หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

สถานการณ์ใต้






 
สถานการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

 
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ (ตอนที่ ๑)

 
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ (ตอนที่ ๒)

 
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ (ตอนที่ ๓)

 
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้(ตอนที่ ๔)

*****************************

สรุปสถานการณ์ ๓ + ๑ จชต.

๑ – ๓๑ ม.ค.๕๔

         ความเป็น“ไทยพุทธ” กำลังถูกรุกไล่อย่างหนัก และอย่างน่าวิตกอย่างยิ่ง ทั้งที่เป็นรูปธรรมและไม่เป็นรูปธรรม และทั้งใน ๓ จชต. และนอกจชต.โดยเฉพาะที่ เขตหนองจอก กทม. อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้นตามลำดับ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการมุ่งเอาชนะทางการเมืองเพื่อให้ พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้อีกครั้ง ทำให้รัฐบาลละการบริหารประเทศ และพร้อมที่จะตอบสนองทุกความต้องการเพื่อแลกกับคะแนนเสียง ประกอบกับชัยชนะของกลุ่มก่อเหตุซึ่งอ้างการรื้อฟื้นรัฐปัตตานีต่อสัญลักษณ์ของรัฐไทยและไทยพุทธ เมื่อ ๑๙ ม.ค.๕๔ ได้สร้างความภาคภูมิใจ ความเชื่อมั่น และความศรัทธาให้กับแนวร่วม โดยเฉพาะการกลายมาเป็น“ฮีโร” ในสายตาของมลายูอิสลาม พร้อมๆไปกับการบั่นทอนขวัญกำลังใจ และสร้างความสะเทือนขวัญสำหรับกลุ่มคนที่อยู่ฝ่ายรัฐ/จนท. โดยเฉพาะ อส.อิสลาม

         การเคลื่อนไหวรุกไล่และการแสดงความเหนือกว่าไทยพุทธขององค์กรอิสลามกำลังเป็นไปอย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่อง โดยใน ๓ +๑ จชต.แสดงออกด้วยการไล่ล่าฆ่า และยึคที่ดินทำกินของคนไทยพุทธ จนส่งผลให้ความสูญเสียของคนไทยพุทธเท่าที่รวบรวมมีจำนวน ๖๙ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีความสูญเสียจำนวน ๕๑ ราย จากการก่อเหตุทั้งหมดที่รวบรวมได้๖๔ เหตุการณ์ ส่วนในกทม.ด้วยการเสาะหาเหตุความขัดแย้งเพื่อนำมาปลุกระดมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของมลายูอิสลาม ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จแล้วที่ เขตหนองจอก เนื่องจากปรากฏว่าพุทธและอิสลามในพื้นที่ดังกล่าวเริ่มแยกตัวออกจากกัน ตั้งแต่กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเข้าไปปลุกระดมนักเรียนอิสลามในร.ร.มัธยมวัดหนองจอก จนความขัดแย้งลุกลามเข้ามายังสำนักงานเขตหนองจอกแล้วอย่างน่าวิตก เพราะมีการปลุกระดมความเป็นหนึ่งเดียวของอิสลามให้ทำลาย จนท.หญิงไทยพุทธแล้ว พร้อมๆไปกับการรุกเข้า discredit กรมการศาสนาด้วย ล่าสุดได้เข้าไปกดดัน ร.ร บ้านลำต้นกล้วย เพื่อสรุปว่าการมีผู้บริหาร ร.ร.หรือครูพุทธนอกพื้นที่เข้ามาสอนใน ร.ร. ที่มีนักเรียนอิสลามสร้างปัญหา เช่นเดียวกับที่ใช้อ้างใน ๓ จชต.

         สถานการณ์ที่ดูเหมือนวิกฤติหนักขึ้น ทำให้หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานต้องเร่งซื้อใจมลายูอิสลามอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะ ศอ.บต. ซึ่งนอกจากจะกวาดต้อนบัณฑิตอาสาเข้าไปจับจองตำแหน่งในสำนักงาน แล้วยังประกาศรับนักกฏหมายมลายูเพื่อมลายูอีกด้วย ขณะที่ รัฐบาลก็ยืนยันยกเลิก พ.ร.ก. ต่อไปไม่ว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม

         แนวโน้มของปัญหา ในสภาวะที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาในหลายเรื่อง ประกอบกับแนวร่วมมลายูอิสลามกำลังมีความอหังการ์จากการกลายเป็นฮีโร่แค่ข้ามคืน และการเสียขวัญของ จนท. ทำให้เชื่อว่าการรุกคุกคามความเป็นไทยพุทธในหลากลายรูปแบบ ทั้งในและนอก ๓ + ๑ จชต.น่าจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการโหนกระแสเพื่อจี้ ปล้น ฆ่า คนไทยพุทธ ของอาชญากรธรรมดาและด้วยความคึกคะนอง รวมทั้งการฆ่าล้างแค้นส่วนตัวในกลุ่มมลายูอิสลามด้วยกัน ที่สำคัญคือความพยายามกดดันให้มลายูอิสลามยุติการทำงานให้กับรัฐโดยการฆ่าเพื่อให้กลัวเกรงและทำร้ายเพื่อนฝูงเพื่อไม่ให้กล้าเข้าใกล้

          ทั้งนี้ สภาพของดินแดนเถื่อน ที่ปลอดอำนาจรัฐของ ๓ จชต. จะไม่ยุติตราบเท่าที่ ทหารยังไม่สามารถเรียกคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องระวังความผิดพลาดทั้งที่โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจให้จงหนัก โดยเฉพาะคำว่า “นายขอ” ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะข้าราชการและที่สนิทสนมกันเท่านั้น หากเปรียบเสมือนเหยื่ออันโอชะของสื่อและผู้สื่อข่าว รวมทั้งกลุ่มเสื้อสีซึ่งกำลังเคลื่อนไหวต่อรองรัฐบาลอย่างหนักจะนำความพลาดพลั้งของ จนท.ไปใช้โจมตีเพื่อต่อรองกับรัฐบาล อีกทั้งยังต้องระวังการใช้ทหารที่ไม่ใช่ชาวพุทธออก “ทำงาน” ซึ่งนอกจากจะมีปัญหาการไม่ปฏิบัติแล้วยังได้นำคำสั่งไปปลุกปั่นชาวบ้านที่ไม่ใช่ชาวพุทธอีกด้วย

สถิติและนัยการก่อเหตุ 

          การก่อเหตุในช่วง ๑-๓๑ ม.ค.๕๔ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ ๖๔ เหตุการณ์ เพิ่มขึ้นจาก ๔๙ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของ ธ.ค.๕๓ ทั้งนี้ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุมากที่สุด ๒๕ เหตุการณ์ โดย อ.ระแงะ มีการก่อเหตุสูงสุด ๘ เหตุการณ์ และ อ.สุไหงปาดี ๔ เหตุการณ์รองลงมาคือ จ.ปัตตานี ซึ่งมีผวจ. และ ผกก.เป็นอิสลาม มีการก่อเหตุ ๒๓ เหตุการณ์ โดย อ.ยะรัง มีการก่อเหตุมากที่สุด ๖ เหตุการณ์ ส่วน อ.เมือง มีการก่อเหตุ ๕ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๔ เหตุการณ์ อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๗ เหตุการณ์ และ อ.รามันมีการก่อเหตุ ๕ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา มีการก่อเหตุ เพียง ๒ เหตุการณ์ ที่ อ.จะนะ และ อ.เทพา เท่านั้น ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๖๔ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๔๘ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๓ เหตุการณ์ การซุ่มยิง/ซุ่มโจมตี ๓ เหตุการณ์โดยไทยพุทธมีการสูญเสีย ๖๙ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๒๖ ราย และบาดเจ็บ ๔๓ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีการสูญเสียรวม ๕๑ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๒๓ ราย และบาดเจ็บ ๒๘ ราย

ข้อพิจารณา 

         ๑. การก่อเหตุ มีนัยเพื่อสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามุ่งต่อเป้าหมายของคนต่างเชื้อชาติ/ศาสนา โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานี ดังเช่น กรณีการเลือกจ่อยิงหญิงไทยพุทธ ซึ่งซ้อนมอเตอร์ไซด์มาด้วยกันกับหญิงอิสลาม เพียงคนเดียว โดยไม่มีการแตะต้องหญิงอิสลาม ที่ ม.๓ บ้านเขาดิน ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เมื่อ ๑๘ ม.ค. ๕๔ หรือการลอบวางระเบิดพระสงฆ์ที่ อ. โคกโพธิ์ เมื่อ ๒๘ ม.ค.๕๔
         ๒. การก่อเหตุมีการยึคอาวุธผู้ตายไปด้วยอย่างต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ยังขาดอาวุธประจำกาย เมื่อประกอบกับมีการทิ้งใบปลิวโจมตีสถาบันปรากฏใน อ.ธารโต ซึ่งห่างหายไปนาน ทำให้เชื่อว่ามีคนกลุ่มใหม่เดินทางเข้ามาในประเทศแล้ว และเกิดการบุกเข้าโจมตีค่ายพระองค์ดำที่ อ.ระแงะ เมื่อ ๑๙ ม.ค.๕๔ จึงเชื่อว่ากลุ่มคนที่เข้ามาใหม่น่าจะได้รับการฝึกการสู้รบมาแล้ว
         ๓. ความสำเร็จจากการที่สามารถย่ำยีศักดิ์ศรีของทหารไทยและคนไทยได้ ทำให้กลุ่มโจรกลายเป็นฮีโร่ในสายตาของมลายูอิสลาม ดังนั้นการก่อเหตุหลังการโจมตีค่าย จึงน่าเชื่อว่าบางส่วนน่าจะเป็นการทำตามกระแส และการฉวยโอกาสแย่งชิงทรัพย์สินของกลุ่มมิจฉาชีพ อาชญากร และฆาตกร
         ๔. การดักสังหารกลไกรัฐที่เป็นอิสลาม โดยเฉพาะ อส.ซึ่งถูกยิงแล้วถึง ๑๐ เหตุการณ์ สะท้อนให้เห็นความพยายามที่จะสะกัดกั้นการติดต่อและการชื่อมโยง/โยงใยระหว่างพุทธกับอิสลาม และความพยายามกดดันให้อิสลามซึ่งเป็นกำลังและทำงานด้านความมั่นคงถอยออกจากการร่วมมือ/ช่วยเหลือรัฐบาล ซึ่งเริ่มจาก ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ซึ่งมีอิหม่ามมัสยิด ม.๒ บ.นาพร้าวเป็นแกนนำแนวร่วมในพื้นที่ มีการฆ่าอส.ซึ่งทำงานร่วมกับคนไทยพุทธหรือทำงานให้กับรัฐ ถึง ๒ คน ในเวลาเพียง ๒-๓ วัน เท่านั้น
         ๕. ชาวบ้านไทยพุทธอยู่ในภาวะที่เสียขวัญอย่างมาก ทั้งจากการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี การสังหารหมู่คนไทยพุทธที่ อ.ยะหา การถอดป้ายทางหลวง ที่ อ.กาบัง ตั้งแต่ ม.๑ บ.บันนังดามา ต.กาบังไปยัง หมู่บ้านชายแดนใน ต.บาละ
การเคลื่อนไหวของแกนนำและsympathizer อิสลาม การเมืองที่ยังไม่ลงตัว ประกอบกับความขัดแย้งภายในองค์กรศาสนาของอิสลาม ทำให้นักการเมืองต้องชะลอการเคลื่อนไหวเพื่อดูทิศทางลม ขณะที่ผู้นำศาสนาก็ต้องมุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งของตนเอง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวที่ก่อปัญหา ดังนั้นผู้ที่ต้องประคองบทบาทของอิสลามให้ปรากฏอยู่ในสังคมของประเทศจึงตกเป็นหน้าที่ของสื่ออิสลาม ซึ่งเลือกใช้การศึกษาและศาสนามาเป็นเครื่องมือ/เป็นจุดขาย ซึ่งมีทั้ง 

         ๑.) การปลุกระดมสร้างความแตกแยกระหว่างพุทธกับอิสลาม ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า อ.หนองจอก กทม.ไม่น่าไว้วางใจแล้วเพราะการปลุกระดมของสื่อทำให้เกิดความหวาดระแวง และการแยกตัวออกจากกันแล้ว ที่สำคัญมีการปลุกให้ใช้กำลังกับคนที่มีความขัดแย้งกับอิสลามและทั้ง
         ๒.) การกดดันให้ถอดวิชาภาษาไทยออกจากการเรียนการสอนนักเรียนมลายูอิสลาม และให้ใช้ภาษามลายูถิ่นในการสอน
         นอกจากนี้ยังมีความพยายาม discredit องค์กรศาสนาพุทธ เพื่อเบี่ยงเบนความขัดแย้งในองค์กรอิสลาม อีกด้วย 

         - BungarayaNews ๑๖ ม.ค.๕๔ ....แม่พิมพ์ที่สูญเสียชายแดนใต้ นโยบายรัฐกับวัฒนธรรมท้องถิ่น “….ความขัดแย้งในพื้นที่แต่เมื่อมาสังเกตแต่ละกลุ่มสาระแล้วความจำเป็นในการใช้ภาษาในการสื่อสารเพื่อให้เด็กสามารถเข้าใจในเนื้อหา และเป้าหมายของการศึกษาที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างแล้ว กลุ่มสาระที่ ๑. กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย กับ ๗. กลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เท่านั้นที่เป็นภาษาที่แปลกปลอมที่เข้ามาในชีวิตนับตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนจนจบได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยออกมา …..แบบบูรณาการในชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความขัดแย้งที่มีต้นเหตุของปัญหาจากหลายปัจจัย ปัจจัยด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ ภาษา และศาสนา นับว่าเป็นเชื่อไฟอย่างดีในการจุดกระแสเพื่อสร้างความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้…….รัฐไม่ควรดำเนินการใดๆ ที่จะทำให้การจัดการศึกษาวิชาศาสนานั้นลดลงหรือหมดไป รัฐควรแก้ไขปรับปรุงการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา โดยให้ใช้ภาษามลายูท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอนวิชาสามัญ ทั้งนี้ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการเรียนวิชาสายสามัญ เพื่อให้นักเรียนเหล่านี้มีทางเลือกในชีวิตเพิ่มขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเดินทางเข้าไปในตลาดงานในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ แม้ว่ามีคำสั่งยุบ กอส. แต่ตลอดระยะเวลา ๖ ปีหลังจากตั้ง กอส. ยังไม่มีการนำข้อเสนอดังกล่าวมาใช้เพื่อแก้ปัญหาอย่างใด.....” 

         - มุสลิมไทยดอทคอม ๒๕ ม.ค. ๕๔ เจ้าหน้าที่ สนง.หนองจอก พฤติกรรมงามหน้า ไล่นร.หญิงไปถอดหิญาบเพื่อถ่ายรูปทำบัตรประชาชน . “…….. ที่สำนักงานเขตหนองจอก ณ.เวลา ๑๓.๐๐น. เมื่อถึงขั้นตอนการถ่ายรูปสำหรับติดบัตรประจำตัวประชาชน ที่ช่องเบอร์ ๑๑ มีเจ้าหน้าที่สตรีซึ่งทำหน้าที่ในการถ่ายรูปเพื่อนำมาติดบัตร ได้แจ้งกับนักเรียนหญิง คุณโซเฟีย (นามสมมุติ) ให้เปิดผ้าคลุมหิญาบให้มากขึ้น เพื่อให้เห็นใบหน้ามากที่สุด ซึ่งคุณโซเฟีย ก็ได้ทำตามคำแจ้งของ จนท. …. หลังจากนั้น จนท.คนดังกล่าว ก็ตะคอกใส่ ด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์ว่า “หากไม่ถอดผ้าคลุมหัว ก็จะไม่ถ่ายรูปให้” ….นางมัยมู กล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า ลูกสาวเกิดความละอายเป็นอย่างมาก ขณะที่ถ่ายภาพ มีผู้ชายในสำนัก- งานมากมาย ที่จ้องมองเธอ กล่าวอีกว่า ลูกสาวไม่เคยเปิดศีรษะ ให้ชายใดได้เห็นมาเป็นเวลานานหลายปี นอกจากญาติมิตรที่บ้านและคนใกล้ชิดเท่านั้น…. 

          ผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยจะสอบถามไปยัง ผู้อำนวยการ สำนักงานเขตหนองจอกว่า ทาง สนง. มีนโยบาย ให้สตรีมุสลิม หากประสงค์จะถ่ายภาพทำบัตร ปชช. จะต้องถอดหิญาบหรือ – ”
         -มุสลิมไทยดอทคอม ๒๖ ม.ค. ๕๔ ผู้ประกอบการฮัจย์ไล่บี้ กรมศาสนา คายเงินค้ำประกันฮุจญาตปี ๕๓ “ …. ลือสะพัด ว่าฮัจย์ปีนี้ ทางกรมศาสนาจะ เรียกเก็บเงินประกัน เพิ่มจาก ๑๒,๕๐๐ บาท/คน เป็น ๕๐,๐๐๐บาท/คน เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ แหล่งข่าวเผยกับผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยว่า มีการปล่อยข่าวลือตั้งแต่ ช่วงทำฮัจย์ โดยนาย อ. คนภายในกรมศาสนา โดยมีพฤติกรรมคล้ายๆกับการโยนหินถามทาง ทั้งนี้แหล่งข่าวคนดังกล่าว เผยว่าหากมีการเรียกเก็บเงินจำนวน ห้าหมืนบาทจริงๆ เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ซึ่งทางกรมต้องตอบคำถามว่า เก็บไปเพื่ออะไร และเก็บจากใคร (จากผู้ไปทำอัจย์หรือว่าผู้ประกอบการ) โดยหากคำนวณเบื้องต้น ๑๕,๐๐๐ คน x ๕๐,๐๐๐บาท โดยเงินดังกล่าวจำนวนกว่า ๗๕๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากมาย……” 

         -thailandnewsdarussalam.com ๒๘ ม.ค.๕๔ เปิดแผลอิสลามศึกษากทม. ลดคาบสอน เรียนพิเศษไม่ต้องละหมาด เด็กต้องเรียนว่ายน้ำ ….. โดยเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคมที่ผ่านมา ทางของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ นำโดย อ. ยะห์ยา ทองทา ที่ปรึกษา คุณอุมัร มะละกีมะ เลขาธิการ และคุณมูฮัมหมัด เหมศิริ ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษของกลุ่มได้ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านลำต้นกล้วย ตรวจสอบหลังได้รับทราบว่าโรงเรียนดังกล่าวลดคาบเรียนอิสลามศึกษา และไม่เปิดสอนอิสลามศึกษาในระดับมัธยมอีกด้วย……. นอกจากนี้ทางทีมข่าวและคณะของกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติยังได้ลงพื้นที่ พูดคุยกับชาวบ้านบริเวณโรงเรียน ….. พบปัญหากับเรื่องของอิสลามศึกษาจำนวนมาก ทั้งในระดับพื้นที่ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ ...ซึ่งเดิมทีเดียวพื้นที่ดังกล่าวเป็นมุสลิมทั้งหมด แต่ผู้บริหารโรงเรียนที่ถูกส่งมาจากการโยกย้ายของส่วนกลาง ไม่ใช่มุสลิม จึงทำให้ไม่เข้าใจหลักการศาสนาที่แท้จริง ทำให้เกิดการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตมาเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจของนักเรียนมุสลิม 

(www.thailandnewsdarussalam.com ๒๘ ม.ค.๕๔)

การซื้อใจมลายูอิสลามของรัฐ 

         สถานการณ์ที่ดูเหมือนวิกฤติหนักขึ้น ทำให้หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานต้องเร่งซื้อใจมลายูอิสลามอย่างไม่ลดละ โดยเฉพาะศอ.บต. ซึ่งนอกจากจะกวาดต้อนบัณฑิตอาสาเข้าไปจับจองตำแหน่งในสำนักงาน แล้วยังประกาศรับนักกฏหมายมลายูเพื่อมลายูอีกด้วย ขณะที่ รัฐบาลก็ยืนยันการยกเลิกพ.ร.ก.ต่อไปไม่ว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม 

         - เล็งเลิก"ฉุกเฉินฯ" ใต้เพิ่ม "เทือก" เผยปี ๕๔ เตรียมเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในชายแดนใต้เพิ่มอีก ……วันนี้ (๒ ม.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มเติมในปี ๒๕๕๔ ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกเพิ่มเติมได้แน่นอน เพราะนายกรัฐมนตรี ต้องการที่จะทยอยยกเลิกพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อยู่แล้ว (เดลินิวส์ ๒ ม.ค.๕๔) 

         - แกะรอยประชุมโอไอซี กับท่าทีข้องใจของรัฐมนตรีถาวร เสนเนียม..... …….งานของคนอื่นผมไม่อยากก้าวก่าย แต่วันนี้ภาคใต้มีกี่กองร้อยไปคิดเอาเอง ไม่ต้องออกจากปากผม" นายถาวร กล่าว พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กระทบกับแนวทางทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าต่อไป (สถาบันอิศรา ๒๖ ม.ค.๕๔) 

         - ศอ.บต.รับสมัครนักกฎหมายอิสลามประจำ ๕ จชต. ..... วันนี้ (๓๑ ม.ค.) นายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ ศอ.บต. เปิดเผยว่าเพื่อประโยชน์และเป็นการส่งเสริมการพัฒนากระบวนการยุติธรรมในสังคมมุสลิม ศอ.บต.ได้จัดโครงการจ้างนักกฎหมายอิสลาม ประจำสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และจังหวัดสงขลา) จังหวัดละ ๑ คน เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายอิสลามแก่ประชาชนที่มาขอรับบริการ 

         คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีด้านกฎหมายอิสลามหรืออิสลามศึกษาหรือเทียบเท่า นับถือศาสนาอิสลาม มีภูมิลำเนาในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และจังหวัดสงขลา) มีความสามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี.......... (ผู้จัดการออนไลน์ ๓๑ ม.ค.๕๔.)
                                               ............................................ 


สถานการณ์ ๓+๑ จชต. ก.พ.๕๔
๑ - ๒๘ ก.พ.๕๔

    การขาดเสถียรภาพประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลละเลยการบริหาร และการดูแลความ“อยู่สุข”ของประชาชน ประกอบกับสถานการณ์กัมพูชาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความเดือดร้อน ความสับสน และความปั่นป่วนภายในประเทศทับทวีมากขึ้น โดยเฉพาะ ๓ จชต.นั้น สภาพ “ไทยพุทธเสียชีวิต ประเทศไทยเสียดินแดน” รุนแรงขึ้นอย่างน่าวิตก 

เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุมั่นใจว่าอำนาจรัฐทุกระดับไม่กล้าและไม่สามารถ “แตะต้อง” ได้ ที่สำคัญคือการถูกทำให้เชิ่อว่า ม.๒๑ ที่จะนำมาใช้ใน มี.ค.๕๔ นั้นผู้ก่อเหตุกรณีความมั่นคงสามารถเข้ามอบตัวโดยไม่ต้องถูกลงโทษเพียงแต่เข้าอบรมซึ่งอาจจะมีการฝึกอาชีพและเงินทุนให้อีกด้วย ซึ่งผลของความเชื่อดังกล่าวทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไทยพุทธ โดยเฉพาะครอบครัวสุดท้ายหรือกลุ่มสุดท้ายในพื้นที่อย่างเมามัน ซึ่งทำให้จำนวนไทยพุทธที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเท่าที่รวบรวมได้สูงถึง ๘๑ รายเทียบกับ ๓๐ รายของอิสลาม พร้อมๆกับการกว้านซื้อที่ดินไทยพุทธในพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่กลางวงล้อมอิสลามด้วยราคาสูงมากทำให้คนไทยพุทธทยอยขายที่ดินอย่างต่อเนื่อง สภาพพื้นที่อิสลาม ๑๐๐% จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าจะถึงจุดที่ยากจะยั้งหยุดได้ 

    ความปั่นป่วนทางการเมือง ประกอบกับข่าวลือการปฏิวัติอยู่เป็นระยะ ทำให้นักการเมืองอิสลามต่างชะลอการเคลื่อนไหวเพื่อประเมินสถานการณ์ สำหรับสื่ออิสลามก็ดูเหมือนจะเพลาๆการเคลื่อนไหวลงเพื่อประเมินสถานการณ์เช่นกัน แม้สื่ออิศราจะยังคงมีความพยายามตีความ ม.๒๑ โน้มน้าวให้ผู้ก่อเหตุมลายูอิสลามได้รับการยกเว้นการลงโทษอยู่บ้างก็ตาม ขณะที่นักวิชาการ/นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งสังกัดสถาบันต่างๆนำโดยสถาบันพระปกเกล้ายังคงเคลื่อนไหวปลุก/กระตุ้นให้มลายูอิสลามเชื่อว่าการไม่ได้ปกครองตนเองคือการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ เช่นเดียวกับเครือข่ายเตมูจินซึ่งพยายามชิงการนำเพื่อแนะนำตนเองด้วยการอ้างเป็นตัวแทน RKK ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยซึ่ง ๑ ใน ๓ ข้อคือให้มลายูอิสลามเลือกจุฬาราชมนตรีแทนการโปรดเกล้าฯ

   แนวโน้มของสถานการณ์

   หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เชื่อว่าสภาพทางการเมืองที่สับสนอลหม่าน ความอ่อนแอของผู้นำทหารในพื้นที่ และการที่อำนาจรัฐส่วนใหญ่ตกอยู่ในกำมือของมลายูอิสลาม โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานี น่าจะทำให้สถานการณ์ใน ๓ จชต.จะยังคงความรุนแรงอยู่ต่อไป และอันตรายที่ต้องพึงตระหนัก ได้แก่ ประการแรก การเข้าไปแสวงประโยชน์ใช้ปัญหาความรุนแรง ๓ จชต.เป็นเครื่องมือในการแจ้งเกิดของบรรดาผู้อ้างตัวเป็นนักวิชาการและนักสิทธิมนุษยชนหน้าใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีบทบาทอยู่แล้วก็ยิ่งต้องเคลิ่อนไหวหนักขึ้นเพื่อรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้ อันจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการทำงานของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ประการที่สอง ความไม่เป็นมิตรกันระหว่างพุทธและอิสลามปรากฏชัดเจนอย่างน่าวิตก จากสถานการณ์ใน ๓ จชต.และกระแสต่อต้านอิสลามทั่วโลก

นัยและสถิติการก่อเหตุ 

    การก่อเหตุในช่วง ๑ - ๒๘ ก.พ.๕๔ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ ๕๔ เหตุการณ์ เพิ่มขึ้นจาก ๕๐ เหตุการณ์ ในช่วงเดียวกันของ ม.ค.๕๔ ทั้งนี้ จ.ปัตตานี ซึ่งมีผวจ. และ ผกก.เป็นอิสลาม มีการก่อเหตุ ๒๗ เหตุการณ์ โดย อ.หนองจิก มีการก่อเหตุมากที่สุด ๖ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.ยะรัง มีการก่อเหตุ ๕ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุ ๑๖ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๔ เหตุการณ์ ขณะที่ อ.ยี่งอ อ.เจาะไอร้อง และ อ.ศรีสาคร มีการก่อเหตุพื้นที่ละ ๓ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๑๑ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด ๕ เหตุการณ์ และ อ.รามันมีการก่อเหตุ ๔ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา ไม่มีรายงานการก่อเหตุ ทั้งนี้การก่อเหตุทั้ง ๕๔ เหตุการณ์ แยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล ๓๔ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๑๖ เหตุการณ์ การเผา ๒ เหตุการณ์ และอื่นๆ ๒ เหตุการณ์ โดย
ไทยพุทธมีการสูญเสีย ๘๑ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๑๖ ราย และบาดเจ็บ ๖๕ ราย สูงกว่าอิสลาม ซึ่งมีการสูญเสียรวม ๓๒ ราย แยกเป็นการเสียชีวิต ๑๙ ราย และบาดเจ็บ ๑๓ ราย

ข้อพิจารณา 

     การก่อเหตุมีลักษณะของการก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยม ฮึกเหิมและอหังการ์จากความเชื่อที่ว่าอำนาจรัฐไม่กล้าแตะต้อง ใน ๖ สาเหตุหลัก ได้แก่ ประการแรก อยู่ระหว่างการประชุม ของ OIC จนท.จะไม่กล้าตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ประการที่ ๒ บุญคุณของผู้นำอิสลามที่มีต่อแม่ทัพภาค ๔ จะทำให้แม่ทัพไม่กล้าปราบโจรอย่างจริงจัง ประการที่ ๓ อำนาจรัฐในปัตตานีซึ่งมีการสังหารไทยพุทธอย่างโหดเหี้ยมรายวัน ตกอยูในมือของอิสลามโดยสิ้นเชิง ประการที่ ๔ การถูกทำให้เชื่อว่า ผู้มีความผิดด้านความมั่นคง ตาม ม.๒๑ สามารถเข้ามอบตัวได้โดยไม่ถูกลงโทษจำคุก ประการที่ ๕ นโยบายสับเปลี่ยนให้ทหารออกไปทำงานนอกตัวเมืองและให้ตำรวจและอส.เมืองเข้ามารับผิดชอบแทน จึงกลายเป็นช่องว่างที่กระตุ้นให้มีการก่อเหตุในพื้นที่ปลอดทหาร ประการที่ ๖ รัฐบาลยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงจากมลายูอิสลาม 

   ๑. การก่อเหตุรุนแรงอย่างโหดเหี้ยมและต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำต่อคนต่างเชื้อชาติและศาสนาอันเป็นการทำลายขวัญกำลังใจไทยพุทธ เพื่อให้ถอดใจอพยพออกจาก ๓ จชต. โดยเฉพาะที่ปัตตานีนั้น ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ใน ๑๐ วันแรกของ ก.พ.๕๔ อาทิ
    - ๑ ก.พ.๕๔ พบศพพ่อแม่ลูกไทยพุทธ ตระกูลบุญหลง จาก ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกยืงเสียชีวิต ๔ ศพ ในพงหญ้าข้างทาง บ้านบาโงตือบู หมู่ ๑๓ ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา
    - ๓ ก.พ. ๕๔ กราดยิงไทยพุทธกลางชุมชน ม.๑ บ้านคอกกระบือ ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บาดเจ็บสาหัส ๒ ราย และบาดเจ็บ ๒ ราย
    - ๑๐ ก.พ.๕๔ กราดยิงแล้วเผาทั้งเป็นไทยพุทธ ๓ ศพ ที่บริเวณเนินเขา บนถนนระหว่างบ้านบาเฆะ หมู่ ๕-บ้านโต๊ะชูด หมู่ ๖ ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี 

    ๒. การก่อเหตุต่อเป้าหมายไทยพุทธมีลักษณะของความต้องการเพิ่ม “พื้นที่ อิสลาม ๑๐๐ %” ด้วยการสังหารไทยพุทธกลุ่มหรือครอบครัวสุดท้ายในแต่ละพื้นที่ และยึคที่ดินทำกิน ซึ่งการก่อเหตุในลักษณะนี้ ปรากฏชัดเจนตั้งแต่เมื่อมีการยิงและเผาไทยพุทธ ๔ ครอบครัวสุดท้ายใน ม.๖ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ เมื่อ ๑๙ ก.ย.๕๓
    - ๑ ก.พ.๕๔ พบศพพ่อแม่ลูกไทยพุทธครอบครัวสุดท้าย ตระกูลบุญหลง จาก ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกยืงเสียชีวิต ๔ ศพ ถูกนำมาทิ้งในพงหญ้าข้างทาง บ้านบาโงตือบู หมู่ ๑๓ ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา 

    ๓.การก่อเหตุมีลักษณะของการแย่งยึคที่ดินทำกินของไทยพุทธอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลอบฝังกับระเบิดในสวนยางพาราและการยิงเจ้าของสวน ซึ่งชัดเจนมากเมื่อ ๒๕-๒๖ ต.ค.๕๓
    - ๑๔ ก.พ.๕๔ คนร้ายกระหน่ำยิงแม่ลูกไทยพุทธ ขณะกรีดยางที่ หมู่ ๑ ต.กาหลง อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ทำให้นายชัยทัด บกเขาแดง เสียชีวิต การก่อเหตุที่น่าพิศวง
    - ๑๑ กพ. ๒๕๕๔ ๑๙:๓๙ น. พ.ต.ท.มานพ วิวรรธนโรจน์ สวป.สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ได้สั่งให้ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ สินคำ พลขับประจำตำแหน่ง ไปส่งตนเองลงละหมาดที่มัสยิดดารุลอีมาน บ้านบูแนกียะ หมู่ ๑ ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ โดยให้ส.ต.อ.กิตติศักดิ์ จอดรถคอยอยู่ด้านหลังของมัสยิด จากนั้น คนร้าย ๔ คนแต่งกายด้วยชุดดาวะห์ ใช้รถจักรยานยนต์ ๒ คันเป็นพาหนะ ขับเข้าจอดแล้วใช้ปืนสงครามกราดยิงเข้าใส่ ส.ต.อ.กิตติศักดิ์จนบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิตลงในที่สุด

การเคลื่อนไหวของนักวิชาการไทย 

    นักวิชาการ/นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งสังกัดสถาบันต่างๆนำโดยสถาบันพระปกเกล้ายังคงเคลื่อนไหวปลุก/กระตุ้นให้มลายูอิสลามเชื่อว่าการไม่ได้ปกครองตนเองคือการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ เช่นเดียวกับเครือข่ายเตมูจินซึ่งพยายามชิงการนำเพื่อแนะนำตนเองด้วยการอ้างเป็นตัวแทน RKK ยื่นข้อเสนอให้มลายูอิสลามเลือกจุฬาราชมนตรีแทนการโปรดเกล้าฯ ขณะที่เครือข่ายสหวิทยาการแห่งราชบัณฑิตสถานฯกำลังถูกแสวงประโยชน์เพื่อเป็นบันไดก้าวสู่การมีตัวตนของนักวิชาการบางกลุ่ม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้รับผิดชอบและผู้ที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมบางประการที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา จชต. 

     ประธาน กสม. แนะลดมิติความมั่นคง-ลดใช้กม.พิเศษแก้ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนใต้….

เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดเสวนาเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง" นางอัมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษในเวทีเสวนาว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนใต้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากเงื่อนไข ๓ ข้อ คือ 
๑.เงื่อนไขเชิงบุคคล คือการใช้อำนาจทางการปกครองเกินขอบเขต การใช้ความรุนแรงของผู้ก่อความไม่สงบ การตอบโต้ของฝ่ายรัฐด้วยความรุนแรง 

๒.เงื่อนไขโครงสร้าง คือ ความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจที่ไม่เข้มแข็ง และ 

๓.เงื่อนไขวัฒนธรรม คือลักษณะเฉพาะของศาสนาและชาติพันธุ์ "รัฐควรลดมิติด้านความมั่นคงและลดการใช้กฎหมายพิเศษลงเพื่อลดการละเมิด สิทธิมนุษยชนลง 

ควรลดบทบาทเจ้าหน้าที่รัฐจากการเป็นผู้สั่งการให้เป็นผู้สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงต้องเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วย ทั้งนี้ เห็นว่าการแก้ไขปัญหาของพื้นที่ภาคใต้ในระยะยาวคือการแก้ไขที่ต้นเหตุโดยให้ หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาและให้ประชาชนใน พื้นที่มีส่วนร่วมในการเสนอแนะความคิดเห็น" นางอมรากล่าว (มติชน ๑ ก.พ.๕๔) 

   - นายสุณัย ผาสุข นักวิชาการอิสระและผู้ประสานงาน ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอชท์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า... เพราะทั้งหมดเกิดจากความคับแค้นใจ ดังนั้นรัฐต้องมีความจริงใจในการเจรจาด้วย เพราะกระบวนการเจรจาอาจเจอแต่ทางตัน เพราะฝ่ายรัฐมีกำแพงกั้นอยู่ การที่ฝ่ายรัฐไม่ดูแลชาวไทย-มลายูทำให้เกิดปัญหา และกลายเป็นเรื่องใหญ่ ……. ดร.ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า ..... เพราะภาคใต้ยังถูกกระตุ้นด้วยความเกลียดชัง และความหวาดกลัว โดยเฉพาะเรื่องของการเลือก....... เรื่องสิทธิมนุษยชนต้องกลายเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่ละเลยไม่ได้ ส่วนเรื่องเยียวยานั้น.....ต้องเยียวยาคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดด้วย .....กระบวนการทำงานคือต้องยอมรับชาวไทย-มลายู ....ไม่ชี้ถูกชี้ผิด 

    - พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้าเปิดเผยว่า 

.... สิ่งที่ชาวไทยมลายูคิดขณะนี้คือเรื่อง ๒ มาตรฐานความไม่เท่าเทียมกัน อย่างเรื่องการตั้งนครปัตตานีห้ามพูด ……. แต่กลับพูดเรื่องตั้งนครแม่สอดได้ หากไปดูตามชายแดนแม่สอดจะเห็นว่า มีภาษาพม่าอยู่ทุกมุมบ้านมุมเมือง หรือทางชายแดนติดกัมพูชามีภาษาเขมร แต่ทำไมชายแดนภาคใต้ ถึงมีภาษามลายูไม่ได้ นี้คือความไม่เป็นธรรม……วันนี้ตนจะเสนอใหม่ตั้งเป็น “สันติธานีโมเดล” เอากีฬา เอากิจกรรมต่าง ๆ ลงไป เพื่อให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้เลือกปฏิบัติ. ( เดลินิวส์ ๒ ก.พ.๕๔ ) 

   - หน่วยเหนือ RKK ยื่นเงื่อนไขหยุดยิง๓ จว.ใต้ จากกรณีที่ นายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานเครือข่ายเตมูจิน เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หลังได้รับการประสานจากเครือข่ายผู้นำทางศาสนา หรือ อุลามะอฺว่ามีมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและงบประมาณให้กับหน่วยรบขนาดเล็ก RKK หรือ หน่วยคอมมานโดของขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการขอเจรจาหยุดยิงนั้น นายชนาพัทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า มูลนิธิแห่งนี้ได้ประสานงานผ่านอุลามะอฺเพื่อแจ้งการขอยื่นเงื่อนไขต่อรัฐบาล รัฐสภา และกองทัพเพื่อประกอบการเจาจรหยุดยิงและนำความสุขมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเงื่อนไขมีด้วยกัน ๓ ข้อ คือ 

         ๑.ข้อให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๖ วรรค ๒ กรณีให้นายกรัฐมนตรีนำชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีซึ่งได้รับการเห็นชอบจากกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรี ให้เปลี่ยนเป็นให้จุฬาราชมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากมุสลิมไทยทั่วประเทศที่มีอายุ ๑๘ ขึ้นไป 

         ๒.ขอให้รัฐสภาแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะในคดีความมั่นคงทุกคดีตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เป็นต้นมา และให้ตัวแทนจาก อาเซียน OIC และUN เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 


         ๓.ทางมูลนิธิการกุศลดังกล่าวเชื่ออย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกจากเป็นการกระทำของกลุ่ม RKK กลุ่มแนวร่วม และกลุ่มย่อยอื่นๆแล้ว บางส่วนเกิดจากการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเพื่อคงไว้ซึ่งกฎหมายพิเศษ



เป้าประสงค์เพื่อดึงงบประมาณและงบลับอันมหาศาลลงสู่พื้นที่และเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ค้าของหนีภาษีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองในพื้นที่ และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคร่วมรับผลประโยชน์และอยู่เบื้องหลัง เรื่องดังกล่าวให้กรรมการไต่สวนสาธารณะในข้อที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีนี้ด้วย ประธานเครือข่ายเตมูจิน กล่าวด้วยว่า ยังพร้อมที่จะเป็นคนกลางประสานการเจรจา แม้จะเป็นหนังหน้าไฟก็ยอมเพราะส่วนตัวแล้วเห็นว่าเรื่องนี้เป็นภารกิจสำคัญในการนำความสงบสุขกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้


(breakingnews.nationchannel.com ๑ ก.พ.๕๔)

การเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วม และ sympathizer 

   ความปั่นป่วนทางการเมือง ประกอบกับ
ข่าวลือการปฏิวัติอยู่เป็นระยะ ทำให้นักการเมืองอิสลามต่างชะลอการเคลื่อนไหวเพื่อประเมินสถานการณ์ สำหรับสื่ออิสลามก็ดูเหมือนจะเพลาๆการเคลื่อนไหวลง แม้สื่ออิศรายังคงมีความพยายามตีความ ม.๒๑ โน้มน้าวให้ผู้ก่อเหตุมลายูอิสลามได้รับการยกเว้นการลงโทษอยู่บ้างก็ตาม เข้าข่าย ม.๒๑ มีลุ้นอบรม ๖ เดือนแทนถูกดำเนินคดี สถาบันอิศรา เมื่อ ๘ ก.พ.๕๔ เพื่อชี้นำว่าเชิงกดดันให้มองว่าผู้ต้องหาที่กระทำความผิดด้านความมั่นคง เป็นแค่ผู้หลงผิดซึ่งควรเข้ารับการฝึกอบรมจากรัฐเป็นเวลาไม่เกิน ๖ เดือนแทนการถูกดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม

ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันของพุทธ-อิสลาม

     มหาเถรสมาคม(มส.)ออกโรง นร.มุสลิมเรียน รร.วัด ห้ามคลุมฮิญาบ
     - มส.ออกแนวปฏิบัติโรงเรียนวัดทั่วประเทศ ระบุ ร.ร.ในพื้นที่ธรณีสงฆ์ต้องยึดวิถีพุทธ ทำตามจารีตประเพณีไทย

 ... จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้พิจารณาเรื่องที่เสนอโดยคณะอนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนา คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เสนอ มส.พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติระหว่างโรงเรียนวัดในพระพุทธศาสนากับนัก เรียนที่นับถือศาสนาอิสลามเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 

    หลังจากเกิดกรณีพิพาทระหว่าง ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก กับกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ โดย นายเจริญ โต๊ะงิมา และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้ยื่นหนังสือขอให้นักเรียนหญิง ๑๗ คน ที่เรียนอยู่ที่ ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก แต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามคลุมผ้าฮิญาบมาโรงเรียน โดยอ้างหลักศาสนาอิสลาม สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ 

         ทั้งนี้ ในการประชุมมส.มีการรายงานว่า ทางโรงเรียนได้เชิญคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานประชุมพิจารณาเรื่องดัง กล่าว และมีมติเอกฉันท์ให้ยกคำขอของกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ส่วนกรณีที่เป็นครูได้มีการทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต ๒ ได้ข้อสรุปว่า 


         - ไม่อนุญาตให้ครูแต่งกายแสดงสัญลักษณ์ทางศาสนา เนื่องจากการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น จะ
ต้องยึดถือการปฏิบัติตามหน้าที่ของคนไทยตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยการปฏิบัติตามหลักศาสนา ลัทธิทางศาสนา และความเชื่อของตน แต่จะต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงาม ตลอดถึงไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นด้วย มส.ได้พิจารณาแล้วมีมติรับทราบตามแนวทางที่อนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนาฯ เสนอ คือ 

         ๑.โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ การใช้พื้นที่ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีไทยและวิถีพุทธ และกฎระเบียบของวัด 
         ๒.ให้คณะสงฆ์มีส่วนร่วมในการพิจารณาการแต่งตั้งผู้บริหารของโรงเรียน หรือหน่วยราชการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ 
         ๓.ควรให้พระสงฆ์ เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา หลักคุณธรรม จริยธรรมทุกระดับชั้น 
         ๔.โรงเรียนหรือหน่วยราชการใดขอใช้พื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ ต้องหารือและได้รับความยินยอมจากเจ้าอาวาส และคณะสงฆ์ผู้ปกครองทุกระดับจนถึงเจ้าคณะจังหวัดก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งมติดังกล่าวและให้มีผลตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป.


    ผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยได้สอบถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ต่างๆรู้สึกลำบากใจที่ มส. เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งๆที่ ประเทศไทยมีการประกาศระเบียบของกระทรวงศึกษาอย่างชัดเจน และหลายท่านก็กล่าวว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการบางคน ใช้ความอคติทางด้านลบในการตัดสินใจ พร้อมกล่าวว่า ต่อไปพี่น้องมุสลิมหากจะผ่านโรงเรียนวัด ต้องถอดฮิญาบด้วยหรือป่าว หากไม่ถอด ก็ผ่านโรงเรียนวัดไม่ได้ 


(มุสลิมไทยดอทคอม : ๒๒ ก.พ. ๕๔)
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๕:๐๓:๕๒
IP Address : ๒๐๒.๑๔๓.๑๙๑.๑๖๙

การคลุมฮิญาบของนักเรียนมุสลิม มันทำลายความสุขชาวพุทธตรงใหน สันติภาพ เกิดจากความเข้าใจกัน เข้าใจในวัฒธรรมซึ่งกันและกัน ผมว่า ความคิดที่ห้ามไม่ให้นักเรียนมุสลิมะฮ คลุมฮิญาบ หากเรียนโรงเรียนที่อยู่ภายในวัด มันเป็นความคิดที่เกิดจากอคติ
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๕:๓๓:๓๕
IP Address : ๑๒๔.๑๒๒.๗๔.๖๓

มหาเถรน่าจะไปห้ามผู้หญิงที่นุ่งสั้นดีกว่า เดี๋ยวนี้ก็แปลก พระสงค์เจอผู้หญิงแต่งตัวปกปิดมิดชิดกลับร้อนรุ่มกว่าเจอพวกผู้หญิงนุ่งสั้น ซะอีก มนุษย์...หนอ...
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๖:๐๘:๔๑
IP Address : ๕๘.๑๓๗.๔๐.๒๔๒

สรุป ประเด็นได้ว่า 
หนึ่ง บางสมาคมชอบให้ผู้หญิงแต่ตัวโป้หรือโชว์ทุกอย่างเท่าที่โชว์ได้ 
สอง บางสมาคม อุตริคิดค้น หลักการทางศาสนาขึ้นมาเอง น่าจะเรียกได้ว่า เป็น พวกศาสนาลัทธิอุตริ 
สาม บางสมาคมทำทุกอย่างเพื่อความสะใจของสมุนและพวกพ้องแต่แอบอ้างหลัการศาสนา 
สี่ รออีกสักพัก พวกนี้ไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอกไม่กี่วัน ฟ้าก็จะฝ่าตัวมันเองจนหมดสภาพความมนุษย์
Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๖:๓๔:๒๓
IP Address : ๕๘.๑๓๗.๔๐.๒๔๒

นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงความเป็นหลักการทีถูกต้อง หรือหลักการของปีศาจ ในประเทศมุสลิม ไม่ได้สั่งห้ามพระห่มจีวร แสดงว่ามุสลิมมีจิตใจที่เหนือกว่ามาก ถ้านำเอาคำสอน มาดู คือ มุสลิม เป็น ดอกบัวที่เหนือน้ำ มีจิตใจอารีต่อทุกสรรพสิ่งในโลก แต่ พวกที่ห้ามคือ พวกบัวใต้น้ำ เพราะยึดติดแต่กิเลสตัณหาราคะชอบให้ผู้หญิงทำตัวเหมือนสัตว์เดรฉาน
Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๑๘:๐๒:๕๐
IP Address : ๕๘.๖๔.๑๒๐.๑๐๒

นี่เป็นกรณีตัวอย่าง อีกหน่อยทุกโรงเรียนก็จะไม่ให้เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องเริ่มเผาวัดกันแล้ว เพื่อให้รู้ว่าความยุติธรรมมันยังมีบนหน้าแผ่นดินของพระองค์
Guest
วันที่ : ๒๒ กพ. ๕๔ ๒๒:๒๖:๕๙
IP Address : ๒๐๓.๑๓๑.๒๐๘.๑๙๘

พระเข้าเขตสุเหร่า....ขอให้ถอดจีวรออก
วันที่ : ๒๕ กพ. ๕๔ ๒๑:๓๘:๓๐
IP Address : ๑๙๒.๑๖๘.๑๓.๒๑๑
คุยกับ สส สามารถ มะลูลีมเรื่องนี้ จะนำเข้าประชุมสภา ด่วน
                                               ............................................ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น