หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน

จากหนังสือ “Patani Merdeka” ถึงตูแวดานียา ขอทานบนท้องถนน


           กระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่ความขัดแย้งในทุกแห่งทั่วโลกที่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งลงจนถึงขั้นการเกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการขับเคลื่อนกระบวนการจนประสบความสำเร็จนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากองค์กรที่ไม่ใช่รัฐหรือที่รู้จักกันในนาม NGOs ซึ่งมีบทบาทสำคัญควบคู่ไปกับความพยายามแสวงข้อตกลงร่วมกันของคู่ขัดแย้ง และอาจต้องใช้เวลามากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่มุ่งหวังเพียงสิ่งเดียวกันคือให้เกิดความสงบสุขของพื้นที่เป็นสำคัญ และส่วนใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วโลกจะมีทิศทางคล้ายคลึงกัน ยกเว้นดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ยังมีเงื่อนงำทับซ้อนด้วยเหตุผลหลายประการโดยเฉพาะ “ผลประโยชน์”

         กว่า 300 องค์กรภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เกือบทั้งหมดได้ใช้ความพยายามสรรสร้างการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในด้านต่าง ๆ ตามแต่บทบาทขององค์กรนั้น ๆ แต่ขณะเดียวกันการขับเคลื่อนงานคงไม่สามารถดำเนินไปได้หากขาดซึ่งปัจจัยสำคัญคืองบประมาณ และแน่นอนว่าแต่ละองค์กรก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณเพื่อทำตามวัตถุประสงค์ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ เงินทั้งหมดไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่องานเพียงอย่างเดียวแต่ต้องดูแลปากท้องผู้ที่อ้างว่าทำงานเพื่อสังคมด้วยและด้วยเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยทำให้บางองค์กรมีการแก่งแย่งกันภายในหรือแสดงอาการตะกละตะกรามจนออกนอกหน้า

         และนี่จึงเป็นแรงจูงใจให้กลุ่มคนที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน เพื่อสังคม ต้องพยายามหางบประมาณมาเพื่อตนเองและพวกพ้องให้มากที่สุด

          ช่วงที่ผ่านมามีองค์กรหนึ่งที่ออกอาการข้างต้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยบทบาทบังหน้าในรูปของความพยายามขับเคลื่อนงานด้านการเมืองโดยใช้ชื่อองค์กรว่า “สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี” (PerMAS) และ “สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา”(Lempar) ภายใต้การกุมบังเหียนของนักวิชาการที่ส่วนหนึ่งเป็นนักวิชาการที่มีบทบาทนำในการร่วมเป็นคณะพูดคุยสันติภาพของ สมช. บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในปัตตานีและองค์กรภาคประชาสังคมอีกสองสามองค์กรที่ร่วมกันสวมหน้ากากนักบุญแอบอ้างบิดเบือนและทำลายความพยายามในการสร้างความเข้าใจของภาครัฐโดยใช้เงื่อนไขความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมจัดกิจกรรมในลักษณะเวทีเสวนา ปลุกเร้าให้ประชาชนเข้าใจว่ากำลังอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงและต้องแยกตัวเป็นเอกราช
          แล้วสรุปเอาว่าเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่พร้อมทั้งใช้สื่อของกลุ่มตนเองป่าวประกาศซึ่งแน่นอนว่าเพื่อสร้างผลงานให้สปอนเซอร์ยอมรับเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนต่อไป


           ข้อมูลด้านหนึ่งที่ผู้ที่เพิ่งจะรับทราบโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมทราบแล้วจะต้องตกใจเพราะองค์กรที่เป็นผู้สนับสนุนของคนกลุ่มนี้หนึ่งในหลายองค์กรคือ สำนักงานพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ หรือยูเสด (USAID) ซึ่งในความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมแล้วถือว่า อเมริกาเป็นศัตรูกับมุสลิมทั่วโลก แต่คนกลุ่มนี้กลับใช้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของพี่น้องเรามาแอบอ้างเพื่อรับผลประโยชน์อย่างหน้าตาเฉย

          บางทีอาจอนุมานได้ว่าเงินนั้นสำคัญกว่าพี่น้อง การทรยศต่ออิสลามด้วยการรับเงินปีละหลายสิบล้านสำคัญกว่าอุดมการณ์ที่คนกลุ่มนี้แอบอ้าง ชาวบ้านซึ่งถูกเกณฑ์มาร่วมฟังครั้งละเพียงร้อยกว่าคนที่ได้รับเศษเงินน้อยนิดจึงกลายเป็นเครื่องมือที่มองในทางธุรกิจแล้วนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล



        ภาพการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยของคนกลุ่มนี้มีให้เห็นอยู่เนื่องๆ การเดินทางไปพักผ่อนที่อเมริกาเป็นว่าเล่นของสมาชิกกลุ่ม หรือการเดินทางไปอุมเราะห์ที่ซาอุฯ ของสมาชิกทั้งกลุ่มซึ่งต้องใช้เงินประมาณหนึ่งแสนบาทต่อคน การใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมีรถยนต์หรูใช้รวมทั้งกินอาหารตามร้านหรูๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเอาเงินมาจากไหน

         สมาชิกระดับแกนนำอย่างนายอะเต๊ฟ โซ๊ะโก ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับยาเสพติดตั้งแต่ตัวเองไปจนถึงพ่อตาซึ่งกำลังติดคุกอยู่ที่เรือนจำเขาบิน และพี่ชายที่เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงจนต้องหลบหนีไปอยู่มาเลเซีย จนกลุ่มต้องให้ลดบทบาทลงเพราะอาจทำให้เสียภาพลักษณ์พร้อมกับดันนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ขึ้นมาแทน ซึ่งโดยภาพพจน์แล้วอาจดูดีกว่า แต่ในเนื้อแท้แล้วใครก็รู้ถึงความพยายามเป็นคางคกขึ้นวอของบุคคลนี้ดี ทำให้วันนี้เวทีเสวนาของคนกลุ่มนี้เริ่มเสื่อมความศรัทธาลงด้วยเห็นถึงธาตุแท้ที่แอบแฝง

         หนังสือ “Patani Merdeka บนท้องถนน” ดูจะเป็นอีกธุรกิจที่มักแฝงอยู่ในอุดมการณ์จอมปลอมนอกเหนือจากการขายเสื้อ ขายสติกเกอร์ ขายธงและอื่นๆ ตามเวทีที่ตะเวนออกไปตามสถานที่ต่างๆ แล้ว วลี เอกราชบนท้องถนนซึ่งเป็นการต่อสู้ตามวิถีประชาธิปไตยที่ควรยกย่อง
          แต่สำหรับคนกลุ่มนี้ด้วยพฤติกรรม น่ารังเกียจที่ปิดบังอย่างไรก็ไม่มิดคงเป็นได้เพียง “ขอทานบนท้องถนน” ที่แอบอ้างเอาพี่น้องประชาชนมาหากิน...ดีที่สุดคงได้เท่านั้น


น่าสงสารประชาชนจริงๆ 


ซอเก๊าะ นิรนาม
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น