หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเกลือ เป็นหนอน


เมื่อเกลือ เป็นหนอน

         ในครั้งพุทธกาล เมื่อคราวจะเกิดภิกษุณี พระพุทธเจ้าท่านทรงทำนายไว้ว่าพระพุทธศาสนาในยุคของพระองค์นั้นจะมีอายุสั้นลงเหลือเพียง ๕,๐๐๐ ปี ปัจจุบันนี้ก็เลยยุคกึ่งพุทธกาลล่วงมาแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันบอกกล่าวให้เห็นถึงความเสื่อมต่าง ๆ ทางด้านจิตใจของมนุษย์มากขึ้น ในขณะที่ความเจริญทางวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ...ศาสนาเสื่อม หรือ คนเสื่อม 

          พระพุทธศาสนา..ไม่เคยเสื่อม แต่จิตใจคนต่างหากที่เสื่อม ผู้ที่เข้าใจว่าหลักของพระพุทธศาสนาคืออะไรนั้น ย่อมจะเข้าใจดีว่า พระพุทธศาสนาคือความจริง และมีความเป็นอมตะ ทันยุคทันสมัย ไม่มีวันตาย แม้จะถึงกาลสิ้นยุคพระพุทธศาสนา แต่ความจริงแห่งพระพุทธศาสนายังคงอยู่รอถึงกาลเวลาแห่งยุคพระพุทธเจ้าองค์ต่อมาได้ตรัสรู้เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนอีกครั้ง 

         ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคืออะไร แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนอะไร อาจมองเห็นว่าศาสนาเสื่อม จากภาพต่าง ๆ ที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ข่าวต่าง ๆ ที่พบเห็นอาจทำให้คิดไปว่าศาสนาพุทธเสื่อมลง สามเณรเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว พระมั่วสีกา ค้ายาบ้า พระเมาเหล้า พระมีอิทธิพลประดุจมาเฟีย ฯลฯ 

          ผู้ที่ทำให้คนมองว่าศาสนาเสื่อม คือ คนที่อาศัยผ้าเหลืองอยู่แต่ไม่ทำตนให้เหมาะสมกับเพศสมณะนั่นเอง ที่เป็นผู้ทำลายศาสนา ที่เห็นได้ชัดก็คือ โจรในคราบผ้าเหลือง หรือผู้ที่แต่งตัวเป็นพระ หรือผู้ที่ขาดจากการเป็นพระแล้ว เช่น พระขี้โกงขี้ขโมย พระเสพเมถุน หรืออวดอุตริมนุสธรรมว่าตนเองเป็นผู้วิเศษผู้มีอาคมแก่กล้า ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดทางพระวินัยถึงขั้นปาราชิกแล้วทั้งสิ้น 

          พระที่ปฏิบัติตนไม่สมกับการเป็นสมณะ ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวได้ว่าปฏิบัติตนผิดหน้าที่จนถือได้ว่าเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน ดังเช่น

๑ พระผู้ตั้งตัวเองเป็นผู้วิเศษ 


        พระอาจารย์ผู้สร้างเครื่องรางของขลังปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ มอมเมาญาติโยม หลอกลวงประชาชน ที่กล่าวมานั้น ผมหมายความแตกต่างจากพระอาจารย์ในยุคอดีตที่ผ่าน ๆ มาซึ่งท่านเหล่านั้นเป็นของจริง เก่งจริง ท่านเมตตาสร้างให้ด้วยเจตนาดีจริง ไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีพุทธพาณิชย์มาเกี่ยวข้องเหมือนปัจจุบัน พระอริยสงฆ์ผู้ที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีในอดีต เช่น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต หลวงปู่เกษม เขมโก พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฯลฯ วัตถุมงคลของท่านอาจารย์ทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่มีอานุภาพเต็มไปด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทั้งสิ้น เพราะท่านทำให้ด้วยความเมตตา และบริสุทธิ์ใจ 

          และเป็นที่น่าสังเกตุว่าพระอาจารย์ทั้งหลายนั้นโดยส่วนตัวของแต่ละองค์นั้นท่านไม่อยากสร้างหรือเสกวัตถุมงคลเลย อาจเป็นด้วยเหตุ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาบ้าง แจกจ่ายทหารเพื่อเป็นขวัญกำลังใจยามรบทัพจับศึกบ้าง ศิษย์รบเร้าขอสร้างเพื่อทำประโยชน์และเป็นที่ระลึกบ้าง ท่านจึงเมตตาทำให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ 

         ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต เมื่อคราวเสร็จพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งใหญ่ภายในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๓ นั้นท่านชี้มือไปที่กองวัตถุมงคลภายในพระอุโบสถและกล่าวแก่ศิษย์และญาติโยมในที่นั้นว่า “ทั้งหมดนี่...สู้ธรรมะไม่ได้” หรือท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งสกลนคร ท่านก็ไม่สนใจการสร้างวัตถุมงคลใด ๆ เลย แต่ศิษยานุศิษย์ รบเร้าขออนุญาตสร้างด้วยเจตนาดี เมื่อสร้างแล้วถวายให้ท่าน ท่านก็เมตตาแจกจ่ายบรรดาพุทธศาสนิกชนที่เข้าไปขอท่าน แต่ถ้าหากมีพระภิกษุไปขอพระเครื่องจากท่านบ้าง ท่านจะไม่ให้ ท่านพระอาจารย์ฝั้นจะถามกลับมาว่า “จะเอาไปทำไม...คุณเป็นอะไร!!” 

         และในการประกอบพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลในแต่ละครั้งนั้น ไม่เคยเป็นที่ปรากฏว่าพระอริยเจ้าท่านใดในอดีตที่ผ่านมา ได้ทำการปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยกิริยาอาการ หรือท่าทีที่ไม่สำรวม แปลกประหลาด เหมือนท่าทางของสัตว์ หรือมีการทรงเจ้าเข้าผีแต่ประการใดเลย ครูบาอาจารย์ในอดีตแต่ละองค์ล้วนเข้าฌานสมาธิด้วยกิริยาอาการอันสงบสำรวมยิ่ง 

        แต่ในยุคปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๕๐) ที่ผ่านมานั้น พระบางรูปคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังจิตสูงส่งอ้างตนเองเป็นผู้วิเศษ จะประกอบพิธีแต่ละครั้งต้องมีค่าจ้างสูงถึงหลักหมื่นหลักแสนเป็นผลตอบแทน ขณะประกอบพิธีกลัวจะดูไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์สมค่าจ้าง จึงต้องออกท่าออกทางแปลก ๆ เหมือนท่าทางของสัตว์เดรัจฉานบ้าง ร่ายรำจับอาวุธให้ดูน่าเกรงขามบ้าง บางรายก็มีการใช้วาจาด่าทอ ใช้คำหยาบคายให้ดูว่าตนเองมีอำนาจบ้าง บางรายขนาดตั้วตัวเองเป็นผู้วิเศษ ผู้มีอาคมขลังแล้ว ยังต้องแขวนพระเครื่อง แขวนของขลังอีกเสียเต็มคอ ดูแล้วเหมือนคนบ้า มากกว่าพระสงฆ์ เห็นแล้วเป็นที่น่าอนาถใจยิ่ง เนื่องจากว่ายังมีผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไรอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อ หลงบูชากราบไหว้ คิดว่าสมณะปลอมเหล่านั้นเป็นผู้ทรงศีลเป็นผู้วิเศษจริง

๒ พระดูหมอ-ใบ้หวย เป็นกิจวัตร 

        ศาสตร์ทางด้านการดูดวง ทำนายโชคชะตาราศีนั้นมีอยู่จริง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะกระทำพร่ำเพรื่ออยู่เป็นนิจ นอกเสียจากเหตุผลอันจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น สังเกตุดูพระอริยเจ้าต่าง ๆ ถึงแม้ว่าท่านจะมีความรู้ในศาสตร์ด้านนี้อย่างแตกฉานแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยเอาวิชาเหล่านี้มาใช้ประโยชน์เพื่อหวังลาภสักการะใด ๆ เลย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ใช่หน้าที่ของพระสงฆ์

๓ พระ ไม่ใช่ศิลปิน 

       “ศาสนาพุทธนั้น ไม่ใช่ศาสนาที่ง้อให้คนมานับถือ” การเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นการเชิญชวนให้มาพิสูจน์ให้รู้เห็นในพระธรรม พระอริยสงฆ์แต่ละองค์นั้น ท่านไม่เคยไปป่าวประกาศ หรือเรียกร้องให้ฝูงชนแห่มานับถือ ไม่บังคับจิตใจใคร แม้แต่พระพุทธเจ้าบรมศาสดาเอง ท่านก็แสดงธรรมเทศนาโปรดสัตว์แต่ละครั้งด้วยกิริยาอาการอันสำรวม กระชับได้ใจความ ถูกจริต ตรงใจ ชี้ทางสว่างให้เหล่าสัตว์โลกได้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ หน้าที่ของพระคือ ปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อพบสัจธรรมที่แท้จริงแล้ว จึงเทศนาโปรดญาติโยม ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาล แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ท่านก็ไม่เคยขึ้นเทศน์เลยสักครั้ง แต่ท่านได้แสดงเทศน์กัณฑ์ใหญ่ที่สุด โดยการปฏิบัติตนอย่างยอดเยี่ยมให้ดูเป็นตัวอย่างว่าพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระแท้ ๆ ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นเช่นไร มีญาติโยมเคยถามท่านว่า ทำไมท่านจึงไม่เทศนาโปรดญาติโยมบ้าง ท่านตอบเป็นปริศนาธรรมสั้น ๆ ว่า “อาตมาชื่อ...ตรึก” 

         และเมื่อคราวที่ ดร.บุญยง ว่องวานิช ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาสได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรฯ หลายครั้ง เคยถามท่านอยู่ครั้งหนึ่งว่า “เขาว่ากันว่าท่านไม่เคยสอนธรรมะใคร เอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว” ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้อธิบายธรรมสั้น ๆ ว่า “ถ้ามีใครตกน้ำ กำลังจะจมน้ำตาย ถ้าเราคิดจะไปช่วยเขา เราต้องว่ายน้ำให้เก่งเสียก่อน จึงจะไปช่วยเขาได้ ถ้าว่ายน้ำไม่แข็ง เข้าไปช่วยเขา อาจถูกเขาฉุดหรือกอดจมน้ำตายได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทำเช่นนี้ พระพุทธองค์เข้าป่าศึกษาและปฏิบัติถึง ๖ ปี ตรัสรู้แล้วจึงออกมาสอนผู้อื่น” 

         ครูบาอาจารย์ในอดีตและปัจจุบันหลาย ๆ รูปท่านได้เทศนาเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างดี น่าฟังและลึกซึ้ง ชี้หนทางแห่งการดับทุกข์ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการเทศนาสั่งสอนธรรมะแบบแปลก ๆ ขึ้นไปอีก ดังเช่นการแหล่บ้าง การร้องเป็นเพลงบ้าง คิดมุกตลกขำ ๆ มายิงกันให้ญาติโยมได้รับความสนุกสนานครื้นเครงปนธรรมะ คิด ๆ ดูอาจจะไม่ผิดอะไร 

       แต่สำหรับมุมมองของผู้เขียนเอง เห็นว่าไม่สมควร พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรจะเอามาทำให้เป็นเรื่องตลก(จนมากเกินไป) ถ้าเรียกคนเข้าวัดเพื่อมาฟังธรรมด้วยความเคารพศรัทธา หรือด้วยความต้องการที่จะมาคลายทุกข์ด้วยการเอาธรรมะเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาความบันเทิงรูปแบบอื่นมาเป็นสิ่งล่อใจ ถ้าท่านผู้อ่านคิดว่าผู้เขียนเองคิดมากเกินไป 

       ผมก็ขอให้ข้อคิดแก่ท่านว่า เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดเพี้ยนแปลกประหลาดมากขึ้นกว่านี้อีกสิบเท่า ร้อยเท่าในอนาคตข้างหน้าก็ได้ ใครจะไปรู้ ปัจจุบันนี้ท่านคงจะเคยได้ยินบทสวดมนต์ที่กลายเป็นเพลงไปแล้ว ทำออกมาเป็นซีดีขายกันเกลื่อนตลาด ซึ่งในอดีตนั้นไม่เคยมี พระ..แปลว่า ผู้พระเสริฐ พระไม่ใช่ศิลปิน พระไม่ใช่นักแสดงตลกคาเฟ่ หน้าที่ของพระคือปฏิบัติตน ฝึกตน ไม่ใช่มีหน้าที่แต่งเพลง เล่าเรื่องตลก คิดมุกขำ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ดึงดูดเรียกญาติโยมเข้าวัด พระต้องมี ศีลาจารวัตร อันเป็นหลักประกันความเป็นปูชนียบุคคลของภิกษุที่สำคัญที่สุด

๔ ศักดิ์ศรีของผ้าเหลือง อันเปรียบเสมือน ธงชัยแห่งพระอรหันต์ 

        ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้กำหนดมาตรการบังคับว่า ชายชาวพุทธทุกคนต้องบวชเป็นพระภิกษุ ดังนั้นการบวชเป็นพระ จึงไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ไม่มีใครบังคับ ถือว่าผู้ที่จะเข้ามาสู่เพศบรรพชิตนั้นต้องสมัครใจบวชด้วยตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรที่จะปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับความเป็นสมณะผู้ครองผ้าเหลือง ไม่ควรปฏิบัติตนในลักษณะที่ไม่สำรวม ไม่ควรไปในที่อันไม่ควรไป 

        จะเห็นได้อยู่เสมอ ๆ ที่พระภิกษุไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปเดินเลือกซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ไปสวนสนุก หรือตลาดนัดที่มีผู้คนแออัด ในทางธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีข้ออ้างใด ๆ เลยที่จะมาแก้ตัวได้ถึงเหตุผลที่พระภิกษุบางรูปได้กระทำ เหตุผลที่ว่า ต้องไปทำธุระ พระก็อยากไปเดินห้าง เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการบ้าง หนังสือ กระเป๋า ฯลฯ หรืออยากไปพักผ่อน เปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่กิจของสงฆ์ทั้งสิ้น 

        ถ้าพระภิ กษุรูปใดไม่สามารถหักห้ามใจที่จะไม่ไปท่องเที่ยว เดินห้าง ช้อปปิ้ง หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางโลกซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์เสียแล้ว ท่านควรจะสึกหาลาเพศ ไปเป็นคนธรรมดาเสียก่อนจะถูกต้องกว่า (บางท่านบวชเพียงระยะเวลาสั้น ๆไม่กี่วันเท่านั้นก็สึกแล้ว ยังปฏิบัติไม่ได้เลย) จากนั้นท่านจะไปทำอะไร ที่ไหน ก็คงไม่มีใครติเตียน 

         แต่ถ้าท่านยังบวชอยู่ในเพศสมณะ ก็ควรให้เกียรติผ้าเหลือง อันถือได้ว่าเป็นเครื่องแบบที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเกียรติยิ่งกว่าเครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้ก็ว่าได้ ...อย่างไรน่ะหรือ ?... เครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าผ้ากาสาวพัสตร์ไม่ได้เลย เพราะเป็นเครื่องแบบของผู้ทรงศีลทรงธรรม ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐ ผู้แสวงหาความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องแบบของสิ่งอันมีค่าควรเคารพสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ พระรัตนตรัย 

        ความสำคัญพิเศษเหนือเครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้อีกเรื่องก็คือ ตามปกติแล้วคนเราต้องเคารพกราบไหว้พ่อ แม่ ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ควรเคารพ แต่ตราบใดเมื่อได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เข้าสู่ร่มโพธิ์แห่งพระพุทธศาสนาแล้ว พ่อ แม่ ต้องไหว้ลูก ตา ยาย ต้องไหว้หลาน ครูบาอาจารย์ ต้องไหว้ศิษย์ในทันที แม้แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะทุกพระองค์ยังทรงกราบไหว้พระอริยสงฆ์ ไม่มีเครื่องแบบใด ๆ ที่ทรงคุณลักษณะวิเศษเช่นนี้ 

        ฉะนั้นแล้วเมื่อท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม สำรวม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมกับที่บุพการีของท่านผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูฟูมฟักท่านมาตั้งแต่แบเบาะได้ยกมือไหว้ท่าน อย่าทำตนให้สมกับคำกล่าวของคนบางคน ที่ทำบุญใส่บาตรโดยไม่เลือกพระเลือกวัด แต่คิดในใจอยู่เสมอ ๆ ว่า “ถือว่า...ไหว้ผ้าเหลือง” 
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น