หน้าเว็บ

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คดี ‘อันวาห์’ ฟ้อง UN ชักศึกเข้าบ้าน


แบมะ ฟาตอนี

            เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 นางสาวรอมือละห์ แซยะ ภรรยานายมูฮาหมัด อัณวัร (อันวาห์) ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน กรณี ตนเองได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (UN Working Group on Arbitrary Detention) กรณีการควบคุมตัวนายมูฮาหมัด อัณวัร ถือเป็นการกระทำโดยพลการตาม Categories III และ V “การควบคุมตัวนายมูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ หรือ นายมูฮาหมัด อัณวัร หรือ อันวาห์ ถือว่าละเมิดข้อ 9 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน”

            นางสาวรอมือละห์ แซยะ จึงร้องขอให้รัฐบาลไทยจัดให้มีการเยียวยาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐาน และหลักการที่กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกติกา ICCPR

             คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการแห่งสหประชาชาติ มีความเห็นว่า การเยียวยาที่พอเพียง โดยรัฐมีหน้ามีหน้าที่ต้องจัดให้มีการชดเชยเนื่องจากการละเมิดสิทธิของเขา และเป็นหน้าที่ที่บังคับใช้ได้ตามคำสั่งศาลในประเทศ โดยขอให้รัฐบาลไทยชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และข้อกฎหมายที่ใช้ในการสนับสนุนการควบคุมตัวนายมูฮาหมัด อัณวัร และนางสาวรอมือละห์ แซยะ ขอเรียกร้องตามเดิมคือคืนความเป็นธรรมให้กับสามี

          จากการตรวจสอบแหล่งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ กองการสังคม กรมองค์การระหว่างประเทศ พบว่า เป็นเพียงกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สหประชาชาติ (UN) ได้กระทำเป็นปกติอยู่แล้ว หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน มิใช่หนังสือแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ได้ละเมิดสิทธินายมูฮาหมัด อัณวัร แต่ประการใด และกรณีดังกล่าวได้เกิดก่อนจะมีการรัฐประหาร เมื่อ 22 พ.ค.57 ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากเกิดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อผดุงความยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การจ่ายเงินเยียวยาตามที่ภรรยาของนายมูฮาหมัด อัณวัร ร้องขอ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสหประชาชาติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี ‘อันวาห์’

          เมื่อ 6 พ.ค.56 โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงเหตุจำคุก 12 ปี “มูฮาหมัดอัณวัร” นักข่าวอิสระ ตามที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายมูฮาหมัด อัณวัร หะยีเต๊ะ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันก่อการร้ายเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นเวลา 12 ปี นั้น เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนศาลยุติธรรมของประเทศไทย
          กระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีของศาลประเทศไทย ดำเนินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย แยกกันอย่างชัดเจน คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ, ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งทั้ง 3 ฝ่ายนี้จะทำงานอย่างอิสระไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถเข้าไปแทรกแซง บีบบังคับ หรือกดดันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ แม้แต่ประชาชน ข้าราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ หรือองค์อิสระ

         ผู้พิพากษาของประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ในนามขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ศาสนูปถัมภก คือให้การอุปถัมภ์ในทุกศาสนาไม่แบ่งแยก หรือเลือกการปฏิบัติทั้งศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ และศาสนาอื่นๆ ดังนั้นการอ้างอิงถึงความไม่ยุติธรรมจากเรื่องศาสนาจึงไม่มีเหตุผลอันควร สำหรับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย อีกทั้งผลการพิจารณาของศาลไทยมิได้มีผลความเชื่อถือเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสามารถนำไปประกอบเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีในระดับสากล

             กระบวนการศาลศาลยุติธรรมของไทย มีขั้นตอนที่ได้ให้ความเสมอภาคระหว่างจำเลยและผู้กล่าวหา ตลอดจนยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมอยู่ในตัว โดยทุกคดีจำเลยจะมีสิทธิในการร้องขอความเป็นธรรม



           คดีของนายมูฮาหมัด อัณวัร ยังมีข้อสงสัยในพฤติกรรมอันมีผลต่อความมั่นคง สันติสุขของประชาชน ชุมชน และของประเทศ จึงได้มีการเสนอเรื่องให้พิจารณาในระดับสูงสุดคือ ศาลฎีกา ด้วยพยานหลักฐานที่ครบถ้วน และมีความชัดเจนมิอาจโต้แย้งได้ ศาลฎีกาจึงได้พิจารณายืนตามศาลชั้นต้น คือ จำคุกนายมูฮาหมัด อัณวัร เป็นเวลา 12 ปี รวมระยะเวลาที่คณะผู้พิพากษาได้ให้โอกาสแก่จำเลยคือ นายมูฮาหมัด อัณวัร และอัยการในฐานะทนายความของรัฐ เป็นระยะเวลา 7 ปี 8 เดือน 13 วัน นับว่าเพียงพอต่อการให้ความยุติธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว

           ศาลมีหลักฐานหลัก คือคำซัดทอดจากการให้การของบุคคล 4 คน คนเหล่านี้คือ นายมะตอเห สะอะ นายอับดุลเลาะ สาแม็ง นายสะตอปา ตือบิงหมะ และนายมะสุกรี สารอ ทั้งสี่คนยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าตัดคอ ดาบตำรวจ สัมพันธ์   อ้นยะลา ตำรวจยะรัง และมีการซัดทอด อันวาห์ มีส่วนร่วมในการกระทำในครั้งนี้ด้วย

          จากเอกสารคำพิพากษาสรุปข้อมูลออกมาได้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีฆ่าดาบตำรวจ นำไปสู่การสอบสวนกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนปอเนาะสองแห่งคือประสานวิทยาหรือปอเนาะพงสตา กับโรงเรียนบุญบันดานหรือปอเนาะแนบาแด โดยเจ้าหน้าที่ได้ตามรอยการใช้โทรศัพท์ของ ดาบตำรวจ สัมพันธ์ และพบว่ามีนักเรียนคนหนึ่งนำโทรศัพท์ไปใช้ และมีการติดต่อกับนักเรียนหลายคนของทั้งสองโรงเรียน ตำรวจจึงได้เข้าตรวจค้นและจับกุม แล้วนำตัวนักเรียนทั้งสี่บวกกับอีกหลายคนไปสอบปากคำ เป็นที่มาของการได้คำให้การต่างๆของคนทั้งสี่ที่ยอมรับว่าเป็นบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นหลักฐานหลัก

            การเคลื่อนไหวของนายมูฮาหมัด อัณวัร ยังไม่จบเพียงแค่นี้ โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นวัน “สันติภาพสากล” ยังได้เขียนจดหมายจากเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ส่งถึง “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล เพื่อทำการเรียกร้องว่า อยากให้รัฐบาลไทยนิรโทษกรรมผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ที่เป็นผลมาจากการใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้การติดตามจับกุมและปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้กระบวนการสร้างสันติภาพดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ล่าสุดเตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

            ในส่วนของความเคลื่อนไหวในเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีการประกาศในFacebook : เพื่อนอันวาห์-Save Anwar เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่รู้จักนายมูฮาหมัด อัณวัร ให้ช่วยรับรองความประพฤติ ว่าเป็นผู้ที่มีสำนึกในสันติภาพ ไม่ได้สนับสนุน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรง เพื่อแนบเอกสารการขอพระราชทานอภัยโทษต่อไป

           ผู้ที่ทำการเคลื่อนไหวคือ นางรอมือละห์ แซยะ ผู้ประสานงานกลุ่มเยาวชนอาสา จังหวัดนราธิวาส และเครือข่ายภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำคัญยังได้เป็นภรรยาของนายมูฮาหมัด อัณวัร จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงได้ดิ้นพล่าน ทำทุกวิถีทางที่จะนำตัวสามีออกมาจากคุกให้ได้ ถึงแม้ว่าลงทุนลงแรงฟ้องร้องต่อ UN ชักศึกเข้าบ้านให้ต่างชาติเข้ามาทำการตรวจสอบก็ตามที

            ในส่วนของแกนนำองค์กร เครือข่ายภาคประชาสังคม ที่เป็นแนวร่วมได้ทำการขับเคลื่อนลงนามในหนังสือรับรองความประพฤติให้กับนายมูฮาหมัด อัณวัร โดยระบุว่า เป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย และทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมด้วยความเสียสละ อุตสาหะ มาโดยตลอด ประมาณ 50 คน อาทิเช่น นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) นายแพทย์อนันตชัย ไทยประทาน ที่ปรึกษาสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ และ นางสาวโซรยา จามจุรี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้

          จากรายชื่อข้างต้นถือได้ว่าเป็นแนวร่วมเครือข่ายที่ทำการขับเคลื่อนงานมวลชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นฝ่ายการเมืองที่พยายามสร้างกระแสการกำหนดใจตนเองมาโดยตลอด จากพฤติกรรมของ นายมูฮาหมัด อัณวัร กับคำรับรองที่แนวร่วมเครือข่ายพยายามล่ารายชื่อเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ มันช่างขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

             ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย มีความเที่ยงตรง ผลการตัดสินของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดถือได้ว่าคดีความถึงที่สุดแล้ว และศาลฎีกาได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น แต่ก็ยังมีกลุ่มเครือญาติ และภาคประชาสังคมยังคงมีการเคลื่อนไหวโดยใช้สันติวิธี (non-violent) อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนางรอมมือละห์ ภรรยานายมูฮาหมัด อัณวัร เตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ พร้อมทั้งเดินเกมส์ ล่าลายชื่อรับรองความประพฤติ และยังยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ UN เกี่ยวกับการควบคุมตัวโดยพลการ ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลไทยทั้งๆ ที่ศาลให้โอกาสนายมูฮาหมัด อัณวัร พิสูจน์ตนเองนานถึง 7 ปี 8 เดือน ยังไม่เพียงพออีกหรือ....

-----------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น