โดย ‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’
การปลุกกระแส ชี้นำ บิดเบือนในเรื่องประวัติศาสตร์ปัตตานี หากเราคือผู้หนึ่งที่ท่องโลกอินเตอร์เน็ตคงผ่านตาเห็นเนื้อหา บทความต่างๆ ที่มีลักษณะกล่าวหาว่าดินแดนปัตตานีถูกรุกรานจากการการล่าอาณานิคม ถูกข่มเหงรังแกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ในการประกอบศาสนกิจ ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศไทย อีกทั้งพยายามชี้เชื่อมโยงให้เห็นว่าพื้นที่ปัตตานีเป็นดินแดน “ดารุลฮัรบี”
การปลุกระดมที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อทางเลือกในเรื่อง “ดารุลฮัรบี” เป็นแค่ช่องทางหนึ่งที่สร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายหาสมาชิกแนวร่วมของกลุ่มขบวนการ ซึ่งเราสามารถรับรู้พฤติกรรมบางส่วนของผู้ที่แอบแฝงอยู่ในโลกเสมือนจริง
การเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์หรือสื่อทางเลือก กลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้นการสร้างกระแสของกลุ่ม ผกร.อยู่ในวงจำกัดการรับรู้ยังไม่ครอบคลุมไปยังกลุ่มอื่นๆ
สิ่งที่เป็นประเด็นและเป็นปัญหาต่อความมั่นคง คงจะเป็นการบรรยายธรรมของบาบอในการละหมาดอีซา ตามมัสยิดหรือสถานที่ต่างๆ ที่มีการรับเชิญไปบรรยาย ซึ่งผู้บรรยายธรรมเหล่านี้จะเป็นการจัดตั้งของกลุ่ม ผกร. เป็นฝ่ายอูลามาระดับสูงตั้งแต่ระดับคอมมิสขึ้นไป ลักษณะการบรรยายธรรม มีการกระตุ้น ปลุกระดมให้ผู้รับฟังทำการกอบกู้ปัตตานีคืนมาจากผู้รุกราน (ประเทศไทย)
รูปแบบวิธีการในการปลุกระดมที่ยังคงใช้ได้ผลคือการชี้นำว่าดินแดนปัตตานีเป็นพื้นที่ถูกยึดครองจากการล่าอาณานิคมของสยาม ชาวมลายูปัตตานีต้องอยู่ภายใต้ มีการกดขี่ทางด้านศาสนา ซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีในอดีต ว่าถูกรัฐสยามรุกราน และไม่มีความยุติธรรม ประเด็นในเรื่องความยุติธรรม เป็นเรื่องที่กลุ่มขบวนการ สามารถหยิบไปใช้ในการสร้างความชอบธรรมได้มาก ที่ผ่านมากลุ่มขบวนการได้นำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปลุกระดม และเชื่อมโยงว่า เจ้าหน้าที่รัฐ กดขี่ข่มเหงรังแกคนมุสลิม เช่น ตัวอย่างกรณีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ, เหตุการณ์การชุมนุมประท้วงที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเหตุการณ์ล่าสุดคือกรณีศาลสั่งยึดที่ดินโรงเรียนปอเนาะญิฮาด ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินวากัฟ ทำให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ไม่มีสถานที่ศึกษาด้านศาสนา มีการปลุกระดมให้พี่น้องมุสลิมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม กีดกันในเรื่องศาสนา นำไปสู่การโฆษณา ชวนเชื่อชี้นำในสื่อสังคมออนไลน์ และการจัดเวทีในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งการบรรยายธรรมของฝ่ายอูลามา เนื้อหาจะเป็นในเรื่อง “ดารุลฮารบี”และการญีฮาดเป็นหลัก
ดินแดนปัตตานีจะเป็น “ดารุลฮารบี” หรือไม่เป็น “ดารุลฮารบี” ผู้รู้ทางด้านศาสนาและนักวิชาการหลายๆ ท่าน ได้แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยอธิบายว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดสภาวะที่เป็นดารุลฮัรบีมี 2 ส่วน ด้วยกัน กล่าวคือ
- ประการแรก พี่น้องมุสลิมไม่สามารถปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามได้อย่างครบถ้วน
- ประการที่สอง พี่น้องมุสลิมถูกกดขี่ข่มเหง
การที่จะเป็นดินแดนดารุลฮัรบี ได้อย่างแท้จริง จะต้องได้รับการรับรองจากผู้นำในแต่ละพื้นที่ ว่าในพื้นที่แห่งนั้นมีการถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ จนพี่น้องชาวมุสลิมไม่สามารถที่จะประกอบศาสนกิจตามหลักการของศาสนาอิสลามได้ จึงมีเหตุผลสมควรที่พี่น้องชาวมุสลิมจะต้องลุกขึ้นต่อสู้
นี่คือเหตุผลที่กล่าวได้ว่ากลุ่มขบวนการพยายามที่จะบิดเบือน ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีการกดขี่ข่มเหง รังแก พี่น้องชาวมุสลิม เพื่อต้องการดึงมวลชนให้หันมาร่วมมือกับกลุ่มขบวนการในการที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐ ด้วยการทำญีฮาด หรือทำสงครามเพื่อศาสนา
ตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้นได้กล่าวถึงการญีฮาดว่า
“การญีฮาด” นั้นต้องเป็นไปเพื่อเทิดทูนพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) ให้สูงส่ง หาใช่อื่น (มินญาฮุ้ลมุสลิม ; อบูบักร อัลญะซาอิรี่ย์ หน้า 392 ; 1996)
ดังมีระบุในพระวจนะของท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า
من قاتل لتكون كلمة الله هي العليافهوفي سبيل الله “ผู้ใดสู้รบเพื่อให้พระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ คือสิ่งสูงสุด ผู้นั้นอยู่ในวิถีทางของพระองค์อัลลอฮฺ”(บุคอรีย์และมุสลิม)
หากการสู้รบเป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นใด นั่นไม่เรียกว่าเป็นการญิฮาดที่แท้จริง ผู้ใดสู้รบเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หรือต้องการทรัพย์สงครามหรือแสดงวีรกรรมความกล้าหาญหรือชื่อเสียง ผู้นั้นย่อมไม่ได้รับอานิสงค์แต่อย่างใด (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ ; อัซซัยยิด ซาบิก 3/134-135 ; 1996)
มิหนำซ้ำ การมีเจตนาเป็นอื่น ย่อมเป็นการนำพาตนเองสู่การลงทัณฑ์ในวันปรโลกอีกด้วย (อ้างแล้ว 3/136) ดังนั้น การญิฮาดจึงมิได้มุ่งหมายถึง การเอาชนะศัตรูแต่อย่างใด หากแต่เป้าหมายหลักของการญีฮาด คือ การพิทักษ์ศาสนาเอาไว้เพียงนั้น (อัลมุนตะกอ ; 3/159, อีฎอฮุ้ลมะซาลิก ; ก็อฟ 95 บาอฺ, มุกอตดิมาต อิบนิ รุชด์ 1/379)
“การญิฮาด” เป็นเครื่องมืออันกอปรด้วยปัญญาในมือของมุสลิมหาใช่เป็นสิ่งอื่น โหดร้าย ทารุณ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อยึดครองโลกหรือเพื่อสร้างอำนาจอันมั่นคง หรือเพื่อการขยายอำนาจ หรือลบล้างศาสนาอื่นๆ และเปลี่ยนดินแดนคู่สงคราม (دارالحرب) ให้เป็นรัฐอิสลาม (دارالاسلام) โดยไร้เหตุผลรองรับ (คุดูรีย์, อัลฮัรบฺ วัซซลาม หน้า 53)
ที่สำคัญที่สุดในการประกาศญีฮาด อูลามาจะต้องประชุมร่วมกันและลงมติเอกฉันท์ว่าจะต้องสู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นแค่เพียง “แนวคิด”
นอกจากนี้ การญีฮาดไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนประเภทใดก็ตาม “นักรบจะไม่สามารถฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้”
เราจะเห็นได้ว่าจากข้อมูลในหลักศาสนา และข้อมูลจากนักวิชาการ เมื่อนำมาวิเคราะห์การปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐในปัจจุบัน หน่วยงานรัฐได้ให้โอกาส และให้สิทธิกับคนมุสลิมในทุกๆพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สนับสนุนในเรื่องการนับถือศาสนา รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาต่างให้การสนับสนุนในการสร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และมีการสนับสนุนการเดินทางไปแสวงบุญในการประกอบพิธีฮัจญ์, อูมเราะห์ และอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวมุสลิมในห้วงเทศกาลถือศีลอดในเดือนรอมฎอน อันเป็นเดือนประเสริฐ สนับสนุนในเรื่องการศึกษา จากการมาของโอไอซี หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องทางด้านการศาสนาต่างได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยโชคดีที่สุด ที่รัฐดูแลเอาใจใส่ในทุกด้าน และยืนยันได้ว่าแม้ประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ หรือแม้กระทั่งผู้นำประเทศเองเป็นมุสลิม ก็ไม่สามารถดูแลเอาใจใส่พี่น้องมุสลิมได้ดีเท่า “รัฐบาลไทย”
ที่กล่าวมาย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า การปลุกกระแส “ดารุลฮารบี” และมีการปลุกระดมให้พี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วยการญีฮาดนั้น เป็นการชี้นำของกลุ่มผู้คิดต่างจากรัฐเพื่อหวังผลในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เป็น “ดารุลฮารบี” และเข้าหลักเกณฑ์ใดๆ เลยที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม เพราะนี่คือเล่ห์กลของกลุ่มขบวนการที่หวังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการหลอกให้ประชาชนร่วมมือกับฝ่ายตน.