หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ถอดรหัสวิกฤติ กลุ่มเคลื่อนไหวจว.ชายแดนใต้ สัญญาณ “ล่มสลาย” บนความระส่ำระส่ายไร้เอกภาพ!!

ถอดรหัสวิกฤติ กลุ่มเคลื่อนไหวจว.ชายแดนใต้ 
สัญญาณ “ล่มสลาย” บนความระส่ำระส่ายไร้เอกภาพ!!

            เพราะอาจจะกำลังสับสนกับสถานการณ์และแรงกดดันจากหลายด้าน โดยเฉพาะบนเวทีการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย ที่ประเทศมาเลเซียเลยทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มแสดงออกถึงของความไร้เอกภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญนำไปสู่ความระส่ำระส่าย ตั้งแต่ระดับนำ ไปจนถึงระดับปฏิบัติการ

          บวกกับแรงกดดันจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทั้งบุกจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว ตามโพยที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งจับเป็นและจับตาย เพื่อป้องปรามไม่ให้ขบวนการเคลื่อนไหว กลายเป็น “ขบวนการกองโจรไร้สังกัด ตั้งวงสร้างอำนาจในแต่ละเขตปกครองแบบของใครของมัน

สะท้อนภาพความ ระส่ำ” จากกรณี ทหาร ฉก.ปัตตานี ทหารพรานที่ 41 ตำรวจ ศชต.ปิดล้อมและวิสามัญ  “อับดุลรอฮิง ดาอีซอ” หรือ เปเล่ดำ พร้อมพวกรวม ศพ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา เหตุเกิดที่ บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ที่กลายเป็นประเด็นให้สื่อฯ และเครือข่าย วิชาการ” ส่วนหนึ่ง ออกมาโจมตีถึง ปฏิบัติการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเกินกว่าเหตุหรือไม่?” ทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตในปฏิบัติการครั้งนั้นถึงสองนาย และหนึ่งในนั้นเป็นนายตำรวจระดับชั้นยศพันตำรวจโท

            ซึ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับ ปฏิบัติการเกินกว่าเหตุ” เป็นจุดอ่อนสำคัญในการ จูงใจมวลชนที่กำลังเริ่มจะจุดติดและกลายเป็นจุดสนใจ แต่จู่ๆ ไม่กี่วันหลังจากนั้นในวันที่ 19 ตุลาคม กลับมี สื่อฯ” ที่เข้าไปทำข่าววางระเบิดในพื้นที่หมู่บ้านฮูลูปาเระ หมู่ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บถึง ราย  พร้อมๆ กับ มีคำเตือนจากกลุ่มเคลื่อนไหวออกมาข่มขู่สื่อฯ จากกลุ่มเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสื่อฯ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตกเป็นเป้าหมายหากอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่รัฐสวนทางสร้างข่าวพุ่งปากกระบอกปืนเข้าหาสื่อฯ ซึ่งไม่ต่างจากการทุบหม่อข้าวตัวเอง เพราะทุกปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ปฏิเสธเรื่องของการสร้างพื้นที่ข่าวได้ยากยิ่ง

ทั้งหมดกลายเป็น ปฏิบัติการสวนทางน้ำของกลุ่มขบวนการ” กับการพุ่งเป้าเข้าชนสื่อฯ เต็มๆ ที่กลายเรื่อง สร้างดาวคนละดวง” และเป็นภาพสะท้อนความไร้เอกภาพที่ชัดเจนที่สุดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ณ ห้วงเวลานี้

นอกจากปฏิบัติการที่ดูเหมือนจะ ไม่เข้าขา และบางครั้งถึงกับ ขัดขากันเอง” ของ แกนกองกำลังในพื้นที่แล้ว สายสัมพันธ์ของเครือข่ายในแต่ละขบวนการ ที่ชัดเจนว่าเป็นอีกหนึ่งใน จุดแยกสำคัญ” ที่แสดงให้เห็นถึงภาพของ ความระส่ำระส่ายที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน

กับท่าทีของ ขบวนการพูโล ที่หลายฝ่ายกำลังตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับบทบาท และท่าที ที่ดูเหมือนกำลังจะ ตกรถไฟขบวนสันติภาพ” ออกมาชิงแถลงข่าวถึงเป้าหมายแห่งภารกิจ และความสัมพันธ์กับกลุ่ม บีอาร์เอ็น โดยระบุแสดงตนให้เห็นว่า เป็นผู้กอบกู้เอกราช ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และไม่ได้มุ่งสังหารเป้าหมายประชาชนพลเรือน ร้ายแรงไปถึงการสั่งห้ามไม่ให้สมาชิกของขบวนการพูโล ในพื้นที่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของแนวร่วมอาร์เคเค ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธในสังกัด กลุ่มบีอาร์เอ็น ในพื้นที่อย่างเด็ดขาด

ขณะที่ท่าทีของกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึง สถานะของพูโล” ในสายตาแกนการเมือง (บางคน) ที่กำลังง่วนอยู่กับเงื่อนไขบนโต๊ะเจรจากับรัฐบาลไทย กับการปรามาสและ ไม่ให้ราคา

บนภาพความสัมพันธ์ที่แตกร้าวของขบวนการเคลื่อนไหว กับการก้าวไปคนละเส้นทาง รวมถึงในหลายๆ พื้นที่ ซึ่งมีกระแสข่าวถึงกับ มีการขีดเส้นแบ่งเขตเคลื่อนไหวกันอย่างชัดเจน

ตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ใครพื้นที่มัน ไม่เว้นแม่แต่ระดับแกนการทหารในขบวนการเดียวกัน!!

กับปฏิบัติการที่เริ่มสะเปะสะปะ ประสานตั้งตัวกันไม่ติด ทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งเริ่มถอยออกห่างไปที่ละก้าว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ชนวนแห่งการ ชิงพื้นที่ด้วยความรุนแรงในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมี กลุ่มแจ้งเกิด” กลุ่มใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง  อย่าง กลุ่มนักศึกษาในนามสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ที่ ชิงธงนำ” จัดกิจกรรมในช่วงครบรอบ ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยเน้นให้เห็นภาพ การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์”  เสมือนหนึ่งจะเย้ยให้กับ ความรุนแรง” ทีเกิดขึ้นเกือบทุกปีที่ครบรอบเหตุการณ์ที่ตากใบ  กลายเป็น คลื่นลูกใหม่” แห่งการเคลื่อนไหวในแบบสันติวิธีที่มวลชนเองก็เริ่มหันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะคลื่นลูกใหม่ สะท้อนภาพแห่งสันติวิธี จากพลังของ นักศึกษาและภาคประชาสังคมที่มีรูปธรรมชัดเจนที่จับต้องได้ รวมถึงได้รับความสนใจจากฝ่ายรัฐบาล โดยตรง

โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันวันคลื่นลูกใหม่ที่เน้นการต่อสู้แบบสันติวิธี อาจเป็นความหวังเป็นที่พึ่งให้กับมวลชน ได้มากกว่ากลุ่มเคลื่อนไหวเดิมที่เน้นความรุนแรง และกำลังอยู่ภาวะ ระส่ำระส่าย

ทั้งการตั้งข้อสังเกตถึง ความไร้เอกภาพของ กลุ่มเคลื่อนไหวในพื้นที่” และ สายสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน” ของแต่ละขบวนการ จนเข้าสู่ภาวะ ระส่ำระส่าย” นำไปสู่การถอดรหัสครั้งใหม่ถึงอนาคต ของพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้รวมถึงผลลัพท์แห่งการเจรจาสันติภาพที่กำลังดำเนินต่อไป ท่ามกลางรอยร้าวลึกในสายสัมพันธ์ของทุกองคาพยพในกลุ่มเคลื่อนไหว ตั้งแต่ ระดับเครือข่าย รวมถึงในแต่ละระดับชั้น อันเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

เพราะแรงกระเพื่อมของกลุ่มเคลื่อนไหว ที่สั่นสะเทือนไปถึงรากในครั้งนี้ อาจเป็นช่องว่างสำคัญในปฏิบัติการกวาดล้างของภาครัฐ ทั้งโดยวิธีทางการทหาร และวิธีแบบพลเรือน !!

ทั้งปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้น จับเป็น และจับตาย รวมถึงการเปิดประตูสันติวิธี พาคนกลับบ้าน” ซึ่งล้วนแล้วแต่ คืบหน้า” จาก แรงกระเพื่อม” ในครั้งนี้ ล้วนคืนกลับมา เป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่มีนัยยะไปถึงความได้เปรียบของรัฐบาลไทยบนโต๊ะเจรจาสันติภาพ ครั้งที่จะถึงนี้และครั้งต่อๆ ไป

จากเสียงสะท้อนของ พลโท พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ที่ยอมรับและออกมาเปิดเผยถึงสภาพการณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นว่า สัญญาณที่จะเกิดปัญหาความรุนแรงในช่วงนี้ (ครบรอบ ปี เหตุการณ์ตากใบ) ค่อนข้างเบาบาง เพราะหน่วยปฏิบัติการก่อเหตุถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินการตอบโต้ ปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมได้ ทำให้กองกำลังส่วนนี้เกิดปัญหาและมีความเคลื่อนไหวน้อยลง  และแนวโน้มของสถานกาณ์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถควบคุมได้

        และทั้งหมดนี้คือความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ที่จะละสายตาไม่ได้ และกำลังจะทวีความสำคัญกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่อาจจะนำไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพในอนาคตได้เร็วกว่าที่คาดคิดไว้ พร้อมๆ กับการสูญสลายกลายเป็น กองโจร”  รักษาพื้นที่ของกลุ่มเคลื่อนไหว จนกลายเป็น เป้าย่อย” ให้เจ้าหน้ารัฐปราบปรามกวาดล้างได้สำเร็จในที่สุด ...และนำไปสู่ ความล่มสลาย” ของกลุ่มเคลื่อนไหวทั้งองคาพยพ
http://narater2010.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โจรวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด "ผู้กองแชน" พลีชีพพร้อมลูกน้อง 3 นาย....

โจรใต้วางระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด 
"ผู้กองแชน" พลีชีพพร้อมลูกน้อง 3 นาย....

Photo: โจรใต้บึ้มเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด "แชน" คนดัง พลีชีพพร้อมลูกน้อง 3 นาย....

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (28 ต.ค.56) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD) ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัย พื้นที่หมู่ 4 บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส...

ต่อมา ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ, ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง และจ.ส.ต. นิมิตร ดีวงค์ เข้าไปทำการเก็บกู้ ในระหว่างเข้าเก็บกู้ได้เกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสามนายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 

อย่างไรก็ตาม สำหรับประวัติของ ร.ต.ต.แซน วรงคไพสิฐ นั้น จบจากโรงเรียนตำรวจภูธร 9 รุ่น 36 ปี 2528 เริ่มงานเป็น รปภ.ชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หัวหน้าชุดคุ้มครองหมู่บ้าน สายตรวจรถจักรยานยนต์ ปี 2532 ผ่านการอบรมหลักสูตรอบรมเก็บกู้ระเบิดเบื้องต้น 15 วัน ปี 2533 ถูกซุ่มยิงได้รับบาดเจ็บ จากนั้นย้ายจาก จ.ยะลา มา จ.นราธิวาส เป็นสายตรวจ จนถึงปี 2542 และย้ายไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 1 ปีเศษ ก่อนจะขอย้ายกลับมาที่ จ.นราธิวาส ช่วยราชการหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทำหน้าที่เก็บกู้ระเบิด และได้ประดับยศ "ร.ต.ต." เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2554

สำหรับประวัติการทำงานเสี่ยงภัยนั้น ร.ต.ต.แชน เคยปฏิบัติหน้าที่ รอง สว.(ตทบ.) กก.สส.ภ.จว.นราธิวาส หัวหน้าชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จว.นราธิวาส หรือหน่วย "เหยี่ยวดง 60" ได้รับรางวัล "คนดีของแผ่นดิน" เมื่อเดือน มิ.ย. 2554 และหลังรับรางวัล 2 วัน ร.ต.ต.แชน และทีมงาน 8 นาย ก็โดนระเบิดบาดเจ็บไป 6 นาย ต่อมาเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน ก็ถูกซุ่มยิงอีก 1 ครั้ง.

รายชื่อเจ้าหน้าที่ ผู้เสียชีวิต 3 นาย ดังนี้
1) ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ
2) ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง
3) จ.ส.ต. นิมิตร ดีวงค

รายการค้นค้นคน ดาบแชน: http://bit.ly/1eYHjDt

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ...

           โจรใต้บึ้มเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด "แชน" คนดัง พลีชีพพร้อมลูกน้อง 3 นาย....

           เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (28 ต.ค.56) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด (EOD) ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัย พื้นที่หมู่ 4 บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส...

         ต่อมา ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ, ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง และจ.ส.ต. นิมิตร ดีวงค์ เข้าไปทำการเก็บกู้ ในระหว่างเข้าเก็บกู้ได้เกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสามนายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

       อย่างไรก็ตาม สำหรับประวัติของ ร.ต.ต.แซน วรงคไพสิฐ นั้น จบจากโรงเรียนตำรวจภูธร 9 รุ่น 36 ปี 2528 เริ่มงานเป็น รปภ.ชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หัวหน้าชุดคุ้มครองหมู่บ้าน สายตรวจรถจักรยานยนต์ ปี 2532 ผ่านการอบรมหลักสูตรอบรมเก็บกู้ระเบิดเบื้องต้น 15 วัน ปี 2533 ถูกซุ่มยิงได้รับบาดเจ็บ จากนั้นย้ายจาก จ.ยะลา มา จ.นราธิวาส เป็นสายตรวจ จนถึงปี 2542 และย้ายไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 1 ปีเศษ ก่อนจะขอย้ายกลับมาที่ จ.นราธิวาส ช่วยราชการหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทำหน้าที่เก็บกู้ระเบิด และได้ประดับยศ "ร.ต.ต." เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2554

       สำหรับประวัติการทำงานเสี่ยงภัยนั้น ร.ต.ต.แชน เคยปฏิบัติหน้าที่ รอง สว.(ตทบ.) กก.สส.ภ.จว.นราธิวาส หัวหน้าชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จว.นราธิวาส หรือหน่วย "เหยี่ยวดง 60" ได้รับรางวัล "คนดีของแผ่นดิน" เมื่อเดือน มิ.ย. 2554 และหลังรับรางวัล 2 วัน ร.ต.ต.แชน และทีมงาน 8 นาย ก็โดนระเบิดบาดเจ็บไป 6 นาย ต่อมาเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน ก็ถูกซุ่มยิงอีก 1 ครั้ง.

รายชื่อเจ้าหน้าที่ ผู้เสียชีวิต 3 นาย ดังนี้
  • 1) ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ
  • 2) ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง
  • 3) จ.ส.ต. นิมิตร ดีวงค์
*******************************************










            เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 28 ต.ค. รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 พบหลุมต้องสงสัยที่ริมถนนเพชรเกษมสายปัตตานี - นราธิวาส ช่วงบริเวณบ้านส้มป่อย ม.4 ต.กาเยาะมาตี จึงประสานไปยัง ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รอง หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ

          เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบว่าในช่วงคืนที่ผ่านมา กลุ่มคนร้ายได้เผายางรถจักรยานยนต์ไว้บนถนน เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบ โดยได้เปิดเครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และวิทยุสื่อสาร โดย ร.ต.ต.แชน และพวก ได้เดินลงไปตรวจสอบที่บริเวณปากหลุม และพบว่ามีระเบิดฝังอยู่จึงได้ตะโกนบอกให้ทุกคนระวังตัว แต่ทันใดนั้นคนร้ายได้ใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิดที่ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม หนัก 50 กก. ที่ลอบฝังไว้ที่บริเวณใกล้กัน ซึ่งห่างจาก รตต.แชน ประมาณ 1 เมตร จนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้ ร.ต.ต.แชน ถูกอานุภาพของระเบิดลอยขึ้นมาอยู่บนถนน ส่วน ร.ต.ต.จรูญ เฆมเรือง รอง หน.ชุด และ จ.ส.ต.นิมิตร ดีวงศ์ผบ.หมู่ นปพ.จ.นราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่ชุดคุ้มกันก็ถูกอานุภาพของระเบิดร่างลอยไปกลางอากาศตกอยู่ในทุ่งนาข้างถนน ห่างจากหลุมระเบิดประมาณ 40 เมตร

          นอกจากนี้ อานุภาพของระเบิดยังส่งผลทำให้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียนตราโล่ ซึ่งใช้เป็นรถตัดสัญญาณจอดอยู่บนถนนถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายที่บริเวณกระจกหน้าแตก

         หลังจากนั้นเพื่อน ๆ นำศพผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารอีก 1 นาย คือ พ.จ.อ.สมเกียรติ สังกัดชุดเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อให้เพื่อทำการปฐมพยาบาล และชันสูตรพลิกศพ ต่อมา ร.ต.ต.พลวัฒน์ เทพษร รอง หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่แทน ร.ต.ต.แชน ที่ถูกระเบิดเสียชีวิต ได้ร่วมกับพวกตรวจสอบวัตถุระเบิดอีก 1 ลูก ที่คนร้ายได้ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้มเช่นกัน หนัก 50 กก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ที่ลากสายไฟยาวเข้าไปในป่ารกทึบ จึงได้ตัดสินใจยิงทำลายด้วยการใช้เครื่องแรงดันน้ำพลังสูง ที่เกิดเหตุ และได้เก็บรวบรวมหลักฐาน รวมทั้งหาอาวุธปืนพกขนาด 11 มม. ของ ร.ต.ต.แชน ที่หล่นหาย รวมทั้งศีรษะของ ร.ต.ต.จรูญ ที่ขาดกระเด็น

         โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยในช่วงคืนที่ผ่านมา ได้นำยางรถจักรยานยนต์มาเผาบนถนนจุดเกิดเหตุเพื่อลวงเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ซึ่งกลุ่มคนร้ายได้มีการวางแผนนำระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้ม จำนวน 2 ลูก โดยจุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร 1 ลูก และจุดชนวนด้วยแบตเตอรี่อีก 1 ลูก นำมาฝังไว้คู่กันที่บริเวณผิวถนน 1 ลูก และริมคันนาอีก 1 ลูก เพื่อจุดชนวน 2 ชั้น ในการดักสังหารเจ้าหน้าที่

*******************************************
 ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ด่วน! เกิดเหตุระเบิดพื้นที่บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เบื้องต้น EOD พลีชีพแล้ว 2 หนึ่งในนั้นคือ “ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ” อดีตคนต้นเรื่องคนค้นฅน ตอน “ดาบแชน คนกู้ระเบิด” ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ 
   
       เมื่อเวลา 09.50 น. ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) เกิดเหตุระเบิดที่บ้านส้มป่อย ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เบื้องต้นมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ EOD (ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ) เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 นาย ทราบชื่อคือ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รองหัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.นราธิวาส และ ร.ต.ต.จรูญ เมฆเรือง ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
   
       ทั้งนี้ การเสียชีวิตของตำรวจทั้ง 2 นาย นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่ทรงคุณค่าของเจ้าหน้่าที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รองหัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.นราธิวาส นั้น ได้ชื่อว่าเป็นนายตำรวจใจกล้า เคยเป็นคนต้นเรื่องในรายการทีวีชื่อดัง “คนค้นฅน” ตอน “ดาบแชน คนกู้ระเบิด” ออกอากาศเมื่อปี 2553
   
       รายละเอียดและความคืบหน้า “ASTVผู้จัดการภาคใต้” จะรายงานให้ทราบต่อไป
   
    

       ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รอง หน.ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (ภาพจากทีวีบูรพา)

   
    

       ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ รอง หน.ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (ภาพจากทีวีบูรพา)

   
    

       คนค้นฅน ดาบแชน คนกู้ระเบิด ตอน 1 ออกอากาศเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี

   
    

       คนค้นฅน ดาบแชน คนกู้ระเบิด ตอน 2 จบ ออกอากาศเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี

        



*********************************************
ขอสดุดีความดีของท่านด้วยหัวใจ

        ภารกิจสุดท้ายของหมวดแชน และทีมงาน 3 ชีวิตที่สูญเสียไป กับหน้าที่รักษาชีวิตและความปลอดภัยให้ประชาชนชาวนราธิวาส ไม่เคยมีใครถอนตัวออกไปแม้ทุกวินาทีคือความเสี่ยง ทุกท่านจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป...

       หมวดแซน หรือ ร.ต.ต.แชน วรงคใพสิฐ รองสารวัตรชุด อีโอดี หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ) กองบังคับการตำรวจภุธรจังหวัดนราธิวาส อายุ 50 ปี หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ชุดเหยี่ยวดง 60 ได้กล่าวไว้ว่า “ตนเอง เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในลำดับต้นๆที่คนร้ายมุ่งหวังเอาชีวิต โดยเห็นได้จากการถูกลอบยิง2 ครั้งและ ถูกลอบวางระเบิดมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งไม่ต่างจากน้องในทีมที่ส่วนใหญ่ต่างประสบเหตุจากสถานการณ์ความไม่สงบจนได้รับบาดเจ็บกันมาแล้ว แต่ตนเองและทุกคนก็ยังไม่คิดย้ายหนี หรือถอนตัวออกจากภาระกิจการเก็บกู้วัตถุระเบิด และทุกคนต่างขอกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของตนทันทีที่หายจากอาการบาดเจ็บ เพื่อที่จะเข้าไปทำหน้าที่ ที่ถือเป็นภารกิจสำคัญต่อการทำให้จังหวัดนราธิวาสปลอดภัย และประชาชนยังมีขวัญกำลังใจที่ดีในการดำเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่ต่อไป โดยพวกตนขอสัญญากับคนในพื้นที่ว่า เราเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกท่านตลอดไป”

           แต่สำหรับในวันที่ 28 ตุลาคม 2556 เมื่อเวลา 09.40 น. หมวดแชน พร้อมทีมงาน ได้ออกปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นไปตามปกติในทุกๆวันที่มีการรับแจ้งเหตุ ตลอดเส้นทางที่พาไปถึงจุดเกิดเหตุ ไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายที่ไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะแม้ทุกคนได้เตรียมกายและใจสำหรับการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ เพื่อมุ่งหวังให้ภารกิจสำเร็จ เพื่อให้ไม่เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเพื่อให้ตนได้กลับไปหาอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นของครอบครัวในวันนี้และวันต่อๆไป แต่อีกส่วนหนึ่งของห้วงความคิดเชื่อว่า หมวดแซน และทุกคนที่เดินทางไปในวันนี้ก็พร้อมยอมรับความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองหรือเพื่อนร่วมงาน เพราะเส้นทางของการเป็นนักเก็บกู้วัตถุระเบิด ทุกวินาที คือความเสี่ยง เพราะเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามคอยหาจังหวะที่เข้าทำร้ายทันทีที่มีโอกาส 

         ซึ่งเมื่อถึงจุดหมาย จากเหตุที่คนร้ายลอบวางระเบิดริมถนนเพชรเกษม สาย 42 ขาเข้าบ้านส้มป่อย ม. 4 ต.กาเยาะมาตี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก่อนเริ่มภารกิจการเก็บกู้วัตถุระเบิด แม้จะมีการตัดสัญญาณ และกวนสัญญาณในพื้นที่ เพื่อป้องกันการจุดชนวนระเบิดซ้ำ ตามสัญชาตญาณและประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน แต่สุดท้ายเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่สอง ก็ได้คร่าชีวิตและลมหายใจของ หมวดแซน ร.ต.ต.แชน วรงคใพสิฐ ไปพร้อมกับ ร.ต.ต.จรูญ เมตเรือง รองสารวัตรหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด และจ.ส.ต.นิมิต ดีวงศ์ ผู้บังคับหมู่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ไปกับเหตุในครั้งนี้

          ภารกิจสุดท้ายในชีวิต หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อย และอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดกับการเก็บกู้วัตถุระเบิดมานับร้อยลูกตลอดช่วงชีวิตของการปฏิบัติหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ในวันนี้เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ 3 นายไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องวิตกกังวลกับสิ่งใดๆอีกแล้ว เพราะถึงเวลาที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที

           เมื่อภารกิจที่กาเยาะมาตียังไม่เสร็จสิ้น ทีมงานที่เหลือจึงต้องทำหน้าที่เก็บกู้ระเบิดกันต่อไปให้สำเร็จลุล่วง แต่ทุกคนต้องใช้ความพยายามมากกว่าครั้งใดๆ เพราะต้องดึงพลังใจที่เหือดหายไปกับลมหายใจของเพื่อนร่วมอาชีพกลับมาทำหน้าที่ของตนเองอีกครั้งในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เพื่อสานต่ออุดมการณ์ของหัวหน้าชุดเหยี่ยวดง 60 จนสำเร็จ 

            เหตุการณ์ในวันนี้สร้างความสะเทือนใจและความเสียใจให้กับครอบครัว เพื่อนร่วมอาชีพที่ผูกพันกันยิ่งกว่าญาติ เพราะร่วมฝ่าความตายร่วมกันมายาวนาน รวมทั้งคนในจังหวัดนราธิวาส และคนไทยทั้งประเทศที่ได้มีโอกาสรู้จักและสัมผัสชีวิตการทำงาน ของหมวดแซนและชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เหยี่ยวดง 60 จาก “รายการคนค้นฅน ตอน ดาบแชน คนกู้ระเบิด” ชีวิตที่เป็นเหมือนละคร ซึ่งถูกกำหนดให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ที่น้อยคนนักจะก้าวเข้ามา และเมื่อสูญเสียชีวิตหนึ่งไป ก็ต้องมีคนมาทดแทนวนเวียนไปตามวัฏจักรต่อไป ความสูญเสีย คราบเลือด และหยดน้ำตา ก็คงหลั่งรดผืนแผ่นดินไทยปลายด้ามขวานต่อไป อาจเท่าที่คนดีจะหมดไปจากแผ่นดิน หรือรอคอยให้ผู้ก่อความไม่สงบกลับใจ หรือตายตกไปตามกันตามวัฏจักรชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน

           แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกัน คือลมหายใจของวีรบุรุษชายแดนใต้ จากไปพร้อมเสียงของการร่ำไห้ด้วยความเสียดาย เสียงสรรเสริญในเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความภาคภูมิใจที่ดังกึกก้อง และการจารึกชื่อ ของ ร.ต.ต.แชน วรงคใพสิฐ ร.ต.ต.จรูญ เมตเรือง และจ.ส.ต.นิมิต ดีวงศ์ อยู่ในจิตใจของคนในครอบครัวและคนไทยทั้งประเทศบนร่างที่ปกคลุมด้วยผืนธงชาติไทยเพื่อประกาศก้องให้คนทั้งโลกเห็นถึงคุณงามความดีของ “คนดีศรีแผ่นดิน” ที่ทั้ง3 นาย ก็คงได้มองลงมาจากฟากฟ้าด้วยความสุขใจและอิ่มใจที่ได้ใช้เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของความเป็นเหยี่ยวดง 60 นักเก็บกู้วัตถุระเบิดแห่งบางนรา ทำงานในหน้าที่ที่รักและภาคภูมิใจจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่หากเป็นฝ่ายตรงข้ามนั้นเล่า ท่านจะจากไปอย่างภาคภูมิใจได้อย่างไร เพราะสิ่งที่ท่านกระทำ เป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์จนเป็นรอยตำหนิที่ด่างพร้อยในหัวใจของคนในครอบครัวของท่าน สุดท้ายจึงมีเพียงเสียงร่ำไห้จากความเสียใจและผิดหวังในสิ่งที่ท่านกระทำกับผืนแผ่นดินที่เป็นภูมิลำเนาของตนเอง จากคนในครอบครัวของท่านเท่านั้น

           ขอบคุณไฟล์เสียงจาก ปพิชญาพัฒ ประพันธ์วงศ์ และภาพประกอบในไลน์ของเครือข่ายค่ะ น้ำส้มที่รัก Namsom ปทิตตา หนูสันทัด บทความโดย กุสลิน สุวรรณโณ




  • www.facebook.com/narapeace เพจที่ไม่ใช่แค่ให้กำลังใจ เพื่อนๆ และ เจ้าหน้าที่ ใน จชต แต่เราร่วมลงพื้นที่ไปพร้อมๆกัน ให้กำลังใจกัน ช่วยเหลือกัน อยู่เคียงข้างกัน และมีสาระเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดี ในพื้นที่ จชต ครับ
http://narater2010.blogspot.com/

รวบแล้ว! ผู้ต้องหาฆ่าครูจูหลิง หนีกบดานปัตตานี

รวบแล้ว! ผู้ต้องหาฆ่าครูจูหลิง หนีกบดานปัตตานี

Photo: รวบไอ้เฮี้ยม! ชาวบ้านแจ้งจับโจรใต้จับ "ครูจูหลิง " เป็นตัวประกันรวม ป.วิฯ 3 หมายจับ….

เมื่อเวลา 02.00 วันนี้ (28 ต.ค. 56) เจ้าหน้าที่ทหารเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย สามารถจับกุมนายอาหามะ กาเจ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/3 ม.4 บ.กูจิงรือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หน.ชุด RKK มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 3 หมาย

1. คดีจับครู รร.บ้านกูจิงรือป๊ะ(ครูจูหลิง)เป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49 และคดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต1นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน3คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51

2. คดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต1นาย บาดเจ็บ 1นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51

3. ป.วิ ฯ ศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 93/2554 ลง 8 มี.ค.54 เมื่อ 19 ม.ค.54 เวลา 19.30 น. ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิง จนท. ทหาร ร้อย ร.15121 เป็นเหตุให้ จนท.ทหาร เสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 13 นาย เหตุเกิดที่ ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราฯ

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 56 ชาวบ้านในพื้นที่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพบความเคลื่อนไหวของนายมะยีดิง จารู อายุ29ปี บ้านเลขที่ 158/1 บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ เครือข่าย อ.ยะรัง ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 71/50 ลง 21ก.พ.50 คดีใช้อาวุธสงคราม ยิง ด.ต.ภูฤทธิ์ วันทอง ผบ.หมู่ งาน 1 กก.2 บก.ปดส. เหตุเกิด บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง ฯ เมื่อ12ก.พ.50 

.....ชาวบ้านเขาเอือมระอากับพวกโจรใจตุ๊ดคอยลอบกัดชาวบ้าน สร้างความวุ่นวาย ถ่วงความเจริญขนาดไหน.....

การจับกุมครั้งนี้ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ช่วยเป็นหูเป็นตา นำไปสู่การจับกุม "โจรใจบาป" ฆ่าครู ฆ่าคนในครั้งนี้ด้วยครับ.....

ประวัติครูจูหลิง: http://th.wikipedia.org/wiki/จูหลิง_ปงกันมูล

            หน่วยขกท.สน.จชต.(ชป.สลาตัน) ได้นำกำลังทหารพราน ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย บ้านดารุสสลาม ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จนสามารถจับกุมตัวนายอาหามะ กาเจ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาคดีจับครู ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ ซึ่งจับครูจูหลิง ปงกันมูลเป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49 นอกจากนี้ยังมีคดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51

         ตลอดทั้งวันที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา หน่วยรวบรวมพิเศษ ขกท.สน.จชต.(ชป.สลาตัน) ได้นำกำลังทหารพราน ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าทำการปิดล้อมพื้นที่เป้าหมายบ้านดารูลสลาม ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี หลังจากได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า พบความเคลื่อนไหว ของนายมะยีดิง จารู อายุ 29 ปี บ้านเลขที่ 158/1 บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สมาชิกผู้ก่อการร้ายระดับปฏิบัติการ เครือข่าย อ.ยะรังฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 71/50 ลง 21 ก.พ.50 คดีใช้อาวุธสงคราม ยิง ด.ต.ภูฤทธิ์ วันทอง ผบ.หมู่ งาน 1 กก.2 บก.ปดส. เหตุเกิด บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรังฯ เมื่อ12 ก.พ.50 การปฏิบัติเมื่อ 28 ต.ค.56 หน่วยรวบรวมพิเศษ ชป.สลาตันฯ ร่วมกับ บก.ควบคุม 4 ฉก.ทพ.43 ฉก.ทพ.22 และหน่วยเฝ้าตรวจ ขกท.สน.จชต.ฮ.ติดกล้อง Flir จัดกำลังเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น

           ผลการปิดล้อมตรวจค้นไม่พบตัว นายมะยีดิง จารู แต่สามารถควบคุมตัวนายอาหามะ กาเจ หมายเลขบัตร ปชช.3-9603-00015-62-0 อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/3 ม.4 บ.กูจิงรือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หน.ชุด RKK มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 2 หมาย คดีจับครู ร.ร.บ้านกูจิงรือป๊ะ (ครูจูหลิง) เป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49 และคดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน 454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิต จำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย.51

ข้อมูลอ้างอิง :
1. http://news.mthai.com/general-news/280224.html
2. http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000134351




************************************

         รวบมุสลิมเลวระยำ! ชาวบ้านแจ้งจับโจรใต้  ผู้ต้องหาจับ "ครูจูหลิง " เป็นตัวประกันรวม ป.วิฯ 3 หมายจับ….

           เมื่อเวลา 02.00 วันนี้ (28 ต.ค. 56) เจ้าหน้าที่ทหารเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย สามารถจับกุมนายอาหามะ กาเจ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 64/3 ม.4 บ.กูจิงรือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หน.ชุด RKK มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 3 หมาย

  1. คดีจับครู รร.บ้านกูจิงรือป๊ะ(ครูจูหลิง)เป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49 และคดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต1นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน3คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51
  2. คดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต1นาย บาดเจ็บ 1นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51
  3. ป.วิ ฯ ศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 93/2554 ลง 8 มี.ค.54 เมื่อ 19 ม.ค.54 เวลา 19.30 น. ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิง จนท. ทหาร ร้อย ร.15121 เป็นเหตุให้ จนท.ทหาร เสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 13 นาย เหตุเกิดที่ ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราฯ
          การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 56 ชาวบ้านในพื้นที่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพบความเคลื่อนไหวของนายมะยีดิง จารู อายุ29ปี บ้านเลขที่ 158/1 บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ เครือข่าย อ.ยะรัง ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 71/50 ลง 21ก.พ.50 คดีใช้อาวุธสงคราม ยิง ด.ต.ภูฤทธิ์ วันทอง ผบ.หมู่ งาน 1 กก.2 บก.ปดส. เหตุเกิด บ.ดารูลสลาม ม.6 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง ฯ เมื่อ12ก.พ.50

       .....ชาวบ้านเขาเอือมระอากับพวกโจรใจตุ๊ดคอยลอบกัดชาวบ้าน สร้างความวุ่นวาย ถ่วงความเจริญขนาดไหน.....

        การจับกุมครั้งนี้ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ช่วยเป็นหูเป็นตา นำไปสู่การจับกุม "โจรใจบาป" ฆ่าครู ฆ่าคนในครั้งนี้ด้วยครับ.....

        รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้ (27 ต.ค.) หน่วยขกท.สน.จชต.(ชป.สลาตัน) ได้นำกำลังทหารพราน ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย บ้านดารุสสลาม ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จนสามารถจับกุมตัว นายอาหามะ กาเจ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาคดีจับครู ร.ร.บ้านกูจิงลือปะ ซึ่งจับครูจูหลิง ปงกันมูลเป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49

121


           นอกจากนี้ยังมีคดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51

******************



         วันนี้ 28 ต.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.56 ชาวบ้านในพื้นที่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพบความเคลื่อนไหวของนายมะยีดิง จารู อายุ 29 ปี ผู้ก่อการร้ายระดับปฏิบัติการ เครือข่าย อ.ยะรัง ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี คดีใช้อาวุธสงคราม ยิง ด.ต.ภูฤทธิ์ วันทอง เมื่อ 12 ก.พ.50 

        ผลการปิดล้อมตรวจค้น ไม่พบตัวนายมะยีดิง จารู แต่สามารถควบคุมตัว นายอาหามะ กาเจ อายุ 34 ปี หัวหน้าชุดอาร์เคเค ซึ่งมีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 2 หมาย 1. คดีจับครู รร.บ้านกูจิงรือป๊ะ (ครูจูหลิง) เป็นตัวประกัน เมื่อ 19 พ.ค.49 2. คดีใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่บนรถไฟขบวน 454 เป็นเหตุให้ จนท.ตร.เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิตจำนวน 3 คน เมื่อ 21 มิ.ย. 51
http://narater2010.blogspot.com/

ถอดรหัสวิกฤติ กลุ่มเคลื่อนไหวจว.ชายแดนใต้ สัญญาณ “ล่มสลาย” บนความระส่ำระส่ายไร้เอกภาพ!!

สัญญาณ “ล่มสลาย” บนความระส่ำระส่ายไร้เอกภาพ !!


           เพราะอาจจะกำลังสับสนกับสถานการณ์และแรงกดดันจากหลายด้าน โดยเฉพาะบนเวทีการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย ที่ประเทศมาเลเซียเลยทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มแสดงออกถึงของความไร้เอกภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญนำไปสู่ความระส่ำระส่าย ตั้งแต่ระดับนำ ไปจนถึงระดับปฏิบัติการ

          บวกกับแรงกดดันจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทั้งบุกจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว ตามโพยที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งจับเป็นและจับตาย เพื่อป้องปรามไม่ให้ขบวนการเคลื่อนไหว กลายเป็น “ขบวนการกองโจรไร้สังกัด” ตั้งวงสร้างอำนาจในแต่ละเขตปกครองแบบของใครของมัน

          สะท้อนภาพความ “ระส่ำ” จากกรณี ทหาร ฉก.ปัตตานี ทหารพรานที่ 41 ตำรวจ ศชต.ปิดล้อมและวิสามัญ “อับดุลรอฮิง ดาอีซอ” หรือ “เปเล่ดำ” พร้อมพวกรวม 4 ศพ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา เหตุเกิดที่ บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ที่กลายเป็นประเด็นให้สื่อฯ และเครือข่าย “วิชาการ” ส่วนหนึ่ง ออกมาโจมตีถึง “ปฏิบัติการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเกินกว่าเหตุหรือไม่?” ทั้ง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตในปฏิบัติการครั้งนั้นถึงสองนาย และหนึ่งในนั้นเป็นนายตำรวจระดับชั้นยศพันตำรวจโท

           ซึ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับ “ปฏิบัติการเกินกว่าเหตุ” เป็นจุดอ่อนสำคัญในการ “จูงใจมวลชน”ที่กำลังเริ่มจะจุดติดและกลายเป็นจุดสนใจ แต่จู่ ๆ ไม่กี่วันหลังจากนั้นในวันที่ 19 ตุลาคม กลับมี “สื่อฯ” ที่เข้าไปทำข่าววางระเบิดในพื้นที่หมู่บ้านฮูลูปาเระ หมู่ 1 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บถึง 5 ราย

         พร้อม ๆ กับ มีคำเตือนจากกลุ่มเคลื่อนไหวออกมาข่มขู่สื่อ ฯ จากกลุ่มเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสื่อฯ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตกเป็นเป้าหมายหากอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่รัฐ

         สวนทางสร้างข่าวพุ่งปากกระบอกปืนเข้าหาสื่อฯ ซึ่งไม่ต่างจากการทุบหม่อข้าวตัวเอง เพราะทุกปฏิบัติการของกลุ่มเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ปฏิเสธเรื่องของการสร้างพื้นที่ข่าวได้ยากยิ่ง

        ทั้งหมดกลายเป็น “ปฏิบัติการสวนทางน้ำของกลุ่มขบวนการ” กับการพุ่งเป้าเข้าชนสื่อฯ เต็มๆ ที่กลายเรื่อง “สร้างดาวคนละดวง” และเป็นภาพสะท้อนความไร้เอกภาพที่ชัดเจนที่สุดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ณ ห้วงเวลานี้

         นอกจากปฏิบัติการที่ดูเหมือนจะ “ไม่เข้าขา” และบางครั้งถึงกับ “ขัดขากันเอง” ของ แกนกองกำลังในพื้นที่แล้ว สายสัมพันธ์ของเครือข่ายในแต่ละขบวนการ ที่ชัดเจนว่าเป็นอีกหนึ่งใน “จุดแยกสำคัญ” ที่แสดงให้เห็นถึงภาพของ “ความระส่ำระส่ายที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน

         กับท่าทีของ “ขบวนการพูโล” ที่หลายฝ่ายกำลังตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับบทบาท และท่าที ที่ดูเหมือนกำลังจะ “ตกรถไฟขบวนสันติภาพ” ออกมาชิงแถลงข่าวถึงเป้าหมายแห่งภารกิจ และความสัมพันธ์กับกลุ่ม บีอาร์เอ็น โดยระบุแสดงตนให้เห็นว่า เป็นผู้กอบกู้เอกราช ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และไม่ได้มุ่งสังหารเป้าหมายประชาชนพลเรือน ร้ายแรงไปถึงการสั่งห้ามไม่ให้สมาชิกของขบวนการพูโล ในพื้นที่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของแนวร่วมอาร์เคเค ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธในสังกัด กลุ่มบีอาร์เอ็น ในพื้นที่อย่างเด็ดขาด

         ขณะที่ท่าทีของกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึง “สถานะของพูโล” ในสายตาแกนการเมือง (บางคน) ที่กำลังง่วนอยู่กับเงื่อนไขบนโต๊ะเจรจากับรัฐบาลไทย กับการปรามาสและ “ไม่ให้ราคา”

         บนภาพความสัมพันธ์ที่แตกร้าวของขบวนการเคลื่อนไหว กับการก้าวไปคนละเส้นทาง รวมถึงในหลายๆ พื้นที่ ซึ่งมีกระแสข่าวถึงกับ “มีการขีดเส้นแบ่งเขตเคลื่อนไหวกันอย่างชัดเจน”  ตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ใครพื้นที่มัน ไม่เว้นแม่แต่ระดับแกนการทหารในขบวนการเดียวกัน!!

         กับปฏิบัติการที่เริ่มสะเปะสะปะ ประสานตั้งตัวกันไม่ติด ทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งเริ่มถอยออกห่างไปที่ละก้าว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ชนวนแห่งการ “ชิงพื้นที่ด้วยความรุนแรงในอนาคต”

            นอกจากนี้ ยังมี “กลุ่มแจ้งเกิด” กลุ่มใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง อย่าง กลุ่มนักศึกษาในนามสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ที่ “ชิงธงนำ” จัดกิจกรรมในช่วงครบรอบ 9 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยเน้นให้เห็นภาพ “การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์” เสมือนหนึ่งจะเย้ยให้กับ “ความรุนแรง” ทีเกิดขึ้นเกือบทุกปีที่ครบรอบเหตุการณ์ที่ตากใบ กลายเป็น “คลื่นลูกใหม่” แห่งการเคลื่อนไหวในแบบสันติวิธีที่มวลชนเองก็เริ่มหันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะคลื่นลูกใหม่ สะท้อนภาพแห่งสันติวิธี จากพลังของ นักศึกษาและภาคประชาสังคมที่มีรูปธรรมชัดเจนที่จับต้องได้ รวมถึงได้รับความสนใจจากฝ่ายรัฐบาล โดยตรง

          โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันวันคลื่นลูกใหม่ที่เน้นการต่อสู้แบบสันติวิธี อาจเป็นความหวังเป็นที่พึ่งให้กับมวลชน ได้มากกว่ากลุ่มเคลื่อนไหวเดิมที่เน้นความรุนแรง และกำลังอยู่ภาวะ “ระส่ำระส่าย”

         ทั้งการตั้งข้อสังเกตถึง ความไร้เอกภาพของ “กลุ่มเคลื่อนไหวในพื้นที่” และ “สายสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน” ของแต่ละขบวนการ จนเข้าสู่ภาวะ “ระส่ำระส่าย” นำไปสู่การถอดรหัสครั้งใหม่ถึงอนาคต ของพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้รวมถึงผลลัพท์แห่งการเจรจาสันติภาพที่กำลังดำเนินต่อไป ท่ามกลางรอยร้าวลึกในสายสัมพันธ์ของทุกองคาพยพในกลุ่มเคลื่อนไหว ตั้งแต่ ระดับเครือข่าย รวมถึงในแต่ละระดับชั้น อันเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

          เพราะแรงกระเพื่อมของกลุ่มเคลื่อนไหว ที่สั่นสะเทือนไปถึงรากในครั้งนี้ อาจเป็นช่องว่างสำคัญในปฏิบัติการกวาดล้างของภาครัฐ ทั้งโดยวิธีทางการทหาร และวิธีแบบพลเรือน !!

          ทั้งปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้น จับเป็น และจับตาย รวมถึงการเปิดประตูสันติวิธี “พาคนกลับบ้าน” ซึ่งล้วนแล้วแต่ “คืบหน้า” จาก “แรงกระเพื่อม” ในครั้งนี้ ล้วนคืนกลับมา เป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่มีนัยยะไปถึงความได้เปรียบของรัฐบาลไทยบนโต๊ะเจรจาสันติภาพ ครั้งที่จะถึงนี้และครั้งต่อๆ ไป

           จากเสียงสะท้อนของ พลโท พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ที่ยอมรับและออกมาเปิดเผยถึงสภาพการณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ว่า “สัญญาณที่จะเกิดปัญหาความรุนแรงในช่วงนี้ (ครบรอบ 9 ปี เหตุการณ์ตากใบ) ค่อนข้างเบาบาง เพราะหน่วยปฏิบัติการก่อเหตุถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินการตอบโต้ ปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมได้ ทำให้กองกำลังส่วนนี้เกิดปัญหาและมีความเคลื่อนไหวน้อยลง และแนวโน้มของสถานกาณ์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถควบคุมได้”

          และทั้งหมดนี้คือความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ที่จะละสายตาไม่ได้ และกำลังจะทวีความสำคัญกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่อาจจะนำไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพในอนาคตได้เร็วกว่าที่คาดคิดไว้ พร้อมๆ กับการสูญสลายกลายเป็น “กองโจร” รักษาพื้นที่ของกลุ่มเคลื่อนไหว จนกลายเป็น “เป้าย่อย” ให้เจ้าหน้ารัฐปราบปรามกวาดล้างได้สำเร็จในที่สุด ...และนำไปสู่ “ความล่มสลาย” ของกลุ่มเคลื่อนไหวทั้งองคาพยพ
http://narater2010.blogspot.com/

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน


           กระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่ความขัดแย้งในทุกแห่งทั่วโลกที่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งลงจนถึงขั้นการเกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการขับเคลื่อนกระบวนการจนประสบความสำเร็จนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากองค์กรที่ไม่ใช่รัฐหรือที่รู้จักกันในนาม NGOs ซึ่งมีบทบาทสำคัญควบคู่ไปกับความพยายามแสวงข้อตกลงร่วมกันของคู่ขัดแย้ง และอาจต้องใช้เวลามากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่มุ่งหวังเพียงสิ่งเดียวกันคือให้เกิดความสงบสุขของพื้นที่เป็นสำคัญ และส่วนใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วโลกจะมีทิศทางคล้ายคลึงกัน ยกเว้นดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ยังมีเงื่อนงำทับซ้อนด้วยเหตุผลหลายประการโดยเฉพาะ “ผลประโยชน์”

         กว่า 300 องค์กรภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เกือบทั้งหมดได้ใช้ความพยายามสรรสร้างการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในด้านต่าง ๆ ตามแต่บทบาทขององค์กรนั้น ๆ แต่ขณะเดียวกันการขับเคลื่อนงานคงไม่สามารถดำเนินไปได้หากขาดซึ่งปัจจัยสำคัญคืองบประมาณ และแน่นอนว่าแต่ละองค์กรก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณเพื่อทำตามวัตถุประสงค์ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ เงินทั้งหมดไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่องานเพียงอย่างเดียวแต่ต้องดูแลปากท้องผู้ที่อ้างว่าทำงานเพื่อสังคมด้วยและด้วยเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยทำให้บางองค์กรมีการแก่งแย่งกันภายในหรือแสดงอาการตะกละตะกรามจนออกนอกหน้า

         และนี่จึงเป็นแรงจูงใจให้กลุ่มคนที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน เพื่อสังคม ต้องพยายามหางบประมาณมาเพื่อตนเองและพวกพ้องให้มากที่สุด

          ช่วงที่ผ่านมามีองค์กรหนึ่งที่ออกอาการข้างต้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยบทบาทบังหน้าในรูปของความพยายามขับเคลื่อนงานด้านการเมืองโดยใช้ชื่อองค์กรว่า “สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี” (PerMAS) และ “สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา”(Lempar) ภายใต้การกุมบังเหียนของนักวิชาการที่ส่วนหนึ่งเป็นนักวิชาการที่มีบทบาทนำในการร่วมเป็นคณะพูดคุยสันติภาพของ สมช. บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในปัตตานีและองค์กรภาคประชาสังคมอีกสองสามองค์กรที่ร่วมกันสวมหน้ากากนักบุญแอบอ้างบิดเบือนและทำลายความพยายามในการสร้างความเข้าใจของภาครัฐโดยใช้เงื่อนไขความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมจัดกิจกรรมในลักษณะเวทีเสวนา ปลุกเร้าให้ประชาชนเข้าใจว่ากำลังอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงและต้องแยกตัวเป็นเอกราช
          แล้วสรุปเอาว่าเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่พร้อมทั้งใช้สื่อของกลุ่มตนเองป่าวประกาศซึ่งแน่นอนว่าเพื่อสร้างผลงานให้สปอนเซอร์ยอมรับเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนต่อไป


           ข้อมูลด้านหนึ่งที่ผู้ที่เพิ่งจะรับทราบโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมทราบแล้วจะต้องตกใจเพราะองค์กรที่เป็นผู้สนับสนุนของคนกลุ่มนี้หนึ่งในหลายองค์กรคือ สำนักงานพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ หรือยูเสด (USAID) ซึ่งในความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมแล้วถือว่า อเมริกาเป็นศัตรูกับมุสลิมทั่วโลก แต่คนกลุ่มนี้กลับใช้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของพี่น้องเรามาแอบอ้างเพื่อรับผลประโยชน์อย่างหน้าตาเฉย

          บางทีอาจอนุมานได้ว่าเงินนั้นสำคัญกว่าพี่น้อง การทรยศต่ออิสลามด้วยการรับเงินปีละหลายสิบล้านสำคัญกว่าอุดมการณ์ที่คนกลุ่มนี้แอบอ้าง ชาวบ้านซึ่งถูกเกณฑ์มาร่วมฟังครั้งละเพียงร้อยกว่าคนที่ได้รับเศษเงินน้อยนิดจึงกลายเป็นเครื่องมือที่มองในทางธุรกิจแล้วนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล



        ภาพการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยของคนกลุ่มนี้มีให้เห็นอยู่เนื่องๆ การเดินทางไปพักผ่อนที่อเมริกาเป็นว่าเล่นของสมาชิกกลุ่ม หรือการเดินทางไปอุมเราะห์ที่ซาอุฯ ของสมาชิกทั้งกลุ่มซึ่งต้องใช้เงินประมาณหนึ่งแสนบาทต่อคน การใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมีรถยนต์หรูใช้รวมทั้งกินอาหารตามร้านหรูๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเอาเงินมาจากไหน

         สมาชิกระดับแกนนำอย่างนายอะเต๊ฟ โซ๊ะโก ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับยาเสพติดตั้งแต่ตัวเองไปจนถึงพ่อตาซึ่งกำลังติดคุกอยู่ที่เรือนจำเขาบิน และพี่ชายที่เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงจนต้องหลบหนีไปอยู่มาเลเซีย จนกลุ่มต้องให้ลดบทบาทลงเพราะอาจทำให้เสียภาพลักษณ์พร้อมกับดันนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ขึ้นมาแทน ซึ่งโดยภาพพจน์แล้วอาจดูดีกว่า แต่ในเนื้อแท้แล้วใครก็รู้ถึงความพยายามเป็นคางคกขึ้นวอของบุคคลนี้ดี ทำให้วันนี้เวทีเสวนาของคนกลุ่มนี้เริ่มเสื่อมความศรัทธาลงด้วยเห็นถึงธาตุแท้ที่แอบแฝง

         หนังสือ “Patani Merdeka บนท้องถนน” ดูจะเป็นอีกธุรกิจที่มักแฝงอยู่ในอุดมการณ์จอมปลอมนอกเหนือจากการขายเสื้อ ขายสติกเกอร์ ขายธงและอื่นๆ ตามเวทีที่ตะเวนออกไปตามสถานที่ต่างๆ แล้ว วลี เอกราชบนท้องถนนซึ่งเป็นการต่อสู้ตามวิถีประชาธิปไตยที่ควรยกย่อง
          แต่สำหรับคนกลุ่มนี้ด้วยพฤติกรรม น่ารังเกียจที่ปิดบังอย่างไรก็ไม่มิดคงเป็นได้เพียง “ขอทานบนท้องถนน” ที่แอบอ้างเอาพี่น้องประชาชนมาหากิน...ดีที่สุดคงได้เท่านั้น


น่าสงสารประชาชนจริงๆ 


ซอเก๊าะ นิรนาม
http://narater2010.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลูกน้องโอลันล้าโขมยถังแก๊ส

ลูกน้องโอลันล้าโขมยถังแก๊ส



ยะลา - สภ.ยะรม อ.เบตง จ.ยะลา แจ้งเตือนช่วงเดือนตุลาคมเฝ้าระวังถังแก๊ส หวั่นโจรใต้ทำระเบิดครบรอบ 9 ปีตากใบ หลัง จนท.รปภ.โรงเรียนบ้านนาข่อยพบว่า ถังแก๊สขนาด 1.5 กก. ในห้องครัวหายไป 2 ถัง พร้อมร่องรอยการงัดแงะ ในวันนี้ (26 ต.ค.)


       
       เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (26 ต.ค.) ร.ต.ท.จรัญ พรหมสุวรรณ ร้อยเวร สภ.ยะรม อ.เบตง จ.ยะลา รับแจ้งจาก นายอายีมิ สนุง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโรงเรียนบ้านนาข่อย เลขที่ 145/1 หมู่ที่ 1 ซอยบือนา ถนนรัตนกิจ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ว่า หลังจากตรวจความเรียบร้อยภายในโรงเรียนเมื่อช่วงสายพบว่า ที่ห้องครัวมีร่องรอยงัดแงะจึงได้เปิดเข้าไปดูพบว่าถังแก๊สหุงต้มขนาด 15 ก.ก. จำนวน 2 ถัง ได้หายไป จึงได้แจ้ง นายอนุพันธ์ ตันสกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนทราบ หลังจากนั้นจึงได้เดินทางมาตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่


       
       จากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 2 คน ได้เข้ามาภายในโรงเรียนเมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 25 ต.ค. และได้ทำการงัดประตูห้องครัวเข้าไปนำถังแก๊ส จำนวน 2 ถัง ออกมาแล้วได้พยายามงัดประตูห้องสหกรณ์แต่คาดว่าขณะที่ทำการงัดแงะอยู่อาจจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความปลอดภัยในช่วงดึก เนื่องจากพบคีมตัดเหล็กวางไว้หน้าห้องสหกรณ์ และที่ประตูห้องมีร่องรอยงัดแงะแต่ไม่ทันได้เข้าไปอาจจะมีคนเข้ามาก่อน แต่อย่างไรก็ดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เรียกกลุ่มวัยรุ่นที่เคยเข้ามาสอบสวนแต่ก็ไม่ตัดประเด็นด้านความมั่นคง


       
       ขณะที่ นายอายีมิ สนุง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เชื่อว่า ถังแก๊ส 2 ลูกที่หายไปดังกล่าวอาจจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นแถวโรงเรียน เนื่องจากก่อนหน้านี้ พบกลุ่มวัยรุ่นเข้ามานั่งจับกลุ่มบริเวณโรงเรียนหลายครั้ง และได้ให้ออกไปจากโรงเรียน เนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ และได้มีการแจ้งเตือนในห้วงเดือนตุลาคมนี้ให้มีการเฝ้าระวังคนร้ายที่อาจจะขโมยถังแก๊สหุงต้มตามโรงเรียน และของชาวบ้านที่ประกอบอาชีพค้าขายอาหารตามสั่งในหลายพื้นที่เพื่อใช้ในการประกอบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ที่เตรียมนำมาใช้ก่อเหตุร้ายดักสังหารเจ้าหน้าที่ในช่วงเปิดเทอม ในห้วงเวลาครบรอบ 9 ปี ตากใบ


       
       ด้านแหล่งข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า สถานการณ์ในห้วงเดือนตุลาคมเป็นห้วงที่ต้องเฝ้าระวังการก่อเหตุความรุนแรงทุกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะเดียวกัน แต่ยังคงปรากฏความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางไปร่วมประชุมกับแกนนำระดับสูงในพื้นที่ประเทศมาเลเซียหลายครั้ง สาระสำคัญให้เตรียมก่อเหตุสร้างความรุนแรงในห้วงเดือนตุลาคมนี้

http://narater2010.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อิญาบ ไม่ใช่อิสลาม

อิญาบ ไม่ใช่อิสลาม

           “ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เป็นประเพณีการคลุมศีรษะ ไม่ใช่เป็น “หลักการของอิสลาม” และไม่มีหลักฐานอ้างอิงหรือสนับสนุนให้ต้องคลุมฮิญาบที่ได้ระบุในคัมภีร์ “อัลกุรอาน” แม้แต่น้อย ดังนั้น คำว่า“ฮิญาบ” จึงไม่ใช่ข้อบังคับการแต่งตัวของผู้หญิงมุสลิม

             คำว่า “ฮิญาบ” ในอัลกุรอานมีปรากฏอยู่ ๗ ครั้ง มีจำนวน ๕ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบ” มีอยู่ ๒ ครั้งที่ใช้คำว่า “ฮิญาบัน” จากอายาต ต่อไปนี้;

           วัลยัดริบนะ บิคุมุริฮินนะ อะลายุยูบิฮินนะ ว่า คำ“ฮิญาบ” ที่พบในอายัตต์เหล่านั้นไม่มีคำใดในอัลกุรอานที่ใช้ในความหมายของ “ฮิญาบ” ที่หมายถึงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิมที่ใช้บังคับให้มุสลิมมะห์ใช้กันกันอยู่ในทุกวันนี้เลย แสดงว่าพระองอัลลอฮ์ ไม่ได้ให้บังคับใช้ “ฮิญาบ” เป็นข้อบังคับในการแต่งตัวของ “มุสลิมมะห์” ดังที่บรรดาท่านอิหม่ามทั้งหลายอ้างไว้

             คำว่า "ฮิญาบ" เป็นคำที่มุสลิมะห์ทั้งหลายใช้เรียกผ้าคลุมศีรษะของเขา ทั้งนี้อาจจะรวมทั้งผ้าที่คลุมทั้งใบหน้าเว้นไว้แต่นัยน์ตาทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว คำว่า “ฮิญาบ” ในภาษาอรับอาจจะแปลในความหมายของ “ผ้าคลุมใบหน้าตั้งแต่ส่วนจมูกถึงปลายคาง ส่วนความหมายอื่นๆอาจจะหมายถึง ม่าน, การคลุม, เสื้อคลุมไม่มีแขน, ฝากั้นชั่วคราว, การแบ่งส่วน, ผ้าม่านที่ตกแต่งประตูหน้าต่าง และเครื่องปกคลุมอื่นๆ


“ฮิญาบ” หรือผ้าคลุมหน้านี้มีมานานก่อนศาสนาอิสลาม มีมาตั้งแต่เริ่มยุคของความศิวิไลซ์ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรก และระยะหลังๆ ของศิลปะกรีก และโรมัน ได้มีหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในเครื่องปั้นดินเผา, รูปภาพและศิลปต่างๆ รวมทั้ง การจดบันทึกของกฎหมายในสมัยนั้น แสดงให้เห็นว่าประเพณีของกรีกและโรมัน ใช้ผ้าคลุมศีรษะ “ฮิญาบ” เป็นเครื่องแต่งตัวในการประกอบกิจในทางศาสนา 

         ดังนั้นประเพณีการแต่งตัวของผู้ชายที่ใช้ผ้าคลุมศีรษะ และผู้หญิงใช้ “ฮิญาบ” นั้น ก็ถูกนำเข้ามาใช้ในชาวยิวซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ใน หนังสือที่ใช้อธิบายประกอบคัมภีร์ของชาวยิว (เทียบเท่ากับหนังสือฮาดีษของยิว) และคริสต์เตียนก็นำ “ฮิญาบ” เข้ามาเป็นประเพณีทางศาสนาเช่นกัน

         มีผู้นำศาสนา “ยิว”กล่าวว่า “ เราไม่เคยเห็นคำสอนในตอราฮ์ ที่พระเจ้าบังคับให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ แต่เราทราบว่ามันเป็นประเพณีต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับพันๆปี” นี่แสดงให้เห็นว่า “พระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้หญิงใช้ “ฮิญาบ” แต่การแต่งตัวของหญิงที่ใส่ “ฮิญาบ” นั้น เป็นประเพณีซึ่งไม่ได้อยู่ในหลักการของศาสนาอิสลาม

        ในขนบธรรมเนียมของชาวยิว จะเห็นว่าการคลุมศีรษะของผู้หญิงยิวรวมทั้งผู้ชายด้วยนั้น เนื่องจากถูกบังคับจากผู้นำทางศาสนายิว จะสังเกตเห็นว่า ในปัจจุบันสุภาพสตรียิว ก็ยังใช้ “ฮิญาบ” เป็นส่วนใหญ่แทบทุกโอกาส ในโบสถ์ในการพิธีการแต่งงาน และในพิธีการทางศาสนา

         ในอเมริกา ตั้งแต่สมัย ๖๐ ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงยังนิยมใช้ “ฮิญาบ” ในเวลาไปโบสถ์ และพวกศาสนาหรือชาวอามิช อเมริกันก็ใช้ “ฮิญาบ” อยู่ในทุกๆวันนี้ซึ่งจะใช้อยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบันผู้หญิงคริสเตียนในอเมริกา ใช้ “ฮิญาบ” ในเวลาไปโบสถ์แต่สำหรับ แคโธริคคริสเตียน “ชี” จะใช้ “ฮิญาบ” อยู่ตลอดเวลา 

          ที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าในตะวันออกกลางชาวชาติเชื้อ อาหรับจะเป็นยิว, คริสเตียน หรือมุสลิมก็ตาม จะใส่“ฮิญาบ” เหมือนกันหมด เพราะว่ามันเป็นประเพณีของชนเชื้อชาวอาหรับมาเป็นเวลานับพันๆ ปี 

          ดังนั้นสำหรับ มุสลิมที่ใส่“ฮิญาบ” ไม่ใช่เพราะ “อิสลาม” แต่เพราะว่าเป็นประเพณีของชาวอาหรับทั้งหญิงและชาย ในตอนเหนือของอาฟริกาบางเผ่าที่เป็นมุสลิม ผู้ชายใส่“ฮิญาบ” แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เราจะเห็นว่าประเพณีการใส่“ฮิญาบ” กลับเพศกัน ทั้งนี้เพราะ “ฮิญาบ” ไม่ใช่ “อิสลาม” เราจะเห็นว่าแม่ชีในคริสต์ศาสนาบางนิกายคลุม “ฮิญาบ” เช่นเดียวกับหญิงชาวอรับทั้งมุสลิม และไม่ใช่มุสลิมในตะวันออกกลางเช่นกัน

           ทั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า “ฮิญาบ” เป็นเครื่องแต่งกายตามประเพณีของคนเชื้อชาติอาหรับไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิสลาม หรือศาสนาเลย และในบางภูมิภาคของโลกเรา ในบางประเทศ ผู้ชายเป็นผู้ที่ใส่ “ฮิญาบ” ในขณะเดียวกันประเทศในภาคตะวันออกกลางผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ “ฮิญาบ” แล้วทำไมสุภาพสตรีมุสลิมไทยจะต้องใส่ “ฮิญาบ” ในเมื่อมุสลิมไทยไม่ใช่ อาหรับ และ “ฮิญาบ” ไม่เกี่ยวกับอิสลามเลย

        ขอยกตัวอย่างประเทศ “จอร์แดน” ประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และผู้นำประเทศก็เป็นมุสลิมเช่นกัน สุภาพสตรีมุสลิมจะสวม “ฮิญาบ” หรือไม่สวมก็ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับในเรื่องฮิญาบ สตรีทุกๆคนมีสิทธิเท่าเทียมกับชายทั้งในทางศาสนา และทางสังคม

         หลังจากท่านศาสดามูฮัมมัดสิ้นชีพ ผู้จดบันทึก “หนังสือฮาดีษ” ได้รวมเอา“ฮิญาบ” ซึ่งเป็นประเพณี่ดึกดำบรรพ์ มารวมไว้และอ้างว่าเป็นคำสั่งของท่านรอซูลล์ ทั้งๆ ที่เอาตัวอย่างมาจาก ยิว และคริสเตียน ทั้งนี้เพราะเรื่องการสวมใส่ “ฮิญาบ” ไม่ได้มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน

         การเอาประเภณีปลอมปนเข้าไปอยู่ในคัมภรีร์อัลกุรอานเป็นการสร้างภาคีกับอัลลอฮ์
        สำหรับมุสลิม คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าสุภาพสตรีมุสลิม แต่งกายอย่างไร สำหรับ “มุสลิมมะห์ผู้มีศรัทธาในอัลลอฮ์ และอิสลาม” การกำหนดสร้างและแปลกปลอมสิ่งใดเช่น นำเอา “ฮิญาบ” (ผ้าคลุมหน้า, คลุมศีรษะ) เข้ามาใช้เป็นหลักศรัทธา “ในอิสลาม” (การยอมจำนนและสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์) ซึ่งไม่มีบัญญัติอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ถือว่าเป็นการสร้างภาคีอย่างหนึ่ง ซึ่งขัดต่อหลักการของอิสลาม

          การเอาประเพณีปลอมปนเข้าไปอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานเป็นการสร้างภาคีกับอัลลอฮ์ เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการอื่น แล้วอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของบัญญัติของอัลลอฮ์ ก็มีความผิดเท่าๆ กับผู้ที่สร้างภาคีเช่นกัน ถ้าเขาปฏิบัติเช่นนั้นไปตลอดชีวิตเขา การเพิกเฉยต่อบัญญัติของพระองค์อัลลอฮ์ในอัลกุรอาน แต่กลับไปตาม กฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งๆ ที่ไม่มีในอัลกุรอานเป็นการขาดความเคารพยำเกรงต่อพระองอัลลอฮ์ และท่านศาสดามูฮัมมัดที่เห็นได้อย่างชัดเจน

           ฉัน (มูฮัมมัด) ยังจะต้องแสวงหาผู้อื่นอีกหรือนอกจากอัลลอฮ์ เพื่อเป็นผู้ตัดสิน, เมื่อพระองค์ได้ประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้แก่พวกท่าน, ที่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดสมบูรณ์? ผู้ที่เรา (อัลลอฮ์) ได้ให้คัมภีร์ แก่พวกเขามาก่อน รู้ดีว่าคัมภีร์นั้นถูกส่งมาจากพระเจ้า ของพวกเจ้าด้วยความแท้จริง, ดังนั้น(โอ มูฮัมมัด) เจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ของผู้ที่มีความเคลือบแคลงใจเลย และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างขึ้นดอกหรือ ? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้ว และยังมีฮาดีษ อื่นใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันนอกจากอัล-กุรอาน(7:185)

           พระองค์อัลลอฮ์ ทรงเตือนให้ผู้ที่มีศรัทธาต่อพระองค์ที่แท้จริงให้แน่ใจว่า เขาจะไม่หลงตกไปในหลุมพรางของ “พวกสร้างภาคีให้ต่อพระเจ้า” โดยยึดถือและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ “นักปราชญ์ของอิสลาม และท่านอีหม่าม” ต่างๆ แทนที่จะเป็นคำสั่งของอัลลอฮ์ จงดูจากบัญญัติ (9:31) 

            “พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้า, อื่นจากอัลลอฮ์ และยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าด้วย ทั้งๆ ที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อเคารพสักการะผู้ทีสมควรได้รับการเคารพสักการะ, แต่เพียงองค์เดียว ซึ่งไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น” (9:31)

           “เจ้าต้องไม่ยอมรับข่าวสารอันใด เว้นเสียแต่ว่าเจ้าได้ตรวจสอบด้วยตัวของเจ้าเอง, เพราะเราได้ให้แก่เจ้า การได้ยิน, การมองเห็น, และความคิด และเจ้าเองเท่านั้น ที่มีความรับผิดชอบในการใช้สิ่งเหล่านั้น” (17:36)

ปัญหาฮิญาบ เป็นปัญหาทางการเมืองแอบบแฝง

         ปัญหาฮิญาบถ้ามองดูอย่างผิวเผินแล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุผลทางศาสนา แต่ถ้ามองดูในสังคมของประเทศใกล้เคียง (อินโดนีเซีย, ฟิลลิปปิน ฯลฯ) มุสลิมไทยเราถูกอิทธิพลของประเทศในกลุ่มอาหรับ เอาหลักการที่ไม่ใช่หลักการของศาสนามาสอดแทรก เพื่อที่จะให้มุสลิมไทย แตกต่างไปจากประชาชนในสังคมส่วนใหญ่ ทำให้ผู้นำทางศาสนา สามารถที่จะชักชวน หรือนำกลุ่มมุสลิมทำการต่อต้านรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าไม่เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ

           ไม่อยากให้มุสลิมไทย ตกเป็นเครื่องมือของผู้หวังผลทางการเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของมุสลิมเป็นภาพของบุคคลที่ใช้ความรุนแรง เป็นสังคมที่มีผู้ก่อการร้ายแอบแฝงอยู่
http://narater2010.blogspot.com/

์NGO & ศูนย์ทำลายสันติสุขชายแดนใต้

์NGO & ศูนย์ทำลายสันติสุขชายแดนใต้

             ประชาชนคนในพื้นที่ต่อต้านการจัดเสวนาของ BICARA
ล่าสุด ตูแวแมแง จะจัดที่มัสยิดกลางยะลา แต่ถูกต่อต้าน ขนาดคนในศาสนาเดียวกันยังต่อต้าน ต้องไปจัดที่อื่นอย่างกะทันหัน  นักเรียน นักศึกษา อย่าได้หลงเชื่อ ตกเป็นเครื่องมือ ของคนพวกนี้ ...คนมุสลิมด้วยกัน ยังต่อต้าน เพราะ มันหลอกลวงทำมุสลิมเสื่อมเสีย...

Photo: ประชาชนคนในพื้นที่ต่อต้านการจัดเสวนาของ BICARA 

ล่าสุด ตูแวแมแง จะจัดที่มัสยิดกลางยะลา แต่ถูกต่อต้าน ขนาดคนในศาสนาเดียวกันยังต่อต้าน ต้องไปจัดที่อื่นอย่างกะทันหัน

นักเรียน นักศึกษา อย่าได้หลงเชื่อ ตกเป็นเครื่องมือ ของคนพวกนี้

...คนมุสลิมด้วยกัน ยังต่อต้าน เพราะ มันหลอกลวงทำมุสลิมเสื่อมเสีย...

เสวนา ขายหนังสือ!!!!


เสวนา ขายหนังสือ!!!!
            แฉ...จากคนวงใน กลุ่ม PERMAS กลุ่มนักศึกษาที่ถูกจัดตั้งขึ้น เป็นเครื่องมือในการ เคลื่อนไหว สนับสนุน ช่วยโจรใต้  หากท่านใดยังไม่รู้จัก PERMAS ลองดูในลิ้งนี้ แล้วท่านจะเข้าใจ...
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=149494258570381&set=a.139497899570017.
1073741826.139096126276861&type=1&theater



Photo: แฉ...จากคนวงใน กลุ่ม PERMAS กลุ่มนักศึกษาที่ถูกจัดตั้งขึ้น เป็นเครื่องมือในการ เคลื่อนไหว สนับสนุน ช่วยโจรใต้

หากท่านใดยังไม่รู้จัก PERMAS ลองดูในลิ้งนี้ แล้วท่านจะเข้าใจ...
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=149494258570381&set=a.139497899570017.1073741826.139096126276861&type=1&theater

Photo: แผนชั่ว ขูดภาษี...จากศรัทธา

Photo: นักวิชาการช่วยโจร เรียกร้องให้โจร เดือดร้อนเสมอที่โจรตาย 

แต่กับ ชาวบ้าน ประชาชน ทั้งเด็กและผู้หญิง บ่อยครั้งที่ตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายจากน้ำมือของโจรพวกนี้ ไม่เคยมองเห็น ไม่สนใจ 

....นักวิชาการ มือเปื้อนเลือด....
      deepsouthwatch

ดูกันชัดๆ

....อุตสาหกกรรมสันติภาพบนหลังคน....

  • งบประมาณ = ค้ายาเสพติด ของเถื่อน ปล้นฆ่า ขูดรีดชาวบ้าน งบจากต่างชาติ
  • เครื่องมือ = ความรุนแรง สันติภาพที่สวยงามแต่เน่าใน
  • สันติภาพบังหน้า สันติสุขไม่เกิด ประชาชนเดือดร้อน

Photo: ดูกันชัดๆ

....อุตสาหกกรรมสันติภาพบนหลังคน....

งบประมาณ = ค้ายาเสพติด ของเถื่อน ปล้นฆ่า ขูดรีดชาวบ้าน งบจากต่างชาติ

เครื่องมือ = ความรุนแรง สันติภาพที่สวยงามแต่เน่าใน

สันติภาพบังหน้า สันติสุขไม่เกิด ประชาชนเดือดร้อน

Photo

Photo: ชาวบ้านออกมาต่อต้านโจร แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งยกย่องโจรให้เป็นฮีโร่ เปิดเสวนาในกลุ่มตน แอบอ้างว่าเป็นเสียงของประชาชน ต้องการการแบ่งแยก.....

ดูเอาพี่น้อง ดูไม่พอ แชร์ไปเลยก็ได้

เสวนาเติมเชื้อไฟ.........สวนทางความจริง...ประชาชน

Photo: เขตปกครองพิเศษ

แค่ได้ยินคนไทยทั้งประเทศก็คงไม่มีใครเห็นด้วย
แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการอย่างนั้น และแสดงออกอย่างชัดเจน

ไม่รู้ว่าจะพยายามแบ่งแยกทำไม....

ศูนย์ทำลายสันติสุขชายแดนใต้

Photo: ประกาศจาก south dark 

ขอให้ทุกท่านช่วยกันแชร์ รูปนี้อีกครั้งเนื่องจาก รูปนี้ถูกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ร้อนตัว รุมกันแจ้งว่ารูปนี้เป็นสแปม ข้อมูลจึงถูกลบไป

ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์ ความชั่วไม่สามารถปิดกั้นความจริงได้

มันเริ่มมีคนออกมายกย่องโจรแล้ว.......

ช่วยแชร์.....ถ้าไม่อยากเห็น เปเล่ดำ เป็น ฮีโร่ เฉกเช่น มะรอโซ


http://narater2010.blogspot.com/

โจรใต้ยิง M79 โรงพัก ที่ว่าการอำเภอในปัตตานี

โจรใต้ยิง M79 โรงพัก ที่ว่าการอำเภอในปัตตานี


     
   ปัตตานี
- โจรใต้ใช้ปืนยิงเอ็ม 79 ถล่ม สภ.มายอ จ.ปัตตานี และที่ว่าการอำเภอ 2 ลูก หมายสังหารเจ้าหน้าที่ เคราะห์ดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ คาดฝีมือกลุ่มแนวร่วมในพื้นช่วงดึกที่ผ่านมา

           ช่วงดึกวานนี้ (20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดปัตตานี ว่า พ.ต.อ.โพธ สวยสุวรรณ รักษาการ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดและชุดวิทยาการ เข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่ สภ.มายอ และที่ว่าการอำเภอมายอ จำนวน 2 ลูก ลูกแรกพลาดเป้าไปตกบริเวณอาคารละหมาดหลังที่ว่าการอำเภอ และลูกที่ 2 พลาดเป้าไปตกบริเวณบ้านพักนายอำเภอมายอ แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา




           จากการตรวจสอบพบว่า ลูกระเบิดได้ตกอยู่บริเวณผนังอาคารละหมาดอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอมายอ แรงระเบิดทำให้ผนังเป็นรูได้รับความเสียหาย ส่วนอีก 1 จุด ได้ตกอยู่บริเวณเชิงเขาใกล้บ้านพักนายอำเภอไม่มีความเสียหาย เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บพยานหลักฐาน

      สอบสวนทราบว่า ขณะเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในโรงพัก ปรากฏว่ามีคนร้ายไม่ทราบจำนวนลักลอบเดินเข้ามาทางป่าบนเขาด้านหลังที่ว่าการอำเภอมายอ จากนั้นได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงถล่มหมายให้ระเบิดตกใส่โรงพัก และอำเภอเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ แต่พลาดจึงทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เชื่อเป็นฝีมือกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่สร้างสถานการณ์

http://narater2010.blogspot.com/

ส่งกำลังไล่ล่า! “มานุ๊” มือวางระเบิดทหาพรานนราฯ ดับ 2 นาย

ส่งกำลังไล่ล่า! “มานุ๊” มือวางระเบิดทหาพรานนราฯ ดับ 2 นาย



            นราธิวาส
- พบแกนนำโจรใต้ “มานุ๊” ตัวการวางระเบิดทหารพรานตาย 2 นาย จนท.ส่งกำลังไล่ล่าตามพื้นที่เป้าหมาย ส่วนนักข่าวเจ็บ 5 ราย ทุกคนอาการพ้นขีดอันตรายปลอดภัยแล้ว

         วันนี้ (20 ต.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศาลาอเนกประสงค์ วัดบางนรา อ.เมือง จ.นราธิวาส พล.ต.สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล ผบ.ฉก.นราธิวาส ได้เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ อส.ทพ.สุรเดช ขำเกตุ อายุ 31 ปี สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4505 กรมทหารพรานที่ 45 ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารริมถนนในหมู่บ้านฮูรูปาเระ ม.1 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ต.ค.56 ที่ผ่านมา

        โดยพิธีรดน้ำศพจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง จำนวนกว่า 400 นาย ที่ร่วมเดินทางมาวางอาลัย ซึ่งในเบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มอบเงินให้การช่วยเหลือครอบครัว จำนวนกว่า 1 ล้านบาท พร้อมเหรียญบางระจัน โดยในช่วงบ่าย ทางผู้บังคับบัญชาจะเคลื่อนย้ายศพ อส.ทพ.สุรเดช ขึ้นเครื่องบิน ซี 130 กลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหิรัญรูจี แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

        นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังส่งผลทำให้ อส.ทพ.อัสมาน เจ๊อามะ สังกัดเดียวกัน ก็ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ทางญาติได้รับศพไปฝังที่กูโบร์บ้านไอปาเซ ม.8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อช่วงเวลา 10.00 น. ของวันเดียวกันนี้เช่นกัน



       ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น ล่าสุด จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อ.ระแงะ ทราบว่า กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นฝีมือของ “นายมานุ๊ มามะ” ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนี ป.วิอาญา มีความชำนาญในการประกอบระเบิด โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้จัดส่งกำลังติดตามไล่ล่าที่คาดว่ายังแฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ในบ้านพักหลังใดหลังหนึ่งของสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่ อ.ระแงะ

        ส่วนกรณีผู้ได้รับบาดเจ็บโดยแยกเป็นเจ้าหน้าที่ทหารพราน 4 นาย คือ
  • 1.จ.ส.ต.วิชัย รามช่วย 
  • 2.อส.ทพ.วายุคุณ จิตติอารมณ์ 
  • 3.อส.ทพ.มงคล ดีใจ และ 
  • 4.อส.ทพ.มะนูวา วาจิ อาการปลอดภัยแล้ว และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์

        ส่วนผู้สื่อข่าวอีก 5 คนนั้น อาการปลอดภัยแล้วเช่นกัน และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักสุด 3 คน คือ
  • 1.นายมะดารี โต๊ะลาลา ผู้สื่อข่าว AFP แพทย์กำลังผ่าตัดเอาเศษสะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่แผ่นหลังออก 
  • 2.น.ส.มูรนี มามะ ผช.ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ผู้ช่วยผู้สื่อข่าว ผู้จัดการ ASTV แพทย์ได้ผ่าตัดเอาเศษสะเก็ดระเบิดออกจากแผ่นหลังแล้วเช่นกัน แต่ยังเหลืออีกบางส่วนซึ่งลึกแพทย์ต้องดูอาการอีกครั้งว่าผู้ป่วยมีสุขภาพพร้อมที่จะให้แพทย์ผ่าตัดอีกครั้งวันใด และ 
  • 3.นายกรียา โต๊ะตานี ผู้สื่อข่าว TV.7 ซึ่งยังมีอาการปวดศีรษะ เป็นครั้งคราวจากบาดแผลระเบิด 

        ซึ่งล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตัวแทนเลขาธิการ ศอ.บต. นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผวจ.นราธิวาส พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบก.ภ.จ.นราธิวาสและ พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผบ.กรมทหารพรานที่ 45 ได้เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
http://narater2010.blogspot.com/