หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รบเพื่อพระเจ้าจริงหรือ

ชะฮีด(การตายในการรบเพื่อศาสนา)ของท่านฮัมซะฮ์

       กองทัพทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยแรงกระตุ้นที่ต่างกัน  ฝ่ายมักกะฮ์นั้นพกความโกรธแค้นมาเต็มหัวใจเนื่องด้วยศักดิ์ศรี ในความเก่าแก่ของเมืองและความพ่ายแพ้จากสงครามบัดร์ที่ผ่านมาซึ่งขนอาวุธและกำลังพลมาอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยผู้หญิงที่มาคอยให้กำลังใจ และสัญญาจะให้ทุกสิ่งแลกกับการแก้แค้นให้ญาติของตนที่สูญเสียไปในสงครามบัดร์ ฝ่ายมุสลิมนั้นถูกกระตุ้นด้วยความศรัทธาในพระเจ้าและศาสนาของพระองค์ และความปรารถนาจะปกป้องดินแดนของตนและผลประโยชน์ของตนด้วย

         ฮัมซะฮ์ คือบุคคลที่ฮินด์หมายเอาชีวิตมากที่สุดเพราะดาบของเขาได้สังหาร บิดาและพี่ชายของนางรวมทั้ง ญาติสนิทส่วนหนึ่งของนางด้วยในสงครามที่บัดร์เมื่อครั้งที่แล้ว  และในสงครามอุฮุดที่กำลังฟาดฟันกันอยู่นี้ เขาได้ฆ่าฝ่ายมักกะฮ์ไปอีกหลายคน เพียงไม่กี่เพลงดาบผู้ที่หาญมาประดาบกับเขาก็ล้มลง

          ฮินด์ ได้ให้สัญญากับทาสชาวเอธิโอเปีย คนหนึ่งที่ชื่อ วุฮ์ชี ว่าจะยกทรัย์สินอย่างมากมายให้เขาและนายของเขาก็มีลุงคนหนึ่งที่ถูกฆ่าในสงครามบัดร์ก็สัญญาว่าจะมอบอิสระให้แก่เขาด้วย หากเขาสามารถฆ่าฮัมซะฮ์ได้  วะฮ์ชี ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ภายหลังจากสงครามว่า  “ข้าพเจ้าก้าวออกไปในท่ามกลางคนอื่น ตั้งใจจะต่อสู้ด้วยหอกของ  ข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่ชาวเอธิโอเปียนิยมใช้กันและข้าพเจ้าไม่เคยพลาดเลยถ้า  ใช้หอก  เมื่อการปะทะกันครั้งใหญ่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้มองหาฮัมซะฮ์ และได้แลเห็นเขา อยู่ท่ามกลางความชุลมุนนั้น  เขายืนอยู่ชัดเจนเหมือนอูฐสีดำในฝูง และเอาดาบฟาดฟันทุกคนที่อยู่รอบๆเขาล้มลง ข้าพเจ้าแกว่งหอกของ


          ข้าพเจ้าเมื่อแน่ใจว่ามันได้สมดุลแล้วก็พุ่งเข้าใส่เขา แล้วมันก็พุ่งเข้าใส่เขาที่ท้องพอดี และทะลุตัวเขาออกไป  ข้าพเจ้าปล่อยหอกและเหยื่อของมันถูกปักไว้ จนกระทั่งเขาตายไป  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็กลับมาหาเขาและดึงหอกออกมา   แล้วก็กลับเข้าค่ายโดยไม่ได้ต่อสู้อีก  ข้าพเจ้าฆ่าเขาเพื่อให้ได้อิสรภาพ ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้รับแล้ว  เมื่อข้าพเจ้ากลับมาที่เมืองมักกะฮ์งานที่ข้าพเจ้า ทำไปก็ได้รับการรับรองเป็นทางการ”

           นั่นคือตัวอย่างหนึ่งของนักรบฝ่ายมักกะฮ์ที่ไม่ได้ออกมารบด้วยความเคียดแค้นอันใดต่อใครเป็นการส่วนตัว ฝ่ายมุสลิมก็เช่นกัน แม้จะมีการคัดเลือกนักรบมาแล้วก็ตามแต่ก็มีทั้งผู้ที่จริงใจในศาสนาและผู้ไม่จริงใจในศาสนาแต่มีวัตถุประสงค์อื่นในการรบ  เช่น กุซมาน เมื่อตอนที่กองทัพของท่านนบีเคลื่อนทัพออกจากเมืองมะดีนะฮ์  กุซมาน ไม่ยอมออกมาด้วย พอเช้าวันรุ่งขึ้น พวกผู้หญิงในเผ่าศอฟัรของเขาก็ได้เริ่มตำหนิเขาว่า

       “โอ้กุซมาน   ท่านนั้นหมดยางอายซะแล้วกระมัง หรือว่าท่านกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วถึงมัวอยู่แต่ข้างหลังในขณะที่บุรุษอื่นต่างออกไปสู้รบในแนวหน้า”

        จะเห็นได้ว่าพวกอาหรับนี่เรื่องเย้ยหยันและดูหมิ่นศักดิ์ศรีนี่จะชำนาญกันดีนัก ฝ่ายที่ถูกดูหมิ่นก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที กุซมานก็ฉวยเสื้อเกราะ และคันธนูอันเป็นอาวุธที่เขาชำนาญและดาบตามไปสมทบกองทัพของท่านนบีทันที โดยมิได้อธิบายใดๆต่อผู้หญิงเหล่านั้น  แม้เขาจะมีชื่อเสียงในการต่อสู้

           เขาเข้าไปอยู่ในแถวหน้าของการต่อสู้และเป็นคนแรกๆที่โผเข้าสู่วงล้อมการต่อสู้ที่กำลังพลต่างกันอย่างมากนี้ ธนูของเขาได้ฆ่าศัตรูของอิสลามไปหลายคน  ตกเย็นเขาก็ต่อสู้ต่อไปโดยไม่คิดถอยราวตั้งใจว่าจะสู้จนตัวตาย จนในที่สุดเขาก็ถูกฆ่าจริง ๆ หลังจากที่เขาฟาดฟันศัตรูล้มลงไปอีกราวเจ็ดคนภายในเวลาอันรวดเร็ว ในขณะที่เขาใกล้จะสิ้นใจ มุสลิมคนหนึ่งได้เข้าไปแสดงความยินดีกับเขา ในการตายชะฮีดของเขาได้สำเร็จ แต่เขากลับกล่าวว่า “โอ้ พ่อของอะมีร ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เพราะความศรัทธาจริงๆหรอก ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อไม่ให้พวกกุเรชบุกเข้ามา  ในเขตแดนของเรา บ่านเรือนของเรา และทรัพย์สินของเราเท่านั้น ให้ตายซิ  ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชน และดินแดนของข้าพเจ้าเท่านั้น  ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วข้าพเจ้าก็คงจะไม่ต่อสู้อย่างแน่นอน”

         ฝ่ายผู้มีความแค้นและฝ่ายผู้มีศรัทธาต่างก็ประดาบกันอย่างเลือดพล่านและห้าวหาญเช่นกัน เมื่ออาลีสู้กับผู้ถือธงของมักกะฮ์เผ่า ได้ฆ่าผู้เป็นพี่ชาย น้องชายก็เข้ามาถือธงแทนโดยไม่ยอมให้มันตกถึงพื้น พลางตะหวาดกลับมาว่า “แกแกล้งพูดว่าพวกชะฮีดของแกอยู่ในสวรรค์  ส่วนพวกเราอยู่ในนรกกระนั้นหรือ ? ให้ตายเถอะ แกมันโกหก  ถ้าหากพวกแกคนไหนเชื่อในนิทานอย่างนั้นจริงๆ  ก็ก้าวออกมาสู้กับข้าซิ”

          อาลีก็ก้าวเข้ามาต่อสู้กับเขา และฆ่าเขาตายแทบจะในทันที แต่เผ่า อับดุดดาร ก็มีคนเข้ามารับธงไว้ต่อไปโดยไม่ให้ตกถึงพื้น  จนเขาเสียคนไปถึง 9 คน  คนสุดท้ายที่เข้ามาถือธงเป็นทาสของเผ่าจากเอธิโอเปีย คือ สุอัยบ์   ก็เข้ามารับธงแล้วชูมันขึ้นด้วยมือขวา  กุซมาน ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เสียชีวิต ก็โดดเข้าฟันแขนเขา สุอัยบ์ ก็จับธงแล้วชูมันด้วยแขนซ้าย กุซมาน ก็ฟันแขนซ้ายของเขาอีก แต่สุอัยบ์ก็เอาแขนที่เหลือประคองธงแนบกับอกแล้วก้มหลังลงเพื่อให้แน่นขึ้นแล้วพูดว่า  “โอ้ ชาว อับดุดดาร ฉันมิได้ทำหน้าที่ของฉันดอกหรือ” แล้วดาบถัดมาท่ามกลางความชุลมุนนั้นก็ได้ฆ่าเขาตาย แล้วธงนั้นก็ไม่มีใครถือไว้อีก  เมื่อธงล้มลง ภาคีสมาชิกของมักกะฮ์ก็เริ่มปั่นป่วน พวกผู้หญิงของเขาที่มากับกองทัพที่เฝ้ารักษารูปปั้นเครื่องลางที่เอามาบนหลังอูฐก็เริ้มชุลมุนปล่อยให้รูปปั้นเหล่านั้นตกลงมาแตกและเกิดโกลาหลกันขึ้นในกองทัพแห่งมักกะฮ์

            เมื่อยามเช้ากลับมาเยือนอีกครั้งดั้งปาฏิหารย์ เพราะมุสลิมเริ่มเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกล เพราะพลธนูที่อยู่บนเขาคอยยิงคุ้มกันทหารม้าไม่สามารถเข้ามาจู่โจมได้และยิงสกัดแนวหน้าของศัตรูในระยะไกล ซึ่งทุกคนอยู่ในระเบียบการรบอย่างเคร่งครัด  จึงสามารถเข้าปะทะกับข้าศึกจำนวน 3,000 ได้แม้มุสลิมจะมีเพียงแค่ 700 คน

           หลังจากปะทะกันต่อไปอีกไม่นาน ฝ่ายมักกะฮ์ก็เป็นฝ่ายถอย ฝ่ายมุสลิมรุกไล่ตามไปจนไกลจากสนามรบได้ระยะหนึ่ง  แต่ผู้ที่อยู่ข้างหลังก็มัวแต่เข้าไปเก็บทรัพย์สินของฝ่ายศัตรูอันถือว่าเป็นทรัพย์สงครามที่ทิ้งไว้เบื้องหลังระหว่างหนีไป  จนในที่สุดทรัพย์เหล่านั้นก็ดึงคนจำนวนมากให้กลับมาเก็บทรัพย์สงครามโดยไม่ได้ติดตามข้าศึกที่พ่ายแพ้ไปแล้วให้ราบคาบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น