบอกว่า สายไปแล้วล่ะครับ ในวีดีโอดังกล่าวนั้นคุณสุไลมานก็ออกปากยอมรับตัฟซีรอัลกุมมีเอง และกรุณาอ่านความยิ่งใหญ่ของตัฟซีรอัลกุมมีจากเว็บไซต์ชีอะฮฺภาษาไทยได้ที่

http://www.quranrasul.com/quranrasul/content/view/112/99/

อัลจาซีร่ารายงานว่า 
ในอินโดมีการบิดเบือนกุรอานมากที่สุด
http://www.iqna.ir/th/news_detail.php?ProdID=740397

ฝ่ายข่าวต่างประเทศ : ทางสถานีโทรทัศน์ อัลจาซีร่า ได้รายงานในเรื่องนี้ว่า ร้อยละ 90 ของกุรอานที่มีอยู่ในอินโดนีเซีย (ประเทศอิสลามที่ใหญ่สุด) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ที่ไม่ใช่อิสลาม ซึ่งทำให้กุรอานที่มีอยู่ในอินโดมีการบิดเบือนและมีข้อผิดพลาดอย่างมาก.

ตามรายงานสำนักข่าวกุรอาน(อิคนอ) โดยรายงานจากแหล่งข่าว อัลวัฟดฺ ว่า อาดันก์ กัรตานา ผอ.สำนักพิมพ์กุรอานแห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย ได้เปิดเผยในเรื่องนี้ว่า การจัดพิมพ์กุรอานที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากขาดความไตรตรองและสะเพร่า จะเกิดขอผิดพลาดและไม่เหมาะสมกับฐานะภาพอันสูงส่งของกุรอาน.

เขากล่าวว่า กุรอานฉบับที่สำนักพิมพ์ได้จัดพิมพ์ ขึ้นมา มีข้อผิดพลาดหลายอย่าง ซึ่งหลังจากที่ได้ให้ทางองค์กรศาสนาตรวจทาน และได้ส่งคืนกลับยังสำนักพิมพ์ เพื่อแก้ไข แต่ทางสำนักพิมพ์ก็เฉยเมย ตั่งใจที่จะพิมพ์เหมือนเช่นเดิม. ในขณะเดียวกันทางผู้บริหารซึ่งไม่ใช่ชาวมุสลิม ก็ได้ยืนกรานในความถูกต้องของสิ่งนี้ ว่า ไม่มีข้อผิดพลาด.

ในปี 1957 ทางกระทรวงกิจการศาสนาอินโดนีเซีย ได้จัดตั่งสมาพันธ์คณะตรวจสอบแก้ไขกุรอาน และได้จัดตั่งสถาบัน โรงพิมพ์อัลกุรอานขึ้นมา เพื่อทดแทนสำนักพิมพ์ของอินเดียและอาหรับ.739638



ซีเรีย ออกคำสั่งห้ามนักศึกษาหญิง
ที่แต่งกายแบบปิดหน้า เข้าบริเวณมหาวิทยาลัย

ซีเรีย ออกคำสั่งห้ามนักศึกษาหญิงที่แต่งกายแบบปิดหน้า เข้าบริเวณมหาวิทยาลัย
สำนักข่าวอัลอาราบิญา – สำนักข่าวซีเรีย นิวส์ รายงานทางสื่อออนไลน์ว่า รัฐมนตรีด้านการอุดมศึกษาซีเรีย Ghiath Barakat ออกคำสั่งห้ามนักศึกษาหญิงที่แต่งกายแบบปิดหน้า เข้าบริเวณมหาวิทยาลัย หลังจากมีการสั่งปลดครูที่ปิดหน้าออกจากตำแหน่งจำนวนกว่าพันคนเมื่อเร็วๆ นี้

รัฐมนตรีอ้างว่า การตัดสินใจดังกล่าว เกิดจากการที่ผู้ปกครองหลายคนส่งคำร้องมายังฝ่ายบริหาร ว่าไม่ต้องการให้ลูกๆ อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สุ่มเสี่ยง ในกลุ่มของผู้มีแนวคิดที่สุดโต่ง ความกังวลในเรื่องนี้มีมากในกลุ่มผู้ปกครองที่ลูกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งมากจนผู้บริหารต้องเข้าพบรัฐมนตรีเมื่อวันพุธสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้

แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่กระทรวงกล่าวว่า รัฐมนตรีให้เหตุผลในการห้ามปิดหน้าในมหาวิทยาลัยว่า ไม่สอดคล้องกับหลักการ และกฎระเบียบของสถาบัน และว่าไม่อาจให้นักศึกษาต้องตกเป็นเหยื่อของความคิดแบบสุดโต่ง และเรียกร้องให้มีความระแวดระวังกลุ่มเยาวชน เนื่องจากมีความอ่อนด้อยความรู้จึงทำให้ถูกชักจูงง่าย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เว็ปไซต์ Kolona Shorakaa ซึ่งควบคุมดูแลโดยอัยมาน อับดุล-นูรฺ สมาชิกพรรค Baath ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในสภา คุยโวว่า เบื้องหลังของคำสั่งห้ามปิดหน้ามาจากความคิดของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพรรคดังกล่าว การร้องเรียนของผู้ปกครองเป็นเพียงเรื่องที่ยกขึ้นมาบังหน้า

ตามข้อมูลจากเว็ปไซต์ดังกล่าว สมช. เป็นผู้ชี้แนะให้รัฐมนตรีที่อยู่ในสังกัดของพรรค นำร่องเรื่องนี้โดยให้เริ่มในกระทรวงที่บริหารอยู่ก่อน

ในแถลงการณ์ของรัฐมนตรีดูแลการศึกษาพื้นฐาน อะลี ซาอัด ที่ประกาศปลดครูคลุมหน้า 1,200 คนเมื่อเดือนมิถุนายน มีข้อความระบุว่า การห้ามคลุมหน้าจะใช้บังคับโดยกระทรวงอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ 

ทั้งสงสาร ทั้งอ่อนใจ


โจรใต้ดักซุ่มยิงรถบัสทหารที่บาเจาะเจ็บระนาว
http://www.pastnews.org/index.php?option=com_content&view=article&id=3570:2011-03-30-03-31-00&catid=1:2009-06-22-17-01-59

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 29 มี.ค. 54 พ.ต.อ.ภักดี ปรีชาชน ผกก.สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน พร้อมอาวุธปืนสงครามครบมือ แยกย้ายกันนั่งรถยนต์กระบะจำนวน 2 คัน ไล่ตามประกบรถบัสของเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 และใช้อาวุธปืนสงครามยิงบนถนนเพชรเกษม สายปัตตานี-นราธิวาส ช่วงบริเวณบ้านจำปากอ ม.1 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ ทำให้รถยนต์บัสได้รับความเสียหาย และมีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายนาย จึงพร้อมด้วย น.ท.รัฐโรจน์ อภิรัชช์รัศมี ผบ.ฉก.นราธิวาส 32 และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จำนวนหนึ่ง รุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

พบรถยนต์บัสที่ทหารนั่งโดยสารมาจำนวน 10 คัน จอดอยู่ริมถนน และมีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งเดินมุงอยู่ที่รถบัสคันหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพกระจกด้านตัวถังด้านซ้ายของคนขับมีร่องรอยถูกกระสุนปืนเป็นรู พรุน เจ้าหน้าที่จึงได้ขึ้นไปตรวจสอบ พบคราบเลือดเป็นจำนวนมากตกกระจายอยู่บนเบาะนั่งและที่บริเวณพื้นทางเดิน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลบาเจาะไปก่อนหน้า แล้ว

ประกอบด้วย 1.ร.ท.ชำนาญ แสวงธรรม 2.พ.จ.อ.สิงหา แก้วคำชาติ 3.พ.จ.อ.เฉลิมพล ปันยารชุน 4.จ.อ.รุ่งนิรันดร์ มหาโภค 5.พลฯกิตติพงศ์ เข็มอุทา 6.พลฯมนตรี นามลีหาญ และ 7.พลฯอดิเรก หอมหวน ซึ่งทั้ง 7 นาย ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณขาซ้ายและบั้นเอวอาการสาหัส แพทย์ต้องส่งตัวรักษาต่อยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์

จากการสอบสวนทราบว่า ในขณะที่ทหารชุด ฉก.นราธิวาส 32 จำนวน 400 นาย นั่งรถยนต์บัสจำนวน 10 คัน กลับจากพัก เพื่อเดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามวาระที่ อ.บาเจาะ ในระหว่างที่รถบัสทหารกำลังวิ่งกันมาตามขบวน โดยมีรถยนต์กระบะของเจ้าหน้าที่ทหาร ชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 วิ่งนำหน้าและปิดท้ายขบวน เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แยกย้ายกันนั่งรถยนต์กระบะสีแดงและสีขาวได้พยายามวิ่งแซงขบวน

เมื่อสบโอกาสคนร้ายที่นั่งกระบะหลังทั้ง 2 คัน ได้ใช้อาวุธปืนสงครามอ็ม.16 และ อา.ก้า. ยิงใส่รถยนต์บัสทหารคันที่ 2 จำนวนหลายชุดใหญ่ กว่า 30 นัด แล้วรีบขับรถยนต์หลบหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารที่นั่งอยู่บนรถบัสถูกกระสุนปืนของคนร้าย ต่างได้ตะโกนบอกให้คนขับรถรับทราบ และได้นำรถบัสจอดริมถนน เพื่อนทหารจึงได้ช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาล พร้อมทั้งแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ และเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุดังกล่าว

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อ ว่า เป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เนื่องจากจุดเกิดเหตุดังกล่าวในรอบทุกๆปีที่ผ่านมา กลุ่มคนร้ายมักลอบก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหลายนาย





โจรใต้ยิงรถบัสทหารสับเปลี่ยนกำลังพลเจ็บ 7 นาย ที่ อ.บาเจาะ
http://peace.chaotainews.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2081:--7---&catid=10:2008-07-22-05-57-22&Itemid=10

เมื่อ เวลา 17.30 น. วันที่ 29 มี.ค. 54 พ.ต.อ.ภักดี ปรีชาชน ผกก.สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน ใช้รถยนต์กระบะจำนวน 2 คันเป็นพาหนะ ก่อนใช้อาวุธปืนสงครามยิงรถบัสของเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 บนถนนเพชรเกษม สายปัตตานี-นราธิวาส บ้านจำปากอ หมู่ 1 ต. บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ ทำให้รถยนต์บัสได้รับความเสียหายและมีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บจำนวน หลายนาย จึงพร้อมด้วย น.ท.รัฐโรจน์ อภิรัชช์รัศมี ผบ.ฉก.นราธิวาส 32 และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถยนต์บัสจำนวน 10 คัน จอดอยู่ริมถนน และมีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่รถบัสคันหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพกระจก ด้านตัวถังด้านซ้ายของคนขับ มีร่องรอยถูกกระสุนปืนเป็นรูพรุน เจ้าหน้าที่จึงได้ขึ้นไปตรวจสอบพบคราบเลือดเป็นจำนวนมากตกกระจายอยู่บนเบาะ นั่งและที่บริเวณพื้นทางเดิน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษา รพ.บาเจาะ ไปก่อนหน้าแล้ว

ประกอบด้วย 1.เรือโทชำนาญ แสวงธรรม 2.พ.จ.อ.สิงหา แก้วคำชาติ 3.พ.จ.อ.เฉลิมพล ปันยารชุน 4.จ.อ.รุ่งนิรันดร์ มหาโภค 5.พลฯกิตติพงศ์ เข็มอุทา 6.พลฯมนตรี นามลีหาญ และ 7.พลฯอดิเรก หอมหวน ซึ่งทั้ง 7 นายถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณขาซ้ายและบั่นเอวอาการสาหัส แพทย์ต้องนำส่งตัวรักษาต่อยัง รพ.นราธิวาสราชนครินทร์

จากการสอบสวนทราบว่า ในขณะที่ทหารชุด ฉก.นราธิวาส 32 จำนวน 400 นาย นั่งรถยนต์บัสจำนวน 10 คัน เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ตามวาระที่ อ.บาเจาะ และในระหว่างที่รถบัสทหารกำลังขับตามกันมาโดยมีรถยนต์กระบะของเจ้าหน้าที่ ทหาร ฉก.นราธิวาส 32 วิ่งนำหน้าขบวนและปิดท้ายขบวน เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แยกย้ายกันนั่งรถยนต์กระบะสีแดงและสีขาวพยายามขับแซงขบวน เมื่อสบโอกาสคนร้ายที่นั่งกระบะหลังทั้ง 2 คัน ได้ใช้อาวุธปืนสงครามอ็ม.16 และ อา.ก้า. ใส่รถยนต์บัสทหารคันที่ 2 จำนวนกว่า 30 นัด แล้วรีบขับรถยนต์หลบหนี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 7 นาย

ส่วน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ไม่ หวังดี เนื่องจากจุดเกิดเหตุดังกล่าวกลุ่มคนร้ายมักลอบก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้ว หลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหลายนาย





 ยิงถล่มฐานทหารพราน ที่จังหวัดยะลา
http://www.ch7.com/news/news_thailand_detail.aspx?c=2&p=376&d=134664


อาสาสมัครทหารพรานสุรศักดิ์ แก้วเพ็ง และอาสาสมัครพรานปราโมทย์ ขุนล้ำ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 เข้าใส่ฐานทหารพราน 47 บ้านบ่อเจ็ดลูก ตำบลยุโป อำเภอเมืองยะลา โดยคนร้ายได้ลอบเข้าไปบริเวณด้านหลังของฐานทหารพรานดังกล่าว แล้วยิงเอ็ม 79 เข้าใส่ ประมาณ 5-6 ลูก และเกิดการปะทะกันประมาณ 10 นาที จากนั้นคนร้ายได้หลบหนีไป และในเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่ม ชุดชป.16 ของตำรวจ สภ.ธารโต จังหวัดยะลา ที่บ้านธารโต อำเภอธารโต แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่อำเภอยะหา คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามยิงถล่มฐานปฏิบัติการร้อย ร.1542 บ้านปะแต และเกิดการปะทะกันนานประมาณ 5 นาที ไม่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ




หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 13 ระดมจนท.ปิดล้อม
ตรวจค้นพบสิ่งของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซุกซ่อนเพียบ
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/45807

พันเอกบรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า เมื่อเช้ามืดของวันนี้ (31 มี.ค. 54)เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 13 ลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ ตามแผนยุทธการหลักชัย 06 ในพื้นที่อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา ตามที่ได้ปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง บริเวณบ้านอุเป ตำบลกรงปินัง อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา หลังได้รับแจ้งเบาะแส จึงได้จัดกำลังเข้าตรวจสอบโดยทันที ผลการตรวจค้นพบสิ่งของบรรจุอยู่ในถุงพลาสติก วางบนพื้นดินมีใบไม้ปกปิดไว้ จำนวน 4 รายการด้วยกัน ประกอบด้วย ซองกระสุนปืน ปลย.เอ็ม 16 ชนิด 20 นัด จำนวน 2 ซอง ซองปืนพก สีดำ จำนวน 1 ซอง สายสะพายปืน จำนวน 1 เส้น และ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนหนึ่ง ต่อมาหน่วยเจ้าหน้าที่ทหารฉก.13 ได้ประสานชุดนิติวิทยาศาสตร์ มาดำเนินการเก็บหลักฐานเพื่อนำไปตรวจพิสูจน์และขยายผลต่อไป

     โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 สน. ยังได้กล่าวอีกว่า กอ.รมน.ภาค 4  ยังคงสั่งกำชับให้หน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ ดำรงการปฏิบัติในการลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ เพื่อกดดันและจำกัดเสรีการปฏิบัติของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

กระเทาะเปลือกไฟใต้ใครบงการ_ปชป​.​ดันตั้งนครอิสลาม


ปชป​.​ดันตั้งนครอิสลาม
​โพสต์ทู​เดย์​ — ​อดีต​ ​ส​.​ส​.​ปชป​.​ชง​ ​รูปแบบปกครองพิ​เศษชายแดนภาค​ใต้​ ​เลียนแบบมา​เลเซีย

​นายพีรยศ​ ​ราฮิมมูลา​ ​อดีต​ ​ส​.​ส​.​พรรคประชาธิปัตย์​และ​อดีตอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์​ ​มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์​ ​วิทยา​เขตปัตตานี​ ​กล่าวว่า​ ​กลุ่ม​ ​ส​.​ส​.​ใน​จังหวัดชายแดนภาค​ใต้​เตรียม​จะ​เสนอรูปแบบการปกครอง​ใน​จังหวัดชายแดนภาค​ใต้​ใน​ลักษณะ​โครงสร้างพิ​เศษเพื่อกระจายอำ​นาจบริหารราชการ​ใน​พื้นที่

​นายพีรยศ​ ​กล่าวว่า​ ​จะ​เสนอโครงสร้างดังกล่าวต่อที่ประชุม​ใน​เวที​ ​ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา​ ​พัฒนา​ ​ชายแดน​ใต้​ ​ระหว่างวันที่​ 14-15 ​ก​.​ค​.​ที่นายอภิสิทธิ์​ ​เวชชาชีวะ​ ​หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์​ ​มา​เป็น​ประธาน​ ​ซึ่ง​จัดที่​ ​อ​.​หาด​ใหญ่​ ​จ​.​สงขลา

“​แนวคิดการกระจายอำ​นาจลงสู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดน​ใต้​ ​ควร​จะ​เป็น​ไป​ใน​ลักษณะ​เดียว​กัน​กับ​รัฐกลันตัน​ ​ประ​เทศมา​เลเซีย​ ​โดย​จะ​มีมุขมนตรีทำ​หน้าที่​เสมือนนายกรัฐมนตรีประจำ​รัฐ​ ​ขณะ​เดียว​กัน​สุลต่านประจำ​รัฐ​ ​ก็​จะ​ทำ​หน้าที่ดู​แลงานด้านพิธีการต่างๆ​ ​ซึ่ง​รูปแบบนี้​จะ​ไม่​ใช่​การปกครองตนเอง​หรือ​แบ่งแยกดินแดน​ ​แต่​เรียกว่า​เป็น​การปกครองเฉพาะพื้นที่​” ​นายพีรยศ​ ​กล่าว

​นายพีรยศ​ ​กล่าวอีกว่า​ ​รูปแบบดังกล่าว​สามารถ​เกิดขึ้น​ได้​จริงเพียงแค่การปรับโครงสร้างการบริหารราชการ​ใน​ระดับท้องถิ่น​และ​แก้​ไขกฎหมายบางข้อ​ ​โดย​เฉพาะการเพิ่มบทบาท​และ​โครงสร้างรวม​ถึง​ยกระดับของนายกองค์การบริหาร​ส่วน​จังหวัด​ให้​มี​ความ​ชัดเจนมากขึ้น

​นอก​จาก​นี้​ ​ผู้​ว่าราชการ​จะ​ยัง​มี​อยู่​เหมือนเดิม​และ​จะ​ทำ​หน้าที่ฐานะตัวแทนรัฐบาลกลาง​ ​มีอำ​นาจหน้าที่กำ​กับ​ดู​แลข้าราชการ​ใน​ภูมิภาค​ ​รวม​ถึง​งานพระราชพิธีต่างๆ​ ​ส่วน​งานการเมือง​ให้​เป็น​หน้าที่ของนายกองค์การบริหาร​ส่วน​จังหวัด

​ด้านนายการัณย์​ ​ศุภกิจวิ​เลขการ​ ​ผวจ​.​นราธิวาส​ ​กล่าวว่า​ ​ขอ​ให้​โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามทุกแห่งไปสอบตรวจประวัติอุสตาซทุกคน​ ​เพื่อ​ให้​มั่นใจว่าอุสตาซ​ไม่​เป็น​ฝ่ายตรงข้าม​และ​ให้​ถือว่า​โรงเรียนอิสลามบูรพา​ ​เป็น​ตัวอย่างแหล่งซ่องสุมโจรก่อการร้าย​จึง​ขออย่า​ให้​เกิดขึ้น​ใน​พื้นที่อีก

“​ฝ่าย​ความ​มั่นคง​ยัง​คงมีข้อมูลว่า​โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม​ใน​พื้นที่​ ​จ​.​นราธิวาส​ ​หลายโรงเรียนที่มี​ส่วน​เกี่ยวข้อง​กับ​การก่อเหตุ​หรือ​เป็น​ปอเนาะ​ ​สี​แดง​ ​แต่หลักฐาน​ยัง​ไม่​ชัด​ ​จึง​ขอเตือน​ผู้​บริหาร​และ​อุสตาซทุกแห่งอย่า​ไปยุ่งเด็ดขาด​” ​ผวจ​.​นราธิวาสกล่าว

​ทั้ง​นี้​ ​ผวจ​.​นราธิวาส​ ​ได้​เชิญตัวแทนสำ​นักงานเขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส​ ​เขต​ 1 ​ผู้​บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม​ใน​พื้นที่​ 13 ​อำ​เภอ​ ​จ​.​นราธิวาส​ ​ทั้ง​ 3 ​เขต​ ​เพื่อชี้​แจงเรื่องการถอนใบอนุญาตโรงเรียนปอเนาะ

​ด้าน​ ​พ​.​อ​.​อัคร​ ​ทิพโรจน์​ ​โฆษกกองทัพบก​ ​กล่าวว่า​ ​ขณะนี้​สามารถ​ควบคุม​ผู้​ต้อง​หา​จาก​การ​เข้า​ตรวจ​ค้น​ทั้ง​หมดรวม​ 356 ​คน​