หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มุสลิมจอมตอแหล ลวงโลก กับเนื้อควายแดดเดียว

            คุณไม่สงสัยว่าบางครั้งข้อมูลที่เรากำลังมีการนำเสนอในรูปข่าวสาร ในแต่ละวัน มุสลิมสามารถสื่อสารส่งข้อมูลที่พูดเกินจริง หรือ ไม่จริงทั้งหมดให้กับโลกนี้ ราวกับว่า คนทั้งโลกนี้จะหลงโง่งมงายไปกับข้อมูลของพวกเขา


            แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ที่ไหนมีคนฉลาด ที่นั่นก็มักจะมีคนโง่เป็นของคู่กันเสมอ  และมักจะมีมากเสียด้วย 


           นักวิชาการคลั่งไคล้สิทธิ์มนุษยชนในประเทศไทย จำนวนมาก (เพราะมันจะมีมากกว่าคนฉลาดเสมอ) ก็พร้อมจะกระโดดงับขอมูลข่าวสารพวกนี้ แล้วก็ดาหน้ากันออกมา ถล่มรัฐบาลในประเทศของตัวเอง ราวกับว่า นักวิชาการเหล่านี้ เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องไปเสียทุกเรื่อง ภาพที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ผมถือเป็นปฏิบัติภารกิจในการนำความจริง ออกมาเผยแพร่ ภาพแรกนี้ เป็นภาพจาก


http://www.habibies.com/technology/social-network/social-media-is-lying-to-you-about-muslims-killing-in-burma/

the body of muslims slaughted by buddhist burma
คำอธิบายภาพบอกว่า ร่างของชาวมุสลิม ที่ถูกชาวพุทธฆ่าในพม่า
แล้วความจริงคืออะไร


                I have found the original version which reads differently to the the one posted on the social networking site.




            This picture was taken in 2010 after an earthquake in China and captures the efforts put in by the Tibetans to help rescue the victims. Now, Islamic political parties and some other elements are sharing this image as Muslim killing and their slaughter in Burma.


Another widely circulated picture captioned “More then 1,000 people killed in Burma” is also fake.



           ภาพนี้ถูกถ่ายในปี 2010 หลังจากแผ่นดินไหวในประเทศจีน และเป็นความความพยายามของชาวพุทธ (พระชาวทิเบต) ที่จะช่วยช่วยชีวิตผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เหตุการแผ่นดินไหว แต่ขณะนี้ พรรคการเมืองอิสลาม จะร่วมกันนำภาพนี้ออกเผยแพร่ โดยบรรยายภาพว่า ภาพนี้เป็นของชาวมุสลิมที่ถูกชาวพุทธในพม่าเข่นฆ่าชาวมุสลิม

หรือแม้แต่เรื่องนี้

                This picture was taken in 2010 after an earthquake in China and captures the efforts put in by the Tibetans to help rescue the victims. Now, Islamic political parties and some other elements are sharing this image as Muslim killing and their slaughter in Burma.


Another widely circulated picture captioned “More then 1,000 people killed in Burma” is also fake.




         The original, as you can see below, is taken in Thailand in the year 2004. This picture shows protesters that were tear-gassed outside the Tal Bai police station in Bangkok. This is roughly 1,409.9 km away from Burma! What is grossly negligent about these photos is the factual ignorance of the hate these misleading photos can culminate.




เป็นงัยละครับท่าน
อ่านจบ แล้วถ้าไม่คิดเหมือนหัวข้อที่ผมตั้งชื่อไว้ว่า มุสลิม จอมตอแหล ลวงโลก
ก็อาจจะตั้งชื่อใหม่ว่า นักวิชาการไทย NGO ไทย คือ เนื้อควายแดดเดียว ละครับท่าน


วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เหม็นขี้ปาก วะ

ต้องเข้าใจ ต้องเข้าถึง และพัฒนา ชิมิ ชิมิ
        ทหารไทย คือ เป้าเคลือนที่ซ้อมยิงให้กับโจรใต้แล้วหรือ ลูกพี่นายใหญ่ ยังมั่วกับกับเครื่องตรวจระเบิดลวงโลก  เรืองอุ้มคนหนีทหาร


        กอ.รมน. กำลังวุ่นกำการสลับชื่อกำลังพลหย่าย ๆ วนเวียนกันไปรับเบี้ยเลี้ยง
นักวิชาการ กำลังมัวเมากับสิทธิ์มนุษย์ชน 


        และทหารไทย ก็ต้องสังเวยชีวิตไปทีละคนสองคน 




                  แต่น้อง ๆ นักเรียนนายร้อย จปร. ทั้งหลาย  พี่ ๆ ของน้องนักเรียนนายร้อย ตายโหงตายห่าอยู่ทุกวัน   แต่พวกน้อง ๆ ยังมัวหลงระเริงกับภาพมายา  โอลันล้าพิศวงกันอยู่ ถ้าพวกน้อง ๆ หลงลืม ภารกิจ หน้าที่ และยังมืดบอดอย่างนี้ น้อง ๆ ทั้งหลาย จงเลิกกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าองค์พระผู้พระราชานกำเนิด ณ ศาลาวงกลม ที่ว่า

ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดก ของพระองค์ท่าน ไว้ด้วยชีวิต

จงลืมซะ เพราะพี่ ๆ ของน้อง ๆ ทั้งหลายเขาปฏิญาณ แล้วเค้าทำ

ส่วนพวกน้อง ๆ พี่จะบอกว่า 

เหม็นขี้ปากวะ

พี่อายแทนน้อง ๆ จริง ๆ .............................






วันนี้ (28ก.ค.55) เมื่อเวลาประมาณ 06.15 น. เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงคราม
ยิงถล่ม ทหารกองร้อยทหารราบที่ 15321 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ระหว่าง
รักษาความปลอดภัยให้ชาวบ้านขณะออกจับจ่ายซื้ออาหารเดือนรอมฎอน
ช่วงเช้า ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 คือ ส.อ.ลือชัย จุลทอง อายุ 26 ปี ,
พลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ อายุ 22 ปี , พลทหารภาคิน หงส์มาก
อายุ 22 ปี , พลทหาร เบญจรงค์ ศรีแก้ว อายุ 22 ปี โดยศพทหารทั้ง 4 นาย
ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเข้าที่ศีรษะและลำตัวหลายนัด

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ ส.อ.ปรีดา นพคุณ อายุ 30 ปี ,
พลทหารอาคม ชูกล่อม อายุ 22 ปี  ทั้งสองคนอาการสาหัสแพทย์ได้ส่งต่อ
ไป รพ.ปัตตานี ในที่เกิดเหตุพบรถ จักรยานยนต์ของทหารจำนวน 3 คัน
ล้มข้างทางและพบปลอกกระสุนปืนสงครามทั้ง เอ็ม 16 อาก้า ลูกซองยาว
กว่า 100 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

โดยก่อนเกิดเหตุทหารชุดนี้ซึ่งมีจำนวน 6 นาย ขี่รถจักรยานยนต์ 3 คัน
ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนเส้นทาง และกำลังจะเดินทางกลับฐานปฏิบัติการ
ที่โรงเรียนบ้านกาวะ ในหมู่บ้านลุโบะยิไร เมื่อถึงที่เกิดเหตุคนร้าย
มากกว่า 10 คน ใช้รถกระบะจำนวน 3 คัน ขับตามหลัง พร้อมกับกราดยิงใส่
และก่อนหลบหนีไป คนร้ายยังได้หยิบเอาปืนของเจ้าหน้าที่ไปจำนวน 4 กระบอกด้วย
ด้าน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วย ฉก.25 เข้าควบคุมพื้นที่ รวมทั้ง
ตั้งจุดตรวจจุดสกัด นำกำลังเสริม ปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคัยง

โดยทหารที่บาดเจ็บได้มีการยิงต่อสู้กับคนร้าย และคาดว่าคนร้ายน่าจะ
ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งภารกิจของทหารชุดนี้ ได้รับมอบหมายให้รักษาความปลอดภัยครู
ลาดตระเวรเส้นทางบริเวณนั้น รวมทั้งดูแลความปลอดภัยในตลาดนั้น

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวท้องถิ่น
ข่าวจริงสปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาค



ปัตตานี - ศาลปัตตานีออกหมายจับเพิ่มอีก 
3 คดีคลิปสะเทือนขวัญโจรใต้ใช้กระบะ 3 คัน
ประกบยิงทหารลาดตะเวน 4 ศพ บาดเจ็บ 2 
ที่ อ.มายอเมื่อ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา เผย
รวมหมายจับแล้วเป็น 4 คน ด้านตำรวจ
เตรียมขอเพิ่มอีก 3-4 ราย
        
       วันนี้ (10 ส.ค.) ที่กองบังคับการสถานีตำรวจ
ภูธร จ.ปัตตานี พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์      
ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ศาลจังหวัด
ปัตตานีได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 3 รายในคดี
ลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 
25 เสียชีวิต จำนวน 4 นาย บาดเจ็บ 2 นาย 
เหตุเกิดพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 
28 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยหมายจับทั้งหมดลง
วันที่ 10 ส.ค.2555 ประกอบด้วย

        
       1. นายรอสือดี จือแน อายุ 28 ปี หมายจับเลขที่ จ.218/2555
       2. นายนูรอาบีดีน จารง อายุ 29 ปี หมายจับที่ จ.219/2555 และ
       3. นายอับดุลฮาดี ดาหาเล็ง อายุ 29 ปี หมายจับที่ 220/2555

        
       ทั้งนี้ การออกหมายจับเนื่องจากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะ
ภาพจากวงจรปิดที่เห็นรูปพรรณคนร้ายหลายคนขณะก่อเหตุอย่างชัดเจน 
อีกทั้งพยานแวดล้อมพยานบุคคลในที่เกิดเหตุต่างยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 
คนเป็นผู้ที่ก่อเหตุ
        
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการออกหมายจับในคดีดังกล่าวรวมแล้ว 4 ราย 
และจะมีการออกหมายจับเพิ่มอีก 3-4 คน ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมเอกสาร
เพื่อขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดปัตตานี

*******************************************

โจรใต้

โจรใต้

ป่วน! โจรใต้ยิงถล่มทหาร ฉก.ปัตตานี ตาย 4 เจ็บ 2 (ไอเอ็นเอ็น)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

          เกิดเหตุคนร้ายปะทะเจ้าหน้าที่ทหารร้อย ร.1532 จ.ปัตตานี ส่งผลให้ทหารเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 4 นาย ได้รับบาดเจ็บอีก 2 นาย เชื่อเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้

          เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (28 กรกฎาคม) เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ร.1532  หน่วยเฉพาะกิจ ปัตตานี 25 จนเกิดการปะทะกัน 5 นาที บนถนนสาย 406 มายอ-ปาลัส บ้านดูวา หมู่ที่ 3 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 4 นาย และได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมายอ จ.ปัตตานี 

          ภายหลังทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ สิบเอกลือชัย จุลทอง, พลทหารเอกรัตน์ สีดองไม้, พลทหารภาชิม หงส์มาก และพลทหารเบญจรงค์ ศรีแก้ว ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ คือ สิบเอกปรีดา นพคุณ และพลทหารอาคม ชูกล่อม ทั้งนี้ ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไป คนร้ายได้นำอาวุธปืน เอ็ม 16 ของเจ้าหน้าที่ไปด้วย จำนวน 4 กระบอก 
          จากการสอบสวน ทราบว่า เหตุเกิดขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวกำลังเดินทางกลับฐานปฏิบัติการที่โรงเรียนบ้านกาวะ หมู่ที่ 3 ต.กาวะ อ.มายอ ด้วยรถจักรยานยนต์ จำนวน 3 คัน กำลังพล 6 นายคนร้ายประมาณ 15 คน ใช้รถยนต์กระบะ จำนวน 3 คัน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงใส่ จนเป็นเหตุเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เกิดจากการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

          อย่างไรก็ตาม กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพเหตุกราดยิงในครั้งนี้ได้ โดยเจ้าหน้าที่จะนำรูปพรรณของคนร้ายไปเปรียบเทียบกับแฟ้มประวัติของกลุ่มแนวร่วมที่มีหมายจับและผู้ต้องสงสัย ซึ่งจากการตรวจสอบภาพเบื้องต้น เชื่อว่าน่าจะเป็นแนวร่วมกลุ่มใหม่เข้ามาก่อเหตุครั้งนี้ด้วย





วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รบเพื่อพระเจ้าจริงหรือ

ชะฮีด(การตายในการรบเพื่อศาสนา)ของท่านฮัมซะฮ์

       กองทัพทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยแรงกระตุ้นที่ต่างกัน  ฝ่ายมักกะฮ์นั้นพกความโกรธแค้นมาเต็มหัวใจเนื่องด้วยศักดิ์ศรี ในความเก่าแก่ของเมืองและความพ่ายแพ้จากสงครามบัดร์ที่ผ่านมาซึ่งขนอาวุธและกำลังพลมาอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยผู้หญิงที่มาคอยให้กำลังใจ และสัญญาจะให้ทุกสิ่งแลกกับการแก้แค้นให้ญาติของตนที่สูญเสียไปในสงครามบัดร์ ฝ่ายมุสลิมนั้นถูกกระตุ้นด้วยความศรัทธาในพระเจ้าและศาสนาของพระองค์ และความปรารถนาจะปกป้องดินแดนของตนและผลประโยชน์ของตนด้วย

         ฮัมซะฮ์ คือบุคคลที่ฮินด์หมายเอาชีวิตมากที่สุดเพราะดาบของเขาได้สังหาร บิดาและพี่ชายของนางรวมทั้ง ญาติสนิทส่วนหนึ่งของนางด้วยในสงครามที่บัดร์เมื่อครั้งที่แล้ว  และในสงครามอุฮุดที่กำลังฟาดฟันกันอยู่นี้ เขาได้ฆ่าฝ่ายมักกะฮ์ไปอีกหลายคน เพียงไม่กี่เพลงดาบผู้ที่หาญมาประดาบกับเขาก็ล้มลง

          ฮินด์ ได้ให้สัญญากับทาสชาวเอธิโอเปีย คนหนึ่งที่ชื่อ วุฮ์ชี ว่าจะยกทรัย์สินอย่างมากมายให้เขาและนายของเขาก็มีลุงคนหนึ่งที่ถูกฆ่าในสงครามบัดร์ก็สัญญาว่าจะมอบอิสระให้แก่เขาด้วย หากเขาสามารถฆ่าฮัมซะฮ์ได้  วะฮ์ชี ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ภายหลังจากสงครามว่า  “ข้าพเจ้าก้าวออกไปในท่ามกลางคนอื่น ตั้งใจจะต่อสู้ด้วยหอกของ  ข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่ชาวเอธิโอเปียนิยมใช้กันและข้าพเจ้าไม่เคยพลาดเลยถ้า  ใช้หอก  เมื่อการปะทะกันครั้งใหญ่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้มองหาฮัมซะฮ์ และได้แลเห็นเขา อยู่ท่ามกลางความชุลมุนนั้น  เขายืนอยู่ชัดเจนเหมือนอูฐสีดำในฝูง และเอาดาบฟาดฟันทุกคนที่อยู่รอบๆเขาล้มลง ข้าพเจ้าแกว่งหอกของ


          ข้าพเจ้าเมื่อแน่ใจว่ามันได้สมดุลแล้วก็พุ่งเข้าใส่เขา แล้วมันก็พุ่งเข้าใส่เขาที่ท้องพอดี และทะลุตัวเขาออกไป  ข้าพเจ้าปล่อยหอกและเหยื่อของมันถูกปักไว้ จนกระทั่งเขาตายไป  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาหาเขาและดึงหอกออกมา   แล้วก็กลับเข้าค่ายโดยไม่ได้ต่อสู้อีก  ข้าพเจ้าฆ่าเขาเพื่อให้ได้อิสรภาพ ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้รับแล้ว  เมื่อข้าพเจ้ากลับมาที่เมืองมักกะฮ์งานที่ข้าพเจ้า ทำไปก็ได้รับการรับรองเป็นทางการ”

           นั่นคือตัวอย่างหนึ่งของนักรบฝ่ายมักกะฮ์ที่ไม่ได้ออกมารบด้วยความเคียดแค้นอันใดต่อใครเป็นการส่วนตัว ฝ่ายมุสลิมก็เช่นกัน แม้จะมีการคัดเลือกนักรบมาแล้วก็ตามแต่ก็มีทั้งผู้ที่จริงใจในศาสนาและผู้ไม่จริงใจในศาสนาแต่มีวัตถุประสงค์อื่นในการรบ  เช่น กุซมาน เมื่อตอนที่กองทัพของท่านนบีเคลื่อนทัพออกจากเมืองมะดีนะฮ์  กุซมาน ไม่ยอมออกมาด้วย พอเช้าวันรุ่งขึ้น พวกผู้หญิงในเผ่าศอฟัรของเขาก็ได้เริ่มตำหนิเขาว่า

       “โอ้กุซมาน   ท่านนั้นหมดยางอายซะแล้วกระมัง หรือว่าท่านกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วถึงมัวอยู่แต่ข้างหลังในขณะที่บุรุษอื่นต่างออกไปสู้รบในแนวหน้า”

        จะเห็นได้ว่าพวกอาหรับนี่เรื่องเย้ยหยันและดูหมิ่นศักดิ์ศรีนี่จะชำนาญกันดีนัก ฝ่ายที่ถูกดูหมิ่นก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที กุซมานก็ฉวยเสื้อเกราะ และคันธนูอันเป็นอาวุธที่เขาชำนาญและดาบตามไปสมทบกองทัพของท่านนบีทันที โดยมิได้อธิบายใดๆต่อผู้หญิงเหล่านั้น  แม้เขาจะมีชื่อเสียงในการต่อสู้

           เขาเข้าไปอยู่ในแถวหน้าของการต่อสู้และเป็นคนแรกๆที่โผเข้าสู่วงล้อมการต่อสู้ที่กำลังพลต่างกันอย่างมากนี้ ธนูของเขาได้ฆ่าศัตรูของอิสลามไปหลายคน  ตกเย็นเขาก็ต่อสู้ต่อไปโดยไม่คิดถอยราวตั้งใจว่าจะสู้จนตัวตาย จนในที่สุดเขาก็ถูกฆ่าจริง ๆ หลังจากที่เขาฟาดฟันศัตรูล้มลงไปอีกราวเจ็ดคนภายในเวลาอันรวดเร็ว ในขณะที่เขาใกล้จะสิ้นใจ มุสลิมคนหนึ่งได้เข้าไปแสดงความยินดีกับเขา ในการตายชะฮีดของเขาได้สำเร็จ แต่เขากลับกล่าวว่า “โอ้ พ่อของอะมีร ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เพราะความศรัทธาจริงๆหรอก ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อไม่ให้พวกกุเรชบุกเข้ามา  ในเขตแดนของเรา บ่านเรือนของเรา และทรัพย์สินของเราเท่านั้น ให้ตายซิ  ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชน และดินแดนของข้าพเจ้าเท่านั้น  ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วข้าพเจ้าก็คงจะไม่ต่อสู้อย่างแน่นอน”

         ฝ่ายผู้มีความแค้นและฝ่ายผู้มีศรัทธาต่างก็ประดาบกันอย่างเลือดพล่านและห้าวหาญเช่นกัน เมื่ออาลีสู้กับผู้ถือธงของมักกะฮ์เผ่า ได้ฆ่าผู้เป็นพี่ชาย น้องชายก็เข้ามาถือธงแทนโดยไม่ยอมให้มันตกถึงพื้น พลางตะหวาดกลับมาว่า “แกแกล้งพูดว่าพวกชะฮีดของแกอยู่ในสวรรค์  ส่วนพวกเราอยู่ในนรกกระนั้นหรือ ? ให้ตายเถอะ แกมันโกหก  ถ้าหากพวกแกคนไหนเชื่อในนิทานอย่างนั้นจริงๆ  ก็ก้าวออกมาสู้กับข้าซิ”

          อาลีก็ก้าวเข้ามาต่อสู้กับเขา และฆ่าเขาตายแทบจะในทันที แต่เผ่า อับดุดดาร ก็มีคนเข้ามารับธงไว้ต่อไปโดยไม่ให้ตกถึงพื้น  จนเขาเสียคนไปถึง 9 คน  คนสุดท้ายที่เข้ามาถือธงเป็นทาสของเผ่าจากเอธิโอเปีย คือ สุอัยบ์   ก็เข้ามารับธงแล้วชูมันขึ้นด้วยมือขวา  กุซมาน ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เสียชีวิต ก็โดดเข้าฟันแขนเขา สุอัยบ์ ก็จับธงแล้วชูมันด้วยแขนซ้าย กุซมาน ก็ฟันแขนซ้ายของเขาอีก แต่สุอัยบ์ก็เอาแขนที่เหลือประคองธงแนบกับอกแล้วก้มหลังลงเพื่อให้แน่นขึ้นแล้วพูดว่า  “โอ้ ชาว อับดุดดาร ฉันมิได้ทำหน้าที่ของฉันดอกหรือ” แล้วดาบถัดมาท่ามกลางความชุลมุนนั้นก็ได้ฆ่าเขาตาย แล้วธงนั้นก็ไม่มีใครถือไว้อีก  เมื่อธงล้มลง ภาคีสมาชิกของมักกะฮ์ก็เริ่มปั่นป่วน พวกผู้หญิงของเขาที่มากับกองทัพที่เฝ้ารักษารูปปั้นเครื่องลางที่เอามาบนหลังอูฐก็เริ้มชุลมุนปล่อยให้รูปปั้นเหล่านั้นตกลงมาแตกและเกิดโกลาหลกันขึ้นในกองทัพแห่งมักกะฮ์

            เมื่อยามเช้ากลับมาเยือนอีกครั้งดั้งปาฏิหารย์ เพราะมุสลิมเริ่มเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกล เพราะพลธนูที่อยู่บนเขาคอยยิงคุ้มกันทหารม้าไม่สามารถเข้ามาจู่โจมได้และยิงสกัดแนวหน้าของศัตรูในระยะไกล ซึ่งทุกคนอยู่ในระเบียบการรบอย่างเคร่งครัด  จึงสามารถเข้าปะทะกับข้าศึกจำนวน 3,000 ได้แม้มุสลิมจะมีเพียงแค่ 700 คน

           หลังจากปะทะกันต่อไปอีกไม่นาน ฝ่ายมักกะฮ์ก็เป็นฝ่ายถอย ฝ่ายมุสลิมรุกไล่ตามไปจนไกลจากสนามรบได้ระยะหนึ่ง  แต่ผู้ที่อยู่ข้างหลังก็มัวแต่เข้าไปเก็บทรัพย์สินของฝ่ายศัตรูอันถือว่าเป็นทรัพย์สงครามที่ทิ้งไว้เบื้องหลังระหว่างหนีไป  จนในที่สุดทรัพย์เหล่านั้นก็ดึงคนจำนวนมากให้กลับมาเก็บทรัพย์สงครามโดยไม่ได้ติดตามข้าศึกที่พ่ายแพ้ไปแล้วให้ราบคาบ

ทำไม พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมจากอินเดีย

ทำไม พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมจากอินเดีย


           สาเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมจากประเทศอินเดียนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ เช่น การเสื่อมทางด้านศีลธรรม, การแตกแยกและการขัดแย้งกันทางนิกาย, การถูกศาสนาพราหมณ์กลืน, การทำลายล้างของมุสลิม เป็นต้น ในที่นี้ขอแสดงเฉพาะหัวข้อ "การทำลายล้างของมุสลิม" ก่อน เพราะเห็นว่าเหมาะสมกับสถานะการปัจจุบัน...

การทำลายล้างของมุสลิม
************************

              ในปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ขุนพลอิสลามชื่อ "โมฮัมหมัดเบนกาซิม" ได้ยกทัพเข้ามาทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ได้เข้าโจมตีแคว้นสินธุ์และแคว้นมลดาล แล้วเข้ายึดครองบริเวณนี้ไว้ ตั้งราชวงศ์อิสลามขึ้นเป็นเวลา 3 ศตวรรษ พระพุทธศาสนาที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ถูกทำลายลงสิ้นบรรดาเจ้าครองนครฮินดูทั้งหลาย ได้ผนึกกำลังกันต่อต้านอย่างเหนียวแน่นเพื่อไม่ให้กองทัพอิสลามล้ำเข้ามาในลุ่มแม่น้ำคงคา 

            วีรกรรมของชาวอินเดียผู้รักชาติเหล่านี้ จะเห็นได้จากพวก "ราชบุตร" (คือ ชนเผ่าอารยัน ปัจจุบันมีอยู่มากในแคว้นราชสถาน) เช่น ครั้งหนึ่ง ในยุทธสงครามในแคว้นราชสถานพวกราชบุตรตายในที่รบหมด ส่วนบรรดามเหสีเมื่อทราบข่าวก็ไม่ยอมตกเป็นเชลยของอิสลาม พวกนางได้ก่อไฟบนเชิงเทินแล้วกระโดดเข้ากองไฟหมดทุกคน ผู้ที่ได้รับความย่อยยับมาก คือ คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะอินเดียภาคตะวันตกมีวัดวาอารามเป็นเรือนหมื่น วัดเหล่านี้ถูกพวกอิสลามเผาพลาญหมด ปล้นสะดมเอาทรัพย์สมบัติไป พระสงฆ์ได้อพยพหนีภัยเข้าสู่แคว้นมคธและแคว้นเบงกอลเป็นจำนวนแสน

          เมื่อบรรดาเจ้าครองนครฮินดูเลิกอิจฉาริษยากันเองหันมาจับมือกัน ก็สามารถยับยั้งความบ้าเลือดของศัตรูไว้ได้เป็นเวลาถึง 3 ศตวรรษ แต่เมื่อความสงบเกิดขึ้น พวกเจ้านครฮินดูก็ตั้งตนอิจฉาริษยากันเองอีก บางองค์ถึงกับชักศึกเข้าบ้าน เช่น เจ้าครองนครกัญญากุพชะไปขอธิดาของพระเจ้าปฤฐวีราช กษัตริย์แห่งเดลฮี เมื่อถูกปฏิเสธก็เจ็บแค้น ได้ขอให้กองทัพอิสลามมาช่วงตีพระเจ้าปฤฐวีราช พวกอิสลามจึงถือโอกาสเข้ายึดเดลฮีไว้ได้ในพุทธศวรรษที่ 15

          กษัตริย์อิสลามชาวอาฟกานิสถาน ชื่อ "มหหมุด" ได้กรีธาทัพไปปล้นอินเดียถึง 17 ครั้ง มหหมุดได้ประกาศคำขวัญไว้สำหรับทหารมุสลิม (ผู้นับถืออิสลาม เรียกว่ามุสลิม) ว่า "จงไปบูชาลงโทษพวกบูชารูปเคารพ จงทำลายโบสถ์วิหารของมัน จงให้มันกลับใจมานับถือพระอัลลาห์" 

          เพราะฉะนั้นกองทัพอิสลามภายใต้การนำของมหหมุด เมื่อไปถึงไหน พระพุทธศานาและศาสนาพราหมณ์ก็ฉิบหายย่อยยับในที่นั้น ประชาชนถูกบังคับให้ยอมรับนับถือศาสนาใหม่ ที่ไม่ยอมก็ถูกประหาร ในการสงคราม 17 ครั้งของทรราชผู้นี้ในอินเดียมีอยู่ครั้งเดียวที่แพ้ คือ สงครามแคว้นแคชเมียร์ กษัตริย์แห่งแคชเมียร์ได้อาศัยภูมิประเทศอันเป็นปราการธรรมชาติสะกดทัพของอิสลามไว้ได้ แต่อีก 16 ครั้ง อิสลามเป็นฝ่ายชนะ

           การฆาตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดมี 2 ครั้ง คือ เมื่อมหหมุดโจมตีเมืองกัญญากุพชะ ได้ฆ่าคนในเมืองประมาณแสนคน จับเป็นเชลย 8 หมื่นคน เชลยเหล่านี้มหหมุดเอาไปขายเป็นทาสคนหนึ่ง 2 รูปีเท่านั้น นครกาบูลในอาฟกานิสถานของมหหมุดกลายเป็นตลาดค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดในครั้งนั้น

           ในพุทธศตวรรษที่ 16 ขณะที่อินเดียภาคเหนือส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้ปกครองของพวกอิสลาม ราชวงศ์กษัตริย์ส่วนมากแม้จะยังมิได้นับถืออิสลามเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีราชวงศ์ใดนับถือพระพุทธศาสนา ยกเว้นราชวงศ์ปาละในมคธและเบงกอล ราชวงศ์ปาละจึงเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดียซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ราชวงศ์นี้ได้ตั้งต้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 มาสุดเมื่อพุทธศตวรรษที่ 18

           ภายใต้การอุปถัมถ์ของราชวงศ์นี้ มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในมครและเบงกอลหลายแห่ง คือ "นาลันทา" "วิกรมศิลา" "โสมบุรี" และ "อุทันตบุรี" จึงยังสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ในขอบเขตอันหนึ่ง ในบรรดามหาวิทยาลัยเหล่านี้ มหาวิทยาลัยนาลันทาใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงที่สุด มีนักศึกษาเป็นจำนวนหมื่น มีอาจารย์บรรยาย 1,500 รูป มีห้องประชุมขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุผู้ฟังได้ถึง 1,000 คนขึ้นไป 8 ห้อง มีห้องเรียน 300 ห้อง นักศึกษาทั้งหมดกินอยู่ในมหาวิทยาลัย

           ในรัชกาลพระเจ้ายักษปาละ เสนาบดีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ "ราวเสน" เป็นขบถ ได้ทำลายราชวงศ์ปาละลง แล้วตั้ง "ราชวงศ์เสนะ" ขึ้น พระพุทธศาสนาจึงไม่มีแคว้นใดเลยในอินเดียที่นับถือเป็นทางราชการนับแต่นั้นมา เพราะราชวงศ์เสนะเป็นฮินดู ในไม่ช้าอิสลามภายใต้การนำของขุนทัพ "บักตยาร์ ขัลจิ" ก็ยกทัพบุกทะลวงมคธในปี พ.ศ. 1743 (ค.ศ. 1200) แล้วได้ทำลายมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา อันเป็นมหาวิทยาลัยที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาวพุทธ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เป็นที่รวมของวัด 108 วัด มีอาจารย์บรรยาย 800 ท่าน มีนักศึกษาจำนวนหมื่น จดหมายเหตุของธิเบตได้กล่าวไว้ว่า "พวกอาจารย์ขลังแห่งนิกายมัตรยานในวิกรมศิลา ได้ใช้เวทมนตร์ขับไล่พวกอิสลามถอยไปหลายครั้ง แต่ข้าเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะปรากฏว่ากองทัพอิสลามเพียงจำนวน 700 คนก็สามารถทำลายวิกรมศิลาหมด พวกอาจารย์ขลังบางคนก็ถูกฆ่า บางคนหนีไปได้ รูปปฏิมาพระโพธิสัตว์ตารกะที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็ถูกอิสลามทำลาย"

           กองทัพอิสลามได้ยกเข้าล้อมมหาวิทยาลัยนาลันทาไว้แล้วได้ใช้ไฟเผามหาวิทยาลัยเสียเรียบ ขนเอาทรัพย์สมบัติไปมหาศาล แล้วปล้นเอาทรัพย์สมบัติตามวัดต่างๆ ฆ่าฟันพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่พบเห็น พระพุทธศาสนาซึ่งเหลือที่มั่นสำคัญแหล่งสุดท้ายอยู่ที่นี่เพียงแห่งเดียว ก็เลยถูกถอนรากถอนโคนไม่มีอะไรเหลืออีก พระสงฆ์ที่รอดตายได้หนีเข้าไปในเนปาลและธิเบต และไม่มีผู้ใดกล้ากับมาอินเดียอีกเลย

            พระพุทธศาสนาซึ่งเกิดในอินเดีย และเจริญในอินเดียเป็นเวลา 1,700 ปีกว่า จึงถึงกาลอวสานด้วยสาเหตุหลายประการดังที่กล่าวมาแล้ว ก่อให้เกิดความสลดใจและความสะเทือนใจแก่ชาวพุทธทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง และเป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดสำหรับชาวพุทธทั่วโลก

มหาวิทยาลัยนาลันทา อินเดีย