ผ่าแผน BRN สุม "ไฟใต้" อำนาจซ้อน...สู่รัฐปัตตานี | |
ผ่าแผน BRN สุม "ไฟใต้" อำนาจซ้อน...สู่รัฐปัตตานี
แผนการ "บีอาร์เอ็น" ตัวการป่วนใต้ พบเชื่อมโยงลึกซึ้งกับกลุ่มก่อการร้าย "เจไอ" ลอกยุทธวิธีจากอินโดฯ นำมาฝังหัวเยาวชน สร้างกองกำลังติดอาวุธ-มวลชนจัดตั้งในทุกระดับขึ้น "สวมทับ" อำนาจรัฐ หลังจากค้นหาความจริงมาหลายปี หน่วยงานความมั่นคงก็ได้ความกระจ่างชัดว่าผู้ "ชักใย" ให้เกิดความปั่นป่วนในสามจังหวัดชายแดนใต้ คือขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN-Coordinate)
แหล่งข่าวระดับสูงจาก "กองกำลังศรีสุนทร" กองทัพภาคที่ 4 เล่าถึงรากเหง้าของขบวนการนี้ว่า เดิม ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN (Barisan Revolusi Nasional) อยู่ภายใต้การนำของ นายอับดุลการิม ฮัสซัน ถือเป็นกลุ่มขบวนการสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุด
ภายในองค์กรนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
...มุสลิมจะ "ฆ่ากันเอง" เหมือนชาวอาเจะห์กับรัฐบาลอินโดนีเซีย เพราะต่างคนต่างยึดติด
BRN-Coordinate จึง "เก็บงำ" แนวคิดของนายอับดุลการิมไว้เพื่อประโยชน์ในการสถาปนารัฐปัตตานี ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายอับดุลการิมก็ถูกข่มขู่คุกคามจนต้อง "สยบยอม" ในที่สุด
จากข้อมูลพบว่า BRN-Coordinate ถูกโดดเดี่ยวในช่วงแรก เนื่องจากกลุ่มพูโล ซึ่งเป็นพันธมิตรสลายไปก่อน เพราะ ต่วนกูบีรอ กอตอดีรอป่วย และภาวะผู้นำหดหาย
BRN-Coordinate จึงไปขอความช่วยเหลือจาก "ฮัมบาลี" แกนนำ "กลุ่มเจไอ" ซึ่งสนับสนุนอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนของชาวอาเจะห์
BRN-Coordinate จึงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับนายฮัมบาลี (ซึ่งถูกทางการไทยจับกุมแล้วส่งตัวให้สหรัฐ) และได้ซึมซับเอา "ยุทธวิธีก่อการร้าย" ของเจไอมาใช้ในสามจังหวัดชายแดนใต้
BRN-Coordinate เริ่มฝึกปรือฝีมือด้วยการจับมือกับกลุ่มเจไอเคลื่อนไหวอยู่ในอินโดนีเซีย
จากนั้นจึงเริ่มชักจูงเด็กจากสามจังหวัดชายแดนใต้มาปลูกฝังเรื่องรัฐปัตตานี และเข้าพิธี "ซุมเปาะ" (สาบานตน) ถ้าใครหน่วยก้านดีก็จะถูกส่งไปฝึกหลักสูตร "รบพิเศษ" (อาร์เคเค) ที่อาเจะห์
เมื่อสำเร็จหลักสูตรแล้ว กลุ่มนักรบเหล่านี้จะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อสมัครเข้าเป็น "ครูสอนศาสนา" ในตาดีกา หรือปอเนาะ จากนั้นก็จะถ่ายทอดแนวคิดแบ่งแยกดินแดน โดยจะคัดเลือกเด็กที่ตรงตามสเปค
สเปคที่ว่า คือ ต้องเรียนเก่ง ไม่ยุ่งกับยาเสพติด เพราะถือว่าเป็นคนที่ "มีอุดมการณ์" จากนั้นจะดึงมาเข้าพิธีซุมเปาะ ก่อนจะส่งเข้าสนามฝึก
แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง "ผู้พันรบพิเศษ" เขาเคยพากำลังไปฝึกร่วมที่อินโดนีเซีย จึงมั่นใจว่า ยุทธวิธีการรบของกลุ่มโจรในภาคใต้ลอกเลียนแบบมาจากอาเจะห์แน่นอน
ส่วนโครงสร้างของบีอาร์เอ็นจะคล้ายคลึงกับ "โครงสร้างสงครามประชาชน" ของ เหมา เจ๋อ ตุง แต่ของประธานเหมา จะสร้างกำลังกองโจรไว้อย่างเปิดเผย มีฐานที่มั่นในป่าเขา
แต่สำหรับบีอาร์เอ็นกลับจัดตั้งกองกำลังอย่างเร้นลับ โดย "ฐานที่มั่น" คือ อยู่กับชาวบ้าน มีวิธีการแสวงหา และจัดตั้งกองกำลัง ดังนี้
4.ขั้นตอนการฝึก มี 2 ขั้น
ฝึกขั้นต้น ฝึกรวม เน้นการฝึกฝนร่างกายและศรัทธา
ฝึกขั้นที่สอง แยกเป็น 2 ข้อ คือ
-ผู้ผ่านการคัดเลือก (กลุ่มนักรบอาร์เคเค, คอมมานโด)
-ผู้ไม่ผ่านการคัดเลือก (ปรับเป็นกลุ่ม "ตุรงแง")
5.ขั้นการจัดตั้งหน่วยกำลังรบ
-กลุ่มนักรบหลัก (อาร์เคเค คอมมานโด)
-กลุ่มทหารบ้าน (ตุรงแง)
ขั้นตอนการดำเนินการ ณ วันนี้ คือ "สงครามกองโจรในองค์กรมวลชน"
โดยมียุทธศาสตร์ขับเคลื่อน ดังนี้
1.ขั้นตอนบ่มเพาะสร้างสำนึกทางการเมือง ปลุกกระแสปัตตานีเป็นรัฐอิสระ สร้างอัตลักษณ์มลายู มุสลิม เชื้อชาติผูกติดกับศาสนา แผ่นดินผูกติดกับศาสนา
ฉะนั้นการต่อสู้เพื่อเชื้อชาติ...การต่อสู้เพื่อแผ่นดิน คือ การต่อสู้เพื่อศาสนา
เป็นแนวทางมิติแห่งศรัทธา ซึ่งถูกบิดเบือนให้เข้าใจว่านี่คือ แนวทาง "สงครามจิฮัด" ตามหลักศาสดา...ตายไปจะเป็น "นักรบซาฮีด" ซึ่งเป็น"เส้นทางลัด" ไปสู่สวรรค์ โดยไม่ต้องผ่านโลกพิพากษา
2.สร้างโครงสร้างทางการเมืองเพื่อนำเข้าสู่ปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับเคลื่อนมวลชนมาต่อสู้กับรัฐ เป็นแนวทางการเข้าต่อสู้เพื่อให้เกิด"จลาจล" เมื่อรัฐส่งกำลังดูแลไทยพุทธมากขึ้นก็จะหันมาทำร้ายมุสลิม และปลุกกระแสว่าซิเเย (เจ้าหน้าที่รัฐ) สนับสนุนไทยพุทธเพื่อมาทำร้ายมุสลิม จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อทำ "จิฮัดสีเทา" ให้เป็นจิฮัดที่สมบูรณ์
แหล่งข่าว ยกตัวอย่างของ "หลุมพราง" นี้ว่า "ที่ถ้ำทะล เขาสร้างสถานการณ์หนัก ยิงจนมุสลิมหนีออกนอกพื้นที่ 50 ครอบครัว โดยป้ายสีว่าเป็นฝีมือชาวไทยพุทธ ซึ่งเข้าทางปลุกกระแสจิฮัดสมบูรณ์เลย มุสลิมถูกขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่ เข้ากฎของจิฮัดเลย"
เป็นการสร้างเงื่อนไขให้องค์กรมุสลิมระหว่างประเทศ (โอไอซี) กดดันให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าแทรกแซงเพื่อให้มองเห็นความจำเป็นของการมี “รัฐใหม่” ซึ่งเป็นรัฐที่มีความเฉพาะทางด้านเชื้อชาติ-ศาสนา
ฝ่ายตรงข้ามยังให้ความสำคัญกับ "พลังมวลชน" (People Uprising) ซึ่งถือเป็น "พลังหลัก" แห่งความสำเร็จในการปฏิวัติเพื่อแยกรัฐปัตตานีออกจากอำนาจรัฐไทย โดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร
เน้นกลยุทธ์ที่ว่า "หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้...ให้ใช้วิธีทำให้กลัว" เป็นการปูทางเพื่อเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนของขบวนการ BRN-Coordinate ซึ่ง "ทับซ้อน" การจัดตั้งการปกครองของรัฐไทย
โครงสร้างทั้งหมดจะ "สวมทับ" โครงสร้างองค์กรของภาครัฐ โดยเน้นความเข้มแข็งการจัดตั้งในระดับพื้นฐาน คือ "อาเยาะห์" เป็นหลัก
นอกจากจะวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนแล้วยังมีการจัดวาง "กองกำลังติดอาวุธ" เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การปฏิวัติอีกด้วย
กลุ่มโจรจะจัดกำลังกองโจร หรือกำลังติดอาวุธในระดับ "หมู่บ้านจัดตั้ง" หรือ "อาเยาะห์" ส่วน "ตำบลจัดตั้ง" หรือ "ลีกาลัน" จะอยู่ใต้การปกป้องดูแล และสนับสนุนจากกลุ่มประชาชนจัดตั้งถือเป็น "ทหารประชาชน" หรือ "The people Army"
การสร้างและพัฒนาอำนาจรัฐซ้อนในหมู่บ้านจัดตั้ง หรือ "อาเยาะห์" คือ การกดดัน คุกคาม ข่มขู่ และ ลอบสังหารกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐไทยให้ยอมจำนนต่ออำนาจทับซ้อน
ส่วนบทบาทภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของ "กลุ่มนักรบประจำถิ่น" (RKK : Runda Kampulan Kejel) ถือเป็น "หน่วยทหารระดับอาเยาะห์" ซึ่งผ่านการฝึกหลักสูตรอาร์เคเค ในอาเยาะห์ บ้านพักหัวหน้ากลุ่ม หรือสมาชิกคนใดคนหนึ่ง คือ ศูนย์ควบคุมสั่งการ และรวมพล
กลุ่มอาร์เคเคจะปฏิบัติภารกิจจากง่ายไปหายาก เพื่อสั่งสมประสบการณ์ พร้อมๆ กับการพัฒนาทั้งทักษะและจิตใจไปเป็นกลุ่ม "นักรบหลัก"หรือคอมมานโด
ส่วนบทบาทภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของกลุ่มนักรบหลัก คือ
แต่ปัจจุบันสามารถพัฒนากำลังอาร์เคเค เป็นกลุ่มนักรบหลักได้ไม่มากนัก มีกำลังนักรบหลักไม่ครบทุกลีการัน
ขณะที่บทบาทภาระหน้าที่ของกลุ่มสนับสนุนหรือทหารบ้าน (ตุรงแง) ในพื้นที่ คือ
แหล่งข่าวคนเดิม เชื่อว่า หากปล่อยให้พัฒนาการของเขาเดินไปข้างหน้าต่อไป แนวโน้มที่สถานการณ์จะเป็นไปตามขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็มีสูงยิ่ง
แต่ขณะนี้เรายังมีโอกาส "ตัดวงจร" ตรงนั้นเพื่อสกัดกั้นไว้ได้...ขึ้นอยู่กับว่าจะกล้าพอหรือไม่
ไพศาล รัตนะ/สุพิชฌาย์ จันต๊ะปา
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
หน้าเว็บ
▼
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น