หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

         คำให้การคนปัตตานี (อดีต) เมื่อยี่สิบปีก่อน ภาคใต้ไม่เป็นแบบนี้ คนไทยพุทธกับคนไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันในสังคมโดยต่างฝ่ายต่างให้เกียรติในศาสนาของกันและกัน ลูกๆหลานๆ ของทุกคนก็เล่นกันตามประสาเด็กโดยไม่เห็นมีเด็กคนไหนลากศาสนามาแบ่งแยกกัน แล้วมันเปลี่ยนไปได้อย่างไร? เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? ผู้นำศาสนามุสลิมสุหนี่เริ่มรู้สึกว่ากำลังถูกชีอะห์เข้ามาแผ่อิทธิพล ทำให้มีการส่งลูกหลานตัวเองไปเรียนต่อในประเทศตะวันออกกลาง





          หวังว่าจะกลับมาเป็นหัวหอกในการต่อต้านชีอะห์ แต่ผลที่ตามมากลับเป็นการชักนำสุหนี่หัวรุนแรงเข้ามาในไทยโดยไม่รู้ตัว สุหนี่พวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกับชีอะห์ เป็นพวกแนวทางยึดตามคัมภีร์แบบสุดโต่ง ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ยืนยันแต่เพียงว่าชีวิตของมุสลิมต้องมีเพียงคำสอนของศาสดาเท่านั้น เมื่อมุสลิมรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลต่างชาติ กลับเข้ามาในไทย พวกนี้ก็เริ่มทำลายแนวทางมุสลิมในภาคใต้ยึดถือกันมานาน โดยอ้างว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ผิด มีการรณรงค์ให้ผู้หญิงคลุมผ้า ล้มล้างประเพณีที่เคยทำกันมา และที่สำคัญที่สุด คือก่อตั้งปอเนาะแนวทาง ที่ตนต้องการ นี่แหละคือจุดเริ่มของความรุนแรงทั้งหลาย เด็กที่จบจากปอเนาะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นเลย นอกจากต้องไปศึกษาต่อในประเทศมุสลิม เพราะ



            ไม่มีบริษัทไหนรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากคัมภีร์ทางศาสนา เด็กเหล่านี้ต้องไปศึกษาต่อ และเมื่อกลับมาก็ไม่มีงานทำเช่นเดิม จะทำงานใช้แรงก็ไม่ได้ เพราะกลายเป็นผู้รู้ทางศาสนาเสียแล้ว ทางเลือกมีทางเดียวก็คือต้องหาทางสอนศาสนา และต้องหาเงินมาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนปอเนาะของตนเอง แต่จะหาเงินที่ไหน? คำตอบก็คือ ต้องหาจากประเทศมุสลิม แต่จะหวังเพียงเงินบริจาคก็ไม่เพียงพอ เงื่อนไขเดียวที่จะได้เงินจำนวนมาก ก็คือต้องใช้เงินเพื่อต่อสู้ศัตรูของศาสนาอิสลาม ต้องเป็นนักรบเพื่อศาสนาเหมือนชาวปาเลสไตน์ จะไปหาศัตรูที่ไหน


         ในเมื่อรอบตัวมีแต่ชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาที่ไม่ต่อต้านศาสนาอื่น ศาสนาที่เน้นการปฏิบัติส่วนบุคคล ไม่รุกราน ไม่รังแก ดังนั้นจึงต้องหาทางให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนไทยพุทธกับไทยมุสลิมให้ได้ก ่อน โดยเริ่มจาก
  • การปลุกแนวความคิด มุสลิมเป็นเลือดเนื้อเดียวกัน ขึ้นมา 
  • เมื่อมีเหตุการณ์มุสลิมขัดแย้งกับชาวไทยพุทธ 
  • เมื่อมีเหตุการณ์คนของรัฐบาลรังแกประชาชน 
  • เหตุการณ์ต่างๆ จะถูกขยายให้เกิดเป็นกระแสมุสลิมถูกคนพุทธรังแกทันที 
  • ทั้งๆ ที่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่ไม่มีใครเห็นนอกเหนือไปจากเป็นการขัดแย้งของบุคคล หรือข้าราชการเลวๆๆ คนหนึ่งรังแกประชาชน
  • ทั้งชาวบ้านมุสลิมเองและพุทธเหมือนกัน ในขณะที่พวกนี้จะฉวยมาเป็นเงื่อนไขเพื่อสร้างความรู้สึกให้มุสลิมเห็นว่ากำล ังถูกรังแกและต้องต่อสู้ 


        ยิงไปกว่านั้น กลุ่มคนเหล่านี้ยังสอนให้เยาวชนเห็นว่าชาวพุทธเป็นคนนอกศาสนา ลูกหลานมุสลิมไม่ควรเข้าไปเป็นเพื่อน โรงเรียนของชาวพุทธจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม สถานที่ศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเยาวชนมุสลิมคือปอเนาะเท่านั้น
        นอกจากการปั่นกระแสความเกลียดชังแล้ว ยังพยายามหาข้ออ้างทางประวัติศาสตร์มาใช้อ้างเป็นความชอบธรรมว่ามุสลิมเคยเป็นประเทศมีเอกราชแต่ถูกสยามรุกราน มีการก่อตั้งกองกำลังเพื่อยึดประเทศคืน และหาทางกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตอบโต้ เมื่อมีการเสียชีวิต ก็ใช้เป็นหลักฐานในการติดต่อไปยังประเทศมุสลิมว่ากำลังต่อสู้เพื่อศาสนา มีนักรบของศาสนากำลังเสียชีวิต เท่านี้เองเงินทองก็ไหลมาเทมา ยิ่งเกิดความรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ เงินทองก็ยิ่งเข้ามามากขึ้นเท่านั้น คนกลุ่มนี้แหละที่อยู่เบื้องหลัง ที่บงการ ที่พยายามล้างสมองให้



          "มหาเธย์ โมฮำหมัด "  ผู้ประกาศจะสนับสนุน 3 จังหวัด ในอดีต
จนทำให้ผู้นำหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ส่งสานส์ประท้วงการกระทำดังหล่าวจนหุบปาก


           เยาวชนออกไปตายเพื่อศาสนา เป็นอีแอบอยู่หลังฉาก ไม่เคยเปิดเผยตัว แต่ทำตัวเป็นพี่ใหญ่คอยแจกจ่ายเศษเงินแก่ผู้ที่เป็นแขนขา บางคนมีฐานะร่ำรวย ก็เข้าแบ่งประโยชน์กับเจ้าพ่อในพื้นที่ และนักการเมืองท้องถิ่น เพราะยิ่งสถานการณ์รุนแรงเท่าไหร่ ผลประโยชน์จะยิ่งไหลมาเทมา รัฐบาลไทยก็ไม่ต้องการที่จะทำอะไรรุนแรงกับมุสลิม ซ้ำยังให้สิทธิพิเศษทางศาสนาต่างๆ ให้เงินช่วยเหลือ ให้ค่าตอบแทนครูสอนศาสนา เพื่อที่จะให้มุสลิมไม่ก่อปัญหาขึ้น



ชาวพุทธต้องหวาดผวาเมื่อหมู่บ้านตนโดนยิงจนได้มานอนวัด ที่มีทหารคอยคุ้มกัน

           
ทั้ง ๆ ที่ ชาวไทยพุทธในพื้นที่ก็มี แต่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือแบบนี้จากรัฐบาล ตอนนี้สถานการณ์กำลังรุนแรงมากยิ่งขึ้น รัฐบาลปราบปรามอย่างเด็ดขาดไม่ได้ เพราะตัวผู้บงการจริงๆ ยังแอบซ่อนตัวอยู่ แถมต้องพะวักพะวนกับข้ออ้างทางสิทธิมนุษยชนที่พวก NGO พยายามใช้เพื่อสร้างผลงาน NGO พวกนี้ก็ไม่ต่างกับพวกอีแอบที่อยู่ข้างหลังมุสลิมชั่วๆบางกลุ่มที่เอาศาสนา มาอ้างเท่าไหร่หรอก เพราะหวังเงินจากต่างประเทศเหมือนกัน ยิ่งมีความรุนแรง ยิ่งมีความสูญเสีย NGO ยิ่งชอบใจ เพราะจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีรัฐบาล ใช้เป็นข้ออ้างจัดกิจกรรม และเงินก้อนโตก็จะถูกส่งมาแบ่งกัน อยากถามรัฐบาลว่า วันนี้ท่านทำอะไรให้ชาวไทยพุทธที่ต้องเป็นเหยื่อของมุสลิมบ้าง อยากถาม NGO ว่า สิทธิมนุษยชนของประชาชนชาวไทยพุทธอยู่ที่ไหน

         อยากถาม องค์การมุสลิมที่ออกมาเรียกร้องว่า คนที่ประท้วง คนที่ก่อความวุ่นวาย คนที่พยายามฆ่าผู้ไม่เกี่ยวข้อง พวกนี้ยึดถือหลักการสิทธิมนุษยชนและยอมรับความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไหม ถ้าไม่เคยมีหลักการ พวกนี้เอาข้ออ้างอะไรมาเรียกร้องให้รัฐบบาลไทยต้องยึดถือหลักการ สิ่งที่พวกนี้ทำก็คือมือหนึ่งชูสิทธิมนุษยชนนำหน้า แต่อีกมือหนึ่งถือปืนยิงใส่คนรอบข้าง แต่เมื่อถูกยิงตอบโต้กลับกลายเป็นว่าผู้ยิงตอบเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน และต้องขอโทษคนที่ยังคงถือปืนยิงใส่ผู้บริสุทธิ์ตลอดเวลา ทราบมาว่า ต่อไป กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ และ อื่นๆอีกมาก ก็อยู่ในข่ายการปฏิบัติการเยี่ยงนี้เช่นเดียวกัน
           ในฐานะที่เป็นคนตานีมาแต่กำเนิด เติบโตมาในสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนต่างศาสนาและวัฒนธรรมนะครับ สมัย ที่ผมเป็นเด็กเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนนับถือศาสนาอิส ลามมากกว่าศาสนาอื่นๆ ผมจึงมีเพื่อนเป็นมุสลิมมากมายไม่ว่าจะเป็น มะยูโซ๊ะ, อับดุลย์กาเดร์, มะนาเซ, แวมารีย๊ะ, ซีตีฮาวอ ฯลฯ เราต่างเป็นเพื่อนที่สนิทสนมเล่นด้วยกันเรียนด้วยกัน ไม่เคยมีความรู้สึกว่าเธอเป็นพุทธ ฉันเป็นมุสลิม เธอเป็นคนไทย ฉันเป็นมลายู 
           ครอบครัวผมจะมีความสนิทสนมกับชาวไทยมุสลิมทุกระดับชั้นมากมาย แม้กระทั่งวังเจ้าเมืองตานีเดิมที่ตำบลจะบังติกอ ก็สร้างแบบศิลปะจีนเนื่องจากช่างที่ก่อสร้างเป็นชาวจีนที่บรรพบุรุษผมจัดหา ให้เนื่องจากสนิทสนมกันกับเจ้าเมืองในอดีต

          เวลาชาวไทยมุสลิมมีงานต่างๆ เราไทยพุทธก็ไปร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นงานพิธีกรรมทางศาสนาเช่นงานศพ หรืองานรื่นเริงอย่างงานเทศกาลฮารีรายอ และในทางกลับกันเวลางานของเราก็มีชาวไทยมุสลิมไปร่วมด้วย ด้วยความเต็มใจ แม้กระทั่งงานศพญาติผู้ใหญ่ผม ก็มีชาวไทยมุสลิมไปร่วมแสดงความไว้อาลัย





          งานเทศกาลสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะมีการอัญเชิญเทพแห่รอบเมือง ก็จะมีการแห่เข้าไปในตำบลจะบังติกอซึ่งเป็นชุมชนไทยมุสลิม เนื่องจากในละแวกใกล้วังเจ้าเมืองตานีมีท่าน้ำเป็นท่าภาษีที่ชาวจีนที่จะขน สินค้าจากเมืองยะลามาเมืองตานี หรือขนสินค้าจากปากน้ำตานีไปขายที่เมืองยะลาจะต้องแวะเสียภาษี การอัญเชิญเทพไปที่ท่าน้ำนี้ก็เพื่อเป็นศิริมงคลต่อการค้าขายของชาวจีน เราก็ทำต่อเนื่องกันมานับร้อยปี
         สิ่งที่ผมเล่ามามันไม่เคย มีปัญหา มันไม่เคยมีการแบ่งแยก แตกแยกใดๆ จนกระทั่งมีคำว่า "การเมือง"เข้ามา มันจึงทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไป (ขอเลียนแบบแม่พลอยในสี่แผ่นดิน) ยิ่งมาในยุคปัจจุบันมีผู้ที่อ้างตัวเป็นนักวิชาการประจำถิ่นมากขึ้น และพยายามสื่อความคิดของตนให้คนทั่วไปรับทราบ โดยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเขียนมันถูกต้อง มีการกล่าวหาว่าประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนต่างๆนานา จนในที่สุดกลายเป็นว่าผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามถูกกลั่นแกล้ง กีดกันต่างๆ ยิ่งเป็นประเด็นร้อนทันที ผมไม่ทราบว่านักวิชาการเอาจุดไหนเป็นเส้นแบ่งในเรื่องเวลาของประวัติศาสตร์ จะเอายุค ร.5, ยุคต้นรัตนโกสินทร์, ยุคกรุงธนบุรี, ยุคกรุงศรีอยุธยา ถ้าผมจะเอายุคก่อนประวัติศาสตร์มาอ้างบ้างละครับว่าทุกคนคือเผ่าพันธุ์เดียว กัน นักวิชาการจะโต้เถียงกับผมหรือเปล่าครับ
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น