หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

“ญิฮาด”ความจริงจากประวัติศาสตร์

“ญิฮาด”ความจริงจากประวัติศาสตร์

            ตามที่เกิดเหตุการณ์กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงรวมกลุ่มเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.ปล.๒ ฉก.นราธิวาส ๓๒ ฉก.นย. เมื่อวันที่ ๑๓ ก.พ.๕๖ ซึ่งมีผลทำให้ผู้ก่อเหตุเสียชีวิตจำนวน ๑๖ คน นำมาซึ่งการปฏิบัติในเรื่องการจัดการศพเยี่ยงผู้เสียชีวิตในทางศาสนา “ญิฮาด”หรือเป็น “ชะฮีด” ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลให้ชาวมุสลิมตลอดจนชาวศาสนิกอื่นเกิดความสับสนในเรื่องเกี่ยวกับหลักศาสนากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และอาจนำไปสู่การกระทำที่ส่งผลอันไม่พึงประสงค์ทั้งต่อศาสนาและต่อสังคมโดยทั่วไป

             แม้ว่าอุลามาอฺ และนักวิชาการอิสลามได้อธิบายความหมายคำว่า ญิฮาด ว่าไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างมุสลิมกับคนต่างศาสนา และคำว่า ชะฮีด คือมุสลิมที่เสียชีวิตจากการทำหน้าที่ปกป้องอิสลามจาการทำลายของศัตรูเท่านั้น แต่ยังปรากฏมีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนมาก

        เพื่อให้ได้มาซึ่งความหมายที่ถูกต้องของคำดังกล่าว จำเป็นต้องใช้หลักและวิธีการศึกษาเช่นเดียวกันกับการศึกษาศาสตร์อื่นๆ สำหรับหลักและวิธีการศึกษาในแนวทางของอิสลามนั้น นักวิชาการกล่าวว่า ต้องศึกษาทั้งคัมภีร์กุรอาน อาดิษ ประวัติศาสตร์ ตลอดจนชีวประวัติของศาสดา รวมทั้งหลักการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย
     ตามประวัติศาสตร์ ศาสนาอิสลามได้ถูกประทานลงมาจากพระเจ้ากลางแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายในประเทศซาอุดิอารเบีย ท่ามกลางชาวอาหรับที่มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งต่างกลุ่มต่างปกครองตนเอง เมือง มักกะห์ซึ่งถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์กลางการทำพิธีจึงเต็มไปเทวรูปบูชานับพันองค์ ความเป็นอยู่ในสังคมขาดความเป็นเอกภาพ ไร้หลักการและกฎเกณฑ์ใดใดในการควบคุมสังคมให้สงบสุข เมื่อศาสดามูฮัมหมัดอายุสี่สิบปี พระเจ้าได้มอบหน้าที่ประกาศและเผยแพร่หลัการศาสนาอิสลาม อันหมายถึงสันติและการยอมรับนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวคือ อัลลอฮ 
            คำสอนดังกล่าวจึงมีผลต่อความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าเหล่านั้น การเผยแพร่จึงค่อยเป็นค่อยไปอย่างลับ ๆ โดยเริ่มกับหมู่ญาติพี่น้อง สู่เพื่อนสนิท และขยายวงกว้างสู่ชนเผ่าอื่น ๆ หลังจากนั้น ๓ ปี จึงได้เผยแพร่อย่างเปิดเผย ทำให้มีผู้ศรัทธาเข้ารับศาสนาอิสลามมากขึ้น แม้กระทั่งชาวต่างเมืองอย่างมะดีนะห์ที่เดินทางมาทำพิธีแสวงบุญประจำปีก็เข้ารับศาสนาอิสลาม ทำให้พวกเผ่ากุร็อยซ์ซึ่งเป็นเผ่าที่มีอิทธิพลมากที่สุดในมักกะห์เกิดความวิตกกังวลต่ออนาคตของพวกเขา จึงได้วางแผนต่อต้านการเผยแพร่ของศาสดามูฮัมหมัดตลอดมา และได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในระยะหลัง ถึงกับทำให้สานุศิษย์ของท่านศาสดาหลายคนถูกจับไปทรมานกระทำทารุณกรรมอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ และจบชีวิตไปในที่สุด 
             อย่างไรก็ตาม ศาสดายังคงปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแพร่ศาสนาตามที่ได้รับมอบจากพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าไม่อาจจะทนอยู่ในมักกะห์ต่อไปจึงได้อพยพไปยังเมืองมะดีนะห์ ซึ่งได้รับการต้อนรับจากชาวมะดีนะห์เป็นอย่างดี จึงได้ก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้น ซึ่งถือเป็นปีที่ ๑ ของรัฐอิสาม เรียกว่าฮิจเราะห์ศักราชที่ ๑ หมายถึง ปีที่ ๑ แห่งการอพยพและสถาปนารัฐอิสลาม
  
       เมืองมะดีนะห์เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นที่อยู่รวมของชนเผ่าและชุมชนต่างๆ หลายชุมชนเช่นเดียวกับเมืองมักกะห์ ท่านศาสดารู้ดีว่าความหลากหลายในเผ่าพันธุ์นั้น อาจสร้างความวุ่นวายเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างชาวยิว ท่านศาสดาได้รีบสร้างความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งเดียวกันโดยสร้างรัฐธรรมนูญแห่งเมืองมะดีนะห์ขึ้น โดยมีสาระสำคัญ แปดประการคือ สี่ในแปดประการที่สำคัญคือ หนึ่ง ชุมชนทั้งหลายที่ลงนามในพันธะสัญญานี้จักเป็นชาติเดียวกัน สอง ชาวมุสลิม ชาวยิวและชุมชนอื่น ๆ ของสาธารณรัฐนี้ย่อมมีอิสระที่จะนับถือศาสนาของตนได้และปฏิบัติกิจตามศาสนาของตนได้โดยไม่มีใครขัดขวาง สาม ผู้ที่ถูกกดขี่จะต้องได้รับการปกป้อง สี่ การทำให้เลือดตกยางออก การฆ่าและความรุนแรงต่าง ๆ ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในมะดีนะห์ เมืองมะดีนะห์จึงเป็นเมืองที่มึความเป็นปึกแผ่น มั่งคั่งและสันติสุขภายใต้หลักการอิสลามนับแต่นั้นมา

           อย่างไรก็ตามชนเผ่ากุร็อยช์และเหล่าศัตรูจากเมืองมักกะห์ยังคงพยายามที่กำจัดและระงับการการเผยแพร่ของศาสดาตลอดเวลา และได้ยกทัพด้วยกำลังนับพันคน เพื่อโจมตีและทำลายรัฐอิสลามมะดีนะห์ กุรอาน บทที่ (๒๒:๓๙-๔๐) ความว่า “สำหรับบรรดาผู้ที่ถูกโจมตีนั้น ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขาโดยปราศจากความยุติธรรม นอกจากพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเราเท่านั้น และหากกว่าอัลลอฮฺทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ต่อสู้ซึ่งกันและกันแล้ว บรรดาหอสวดและโบสถ์ (ของคริสต์) และสถานที่สวด (ของยิว) และมัสยิดทั้งหลายที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวรำลึกอย่างมากมาย ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน และแน่นอน อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง”

         เมื่อได้ข่าวการยกทัพมาของชาวกุร๊อยช์ ศาสดาจึงปรึกษากับผู้ใกล้ชิดและได้นำกำลังจำนวนสามร้อยกว่าคน เข้าสกัดกั้นกองทัพของชาวกุร๊อยช์ที่นอกเมือง และประจัญบานต่อสู้กันจนกองทัพมักกะห์พ่ายแพ้เสียชีวิตเจ็ดสิบคน ฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตจากสงครามปกป้องศาสนาครั้งนี้สิบสีคน นับเป็นสงครามญิฮาดและมีผู้เสียชีวิตเป็นชะฮีดอันแท้จริงในประวัติศาสตร์อิสลาม 
         ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปีถัดไปด้วยสาเหตุความโกรธแค้นจากความพ่ายแพ้สงครามครั้งที่หนึ่ง จึงได้ยกกำลังคนสามพันคน ในขณะที่กองทัพศาสดามีกำลังเพียงเจ็ดร้อยออกมาสกัดกั้น ครั้งนี้ทำให้มุสลิมเสียชีวิตเป็นเป็นชะฮีดจำนวนเจ็ดสิบคน แต่เมืองมะดีนะห์ไม่ถูกทำลายแต่อย่างใด นอกจากนี้สงครามญิฮาดก็เกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้งจากการที่ชนเผ่ากุร๊อยช์รวมตัวกับเผ่าอื่นๆที่ความพยายามเข้าโจมตีแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ความเข็มแข็งของเมืองมะดีนะห์ยิ่งทำให้ได้รับความเกรงขามจากชนเผาอื่น ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา

        เข้าปีที่หก ฮ.ศ.๖ เมื่อกองกำลังมุสลิมเข้มแข็งขึ้นศาสดาจึงได้เดินทางกลับไปยังมักกะห์เพื่อทำฮัจญ์ พร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวนนับพันคน ขาวกุร๊อยช์เห็นดังนั้น จึงทำการขัดขวาง แต่ศาสดาไม่เลิกความพยายาม ที่ทำพิธีให้ได้ ในที่สุดพวกกุร็อยช์ ยอมตกลงทำสัญญาให้ชาวมุสลิมเข้าทำพิธีอัจญ์และอยู่ในเมืองมักกะห์ได้ไม่เกินสามวัน และมีข้อตกลงยุติการสู้รบและการรุกรานด้วยกำลังเป็นระยะเวลาสิบปี

         สัญญาสงบศึกดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสดีที่ทำให้การเผยแพร่ศาสนาขยายออกไปได้อย่างกว้างขวางรวมไปทั้งดินแดนอื่น ๆ นอกจากอาหรับแม้กระทั้งชาวกุร็อยช์เองก็เริ่มศรัทธาเข้ารับอิสลามเพิ่มขึ้นจนในปี 
          ฮ.ศ.๑๐ มุสลิมสามารถยึดเมืองมักกะห์อันเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จพร้อมกับการล่มสลายของลัทธิ์บูชาเทวรูป ของชนเผ่าต่าง ๆ มักกะห์กลายเป็นศูนย์กลางศาสนาอิสลามนับแต่นั้นมา 
         และในปีเดียวกันนี้เองที่ศาสดาได้มาทำพิธีฮัจญ์และกล่าวคุตบะห์อันคำสั่งครั้งสุดท้ายของศาสนาก่อนที่ศาสดาจะจากโลกไป หนึ่งในคำสั่งดังกล่าวได้แก่ 
       “โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู่เป็นศัตรูหลั่งเลือดกันเหมือนอย่างเช่นสมัยแห่งความโง่เขลาดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และสุนนะฮของฉัน” และ “โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว ต้นตระกูลของ
พวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่นคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรงมากกว่าเท่านั้น” 

       หลังจากกลับจากทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายนี้ไม่นานท่านศาสดาก็เสียชีวิตในวัยหกสิบสามปี

          จากบทบัญญัติของอัลกุรอานและประวัติศาสตร์ดังกล่าวนักวิชาการมุสลิมจึงสรุปเหตุผลของการญิฮาดได้สาม ประการคือห
  • นึ่งบรรดามุสลิมถูกข่มเหง ด้วยการก่อการร้ายและขับไล่ให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขาโดยปราศจากความเป็นธรรม 
  • สอง หากอัลลอฮฺไม่อนุมัติให้มนุษย์ทำการต่อสู้ป้องกันแล้ว มัสยิดจะถูกทำลายอย่างจากพวกไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแน่นอน 
  • สาม เป้าหมายของการญิฮาดคือการมีอำนาจในการปกครอง เพื่อให้มีอิสระปฏิบัติตามหลักศาสนา

         จากหลักฐานในคัมภีร์อัลกุรอาน ฮาดิษ ประวัติศาสตร์ ตลอดจนข้อเขียนของนักวิชาการที่ยกมา ณ ที่นี้ คงเพียงพอต่อการพิจารณาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าเป็นการญิฮาด และผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเป็นชะฮีดหรือไม่ เพื่อที่จะได้พิจารณาด้วยตนเองโดยไม่หลงเชื่อคำบอกเล่าของบุคคลอื่นอย่างที่ปรากฏมากมายในวันนี้ ซึ่งถือเป็นความบกพร่องอันใหญ่หลวง
        เนื่องจากละเลยการศึกษาอันเป็นสิ่งบังคับประการหนึ่งของมุสลิม ซึ่งอัลลอฮได้ตรัสต่อมูฮัมหมัดเป็นคำแรกที่มอบหน้าที่การเป็นศาสดาว่า 
        “เจ้าจงอ่าน” ทั้งที่อัลลอฮทรงทราบดีว่า ศาสดามูฮัมหมัดนั้นไม่เคยรู้จักตัวหนังสือแม้แต่อักษรเดียวมาก่อนในชีวิต
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น