สงครามปฏิวัติกับองค์กรอาชญากรรมค้ายาเสพติด | |
สงครามปฏิวัติกับองค์กรอาชญากรรมค้ายาเสพติด สงครามปฏิวัติ คำนี้ดูเหมือนจะเป็นที่กล่าวถึงในยุคของสภาวะโลกปัจจุบัน นับตั้งแต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด จนถึงการหมดยุดสมัยของสงครามเย็น ซึ่งนักวิชาการด้านการทหาร และความมั่นคงที่ได้ศึกษาความหมายของสงครามปฏิวัตินั้น ได้กล่าว่าทฤษฎีนั้นได้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และสภาวะการณ์ที่ต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของใครก็ตามเช่น คาร์ล มาร์กช, เลนิน หรือประธาน เหมาเจ๋อตุง แต่หากมองดูอย่างลึกซึ่งแล้วสงครามปฏิวัติคือสงครามประชาชน ซึ่งมีแต่การระดมมวลชนเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ของสงครามปฏิวัติขึ้นมาได้ โดยมีปัจจัยทางการเมืองของกลุ่มต่อต้านโดยใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าทำการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย หรืออำนาจของกลุ่มที่เริ่มก่อการสงครามปฏิวัติ แต่สุดท้ายแล้ว การถูกทำลาย และความเสียหายกับเกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นโดยตรง ไม่ว่าทางใดก็ตามโดยเฉพาะประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ นับว่าน่าสงสารที่สุดกับสถานการณ์เหตุการณ์บริเวณนั้นโดยเฉพาะเด็ก และเยาวชนในพื้นที่ช่วงชิง หรือต่อสู้ที่กลายเป็นเด็กด้อยโอกาส กำพร้า อนาถา หรือแม้ถูกใช้เป็นเครื่องมือถึงขั้นบ่มเพาะ ปลุกระดมให้จับอาวุธ เข้าร่วมสงครามด้วยวิธีใดก็ตามเพื่อให้กลุ่มของตนบรรลุเป้าหมายการเมืองตามที่ต้องการ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทำให้เกิดรูปแบบของสงครามที่มีขบวนการปฏิวัติต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล ทุกพื้นที่ของโลกจะต้องมีขบวนการที่เกิดขึ้น ๓ กระบวนการเป็นแนวร่วมอยู่ในพื้นที่ต่อสู้ หรือพื้นที่แย่งชิงเสมอคือ ขบวนการการค้ายาเสพติด ขบวนการค้าอาวุธสงคราม และขบวนการค้าของเถื่อน โดยมีปัจจัยร่วมคือการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ และอิทธิพลมืด (มาเฟีย) ร่วมด้วยเสมอ เมื่อกลับมาดูสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยก็น่าจะอยู่ในองค์ประกอบของสงครามปฏิวัติโดยมีกลุ่มขบวนการ BRN – COORDINATE เป็นองค์กรนำในการใช้มวลชน (ประชาชน) เข้าสู่การต่อสู้โดยใช้อัตลักษณ์ของท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อนต่อสู้กับรัฐไทย เป้าหมายเพื่อแยกตัวปกครองตนเอง และสิ่งที่มีความจำเป็นขององค์กรต่อสู้ในสงครามมวลชนที่สำคัญคือทุนทรัพย์ที่ต้องใช้อย่างมหาศาล ในการขับเคลื่อนกำลังทหาร (RKK) และดูแลองค์กรนำ (DPP) ในต่างประเทศ การเคลื่อนย้ายเดินทางเข้า – ออก แต่ละครั้งต้องใช้เงินในการขับเคลื่อน แล้วมาจากไหนละ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่เป็นตัวปลุกระดมของขบวนการก่อเหตุรุนแรงในประเทศไทยคือ เรื่องศาสนาอิสลามซึ่งหลักสำคัญในอิสลาม นั้นจะปฏิเสธเรื่องของยาเสพติดอย่างสินเชิงเพราะเป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาดหรือ (ฮารอม) แต่ด้วยความจำเป็น หรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในขบวนการก่อเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจพบทั้งพยาน หลักฐาน ตั้งแต่ระดับกำลังปฏิบัติการทหาร (RKK) ถึงระดับองค์กรนำ (DPP) ผู้ควบคุมสั่งการล้วนเกี่ยวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด การฟอกเงิน การค้าของเถื่อน ค้าอาวุธ และการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติที่ได้กล่าวไว้แต่ต้น ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามปฏิวัติแบ่งแยกรัฐปาตานี ย้อนอดีตเหตุระเบิดครั้งใหญ่ อำเภอสุไหงโก – ลก ๑๓ กันยายน ๕๔ เกิดขึ้นหลังจากหน่วยงานความมั่นคงจับกุม นายอัสรี ยูโส๊ะ พร้อมยาบ้า ๑.๕ หมื่นเม็ด และกวาดล้างอย่างหนักถึงปัจจุบัน จนเจ้ามือหวยเถื่อน หวยมาเลเซีย บ่อนการพนัน เจ้าพ่อเงินกู้ แทบหากินไม่ได้จนเกิดเหตุระเบิดล่าสุด เมื่อ ๒๐ กรกฎาคม ๕๕ ต้อนรับรอมฎอนที่ผ่านมา นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโดย DSI, ปปส. ยังตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ต้องใช้กฎหมายของ ปปช. เข้าตรวจสอบพิเศษคือพบมีเงินหมุนเวียนจากการฟอกเงินธุรกิจผิดกฎหมาย ยาเสพติด น้ำมันเถื่อนที่มีการส่งให้กับกลุ่มแกนนำสั่งการก่อเหตุรุนแรงในมาเลเซีย โดยฟอกเงินผ่านร้านทอง ร้านขายสินค้าเสื้อผ้า ส่งเข้าทางมาเลเซีย ไม่ต่ำกว่าปีละ ๑๓๐ ล้านบาท จนนำไปสู่การจับกุมร้านทอง บ้านเกาะตา อ.สุไหงปาดี และร้านประเสริฐอาภรณ์ เทศบาลอำเภอสุไหง โก – ลก ที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ขบวนการก็ใช่จะน้อยหน้า อิทธิพลมีตั้งระดับผู้ใหญ่บ้านถึงนักการเมืองท้องถิ่น เมื่อ ๘ กุมภาพันธ์ ๕๕ หลังการจับกุม กำนันดัง ตำบลลุโบ๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี นายมะรอนิง จาโก ก็เกิดเหตุระเบิด ระเบิดบริเวณสี่แยกหน้าสาธารณสุข จังหวัดปัตตานี วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๕๕ ทันที ส่งผลมีผู้บาดเจ็บ ๑๕ คน เสียชีวิต ๑ คน ที่สำคัญกลิ่นยาบ้ามิทันจางหาย จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร โกตาบารู เข้าจับกุมนายซอบรี หะยีสามะแอ และ นายอาลียะ แยการีสง พร้อมยาบ้าเกือบ ๔ หมื่นเม็ด ปืนเอ็ม ๑๖ จำนวน ๑ กระบอก และปืนลูกซองยาว ๕ นัด จำนวน ๑ กระบอก ซึ่งนายซอรี หะยีสามะแอ มีพี่ชายที่เป็นกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงระดับมือประกอบระเบิดระดับพระกาฬที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องการตัวคือนายไฟซอล หะยีสามะแอ หลังจากนั้น ๒๕ กรกฎาคม ๕๕ ตำรวจภูธรโกตาบารู ชุดจับกุมยาเสพติดโดนระเบิดคาร์บอมระหว่างเดินทางกลับจากคุ้มครองรักษาความปลอดภัย ครู เสียชีวิต ๕ นาย บาดเจ็บ ๑ นาย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองท้องถิ่น คดีที่ถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนแกล้งลืมคือ ผู้ก่อเหตุรุนแรงลอบสังหาร นายมุกตาร์ กีละ หัวหน้าพรรคประชาธรรม ผู้ซึ่งประชาชนรู้ดีว่าคนผู้นี้รณรงค์ต่อต้านเรื่องยาเสพติดในพื้นที่อย่างหัวชนฝาไม่ยอมใครและเป็นที่ชื่นชอบจนนำมาซึ่งฐานเสียงที่มากขึ้นจนมีแนวโน้มจะชนะถึงระดับประเทศ และต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งถูกชาวบ้านยิงตายในเวลาใกล้เคียงพร้อมอาวุธปืนโดยผู้สังหารนายมุกตาร์ฯ นั้นเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มบ้านกูจิงรือปะนั่นเอง และหลักฐานสำคัญที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงให้ความมั่นใจว่า ขบวนการกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด คือการเข้าจับกุม และยึดทรัพย์เครือข่ายของตระกูล เปาะดาเอาะ ซึ่งมีทรัพย์สินทั้งบ้าน ที่ดิน รถยนต์ และทองคำ มากกว่า ๔๐๐ ล้านบาท และพบหลักฐานสำคัญคือการโอนเงินจากขบวนการยาเสพติดให้กับผู้นำขบวนการก่อเหตุรุนแรงในประเทศมาเลเซียปีละไม่ต่ำกว่า ๖๐ ล้านบาท โดยใช้นามว่า “อาเยาะซู” และมีการเดินทางไปมอบเงินด้วยตัวเองถึงมือ มะแซ อูเซ็ง ทุกปี ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคงยังพบหลักฐานการซื้ออาวุธให้กลุ่มกองกำลัง RKK และการจ่ายค่าตอบแทนเป็นยาเสพติดโดยปืน ๑ กระบอกที่ได้จากเจ้าหน้าที่แลกยาบ้าได้ ๑ ถุง หรือเงินสดในราคา ๒๐,๐๐๐ บาท และการที่หน่วยงานความมั่นคงต้องนำ ปปช. และ DSI มาร่วมด้วยเพราะพบหลักฐานในเรื่องการออกเงินกู้ การกว้านซื้อที่ดิน หวยเถื่อนทั้งมาเลเซีย และไทย น้ำมันเถื่อน บ่อนการพนัน และอาวุธ ซึ่งทั้งหมดฟอกเงินผ่านธนาคาร, ร้านค้าทองคำ, ร้านรับแลกเงิน, ร้านขายผ้า และในมาเลเซียคือธุรกิจร้านกาแฟหรือเครือข่ายขายตรง ทั้งหมดคือผลประโยชน์ที่กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงได้รับปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อกองกำลังปฏิวัติมีอาวุธในมือ มีกำลังทหารที่สั่งการเคลื่อนไหวอย่างเสรี มีระเบิด เป็นอาวุธทุกครั้งที่มีการก่อเหตุ ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจทหาร บ้านเมือง จะโฟกัส ไปที่กลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรง ทั้งไล่ติดตาม แม้ตั้งด่านตรวจก็เพ่งเล็งที่ตัวบุคคลเป้าหมาย จึงเปิดโอกาสให้กลุ่มค้ายาเสพติดเคลื่อนไหว โยกย้ายจำหน่ายได้เสรีจนธุรกิจยาบ้าเฟื่องฟูที่สุดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ใครเอาของไปไม่จ่ายก็ตาย ใครแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับเครือข่ายคนนั้นตาย เมื่อการสังหารเจ้าหน้าที่เอาอาวุธมาแลกยาได้ ประชาชนไม่กล้าปิดปากเงียบ เมื่อมีจำนวนเงินมากมหาศาลจากการค้ายาบ้าก็ปล่อยเงินกู้ร้อยละ ๒๐ ใครเปี้ยวตาย เปิดบ่อนการพนัน ค้าหวยเถื่อน น้ำมันเถื่อน รวมถึงเงินทุนซื้อเสียงเมื่อมีการเลือกตั้งทุกระดับโดยมี RKK เป็นกองกำลังสนับสนุนเหมือนกับพรรคฝ่ายค้านพรรคหนึ่งในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะการบังคับ ข่มขู่ กว้านซื้อที่ดินสวนยางพาราโดยมีนอมินีบังหน้า ซึ่งมีข้อมูลค่ามหาศาลแบบไม่มีใครกล้าขวาง สุดท้ายการกระทำของกลุ่มขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่อ้างว่าปฏิวัติเพื่อประชาชนนั้น หาใช่อุดมการณ์หรือนักรบของประชาชนวีระบุรุษฟาตอนีแต่ประการใด หากนั่นคือองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ (Organnized Crime) หรือ มาเฟีย (Mafia) หรือกลุ่มคนหรือสมาชิกกลุ่มคน ที่อยู่อาศัยเงื่อนไขบางประการรวมตัวกันขึ้นประกอบมิจฉาชีพ ในการทำมาหากินเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง และสุดท้ายก็คือคนมาลายู ลูกหลานมาลายูมุสลิมใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้แหละที่จะทุกข์ร้อน เจ็บซ้ำอย่างแสนสาหัส ประชาชนต้องลำบากทุกข์เข็ญหาได้ประโยชน์ใดเลยจากการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มเผด็จการมุสลิมที่อ้างว่าทำเพื่อคนมาลายู แต่ที่สาหัสคือลูกหลานมลายูต้องตกเป็นทาสยาเสพติด ขาดการศึกษาหมดอนาคต สุดท้ายก็ตกเป็นเครื่องมือของขบวนการที่อ้างว่าทำเพื่อมาลายูปัตตานี จากปัญหาที่ซับซ้อนในมิติขององค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน และกองกำลังทหารติดอาวุธ RKK ขับเคลื่อนควบคุมประชาชน หน่วยงานความมั่นคงจึงกำหนดยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาภัยแทรกซ้อนเป็น ๑ ในยุทธศาสตร์ แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นวาระแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และจากความพยายามของฝ่ายความมั่นคงร่วมกัน ทุกภาคส่วนที่ลงความเห็นจากทุกเวทีเสวนา ทุกกลุ่มชุมชนที่ว่าขณะนี้ปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามระดับต้นฯ ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกภาคอื่นก็ด้วยปัจจัยของกลุ่มขบวนการที่สนับสนุนที่กล่าวมาข้างต้น ล่าสุดจากการขับเคลื่อนร่วมกันของรัฐบาล และผู้นำศาสนาในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, สงขลา และ สตูล ที่มองเห็นปัญหาว่าลูกหลานกำลังออกห่างจากศาสนา และมัวเมาในยาเสพติดจนตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้หวังดี จึงได้รวมตัวกันกำหนดปฏิญญาปัตตานี ๒๕๕๕ ณ โรงแรม ปาร์ควิว รีสอร์ท อำเภอเมืองจังหวัดปัตตานี โดยใช้ศาสนาอิสลาม เป็นข้อปฏิบัติ และข้อห้าม จากภัยคุกคามของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ภัยของยาเสพติด จนเป็นองค์กรอาชญากรรมสร้างความทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับประชาชน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คงถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนของประเทศ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO), องค์กรท้องถิ่น, ประชาชนทั่วประเทศ และพี่น้องมุสลิมมาลายู ต้องตื่นจากหลุมพราง และกับดักของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนเสียที หันหน้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาพิษภัยของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความจริงใจ ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดแต่เพียงลำพัง เพราะผลลัพธ์สุดท้ายผู้ที่ได้เสียจากการแก้ไขปัญหาหรือปล่อยปะละเลยไม่สนใจ เอาแต่โยนความผิดให้ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายเดียว ผู้ที่ต้องรับกรรมประสบแต่ความทุกข์ยากลำบาก คือประชาชนพี่น้อง ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนมลายูมุสลิม ลูกหลานมลายูทั้งหลายที่ถูกหลอกใช้ครอบงำ โดยขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่จะเข้ามาปกครอง มาลายูปัตตานีด้วยระบบเผด็จการมุสลิม บินหลาดง ยะลา “อย่าลืมว่าความคิดก็เป็นอาวุธเช่นกัน” จากซาปาติสตา ถึงแนวร่วมก่อการ จชต. ขณะที่เฝ้าติดตามสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด ด้วยต้องติดตามความเคลื่อนไหว แปลเปลี่ยนของกระแสโลก ซึ่งสภาวการณ์ที่มนุษยชาติเชื่อมโยงกันได้แบบ Real Time ไม่ว่าจะเป็นกระแสของวิกฤติค่าเงินยูโรในโลกตะวันตก ถึงสถานการณ์จอมืดในประเทศไทยจากการถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลยูโร 2012 ที่การเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชนในการได้ชมถ่ายทอดฟุตบอลอย่างเสรี รวมถึงเฝ้าติดตามสถานการณ์ในโลกมุสลิมอาหรับ ที่ยอดผู้เสียชีวิตในประเทศซีเรียจากการสู้รบของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดี บาซาร์ อัล-อัสซาด มุสลิมเผด็จการ จนทำให้มียอดพลเรือนผู้เสียชีวิตสูงถึง 8,000 คน ซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงอย่างง่าย วกกลับมาที่เหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และอัญมนี ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของทั่วโลก ในการเปิดประเทศที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการทหารมาอย่างบาวนานของรัฐบาลพม่า เข้าสู่การเริ่มต้นของระบบประชาธิปไตย โดยมีตัวละครที่สำคัญคือนางอองซาน ซูจี ที่ต่อสู้เรียกร้องสิทธิการปกครองในระบบประชาธิปไตยให้กับชนกลุ่มน้อยรัฐบาลพม่าด้วยสันติวิธีมาอย่างยาวนานจนสำเร็จในที่สุด ที่เกิดเหตุการณ์สังหาร ระหว่างพลเรือนพม่าที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลามชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 50 ศพ และ บาดเจ็บกว่า 54 คน เมื่อลองมานั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆทั้งในอดีต และปัจจุบัน ที่เกิดการสู้รบของกลุ่มคนที่มีความคิดแตกต่างกัน จนนำไปสู้การจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เพื่อต้องการเอาชนะให้ได้มาซึ่งความถูกต้องตามความคิดของกลุ่มตนเอง รวมถึงการสร้างเหตุรุนแรง เข่นฆ่าซึ่งกันและกันเพื่อเรียกร้องให้นานาประเทศหันมาสนใจ และสนับสนุนกลุ่มของตนเอง เช่น ประเทศติมอร์ตะวันออก ประเทศซูดาน ประเทศลิเบีย สุดท้ายความสูญเสียกลับเป็นพลเมืองที่บาดเจ็บล้มตาย และความเสียหายของสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรม ที่ถูกทำลายด้วยอาวุธ แต่ถ้าเราหันกลับมามองความสำเร็จจากการต่อสู้ของนางอองซาน ซูจี หรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลก มหาตมา คานธี ที่ต่อสู้กอบกู้เอกราชให้พ้นจากการปกครองของอังกฤษ ด้วยแนวทางสันติวิธี ใช้การปลูกฝังความรู้ ความเข้าใจ ความคิด ให้กับประชาชน ให้สนับสนุนเพื่อร่วมกันต่อสู้ รวมถึงให้กระแสโลกหันกลับมามองและสนับสนุน จนนำไปสู่ชัยชนะของประชาอย่างแท้จริงในที่สุด เหตุนี้เองจึงทำให้เห็นได้ว่าความคิด และปัญญา นั้นคืออาวุธที่สำคัญในการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องในความเป็นภราดรภาพ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ขอหยิบยกบทความฉบับหนึ่ง โดผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า “ยิบโซ” จาก เว็บไซต์ WWW.Fatoni online.com เมื่อ Monday , 09 Apr 2012 เรื่อง “อย่าลืมว่าความคิดก็เป็นอาวุธเช่นกัน” จากซาปาติสตา ถึงแนวร่วมก่อการ จชต. "หากเจ้าไม่สามารถเลือกเหตุผลและกำลังได้พร้อมกันสองอย่าง จงเลือกเหตุผลก่อนเสมอ แล้วปล่อยให้ศัตรูเลือกกำลังไป ในบางสนามรบ พละกำลังเป็นสิ่งที่ทำให้ได้ชัยชนะก็จริง แต่เหตุผลต่างหากที่จะทำให้เราได้ชัยชนะในการต่อสู้โดยรวม คนที่มีพละกำลังไม่มีทางค้นหาเหตุผลจากความแข็งแกร่งของตนเอง ในขณะที่เราสามารถค้นพบความแข็งแกร่งจากเหตุผลได้เสมอ...อย่าลืมว่าความคิดก็เป็นอาวุธเช่นกัน" เป็นคำกล่าวของ ดอน อันโตนีโอ อาจารย์และพ่อบุญธรรมของรองผู้บัญชาการมาร์กอส ผู้นำกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา ประเทศเม็กซิโกเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อ ซาปาติสตา หรือ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา นำเอาการรบที่ใช้อาวุธแห่งอุดมการณ์ที่เต็มไปด้วยเหตุผล ความคิด และการใช้สมองมากกว่าพละกำลัง นำไปสู่ชัยชนะเหนือรัฐบาลเม็กซิโกเมื่อ 18 ปีก่อน เหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์โลกจารึก เกิดขึ้นเมื่อรุ่งสางของวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา บุกเข้ายึด 6เมืองในรัฐเชียปาส ประเทศเม็กซิโก ประกอบด้วยเมืองมาร์การิตัสเมืองอัลตามิราโนเมืองลา เรอัลลิดัด เมืองชานัล เมืองโอโกซินโก และเมืองซาน คริสโตบัล เดอ ลาส กาซัส ปฏิบัติการครั้งนี้ใช้กองกำลังอินเดียนแดงชาวพื้นเมืองประมาณ 600 คน ร่วมกับสมาชิกที่เป็นพลเรือนอีกประมาณ 3,000 คน เข้ายึดที่ทำการเทศบาลของแต่ละเมือง โดยแทบไม่มีการเสียเลือดเนื้อ อาวุธที่พวกเขาใช้มีตั้งแต่ปืนอาก้า-47 ไปจนถึงปืนปลอมที่ทำจากไม้! ซาปาติสตา หรือ กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา เป็นกลุ่มปฏิวัติติดอาวุธที่มีฐานที่มั่นในป่าลึก “ลากันดอน” ในรัฐเชียปัส ซึ่งเป็นรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศเม็กซิโก ประชาชนที่นั่นถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง (เผลอๆ อาจเป็นชั้นที่สาม สี่ หรือที่โหล่สุดๆ ของเม็กซิโกด้วยซ้ำ) พวกเขาเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ถูกชนชาติอื่นมารุกราน ฉกฉวยทรัพยากรของพวกเขาไป ไม่เพียงเท่านั้นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมอย่างพวกเขายังถูกเหยียดหยาม และถูกลิดรอนสิทธิทั้งในทางวัฒนธรรม การเมือง และสังคมอีกด้วย นี่จึงกลายเป็นความเหมือนที่แตกต่างของอดีตรัฐปัตตานีอันรุ่งเรืองของชนชาวมุสลิมที่ต่อมาก็รู้สึกถึงการถูกกดขี่จากคนของรัฐเช่นกัน ต่างกันที่ว่า ชนชาวพื้นเมืองในรัฐเชียปัสมีวิธีแสวงหาอิสรภาพที่ไร้ความรุนแรง หากแต่ลุ่มลึกและกล้าหาญกว่านั้นการก่อกบฏและการปฏิวัติของชาวพื้นเมืองในเชียปาสปะทุขึ้นหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญและอยู่ในความทรงจำมากที่สุดคือ การปฏิวัติภายใต้การนำของ ปานโช วีญ่า และเอมีเลียโน ซาปาตา โดยเฉพาะซาปาตาที่เป็นผู้นำชาวพื้นเมืองและชูคำขวัญ "ที่ดินและอิสรภาพ" เป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่นำเม็กซิโกไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1911 โดยทำให้เม็กซิโกมีรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิของชาวพื้นเมือง การปฏิรูปที่ดิน และคำมั่นสัญญาอื่น ๆ ทว่า...ในกาลต่อมามันไม่เคยปรากฏเป็นจริงในทางปฏิบัติ ขบวนการซาปาติสตา อันหมายถึง "ผู้เจริญรอยตามซาปาตา" จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับจากภาครัฐซึ่งได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบยึดอำนาจ พวกเขาเพียงเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญที่มีอยู่แล้วมาปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้นเอง นี่คือฐานแห่งอุดมการณ์ที่ซาปาติสตายึดมั่น และได้ใจชาวพื้นเมืองทุกคนจนเข้ามาเป็นแนวร่วมด้วยอย่างไร้ข้อกังขา รัฐเชียปาสเป็นรัฐที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเม็กซิโก เป็นแหล่งผลิตกาแฟ ปศุสัตว์ และโกโก้ สามารถผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้ในปริมาณมากและมีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ไม่ต่างอะไรกับภาคใต้ของไทย แต่ในจำนวนประชากร 3.7 ล้านคนในปี ค.ศ. 1994 (เกือบ 50% ของประชากรทั้งหมดที่นั่น)อยู่ในภาวะทุพโภชนาการ อีก75% มีรายได้ต่ำกว่ารายได้ขั้นต่ำสุดของประเทศเม็กซิโก และ 56% อ่านเขียนไม่ได้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ขบวนการซาปาติสตาได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลเม็กซิโก โดยมีชนพื้นเมืองเป็นแนวร่วม และมีผู้สนับสนุนอื่นๆ ในเขตเมือง และจากนานาชาติโดยผ่านเว็บไซต์ ที่น่าสนใจก็คือ วิธีการก่อกบฏของพวกเขาปราศจากความรุนแรง ถึงขนาดที่นักท่องเที่ยวในเมืองซาน คริสโตบัล ที่ถูกพวกเขายึดได้ในรุ่งสางของวันขึ้นปีใหม่ ค.ศ.1994 ต่างไม่รู้สึกแตกตื่นตกใจแม้แต่น้อย แม้ถนนบางสายถูกปิด แต่ก็มีคำรับรองจากขบวนการว่า ในเขตที่กองกำลังซาปาติสตายึดครองนั้น นักท่องเที่ยวและประชาชนทุกคนจะมีความปลอดภัยเต็มที่ พวกเขายังทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ขันว่า "ขออภัยในความไม่สะดวก แต่นี่คือการปฏิวัติ" ในวันนั้น รองผู้บัญชาการมาร์กอส - ผู้นำขบวนการซาปาติสตาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติถึงมูลเหตุของการปฏิวัติครั้งนี้ว่า...."วันนี้คือวันเริ่มต้นข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ซึ่งที่แท้แล้วคือคำสั่งประหารชาวพื้นเมืองในเม็กซิโก ประชากรที่เป็นส่วนเกินในแผนการนำประเทศไปสู่ความทันสมัยของประธานาธิบดีซาลินาส เด กอร์ตารี กอมปันเญอโร เราจึงตัดสินใจก่อการขึ้นในวันนี้ เพื่อตอบโต้ต่อประกาศิตความตายที่ข้อตกลงการค้าเสรีหยิบยื่นให้แก่พวกเรา และเพื่อเรียกร้องอิสรภาพและประชาธิปไตยของพวกเรา" (ถอดความจาก zapatistarevolution.com) ครั้งนั้นแทนที่สื่อจะได้เจอกองกำลังติดอาวุธแบบที่เคยๆ มีมาคือ อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งปวง ไม่ก็อ้างว่า วิถีทางของตัวเองเป็นหนทางเดียวในการแก้ปัญหา หรืออ้างถึงอะไรให้ดูดีเพื่อการปฎิวัติ แต่ผู้นำซาปาติสตากลับไม่ทำเช่นนั้น เขาให้สัมภาษณ์ว่า "เราหวังว่าประชาชนคงเข้าใจเจตนารมณ์ที่ผลักดันให้เราก่อการครั้งนี้ เป็นเจตนาอันชอบธรรม และเส้นทางที่เราเลือกเป็นเพียงวิถีทางหนึ่ง ไม่ใช่วิถีทางเดียว ทั้งเราก็ไม่คิดว่ามันเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดด้วย เราขอเชื้อเชิญให้ประชาชนลงมือกระทำเช่นเดียวกัน โดยไม่ใช่ลุกขึ้นจับอาวุธ แต่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อที่จะมีรัฐบาลเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงในเม็กซิโก ...เราไม่ต้องการเผด็จการรูปแบบไหนทั้งนั้น และไม่ต้องการอะไรในระดับโลกอย่างลัทธิคอมมิวนิสต์สากลด้วย" สง่างามและกล้าหาญอย่างที่เราไม่เคยได้ยิน (และอาจไม่มีวันได้ยิน) ผู้นำหรือแกนนำขบวนการใดๆ ในประเทศไทย ยืดอกแบบลูกผู้ชายที่มีศักดิ์ศรีออกมากล่าวเช่นนี้เป็นแน่ นอกจากหลบอยู่ในมุมมืดคอยกล่อมใช้จ้างวานเด็กหนุ่มที่กล้าเฉพาะตอนลอบฆ่าคนกับวางระเบิดป่วนเมืองไปวันๆ เท่านั้น นึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าผู้นำขบวนการกับบรรดาเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาระดับปัญญาชนมือระเบิดจากชายแดนใต้ ออกมาจากมุมมืด แล้วรบแบบเผชิญหน้ากัน ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ เหตุผล และความคิด ดังคำที่ ดอน อันโตนิโอ กล่าวไว้ข้างต้น ในแบบที่ขบวนการซาปาติสตาทำสำเร็จมาแล้ว....จะเป็นเช่นไร? พวกเขาจะกล้าเผชิญหน้าแบบนั้นไหม? ยิ่งมาดูเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายการฆ่าเจ้าหน้าที่ผิดทิศผิดทางไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นฆ่าชาวบ้านด้วยกันเอง อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งเกิดเหตุระเบิดที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี โดยฝีมือของคนร้ายจากกลุ่มไม่หวังดี(กับใครทั้งนั้น) ทำให้นักเรียนหญิงมุสลิมเสียชีวิตไป 1 ราย บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง หรือคาร์บอมบ์กลางเมืองยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย บาดเจ็บอีกเป็นร้อย และสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อบ้านเรือนประชาชน ไปจนถึงคาร์บอมบ์ที่โรงแรมลี การ์เด้นท์ กลางเมืองหาดใหญ่ สร้างความพินาศทางเศรษฐกิจที่นั่นแบบย่อยยับในช่วงที่กำลังจะดีขึ้น นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเวลาใกล้ๆ กันภายในเดือนเดียวเท่านั้น ที่คนร้ายก่อเหตุลอบวางระเบิดแบบมุ่งหมายไปยังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว แทบไม่เว้นวัน โดยไม่สนใจประชาชนผู้บริสุทธิ์ว่าจะได้รับอันตรายหรือไม่เพียงใด หวังแค่ต้องการสร้างความหวาดกลัว สร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นไปวันๆ เท่านั้น นี่คือความเหมือนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในทางอุดมการณ์ ความกล้าหาญ และการใช้มันสมองขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ขณะที่กลุ่มก่อการร้าย จชต.ปฏิบัติการคล้ายพวกแก๊งสเตอร์เข้าไปทุกที จนห่างไกลจากคำว่าอุดมการณ์แบบกู่ไม่กลับ แนวร่วมภาคประชาชนโดยเฉพาะมุสลิมด้วยกันก็ดูจะยิ่งถอยออกห่าง และไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงมากขึ้น ความต่างที่น่าทึ่งอีกประการก็คือ แม้สมาชิกในขบวนการซาปาติสตา จะเป็นแค่พลเมืองยากจนที่ไร้การศึกษา ไม่ได้เรียนจบนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์มาอย่างผู้นำหรือสมาชิกกลุ่มก่อการจชต.ในไทย ทว่า การเคลื่อนไหวของพวกเขากลับได้รับการยกย่องและขานรับในระดับสากล โดยไม่ต้องวางแผนก่อการเพื่อหวังพึ่งพาองค์กรต่างชาติให้เข้ามาวุ่นวายภายในประเทศ กระบวนยุทธของซาปาติสตาที่ติดอาวุธทางความคิด ทำให้ “นิวยอร์ก ไทมส์” เรียกขานขบวนการเคลื่อนไหวนี้ว่า เป็นการปฏิวัติในแบบโพสต์โมเดิร์นนั่นเพราะ ซาปาติสตา เป็นกลุ่มปฏิวัติที่หลีกเลี่ยงการติดอาวุธมาตั้งแต่กองทัพรัฐบาลเม็กซิโกเข้าปราบปรามการลุกฮือของพวกเขาด้วยกำลัง ในปี พ.ศ. 2537 กลุ่มซาปาติสตาหันมาใช้ยุทธศาสตร์การต่อสู้แบบใหม่อย่างทันควันและชาญฉลาด โดยดึงการสนับสนุนจากชาวเม็กซิโกและกลุ่มสังคมนิยม-อนาธิปไตย (socialist-anarchist) จากนานาชาติ ด้วยการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการกระจายข้อมูลข่าวสาร และระดมแรงสนับสนุนจากกลุ่มเอ็นจีโอ กลุ่มศิลปินนักดนตรี และกลุ่มนักต่อสู้เพื่อสังคมต่าง ๆ ซึ่งต่างจากกลุ่มเอ็นจีโอในชายแดนใต้ของไทยเราที่หลับหูหลับตาโจมตีแต่ปฎิบัติการผิดพลาดของทหารและฝ่ายรัฐ แต่กลับไม่กล้าแตะต้องหรือเรียกร้องให้กลุ่มก่อการร้ายที่ทำพลาดอยู่บ่อยครั้ง และรุนแรงขึ้นทุกทีจนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องตายเป็นเบือ ให้ออกมารับผิดชอบอะไรบ้าง เอ็นจีโอเหล่านี้ถนัดแต่แอคชั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งแรงหนุนจากต่างชาติ โดยนัยว่าเป็น ”ทุน” เพื่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมและช่วยเหลือชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อไฟใต้ทั้งที่ความจริงก็คือ พวกเขาขลาดกลัวเกินกว่าจะพูดความจริงและนำเสนอข้อเท็จจริงอีกด้านที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหา บ้านเราจึงเต็มไปด้วยของปลอมๆ ไปหมด ทั้งพวกอุดมการณ์ปลอม ทหารปลอม และเอ็นจีโอปลอมหันกลับมาดูกระบวนยุทธของจริงดีกว่า ที่ทำให้ซาปาติสตามีผู้คนจากทั่วสารทิศเข้ามาเป็นแนวร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเพราะจุดยืนที่ชัดเจนของพวกเขาคือ การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ดังคำขวัญแรกของซาปาติสตา ที่ว่า “Ya Basta!” (พอกันที!)ที่มาจากคำแถลงการณ์ฉบับแรกจากแนวป่าลากันดอน โดยรองผู้บัญชาการมาร์กอสผู้นำซาปาติสตาที่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเพื่อแสดงจุดยืนอันชัดเจนของพวกเขาว่า พวกเขาเป็นขบวนการปฏิวัติที่ไม่ได้แสวงหาอำนาจเพื่อตนเอง ไม่ต้องการต่อรองกับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่พวกเขาเป็นขบวนการปฏิวัติ ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคน นี่คือการปฏิวัติเพื่อโลกที่ดีกว่าเดิม... วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2537 กองทัพซาปาติสตา ได้ประกาศเขตการปกครองอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วย เขตเทศบาล 38 แห่ง โดยเขตการปกครองอิสระของซาปาติสต้า ดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.2547 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา จึงประกาศว่า กองทัพขอมอบอำนาจการปกครองให้แก่ชุมชนชาวพื้นเมือง โดยที่การตัดสินใจของชุมชน ไม่ต้องขึ้นกับกองทัพซาปาติสตาอีกต่อไป ....นี่คือตำนานการต่อสู้ยุคใหม่ที่ติดอาวุธทางความคิด ห้าวหาญในอุดมการณ์ที่แน่วแน่ และได้รับการยอมรับนับถือ รวมถึงได้ใจมวลชนแบบของจริง! (ขอขอบคุณข้อมูลจาก ยิบโซ WWW.Fatoni online.com เมื่อ Monday , 09 Apr 2012) กลับมาวิเคราะห์หยั่งลึกในภาพของการปฏิบัติของขบวนการโจรก่อการร้าย แบ่งแยกดินแดนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้บ้านเราบ้าง กลุ่มก่อการใช้วิธีสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนโดยใช้ความแตกต่างของชาติพันธุ์ ศาสนา มาตุภูมิ คือ คนชาติพันธุ์มลายู นับถือศาสนาอิสลาม ในดินแดนปัตตานีที่ถูกรุกราน โดยชนชาติสยามที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม การปกครองที่ไม่เป็นธรรม การกดขี่ ข่มเหงรังแก ใช้การต่อยอดตำนานที่มีอยู่แล้วใช้ศาสนาที่ถูกบิดเบือนใช้ตำนานที่สร้างขึ้นใหม่ เล่าขานกันรุ่นต่อรุ่น ปลูกฝังเล่าขานในครอบครัว ในชุมชนมุสลิม ในโรงเรียนตาดีกา ในโรงเรียนปอเนาะ ในมัสยิด หรือแม้นกระทั่งเพลงที่ใช้กล่อมเด็กตั้งแต่ยังแบเบาะ รวมถึงการอิงศาสนาที่ให้ผู้ต่อสู้ทำการพลีชีพ เพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เป็นนักรบของพระเจ้า(ซะฮีด) รวมถึงการผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รัฐจากความไม่รู้ในระยะเริ่มต่อสู้ จนถึงความจำกัดในสภาวะแวดล้อมของสถานการณ์ จนนำไปสู้การปลุกระดม ของฝ่ายก่อการ ซึ่งแท้จริงเพื่อให้เกิดการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ เรียกร้องให้สังคมโลก ให้สนับสนุนความคิด และกลุ่มของตนเองเป็นจุดยืน ซึ่งจะนำไปสู่การปกครองสู่ระบบเผด็จการของกลุ่มตน ไม่ได้เกิดภราดรภาพที่แท้จริงกับประชาชนเลย สุดท้ายในสงครามที่ต้องการแรงสนับสนุนจากประชาชน และประชาคมโลก ไม่เคยมีสงครามไหนที่ชนะด้วยการใช้อาวุธ และความรุนแรง ซึ่งมีแต่การสร้างความสูญเสีย ความเลวร้ายอันเกิดกับประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ชัยชนะที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการใช้สันติวิธี การต่อสู้ด้วยสติปัญญา ความรู้ ความคิด ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้ก็จะเกิดกับประชาชนอย่างแท้จริง สันติ รายา | |
http://narater2010.blogspot.com/ |
หน้าเว็บ
▼
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น