เมื่อไหร่จะสงบ | |
นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.๒๕๕๕ - ๒๒๕๕๗ ๑) ให้การดำเนินวิถีชีวิต การปฏิบัติการหลักศาสนาเป็นไปโดยไม่มีอุปสรรค ปรับทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ปรับกฎหมายและกฎระเบียบทีเกี่ยวข้องให้เอื้อต่อเสรีภาพการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาและขจัดการเลือกปฏิบัติทางวัฒนธรรม โดยทุกฝ่ายต้องศึกษาทำความเข้าใจในคุณค่าของวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็ง อาทิ ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้กับคนในพื้นที่ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมทั้ง กิจการทางศาสนาพุทธและวิถีไทยพุทธในพื้นที่ เพื่อเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาให้สังคมมีความมั่นคงที่ยั่งยืน ท่านจะเห็นว่า ผู้เขียนนโยบายนี้ได้กำหนดไว้เพื่ออิสลาม เท่านั้น เช่น ก. “ปรับกฎหมายและกฎระเบียบทีเกี่ยวข้องให้เอื้อต่อเสรีภาพการดำเนินชีวิต ตามหลักศาสนา” ข้อสังเกต • มีแต่อิสลามเท่านั้นที่ใช้คำว่าหลักอิสลาม ดังนั้นปรับกฎหมาย ก็ต้องเพื่ออิสลาม ข. ส่งเสริม สนับสนุน อำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้กับคนในพื้นที่ ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมทั้ง กิจการทางศาสนาพุทธและวิถีไทยพุทธในพื้นที่ ข้อสังเกต • อำนวยความสะดวก...ให้กับคนที่ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ได้กำหนดสถานที่ ไว้ว่า ณ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย • ส่วนศาสนาพุทธและวิถีไทย ให้ทำอยู่แค่ในพื้นที่เท่านั้น ดังนั้น I. นโยบายอย่างนี้ ถ้าสมช.ไม่โง่ ก็ไม่เกิดเช่นนี้ II. ถ้าผู้เขียนไม่มุ่งมั่นเพื่อศาสนาตนเองก็ไม่กล้าเขียนได้เช่นนี้ ภัยที่น่ากลัวและทำให้พุทธศาสนาล่มสลายได้คือ ภัยภายใน หรือ ภัยที่เกิดจาก เราโง่เอง คลิกศึกษาจากวิดีโอนี้ o The menace effects Buddhism ภัยแห่งพระพุทธศาสนา www.youtube.com/watch?v=9rhhZfmmwAU o เราจะได้เห็นคำรำพึงอยู่เสมอว่า “เมื่อไหร่จะหยุดเสียที่” ขอตอบฟันธงเลยว่า ...ไม่หยุด ...ไม่สงบ อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ไทยมันโง่เสียเมืองมาตลอด พอมีอำนาจความเฉลียวก็หายเกลี้ยง สมช.ที่มี พล.ต.อ.วิเชีวร พจน์โพธิ์ศรี เป็นเลขาฯ ไม่เชื่อน้ำยาคนไทย ได้มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่มุสลิมเป็นผู้เขียนนโยบายจึงได้เป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ท่านนั้นคือใคร ลองอ่านรายนาม ผู้บริหารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วทายเอาเองว่าเป็นใคร น่าจะไม่ยาก คลิกลิ๊งค์นี้ http://www.nsc.go.th/index.php?option=com_partystaff&Itemid=52 เมื่อเป็นอย่างนี้...ชาตินี้ทั้งชาติตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่สงบครับ ถ้าสงบก็แสดงว่า เสียเมือง เปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามไปเรียบร้อยแล้ว “ผู้บริหารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ” ผู้เขียนนโยบายฉบับนี้เป็นใครเอ่ย ???????? | |
http://narater2010.blogspot.com/ |
หน้าเว็บ
▼
วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เมื่อไหร่จะสงบ
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ภัยแห่งพระพุทธศาสนา
ภัยแห่งพระพุทธศาสนา | |
ที่นั่งหลับตาอยู่ทุกๆวัน บอกใครๆว่าข้าฯ คือชาวพุทธ รู้หรือไม่ว่าภัยพระพุทธศาสนาเข้ามาไกล้ตัวแล้ว • อย่าหลง อย่าติดสุขอยู่เลย • บรรพบุรุษรักษาพุทธศาสนาไว้ให้เรา แล้วเราทอดทิ้ง ไม่ได้ทำเพื่อลูกหลานหรือ นั่นคือการเห็นแก่ตัว เป็นกิเลสชัดๆ • ท่านมีศีล ท่านมีสมาธิ แต่ขาดปัญญาท่านจะไปนิพานได้อย่างไร? ปกปักษ์พิทักษ์ พระพุทธศาสนาไว้ คือ การสะสมบุญ สะสมบารมีไว้เพื่อนิพพาน ไม่มีใครไปนิพพานด้วยการนั่งหลับตาอยู่ชาตินี้ชาติเดียวหรอก ถึงอย่างไรก็ไปนิพพานไม่ได้ เพราะ ๑. ติดสุข นั่นคือกิเลส ๒. ยึดติดสุขตัดช่องน้อยแต่เพียงตน นั่นคือ... เห็นแก่ตัว ปกป้องพระพุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ สะสมบุญเพื่อไปนิพพานกัน...เรียนรู้ด้วยวิ ดี โอ.นี้แหละ The menace effects Buddhism ภัยแห่งพระพุทธศาสนา | |
http://narater2010.blogspot.com/ |
พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร"
พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร" | |
ปลาบปลึ้ม! พบรอย "พระพุทธบาทในมหาสมุทร" ตามตำนานฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี วันนี้ (19 มิ.ย) ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจากแหล่งข่าวว่า ครูบาสันยาสี ภิกขุ หรือมหาโยคี แห่งสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ณ ยอดเขาพญาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ได้เกิดนิมิตขณะนั่งสมาธิกรรมฐาน เห็นว่า บริเวณโขดหินชายหาดแห่งหนึ่งของเกาะกูด จ.ตราด มีรอยพระพุทธบาทธรรมชาติที่สวยงาม ชัดเจน อยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้พาคณะศิษย์เดินทาง ด้วยการเช่าเรือเร็วขนาดใหญ่จากชายฝั่ง จ.ตราด ไปยังเกาะกูดเพื่อร่วมกันพิสูจน์ความจริง ซึ่งขณะก่อนออกเดินทางมีคลื่นลมจัด ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างแรง แต่พอเรือออกไปในทะเล ท้องฟ้าเปิด มีแสงแดดทำให้สามารถเดินทางไปได้ในระยะทาง 40 กิโลเมตร และใช้เวลาการเดินทาง 1 ชั่วโมง และในวันนี้ ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้พาผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และทีวี เดลินิวส์ ไปพิสูจน์ความจริง ตรงจุดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ตรงข้ามกับเกาะกง กัมพูชา ชาวบ้านเรียกอ่าวกล้วย หรือแหลมหินลับมีด จึงได้พากันลงน้ำทะเล ขึ้นไปยังชายฝั่ง พบรอยพระพุทธบาท ชัดเจนอยู่บนแผ่นหินริมชายหาด จึงได้นำบายศรี ดอกไม้ ธูปเทียนไปสักการะเพื่อขออนุญาตในการตรวจสอบ และบันทึกภาพมาเผยแพร่ให้สาธุชนชาวพุทธได้รับทราบว่า ได้พบรอยพระพุทธบาท ซึ่งค้นพบในปี พุทธยันตี 2,600 ปี ซึ่งเป็นปีมหามงคลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินาถ ในดินแดนสุวรรณภูมิของไทย กลางอ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งมีความชัดเจน สวยงาม เป็นธรรมชาติ มีน้ำทะเลขึ้นถึง จะดูได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อน้ำทะเลลง นางมณีจันทร์ ศรีทองคำ เปิดเผยว่า ได้มาทำธุรกิจที่พักอาศัย และมีที่ดินอยู่บนเกาะกูด เคยได้ยินคำเฒ่าคนแก่ พูดและเล่ากันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ดินแดนเกาะกูดเป็นดินแดนแห่งธรรมที่รุ่งเรืองมาก่อน และมีการพูดกันว่าบนเกาะแห่งนี้มีรอยพระพุทธบาทอยู่แต่ไม่เคยมีใครค้นพบ หรือพบเห็น จนมาทราบข่าวว่า ครูบาสันยาสี พร้อมคณะศิษย์ ได้เดินทางมาสำรวจจึงได้ขอติดตามคณะไปด้วย รู้สึกตกใจ และตะลึงอย่างมากที่พบรอยพระพุทธบาทตามคำเล่าลือมานานแสนนาน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพระท่านรู้ได้อย่างไรและเดินทางไปถูก ทั้งที่บริเวณใกล้เคียงรอยพระพุทธบาทได้มีบ้านพักคนงานลูกจ้างทำสวนยาง ปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ริมชายหาดแห่งนี้มานานหลายปี เดินผ่านไป -ผ่านมา ทุกวันแต่ไม่มีใครพบเห็นมาก่อน ส่วนทางด้าน ครูบายสันยาสี เปิดเผยว่า ได้ออกมาจากสำนักปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม (เขาถ้ำพระ)ต.ทุ่งขนาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เพื่อขึ้นไปปฏิบัติทำบนยอดเขา พญาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นภูเขาสูงชัน ขณะนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐานอยู่ ได้มีนิมิตเห็นรอยพระพุทธบาท และได้มีดวงวิญญาณของ วิญญาณโอปาติกะ ผู้ดูแลรักษาสถานที่ และบอกว่าเป็นดวงวิญญาณของเจ้าหญิงสุมลมาลย์ ในสมัยอดีต เป็นผู้ดูแลรักษาสถานที่เกาะกูด เกาะกระดาษ และดูแลรักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ได้มาอาราธนานิมนต์ทางนิมิตกรรมฐาน บอกว่ารอยพระพุทธบาทตั้งอยู่บนอ่าวกล้วย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกาะกูด สถานที่ตั้งรอยพระพุทธบาทเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ลักษณะก้อนหินยื่นลงไปในทะเล เป็นรอยพระพุทธบาท 2 รอย คู่กัน ประทับรอยกลับไปกลับมา (หรือขึ้นลง) เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ เท่ากับรอยเท้าคนแปดศอก มีส้นและปลายนิ้วอย่างชัดเจนตลอดจนก้นหอย นอกจากนี้ยังมีรอยเท้าเท่ากับคนธรรมดาอยู่บนโขดหินอีกเป็นจำนวนมาก และได้กล่าวอีกว่า รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ นับมีความสำคัญทางศาสนาพุทธอย่างมาก ซึ่งเชื่อกันว่าตามพุทธประวัติและพระไตรปิฎก ยังมีรอยพระพุทธบาทที่อยู่ในมหาสมุทรอีก 1 แห่ง ที่ยังไม่มีใครค้นพบ เกาะกูดถือว่ามีที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทร และยังเป็นดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ เช่นกัน แต่ต้องให้ผู้รู้เรื่องรอยพระพุทธบาท กรมศาสนาลงไปพิสูจน์ความจริงให้แน่ชัด ตามความเชื่อแต่โบราณ เกาะกูดในยุคเก่าเป็นเมือง สถานที่ปฏิบัติยุครุ่งเรืองของ มหานิกาย และอินดู เข้ามาเผยแพร่ศาสนาเพื่อเผยแพร่ในสยามอาณาจักร และเชื่อกันว่าพระพุทธองค์เคยเสด็จมาเทศนา โปรดสัตว์ ในเขตสุวรรณภูมิ ในยุคก่อนกึ่งพุทธกาล จึงได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในแดนสุวรรณภูมิ และยังเชื่อกันว่ารอยพระพุทธบาทในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทั้งบนที่สูง และริมทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่เกาะกูด น่าจะเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และในโลกที่ค้นพบครั้งนี้ และยังมีนิมิตอีกว่า นอกจากในพื้นที่เกาะกูด จ.ตราดแล้ว ที่จังหวัดจันทบุรียังมีอีก 9 แห่ง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ ส่วนที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก็มีอีก 1 แห่ง บนโขดหินชายทะเล เขาแหลมปู่เจ้า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งจะต้องติดตามเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงนี้ 2,600 ปี พุทธยันตี ขอขอบคุณ เดลินิวส์ออนไลน์ | |
http://narater2010.blogspot.com/ |
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ไข่อาบังฟักเป็นตัวแล้วจ๊า
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
มุสลิมโรงฮิงญาอีกแล้วครับท่าน
มุสลิมโรงฮิงญา สำแดงธาตุแท้ ไล่เข่นฆ่าคนต่างศาสนา | |
ภาพข่าวผู้ประสพภัยจากมุสลิมโรฮิงญา http://www.wontharnu.com/index.php/news/109-victims-of-rohingya -terroists-photo-news#comments photo-Hmuu Zaw ภาพโจรมุสลิมโรฮิงญาเบงกอลกำลังฉลองชัยหลังจากการโจมตีชนเผ่าอารากัน หมู่บ้านของผู้นับถือพุทธศาสนาถูกทำลายโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา Eleven Media Group Eleven Media Group Eleven Media Group Eleven Media Group Eleven Media Group photo-Hmuu Zaw บันทึกภาพขณะเยาวชนมุสลิมโรฮิงญาในระหว่างการก่อจลาจล ที่กำลังจะเข้าทำร้ายผุ้สื่อข่าวต่างประเทศ กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญาในระหว่างการก่อการจลาจล Eleven Media Group Eleven Media Group photo-Hmuu Zaw Eleven Media Group สตรีชาวอารากันพื้นเมืองกำลังเตรียมที่จะปกป้องตนเองและชุมชน ชาวอารากันถูกฆ่าตายนอกหมู่บ้านโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา ชาวอารากันผู้สูงอายุถูกฆ่าตายนอกหมู่บ้านโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา ครูใหญ่ถูกฆ่าตายโดยเยาวชนผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิง ที่เป็นลูกศิษย์ของเขาเอง นักเรียนชาวอารากันถูกฆ่าตายที่โดยเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ที่เป็นผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา สตรีวัย 26 ปี ถูกข่มขืนและฆ่าที่ Rambree โดย 3 ผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา Eleven Media Group พุทธศาสนิกชนชาวอารากัน หนีภัยไปยังวัดซึ่งกลายเป้นศูนย์อพยพ หลังจากที่หมู่บ้านของพวกเขาถูกทำร้ายและยิงโดยผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา Eleven Media Group Eleven Media Group มุสลิมโรฮิงญา เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังคลาเทศในรัฐยะไข่ ซึ่งตัวเองอ้างว่าเป็นส่วนของหนึ่งของประเทศพม่า มุสลิมก่อการร้ายเหล่านี้ เข้าโจมตีชาวพุทธพื้นเมืองเพื่อแสดงความต่อต้านต่อความพยายาม ของทางการพม่าในการควบคุมพื่้นที่ ที่ชาวโรฮิงญาต้องการยึดเป็นเขต ของตนเอง (แบ่งแยกดินแดน) ในพื้นที่ที่พวกมุสลิมโรงฮิงญาต้องการ ผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา กลายเป็นภัยคุกคามชนพื้นเมือง ในอารากัน ที่ต้องประสพชะตากรรมสำหรบการคุกคาม จากการโจมตี ของผู้ก่อการร้ายมุสลิมโรฮิงญา ประชาชนชาวอารากันที่เคยเป็นสังคมสงบ และสันติสุข เริ่มกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย การรุกคืบด้วยการครอบครอง ที่ดิน และขยายจำนวนประชากรมุสลิมโรฮิงญาได้เริ่มขึ้นในที่ดินของ ชาวอารากัน และชาวอารากันเริ่มถูกคุกคาม ซึ่งเกิดจากสลิมโรฮิงญา ซึงในกรณีนี้ มิได้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางศาสนา แต่มันคือ การก่อการร้ายของมุสลิม ที่กำลังเป็ยภัยคุกคามประเทศพม่าอยู่ในเวลานี้Editor Won Thar Nu | |
http://narater2010.blogspot.com/ |
วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ฮิญาบ ไม่ใช่อิลาม
ฮิญาบ ไม่ใช่อิลาม ไม่ใช่การบังคับของพระเจ้า | |||
“ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เป็นประเพณีการคลุมศีรษะ ไม่ใช่เป็น “หลักการของอิสลาม” และไม่มีหลักฐานอ้างอิงหรือสนับสนุนให้ต้องคลุมฮิญาบที่ได้ระบุในคัมภีร์ “อัลกุรอาน” แม้แต่น้อย ดังนั้น คำว่า“ฮิญาบ” จึงไม่ใช่ข้อบังคับการแต่งตัวของผู้หญิงมุสลิม คำว่า “ฮิญาบ” ในอัลกุรอานมีปรากฏอยู่ ๗ ครั้ง มีจำนวน ๕ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบ” มีอยู่ ๒ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบัน” จากอายาต ต่อไปนี้; วัลยัดริบนะ บิคุมุริฮินนะ อะลายุยูบิฮินนะ ว่า คำ“ฮิญาบ” ที่พบในอายัตต์เหล่านั้นไม่มีคำใดในอัลกุรอานที่ใช้ในความหมายของ “ฮิญาบ” ที่หมายถึงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิมที่ใช้บังคับให้มุสลิมมะห์ใช้กันกันอยู่ในทุกวันนี้เลย แสดงว่าพระองอัลลอฮ์ ไม่ได้ให้บังคับใช้ “ฮิญาบ” เป็นข้อบังคับในการแต่งตัวของ “มุสลิมมะห์” ดังที่บรรดาท่านอิหม่ามทั้งหลายอ้างไว้ คำว่า "ฮิญาบ" เป็นคำที่มุสลิมะห์ทั้งหลายใช้เรียกผ้าคลุมศีรษะของเขา ทั้งนี้อาจจะรวมทั้งผ้าที่คลุมทั้งใบหน้าเว้นไว้แต่นัยน์ตาทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว คำว่า “ฮิญาบ” ในภาษาอรับอาจจะแปลในความหมายของ “ผ้าคลุมใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกถึงปลายคาง ส่วนความหมายอื่นๆอาจจะหมายถึง ม่าน, การคลุม, เสื้อคลุมไม่มีแขน, ฝากั้นชั่วคราว, การแบ่งส่วน, ผ้าม่านที่ตกแต่งประตูหน้าต่าง และเครื่องปกคลุมอื่นๆ
ในขนบธรรมเนียมของชาวยิว จะเห็นว่าการคลุมศีรษะของผู้หญิงยิวรวมทั้งผู้ชายด้วยนั้น เนื่องจากถูกบังคับจากผู้นำทางศาสนายิว จะสังเกตเห็นว่า ในปัจจุบันสุภาพสตรียิว ก็ยังใช้ “ฮิญาบ” เป็นส่วนใหญ่แทบทุกโอกาส ในโบสถ์ในการพิธีการแต่งงาน และในพิธีการทางศาสนา ในอเมริกา ตั้งแต่สมัย ๖๐ ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงยังนิยมใช้ “ฮิญาบ” ในเวลาไปโบสถ์ และพวกศาสนาหรือชาวอามิช อเมริกันก็ใช้ “ฮิญาบ” อยู่ในทุกๆวันนี้ซึ่งจะใช้อยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบันผู้หญิงคริสเตียนในอเมริกา ใช้ “ฮิญาบ” ในเวลาไปโบสถ์แต่สำหรับ แคโธริคคริสเตียน “ชี” จะใช้ “ฮิญาบ” อยู่ตลอดเวลา ที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าในตะวันออกกลางชาวชาติเชื้อ อาหรับจะเป็นยิว, คริสเตียน หรือมุสลิมก็ตาม จะใส่“ฮิญาบ” เหมือนกันหมด เพราะว่ามันเป็นประเพณีของชนเชื้อชาวอาหรับมาเป็นเวลานับพันๆ ปี ดังนั้นสำหรับ มุสลิมที่ใส่“ฮิญาบ” ไม่ใช่เพราะ “อิสลาม” แต่เพราะว่าเป็นประเพณีของชาวอาหรับทั้งหญิงและชาย ในตอนเหนือของอาฟริกาบางเผ่าที่เป็นมุสลิม ผู้ชายใส่“ฮิญาบ” แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เราจะเห็นว่าประเพณีการใส่“ฮิญาบ” กลับเพศกัน ทั้งนี้เพราะ “ฮิญาบ” ไม่ใช่ “อิสลาม” เราจะเห็นว่าแม่ชีในคริสต์ศาสนาบางนิกายคลุม “ฮิญาบ” เช่นเดียวกับหญิงชาวอรับทั้งมุสลิม และไม่ใช่มุสลิมในตะวันออกกลางเช่นกัน ทั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า “ฮิญาบ” เป็นเครื่องแต่งกายตามประเพณีของคนเชื้อชาติอาหรับไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิสลาม หรือศาสนาเลย และในบางภูมิภาคของโลกเรา ในบางประเทศ ผู้ชายเป็นผู้ที่ใส่ “ฮิญาบ” ในขณะเดียวกันประเทศในภาคตะวันออกกลางผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ “ฮิญาบ” แล้วทำไมสุภาพสตรีมุสลิมไทยจะต้องใส่ “ฮิญาบ” ในเมื่อมุสลิมไทยไม่ใช่ อาหรับ และ “ฮิญาบ” ไม่เกี่ยวกับอิสลามเลย ขอยกตัวอย่างประเทศ “จอร์แดน” ประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และผู้นำประเทศก็เป็นมุสลิมเช่นกัน สุภาพสตรีมุสลิมจะสวม “ฮิญาบ” หรือไม่สวมก็ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับในเรื่องฮิญาบ สตรีทุกๆคนมีสิทธิเท่าเทียมกับชายทั้งในทางศาสนา และทางสังคม หลังจากท่านศาสดามูฮัมมัดสิ้นชีพ ผู้จดบันทึก “หนังสือฮาดีษ” ได้รวมเอา“ฮิญาบ” ซึ่งเป็นประเพณี่ดึกดำบรรพ์ มารวมไว้และอ้างว่าเป็นคำสั่งของท่านรอซูลล์ ทั้งๆ ที่เอาตัวอย่างมาจาก ยิว และคริสเตียน ทั้งนี้เพราะเรื่องการสวมใส่ “ฮิญาบ” ไม่ได้มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน สำหรับมุสลิม คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าสุภาพสตรีมุสลิม แต่งกายอย่างไร สำหรับ “มุสลิมมะห์ผู้มีศรัทธาในอัลลอฮ์ และอิสลาม” การกำหนดสร้างและแปลกปลอมสิ่งใดเช่น นำเอา “ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เข้ามาใช้เป็นหลักศรัทธา “ในอิสลาม” (การยอมจำนนและสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์) ซึ่งไม่มีบัญญัติอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ถือว่าเป็นการสร้างภาคีอย่างหนึ่ง ซึ่งขัดต่อหลักการของอิสลาม การเอาประเพณีปลอมปนเข้าไปอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นการสร้างภาคีกับอัลลอฮ์ เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการอื่น แล้วอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของบัญญัติของอัลลอฮ์ ก็มีความผิดเท่าๆ กับผู้ที่สร้างภาคีเช่นกัน ถ้าเขาปฏิบัติเช่นนั้นไปตลอดชีวิตเขา การเพิกเฉยต่อบัญญัติของพระองค์อัลลอฮ์ในอัลกุรอาน แต่กลับไปตาม กฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีในอัลกุรอานเป็นการขาดความเคารพยำเกรงต่อพระองอัลลอฮ์ และท่านศาสดามูฮัมมัดที่เห็นได้อย่างชัดเจน ฉัน (มูฮัมมัด) ยังจะต้องแสวงหาผู้อื่นอีกหรือนอกจากอัลลอฮ์ เพื่อเป็นผู้ตัดสิน, เมื่อพระองค์ได้ประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้แก่พวกท่าน, ที่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดสมบูรณ์? ผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ได้ให้คัมภีร์ แก่พวกเขามาก่อน รู้ดีว่าคัมภีร์นั้นถูกส่งมาจากพระเจ้า ของพวกเจ้าด้วยความแท้จริง, ดังนั้น(โอ มูฮัมมัด) เจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ของผู้ที่มีความเคลือบแคลงใจเลย และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างขึ้นดอกหรือ ? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้ว และยังมีฮาดีษ อื่นใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันนอกจากอัล-กุรอาน(7:185) พระองค์อัลลอฮ์ ทรงเตือนให้ผู้ที่มีศรัทธาต่อพระองค์ที่แท้จริงให้แน่ใจว่า เขาจะไม่หลงตกไปในหลุมพรางของ “พวกสร้างภาคีให้ต่อพระเจ้า” โดยยึดถือและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ “นักปราชญ์ของอิสลาม และท่านอีหม่าม” ต่างๆ แทนที่จะเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ จงดูจากบัญญัติ (9:31) “พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า, อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย ทั้งๆ ที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ, แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น” (9:31) “เจ้าต้องไม่ยอมรับข่าวสารอันใด เว้นเสียแต่ว่าเจ้าได้ตรวจสอบด้วยตัวของเจ้าเอง, เพราะเราได้ให้แก่เจ้า การได้ยิน, การมองเห็น, และความคิด และเจ้าเองเท่านั้น ที่มีความรับผิดชอบในการใช้สิ่งเหล่านั้น” (17:36) ปัญหาฮิญาบถ้ามองดูอย่างผิวเผินแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุผลทางศาสนา แต่ถ้ามองดูในสังคมของประเทศใกล้เคียง (อินโดนีเซีย, ฟิลลิปปิน ฯลฯ) มุสลิมไทยเราถูกอิทธิพลของประเทศในกลุ่มอาหรับ เอาหลักการที่ไม่ใช่หลักการของศาสนามาสอดแทรก เพื่อที่จะให้มุสลิมไทย แตกต่างไปจากประชาชนในสังคมส่วนใหญ่ ทำให้ผู้นำทางศาสนา สามารถที่จะชักชวน หรือนำกลุ่มมุสลิมทำการต่อต้านรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าไม่เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ ไม่อยากให้มุสลิมไทย ตกเป็นเครื่องมือของผู้หวังผลทางการเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของมุสลิมเป็นภาพของบุคคลที่ใช้ความรุนแรง เป็นสังคมที่มีผู้ก่อการร้ายแอบแฝงอยู่ | |||
http://narater2010.blogspot.com/ |