หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันนี้ในอดีต คุณจำกันได้ไหม



"รำลึกแด่ความหน้าด้าน หน้าตัวเมีย ของกลุ่มโจรใต้"

       วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตรงกับวันที่ 31พฤษภาคม 2550 กลุ่มชายแอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง รวมตัวกันเพื่อชุมนุมแบบปิดหน้า เพื่อป้องกันการถูกจับได้ว่า แอบแฝงเข้ามาร่วมชุมนุมประท้วง ในกลุ่มเคลื่อนไหวที่เรียกตัวเองว่า


"เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน" 
และ "ศูนย์ประสานงานนักศึกษาและประชาชน"

        บรรดาหน้าตัวเมียเหล่านี้ สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นจากการชุมนุมที่เดิมทีเป็นการชุมนุมโดยสงบ
แต่หน้าตัวเมียคอยปลุกระดม ปลุกปั่น สร้างความรุนแรง เพื่อหวังให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงแก่ประชาชนและนักศึกษา

        น่าอดสูใจอย่างยิ่ง ที่พวกมันหน้าด้านแอบแฝงเป็นเห็บหมา  เกาะกินบ้านเมืองเราชาวปาตานี มาเป็นเวลานานมากแล้ว มาช่วยกันขับไล่ "โจรใต้ หน้าตัวเมีย" เหล่านี้ ให้พ้นไปจากแผ่นดินเราเสียที
ความสงบสุข ความสันติสุข จะได้กลับคืนมาในแผ่นดินแห่งสันติสุขนี้อีกครั้ง


.... โอ้ ปาตานีดารุสลาม ....

ประกาศต่อต้านรัฐไทยอย่างถาวร เพื่อเรียกร้องเอกราชปาตานี



ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ Salahuddin Patani อ้างนักรบรัฐปาตานีดารุสสลาม ประกาศต่อต้านรัฐไทยอย่างถาวร เพื่อเรียกร้องเอกราชปาตานี ปฏิเสธการหารือและพูดคุยกับศัตรูทุกรูปแบบ ยกเว้นจะคืนแผ่นดินปาตานีให้ประชาชนมลายูมุสลิมปาตานี นักรบรัฐปาตานีจะไม่ทำลายทรัพย์สิน หรือชีวิตโดยไม่มีเหตุผล, จะเลือกยุทธศาสตร์การต่อสู้ด้วยการทำลายยุทธศาสตร์ของศัตรู, ด้านการเมืองจะปฏิบัติตามกระบวนการของนักรบปาตานีเอง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของศัตรู และจะไม่หยุดใช้อาวุธ จนกว่ารัฐไทยจะคืนแผ่นดิน และอธิปไตยปาตานีให้ประชาชนมลายูมุสลิมปาตานี


เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ทำการโฆษณาชวนเชื่อในการ ปฏิเสธการเข้าร่วมพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ ของบุคคลบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยโดนอ้างนักรบปาตานีที่เคลื่อนไหวในพื้นที่

ในเมื่อกลุ่มผู้เห็นต่างมีหลายกลุ่ม ความเป็นเอกภาพย่อมมีปัญหาในการกำหนดแนวทางในการต่อสู้ ซึ่งเป้าหมายของกลุ่มที่เคลื่อนไหวคือการแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐไทย

การออกมากล่าวเหมือนสร้างภาพให้กลุ่มโจรใต้ดูดีในสายตาประชาชน เป็นกลอุบายที่มักใช้อยู่บ่อยครั้ง โจรใต้จะไม่ทำลายทรัพย์สิน หรือชีวิตโดยไม่มีเหตุผล เป็นการกล่าวเท็จอย่างหน้าด้านๆ ย้อนกลับไปดูสิ่งที่โจรใต้เหล่านี้ได้สร้างไว้ ทำลายทรัพย์สินทั้งของประชาชน อาคารสาธารณะประโยชน์ ทรัพย์สินของส่วนราชการ ที่สำคัญกับชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์จำนวนมากต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือใคร?

การออกมาขัดขวางกระบวนการสร้างสันติสุข มุ่งแต่ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ทำลายทรัพย์สิน ทำลายชีวิตผู้คน ประชาชนปาตานีได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการ กระทำความรุนแรงทุกรูปแบบ ทุกคนต้องการสันติสุขกลับคืนมาสู่ดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้ อีกไม่นานหากโจรใต้ฟาตอนียังคงใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา จะถูกโดดเดี่ยวจากสังคมและประชาชนชาวปาตานีเองเป็นคนตัดสินลงโทษต่อการกระทำ ที่สุดโต่ง

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ฆ่าแล้วเผาไทยพุทธ 4 ศพ ที่สุคิริน ศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ 8 ผู้ต้องหา....



       จากเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงนายจุล อินเอิบ พร้อมพวก เสียชีวิต 4 คน ในพื้นที่ ต./อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เมื่อ 12 เม.ย.2558 เวลาประมาณ 19.12 น. ตามวันเวลาเกิดเหตุ ขณะที่นายจุล อินเอิบ อายุ 70 ปี นางดำ นิลสุวรรณ อายุ 66 ปี (ภรรยา) อยู่บ้านเลขที่ 286 ม.12 ต./อ.สุคิริน จ.นราธิวาส, นางอารี รัตนะ อายุ 70 ปี และนายสมนึก รัตนะ อายุ 41 ปี (บุตรนางอารี ฯ) อยู่บ้านเลขที่ 288 ม.12 ต./อ.สุคิริน จ.นราธิวาส อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิง กระสุนถูกนายจุล ฯ นางดำ ฯ นางอารี ฯ และนายสมนึก ฯ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังก่อเหตุคนร้ายได้เผาบ้านเลขที่ 286 และบ้านเลขที่ 288 ได้รับความเสียหาย

       ความคืบหน้าคดีการดำเนินการของพนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ ผู้กล่าวหา – พยาน รวม 10 ปาก และในเวลาต่อมาศาลจังหวัดนราธิวาส ได้ออกหมายจับ ตาม ป.วิอาญา จำนวน 8 หมาย ตามหมายที่ 201/2558 - 208 /2558 ลง 20 พ.ค. 58
  1. นายซอบรี สือแม อยู่บ้านเลขที่ 116 ม.1 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 201/2558 ลง 20 พ.ค.2558 โดย เมื่อ 28 พ.ค. 2558 นายซอบรี สือแม ผู้ต้องหา ( ตามหมายจับ ที่ 201/2558 ) ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จะแนะ จ.นราธิวาสจับกุมตัว ควบคุมในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพนักงานสอบสวน สภ.สุคิริน ได้ทำการแจ้งกล่าวหาตามหมายจับดำเนินคดีแล้ว
  2. นายมูฮัมหมัดซากีรีน สาแม อยู่บ้านเลขที่ 52 ม.5 ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 202/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  3. นายอิบรอเฮ็ม สูดี อยู่บ้านเลขที่ 484 ต.ตันหยงมัส อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 203/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  4. นายรอห์มา สะแลแม อยู่บ้านเลขที่ 47/3 ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 204/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  5. นายซอและ มะเซ็ง อยู่บ้านเลขที่ 7 ม.5 ต.กะดุนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 205/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  6. นายอาสือรี เจ๊ะตู อยู่บ้านเลขที่ 73/2 ม.2 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 206/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  7. นายอับดุลเลาะ บูละ อยู่บ้านเลขที่ 177 ม.6 ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 207/2558 ลง 20 พ.ค.2558
  8. นายอารามิง หรือกอเซ็ง (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่บ้านเลขที่ – ม.- ต.- อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 208/2558 ลง 20 พ.ค.2558

ผู้เชี่ยวชาญเตือนอาเซียน กำลังตกเป็นเป้าการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส



เว็บไซต์หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล บิซิเนส ไทมส์ ของอินเดีย รายงานอ้างผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านการระหว่างประเทศศึกษาของสถาบันเอส. ราชารัตนาม แห่งสิงคโปร์ ซึ่งระบุว่า กองกำลังกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้กำหนดให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นเป้าโจมตีของกลุ่มไอเอส เห็นได้จากกรณีที่ทางการสิงคโปร์เพิ่งจะจับกุม 2 วัยรุ่นในข้อหาที่เชื่อมโยงกับการก่อการร้าย

จัสมินเดอร์ ซิงห์ นักวิเคราะห์ผู้เขียนรายงานฉบับดังกล่าว ระบุว่า ขณะที่เครือข่ายกลุ่มนักรบไอเอสในอาเซียนที่เรียกว่ากลุ่มคาติบาห์ นูซันตารา ซึ่งเป็นเครือข่ายก่อการร้าย ไอเอสบนคาบสมุทรมลายู เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทว่ากลยุทธ์หลักของ ไอเอสที่มุ่งดึงให้ประชากรโลกเข้าร่วมเป็นนักรบ หรือจีฮัด กับไอเอสมากขึ้นกลับไม่เป็นที่สังเกตเห็นมากนัก

ทั้งนี้ ซิงห์ อธิบายเพิ่มเติมว่า แต่เดิมนั้นหลายฝ่ายเชื่อว่า กลุ่มคาติบาห์ นูซันตารา มีเป้าหมายเพื่อจัดส่งกำลังคนและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ต้องการร่วมรบกับไอซิสในอิรักและซีเรีย แต่ปัจจุบันจากข้อมูลล่าสุดกลับพบว่า กลุ่มดังกล่าวได้ทำหน้าที่เผยแพร่หลักการความเชื่อเพื่อดึงคนให้เข้าร่วมเป็นนักรบจีฮัดมากขึ้น

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงภายในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะมาเลย์ อย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เพราะนักรบเหล่านี้จะทำทุกทางเพื่อปกป้องหลักการปกครองแบบคอลีฟะห์ ที่หมายรวมถึงการวางแผนก่อการร้ายภายในประเทศของตนเอง

"คาติบาห์ นูซันตารา มีแนวโน้มจะได้รับความสำคัญจากกลุ่มไอเอสมากขึ้น ในฐานะส่วนหนึ่งที่จะทำให้เป้าหมายการสถาปนาโลกภายใต้การปกครองแบบคอลีฟะห์ประสบผลสำเร็จ และผู้ที่กลับจากการร่วมรบกับไอเอสยังจะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักในการโจมตีในอาเซียน" ซิงห์ กล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินการจับกุมผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับไอเอส และมีแผนก่อการร้ายทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซียในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถือเป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด ที่ซิงห์สรุปว่าภูมิภาคแห่งนี้กำลังตกเป็นเป้าโจมตี ที่รัฐบาลและสังคมอาเซียนควรร่วมมือหาทางจัดการอย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนจากประชาคมโลก

โจรใต้ ยิงผู้ใหญ่บ้าน ครู เสียชีวิต



         เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มครูและผู้ใหญ่บ้าน อ.ยะหริ่ง เสียชีวิตคารถยนต์ ตำรวจเร่งสอบสวนสาเหตุคาดอาจขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ

         วันนี้ (26 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตเหตุเกิดบริเวณหน้าบ่อทิ้งขยะ อบต.หนองแรต ม.3 ต.หนองแรด จึงนำกำลังไปที่เกิดเหตุพร้อมรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ไปถึงที่เกิดเหตุพบรถเก๋งยี่ห้อเบนซ์ สีแดง รุ่น อี 220 ทะเบียน กน 7905 สงขลา จอดอยู่สภาพมีรูกระสุนบริเวณประตูและกระสุนด้านซ้ายทะลุด้านขวาจนพรุน

          ตรวจสอบภายในรถพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ทราบชื่อ นายอับดุลรอฮีม ดือเระ อายุ 58 ปี เป็นข้าราชการครูโงเรียนบ้านแบรอ อยู่บนเบาะนั่งฝั่งคนขับ ส่วนอีกรายเสียชีวิตอยู่บนเบาะข้างคนขับ ทราบชื่อ นายสะมะแอ มูซอ อายุ 58 ปี เป็นผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.หนองแรด โดยสภาพศพทั้งสองถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16 อาก้า และ ขนาด 11 ม.ม. หลายนัด จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนทั้ง 3 ชนิดตกเกลื่อนบนถนนกว่า 60 ปลอก เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน

         จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอับดุลรอฮีม ได้ขับรถมาจากบ้านพักเดินทางไปรับ นายสะมะแอ ที่บ้าน เพื่อจะไปทำธุระในตัวเมืองปัตตานี ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางเลี้ยว ช่วงที่กำลังชะลอรถได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถกระบะยี่ห้อ มิซซูบิชิ ไม่ทราบป้ายทะเบียน ขับแซงด้านซ้าย คนร้ายซึ่งนั่งอยู่กระบะหลังพร้อมอาวุธถล่มยิงใส่รถของผู้ตายทันทีจนรถหยุดนิ่ง คนร้ายยังได้ลงจากรถกราดยิงซ้ำอีกอย่างโหดเหี้ยมจนเสียงดังสนั่น จากนั้นจนรีบขึ้นรถขับหลบหนีไป

        หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เดินทางไปที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วมไล่ล่าคนร้ายโดยเฉพาะตรวจสอบภาพวงจรปิดที่มีอยู่ตามจุดต่างๆ เชื่อว่าคนร้ายน่าจะยังกบดานในพื้นที่ ส่วนสาเหตุตั้งไว้ 2 ประเด็นคือ เรื่องการเมืองท้องถิ่น และการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เบื้องหลังการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’



โดย ‘แบดิง โกตาบารู’


         กลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานี เป้าหมายกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เพื่อต้องการให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้สนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับหลายปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช


         มูลเหตุของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของขบวนการ BRN อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดความคิดต่อสู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี 8 ประการด้วยกันกล่าวคือ

  1. เกิดจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ค่อนข้างล้าหลัง ส่งผลให้คนที่มีความคิดชาตินิยมทางด้านเชื้อชาติบางส่วนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกครอบงำทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้คือแกนนำสำคัญของขบวนการ BRN Co – ordinate
  2. เกิดจากการกระจุกตัวอย่างหนาแน่นของกลุ่มคนชาติพันธุ์มลายูที่มีวัฒนธรรมจำเพาะ แตกต่างจากคนไทยในสังคมใหญ่โดยทั่วไป
  3. พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตติดต่อกับบางรัฐของประเทศมาเลเซีย และรัฐเหล่านั้นปกครองโดยกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ทำให้มีโอกาสเกิดความคิดต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนสูงกว่าพื้นที่อื่นของประเทศ
  4. คนในพื้นที่โดยเฉพาะพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานี มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของตนเอง
  5. แรงจูงใจร่วมของคนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม
  6. ความสามารถของกลุ่มชาวมลายูมุสลิมเองที่จะปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกัน ทั้งที่มาจากการสนับสนุนของมวลชนในพื้นที่ และกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมจากต่างประเทศ
  7. เงื่อนไขทางการเมืองของสังคมใหญ่ที่เอื้ออำนวย เช่น การแตกแยกทางความคิดของกลุ่มสีต่างๆ ในสังคมใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอย ความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวมลดลง และระบบราชการย่อหย่อนอ่อนแอ
  8. พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ และบาดแผลของปาตานีในครั้งอดีต
         เหตุปัจจัยทั้ง 8 ประการดังกล่าว พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นปัจจัยปลุกเร้าที่กลุ่มขบวนการได้ใช้ในการปลูกฝัง ปลุกระดมมวลชนเชื้อสายมลายูเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้อย่างทรงพลังที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริม มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมดังกล่าวไปสู่คน รุ่นต่อรุ่นมานานนับร้อยปี

       กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate


        ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น “ฟัรดูอีน” ปาตานี ไม่ใช่ “ดารุลกุฟร์” หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม


       เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียอำนาจให้กับคนไทย มีการกดขี่ประชาชนปาตานีซึ่ง ๆ หน้า หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยไม่ต้องอาศัยประวัติศาสตร์ใด ๆ มาคอยย้ำเตือน หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือ การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของคนมลายูมุสลิมปาตานี


       เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน
มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น




      รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา


        ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง


      ตัวอย่างที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือฝาผนังห้องน้ำโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า “นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”

      ส่วนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าว


      จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนมะหัดดารุลมูฮายีรีน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านบาโงสะโต ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า “นักรบฟาตอนีดารุสลาม” มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ “จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี” ส่วนกรัดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า “บาบีอายิง” แปลว่า “หมูหมา”


       นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กูรักฟาตอนี” มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า “ฟาตอนี”


      โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน


      ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล


      ตราบใดที่การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปล่อยให้ขบวนการ BRN Co – ordinate ปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อไป มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความสงบสุขที่ทุกคนต่างเรียกหาก็ยังไม่เกิด ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่ศพ แต่อย่างน้อยผู้เขียนพยายามสื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการปลูกฝังความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงรัฐไทยมีการปูพื้นมาตั้งแต่เล็กในโรงเรียนสอนศาสนาที่ยากต่อการตรวจสอบ 

      เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ที่มีอยู่หลายพันโรงกระจายเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate

-----------------------------------------

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พวกโลกสวย รู้จักโรฮิงญาหรือยัง....


         โรฮิงญา
ปัญหาที่ไม่จบสิ้น และทำท่าจะบานปลายกว่าที่คิด ขณะนี้ทั้งมาเลย์และอินโด ก็ไม่รับพวกโรฮิงญาเข้าประเทศแล้วทั้งที่เป็นรัฐอิสลามเหมือนกัน พี่น้องร่างกายเดียวกันยังไม่เอาเลย ขณะที่ประเทศที่สามอื่น  ๆ ก็ไม่สนใจที่จะรับเข้าไป  เพราะพวกนี้ไม่มีความรู้  เรียกร้องเก่ง ทำตัวมีปัญหา เมื่อรวมกลุ่มกันได้มาก ๆ 

       จะเห็นได้จากในค่ายอพยพของบ้านเราที่เรียกร้องอาหารดีขึ้น กินแล้วจานไม่ล้าง ต้องจ้างมาทั้งคนทำอาหารและล้างจาน และมีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเงินค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เพราะอ้างว่าเอาพวกเขามากักกัน เพราะจุดมุ่งหมายของพวกเขาอยากไปทำงานที่มาเลย์ หรือ อินโด ไม่ใช่มาอยู่ในค่าย 

       เรียกร้องออกสื่อเมืองนอกตลอดเวลา เท่านี้คนไทยเกือบทุกคนก็รับไม่ได้แล้วกับโรฮิงญาพวกนี้ และคนพวกนี้ขยันฟ้อง UNHCR และกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ให้ร้ายประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ให้ข้าวสามมื้อกิน โดยจะมีข่าวออกสื่อต่างประเทศไม่เคยหยุด 

     มีความจริงที่ถูกปกปิด แต่สำนักข่าว CNN ได้นำเอกสารลับของรัฐบาลพม่าออกมาเปิดเผย เอกสารดังกล่าวรายงานถึงกองกำลังติดอาวุธของโรฮิงญาในรัฐอาระกัน หรือ ยะไข่ ว่ามีความสัมพันธ์และได้รับการสนับสนุนจากอัลกออิดะ

      เอกสารลับของพม่าที่ออกจากสำนักข่าว CNN สอดคล้องกับที่ หมอพรทิพย์ออกมาพูดเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้วอีกเช่นกันว่า ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตรวจพบ ชาวโรฮิงญา ถือบัตร สัญชาตมาเลเซีย เข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังสงสัยว่าเข้ามาเส้นทางใด เพราะชาวโรฮิงญาไม่มีศักยภาพพอที่จะลอยเรือไปขึ้นฝั่งที่มาเลเซียได้ 

      หมอพรทิพย์ บอกด้วยว่า จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ยังพบว่าในกลุ่มโรฮิงญาผู้ลักลอบเข้าเมือง มีการนำวัตถุระเบิดจากประเทศอินเดียเข้ามาด้วย 

      ดังนั้น จึงน่าสงสัยว่าจะมีขบวนการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายคนกลุ่มนี้หรือไม่ มีผู้ต้องหา 2 คนสารภาพว่า ชาวโรฮิงญาที่อพยพผ่านชายแดนด้านแม่สอด มาอาศัยที่สุไหงโก–ลก ก่อนถูกส่งตัวไปฝึกกับ “กลุ่มอาร์เคเค” และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเด็นนี้น่าเป็นห่วงมาก รัฐบาลยังไม่มีนโยบายชัดเจนจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

         โรฮิงญาออกสื่อมาตลอดหลายปีจากทางฝั่งองค์กรระหว่างประเทศจะออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย ในทำนองที่ว่าชาวโรหิงญาโดนรัฐบาลพม่ารังแกมาตลอด จนอยู่ในประเทศไม่ได้ จนมีหลาย ๆ ประเทศรับเข้าไปอยู่ด้วย ทั้ง บังคลาเทศ ซาอุดิอาราเบีย ปากีสถาน มาเลเซีย รวมถึงที่อยู่ในค่ายของประเทศไทย จนในเวลานี้มีชาวโรฮิงญาอยู่นอกประเทศมากกว่าอยู่ในพม่าเสียอีก แต่ละประเทศรับไปหลักแสนคนทั้งนั้น แต่ก็หยุดรับ เพราะว่าโรฮินญาพวกนี้ไม่มีความรู้ความสามารถอะไรและผลิตลูกเก่งมาก รับไปแสนคนงอกมาอีกแสนในเวลาไม่ถึงสิบปีก็มีจำนวนประชากรไร้คุณภาพเพิ่มมาอีกเท่าตัว

        ขณะที่มาเลย์ อินโด พยายามที่จะจำกัดจำนวนประชากรและพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้นเพื่อเป็นฐานแรงงานในอุตสาหกรรมของชาติ แต่โรฮิงญานั้นเข้าไปเป็นตัวหารทรัพยากรของรัฐต่างๆโดยไม่ได้มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตแต่อย่างไรนอกจากการขายแรงงานไร้ฝีมือระดับต่ำสุดเท่านั้น 

       นี่คือสิ่งที่มาเลย์และอินโด ซาอุดิอาราเบีย ต้องหยุด และบังคลาเทศกับปากีสถานนั้นมีประชากรของตัวเองถึงร้อยกว่าล้านคนอัดในประเทศเล็กๆ ก็รับโรฮินญาเพิ่มอีกไม่ไหวเพราะไปเป็นตัวหารทรัพยากรอย่างเดียวไม่ใช่ตัวคูณผลผลิตของชาติแม้แต่น้อย แต่สำหรับพวกก่อการร้ายแล้วคนที่มีต้นทุนต่ำแบบนี้แหละทรัพยากรชั้นดีที่จะเอามาฝึกไว้ป่วนประเทศต่างๆ

       มีคนมองโลกสวยออกมาพูดกันมากในทำนองว่า หมาแมวมันเจ็บป่วยเดินผ่านหน้าบ้าน เรายังเจือจานให้ได้แต่นี่คนแท้ ๆ ทำไมเราถึงไม่ช่วย ผมมักจะตอบไปว่า ถ้าเป็นงูเห่าเจ็บป่วยเพราะโดนข้างบ้านตีมาล่ะ ถ้ามันเลื้อยผ่านหน้าบ้านแล้วจะเข้าไปอุ้มมันทายาให้ข้าวเหมือนหมาเหมือนแมวไหม 

       ถ้าปัญหานี้มันกระทบถึงความมั่นคงของชาติ เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกโลกสวยจะพูดเอาโวหารสนุกปากแล้ว 

เครดิต:Pat Hemasak
      มุสลิมทั่วโลกเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น แต่ทำไมมาเลย์และอินโดฯไม่ยอมรับเอาพี่น้องของเขาไป คิดให้รอบคอบนะพี่ไทย

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โลกลืม และเป็นการสังหารหมู่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20



          กระแสโรฮิงญา กระแสมุสลิมแพร่กระจายสร้างมัสยิสในภาคเหนือ และภาคอิสาน ในโลกไซเบอร์ที่อ้างเหตุผลว่า คนบางกลุ่มไม่ใช้ผู้ก่อการร้าย ไม่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ด้วยกัน ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนกลุ่มนี้ ต้องสงสาร ต้องเห็นใจ ต้องช่วยกัน วันนี้ผมนำเอาประวัติศาสตร์ออตโตมัน หรือตรุกรี ที่คนกลุ่มหนึ่งกระทำกับชาวอาเบเนีย โดยการสังหารหมู่  โดยการแขวนคอ โดยการตรึงบนกางเขนจนตายไปกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน เพื่อจะได้ย้ำเตือนว่า พวกมึงก็ใช้จะเป็นคนดี !

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โลกลืม และเป็นการสังหารหมู่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20

       ท่านผู้อ่านลองเปิด http://www.google.com แล้วลองค้นคำว่า ottoman empire genocide armenia จะพบความจริงที่คนบางกลุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้ และหรือคนบางกลุ่มเจตนาปกปิดความจริงนี้





       เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลตุรกีได้เรียกตัวทูตประจำนครรัฐวาติกันกลับประเทศเพื่อประท้วงทางการทูตต่อทางวาติกัน เนื่องจาก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" กับการสังหารหมู่ชาวอาร์มีเนียโดยกองทัพออตโตมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

        นายอาห์เหม็ด ดาวูโตกลู ประธานาธิบดีตุรกี กล่าวตำหนิเหตุการณ์ดังกล่าวว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเข้าพระทัยผิด และทรงมีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียน ทำให้พระองค์ตรัสอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกกาลเทศะ

        ทางตุรกีอ้างว่าความเห็นของสมเด็จพระสันตะปาปาถือเป็นความเท็จทั้งสิ้น และเป็นความเห็นที่เต็มไปด้วยข้อถกเถียง ทั้งมีอคติ และบิดเบือน โดยตัดทอนเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ที่มีประชาชนหลายกลุ่มบนคาบสมุทรอนาโตเลียที่ต้องเจ็บปวดจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งให้เหลือเพียงชาติพันธุ์ในกลุ่มศาสนาเดียว




       ทั้งนี้ พระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่เป็นชนวนนำความโกรธเคืองมาสู่รัฐบาลและประชาชนชาวตุรกีคือ "เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกของศตวรรษที่ 20"

      สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแสดงปาฐกถาดังกล่าวต่อหน้าศาสนิกชนในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน เพื่อรำลึกการครบรอบ 100 ปี ในเหตุการณ์ที่ชาวอาร์มีเนียกว่า 1.5 ล้านคนถูกสังหารหมู่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิกกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวกลางโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ว่าเป็นการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
       ซึ่งการสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียนในปี 1915 (พศ.2458) นั้น เป็นประเด็นถกเถียงกันมายาวนาน โดยชาว อาร์เมเนียนมองว่า มีชาวคริสต์อาร์เมเนียนถูกสังหารถึง 1.5 ล้านคน โดยฝีมือของจักรวรรดิออตโตมันหรือออตโตมันเติร์ก ที่กลายมาเป็นประเทศตุรกีในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้ประเทศมุสลิมตุรกีก็ยอมรับ แต่ทางตุรกีโต้เถียงว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่กล่าวอ้างนั้นสูงเกินจริง และชนวนเหตุของการเสียชีวิตก็มาจากสงครามกลางเมือง อันเป็นผลต่อเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงไม่ยอมรับตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

       หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯหลีกเลี่ยงที่จะเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นกัน เพื่อรักษาสัมพันธ์อันดีกับตุรกี ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญ

        อย่างไรก็ดี หลายประเทศในยุโรปก็ถือว่า การสังหารหมู่ชาวคริสต์อาร์มีเนียนในปี 1915 เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

        โดยเฉพาะฝรั่งเศส ในปี 2555 วุฒิสภาของฝรั่งเศสได้ออกกฎหมาย ที่จะถือว่าการปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียเมื่อปี 2458 เป็นอาชญากรรม ซึ่งการกระทำของฝรั่งเศสดังกล่าวก็ทำให้ทางตุรกีเรียกทูตออกจากฝรั่งเศสเช่นกัน และยังประกาศจะแก้แค้นฝรั่งเศส เป็นการตอกลิ่มความสัมพันธ์ระหว่างทางการฝรั่งเศสและตุรกีที่มีรอยร้าวอยู่แล้ว






       เรื่องนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อต้นปีนี้ ทางรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ในศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปหรือ ECHR ณ เมืองสทราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ในกรณีที่สวิตเซอร์แลนด์ยื่นอุทธรณ์ให้การปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการรับรองถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

      ซึ่งหากสวิตเซอร์แลนด์เป็นฝ่ายชนะคดีดังกล่าว ก็จะส่งผลโดยตรงต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอาร์เมเนียที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สมควรถูกประณาม ซึ่งประเทศที่ให้การรับรองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คือสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส โดยตรากฎหมายเอาผิดผู้ที่ปฏิเสธว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย

      ก่อนหน้า ECHR เคยตัดสินคดีนี้ในขั้นต้นไปแล้ว โดยตัดสินให้ผู้ที่ปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่มีความผิด พร้อมระบุด้วยว่ากฎหมายห้ามปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสวิตเซอร์แลนด์เข้าข่ายละเมิดเสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน



       การดำเนินคดีในครั้งนี้ก็คือต้องพยายามล้มล้างคำให้การของฝ่ายตรงข้าม นำโดยรัฐบาลตุรกี ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวคริสต์อาร์เมเนียดังกล่าว ซึ่งทางรัฐบาลตุรกีพยายามอ้างว่าจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวเป็นผลมาจากภัยสงครามและความไม่สงบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

UNSCR มันเป็นใครกัน ถึงจะมาบังคับเรา



          มุสลิมสัญชาติไทยท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า 
         
          สิ่งที่เราทำได้ คือ ให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร ยารักษาโรค ตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งเชื่อว่าคนไทยไม่ว่าศาสนาไหน ทุกคนคิดเหมือนกัน 

          แต่การที่จะต้องเปิดประเทศ เพื่อทำตามคำสั่งขององค์กรอิสระสายอเมริกา มันก็จะกลายเป็นสภาวะ "ลงล็อคตามแผน"
  • UN รับเงินและหาประเทศปลายทาง
  • UNHCR บีบบังคับประเทศในอาณัติสัญญาให้สร้างค่ายผู้ลี้ภัย
  • USA จ้องตีกินเรื่องการค้ามนุษย์ 

   สรุป ผู้เคราะห์ร้ายคือชาวโรฮิงยา ที่ถูกอังกฤษเกณฑ์มาทำสงครามในพม่า และทอดทิ้งไว้

   แล้วทำไม ? ไอ้พวกตัวต้นเรื่องที่ได้ผลประโยชน์ทั้งหลาย กลับหายหัวกันหมด และจะมาเลือกใช้กฏที่มันตั้งไว้บังคับประเทศอื่น ๆ ให้ทำตามมัน ? เช่นนั้นหรือ

     ลองสืบ ๆ ค้นดูเชิงลึก จะรู้ว่า มีอีกหลายประเทศที่มีพื่นที่ว่าง ๆ ให้พำนัก เช่นนิวซีแลนด์ ออสเตเลีย ฯลฯ  

    แต่.....ประเทศพวกนี้ "จ่ายหนัก" ให้UN+UNSCR โดยแลกกับการผลักดันชาวโรฮิงยาไปตายเอาดาบหน้า

ในฐานะมุสลิม ล้วนเห็นใจมุสลิมด้วยกัน
      แต่ลองดูดีๆ ประเทศมุสลิมที่ร่ำรวยในตะวันออกกลาง อัตราจ้างโครตแพง กลับไม่เคยเหลียวแล (มุสลิม) โรฮิงญา เหล่านี้ เลย....... ???  มีแต่มุสลิมระดับกลาง เช่น ประเทศเราเท่านั้น ที่เห็นหัว


ปล. 

        มีพื้นที่ ๆ เหมาะสมและกว้างใหญ่ให้ UNHCR ใช้ทำค่ายผู้ลี้ภัยในระยะใกล้ ๆ อีกเยอะมาก 
แต่กลับเลือกที่จะ "ผลักดัน" ให้ประเทศที่ถูกอเมริกันกล่าวหาเรื่อง "ละเมิดและค้ามนุษย์" เป็นผู้รับรองซะอย่างนั้น ???? 

มันแปลกดีครับ


Cr :  มุสลิมไทยคนนึงได้กล่าวไว้

โรฮิงญา หรือ โรฮินจาเป็นคนที่คบไม่ได้



จะเป็นโรฮิงญา หรือ โรฮินจา อะไรก็แล้วแต่  คนเหล่านี่ก็เป็นคน เพียงแต่เป็นคนที่คบไม่ได้

          ในช่วงเวลา 5 - 10 ปีมานี้ ชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งที่เข้าสู่ประเทศไทย ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกดหมาย และมีรายงานข่าวจากฝ่ายความมั่นคงยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้ เข้ามาเป็นคนรับจ้างของโจร ต่อสู้กับทหารไทยที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จริง 

          หากปล่อยปัญหาแบบนี้ไว้ ต่อไปอีก 10 ปี - 20 ปี คนพวกนี้ขยายพันธ์ ยึดด้ามขวานแน่ เพราะว่าคนพวกนี้ ไม่ได้เข้ามาแค่ 100 - 200 คน ถ้ารัฐบาลไทยอนุมัติ คนเหล่านี้จะทะลักหลั่งไหลอพยพจากรัฐยะไข่และเบงกอลมาประเทศไทยตามมาอีกมากมาย จะเรียกว่ามาทั้งหมดก็เป็นไปได้ ที่เราเห็นกันอยู่ในข่าวสองสามสัปดาห์มานี้มันแค่น้ำจิ้มครับ

         แล้วคนพวกนี้ ถ้ารัฐบาลไปทำอะไรเข้่าละก็ องค์กรมุสลิมโลก องค์กรมุสลิม (พวกขายชาติ) ก็จะเสนอหน้าเข้าแส่ทันที

        จากนั้นพวกมันก็จะขอให้ปกครองตนเอง เช่นเหตุการปัจบัน (รัฐปัตตานี) 

        นี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทั่วโลก และหลาย ๆ ประเทศเสียก็เสียรู้, เสียอธิปไตย ให้คนพวกนี้
มันเป็นภัยเกินกว่าจะเอาเรื่องสิทธิมนุษย์ชนยกขึ้นมาอ้าง คนพวกนี้แม้แต่บรรดาชาติมุสลิมด้วยกัน ก็ยังไม่มีประเทศไหนรับคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่กลับมีมุสลิมไทยหลาย ๆ คน เชียร์กันเหลือเกินให้ไทยรับโรฮินยาเข้ามา จนดูแล้วชวนให้สงสัยมาก ๆ ว่าเหมือนเป็นแผนอยากจะให้รับโรฮินยาเข้ามาเยอะๆเพื่อจะมาช่วยกันผลิตลูกหลานเพิ่มจำนวนมุสลิม ต่อไปจำนวนสัดส่วนมุสลิมในไทยจะได้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศนี้ แต่มีวิธียึดประเทศของโรฮิงญาเฉียบขาดกว่านั้นมาก คือ 
  • ทำยังไงก็ได้ให้ไทยรับมาอาศัย เรียกร้องหรือหาวิธีที่จะได้สัญชาติไทย และ
  • ปั๊มลูกเพิ่มสัดส่วนประชากร 
  • พอชาวโรฮิงญามีจำนวนซัก 40% และมีสัญชาติไทยครบถ้วน
คงไม่ต้องสาธยายต่อนะ ว่าประเทศจะถูกยึดอย่างไร


        เรื่องแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ลองศึกษาได้จากประวัติศาสาตร์ชาติมาเลเซีย ที่กลายเป็นประเทศมุสลิม ทั้ง ๆ ที่เคยมีมุสลิมในประเทศไม่ถึงครึ่ง  

       พอยึดประเทศได้ด้วยจำนวนเสร็จเรียบร้อย ต่อจากนั้นก็เริ่มมาตรการต่อคนมาเลเซียที่นับถือศาสนาอื่น ทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ประกาศใช้ นโยบายที่เป็น นโยบายเฮงซวย
เช่น นโยบายภูมิบุตร
ให้อภิสิทธิ์ต่อมุสลิมด้วยกัน อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้ทุกรูปแบบ
แต่กลับกดขี่ ข่มเหง ริดรอนสิทธิ์ เก็บภาษีพิเศษต่างศาสนา กับ คนที่ไม่ใช่มุสลิม (ผมไม่ได้กล่าวถึงตัวศาสนา ผมกล่าวถึงคนมุสลิมไทยบางคนที่มันคิดบัดซบแบบนี้) 

       มีกลุ่มโรฮิงญาบางกลุ่มครับ ที่พยายามจะสร้างสงครามศาสนาระหว่าง พุทธ กับ อิสลามด้วยการ บิดเบือนความจริง มาภูเก็ตก็มาตีมาฆ่ากับพม่าอีก เดือดร้อนพี่น้องคนไทยในภูเก็ตอีก

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ส่งโรฮิงญาไปสหรัฐอเมริกาเลยท่าจะดี




          ชาวโรฮินจา คือ ชาวเบงกาลี ของอินเดีย ยุคล่าอาณานิคม อังกฤษนำเข้ามา พร้อมกับชาวกุรข่า ต่อสู้กับพม่า เพื่อยึดดินแดน และโค่นล้มราชวงศ์พม่า จับกษัตริย์สีป่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายพม่า ไปกักบริเวณไว้ที่อินเดีย จนวาระสุดท้าย เมื่อจบภารกิจแล้วชาวโรฮีนจา ไม่ได้กลับถิ่นฐาน ตั้งรกรากแถวรัฐยะไข่ของพม่า จนแยกแผ่นดินจากอินเดียเป็นประเทศบังคลาเทศ ด้วยความที่นับถือฮินดู และอิสลาม ชาวโรฮินจา จึงขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกับชาวพุทธพม่าอยู่เนือง ๆ มีการทุบทำลายพระพุทธรูป และเผาวัดชาวพม่า ก่อจราจลเผาบ้านเผาเมือง จำนวนมาก

          ชาวโรฮินจา เป็นเผ่านักรบ แต่ไร้ความรู้ จึงถูกกลุ่มอัลกออีดะห์นำไปฝึกเป็นกลุ่มก่อการร้าย จนมีนักรบมูจาฮิดีน โรฮินจา ชาวโรฮินจา เมื่อผ่านจากไทยเข้าไปในมาเลเซีย ก็ถูกกลุ่มก่อการร้ายชายแดนใต้ศัตรูคนมุสลิม BRN จ้างมาฝึกอาวุธ แล้วย้อนกลับมาก่อวินาศกรรม ในจังหวัดชายแดนของไทย 

         สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมไทย เคยตรวจ DNA กลุ่มก่อการร้ายชายแดนใต้ ปรากฎหลักฐานว่าเป็นชาวโรฮีนจา จำนวนมาก



        การที่อเมริกา และสื่อมวลชิน เรียกร้องให้ไทยรับ ชาวโรฮีนจา เข้ามาตั้งศูนย์พักพิงนั้น เกมส์นี้คือการรวมกลุ่มก่อการร้ายขนานใหญ่ที่จะแฝงตัวมากับผู้อพยพเหล่านี้ และอเมริกาจะหนุนอาวุธ สร้างให้เป็นกลุ่ม IS สายเอเซียใต้ และจะทำให้ไทย ตกอยู่ในสภาพเดียวกับยูเครน อิรัก และซีเรีย รู้ทันอเมริกา เท่ากับพาชาติพ้นภัย 

        มีสถานที่ว่างสำหรับสร้างศูนย์พักพิงชาวโรฮินจา ที่เหมาะสมมาก คือ ดินแดนอเมริกานั่นเอง โดย UNHCR แค่กินหัวคิว ชาวโรฮีนจา แล้วใช้เรือลากจูง จากรัฐยะไข่ของพม่า มุ่งตรงไปยังดินแดนอเมริกาเท่านั้น

อวสานหาสา เพราะบรรพบุรุณโรฮิงญา จริงหรือ ?



       เหตุการณ์ช่วงที่พระนเรศวรกำลังจะยกทัพไปปราบหงสาวดี ของพระเจ้านันทบุเรง หลังจากที่พระเจ้าตองอูกับพระเจ้ายักไข่มาเข้ากับไทยครั้งนั้น ความจริงปรากฏในเรื่องพงศาวดารต่อมาภายหลัง ว่าพระเจ้าตองอูคิดเห็นว่าไทยคงตีได้เมืองหงสาวดี เมื่อกำจัดพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเสียแล้ว สมเด็จพระนเรศวรจะต้องหาใครครองเมืองหงสาวดี ถ้ามาเข้ากับไทยให้มีความชอบต่อสมเด็จพระนเรศวร คงจะได้เป็นพระเจ้าหงสาวดี เป็นใหญ่ในประเทศพม่าต่อไป

        ฝ่ายพระเจ้ายักไข่ก็อยากได้หัวเมืองขึ้นของหงสาวดี ที่ต่อแดนยักไข่ทางทะเลลงมาจนปากน้ำเอราวดี หวังจะได้หัวเมืองเหล่านั้นเป็นบำเหน็จเหมือนกัน บางทีจะรู้เห็นเป็นใจกันกับพระเจ้าตองอูจึงมาขอเข้ากับไทยในคราวเดียวกัน สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงรับความสวามิภักดิ์ทั้ง ๒ เมือง

       ในหนังสือพงศาวดารว่า ครั้งนั้นมีพระภิกษุที่เมืองตองอูองค์หนึ่ง ชื่อว่าพระมหาเถรเสียมเพรียม เห็นจะเป็นชีต้นอาจารย์ของพระเจ้าตองอู เป็นคนฉลาดในเล่อุบาย รู้ว่าพระเจ้าตองอูให้มาอ่อนน้อมต่อไทย ก็เข้าไปทัดทานพระเจ้าตองอู ว่าที่หมายจะเป็นโดยไปพึ่งต่อไทย เห็นจะไม่สมคิด เพราะกรุงหงสาวดีกับกรุงศรีอยุธยารบพุ่งขับเคี่ยวแข่งอำนาจกันมาช้านาน ถ้าสมเด็จพระนเรศวรปราบเมืองหงสาวดีได้แล้ว ไหนจะยอมให้ใครมีอำนาจขึ้นไปเป็นคู่แข่งอีก คงจะคิดตัดรอนทอนกำลังเมืองหงสาวดี มิให้มีโอกาสที่จะกลับเป็นอิสระได้อีก อย่างดีก็จะได้เป็นเพียงประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา เหมือนอย่างเคยขึ้นต่อพระเจ้าหงสาวดีมาแต่ก่อนเท่านั้น เห็นว่าทางที่จะคิดเป็นใหญ่ได้โดยลำพัง ไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของไทยยังมีอยู่ แล้วพระมหาเถรเสียมเพรียมก็บอกกลอุบายให้พระเจ้าตองอู พระเจ้าตองอูเห็นชอบด้วย จึงแต่งพวกคนสนิทให้ลอบลงมายุยงพวกราษฎรที่ถูกไทยเกณฑ์มาทำนา ประสงค์จะให้มอญเป็นอริขึ้นกับไทย จนเกิดเหตุการณ์กีดกันมิให้สมเด็จพระนเรศวรยกขึ้นไปตีเมืองหงสาวดีได้โดยสะดวก

       แล้วแต่งทูตไปยังพระเจ้ายักไข่ซึ่งยกกองทัพเรือลงมาตั้งอยู่ ณ เมืองสิเรียม ชวนให้ร่วมใจในกลอุบายที่คิดไว้ นัดให้พระเจ้ายัดไข่ยกกองทัพขึ้นไปทางเรือ เหมือนหนึ่งว่าจะช่วยสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองหงสาวดี ส่วนพระเจ้าตองอูจะยกทัพบกลงมายังเมืองหงสาวดี เหมือนอย่างว่าจะมาช่วยพระเจ้าหงสาวดีต่อสูสมเด็จพระนเรศวร พอได้อำนาจในเมืองหงสาวดีแล้วจะให้หย่าทัพกับพระเจ้ายักไข่ ยอมให้หัวเมืองทางชายทะเลแก่พระเจ้ายักไข่ตามแต่จะต้องการ

        พระเจ้ายักไข่เห็นว่าเข้ากับพระเจ้าตองอูจะได้กำไร มากกว่ารอช่วยสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองหงสาวดี ก็รับเข้าร่วมมือกับพระเจ้าตองอู แล้วยกกองทัพขึ้นไปตั้งติดเมืองหงสาวดี ฝ่ายพระเจ้าตองอูก็ยกกองทัพบกลงมาในราวเดือน ๑๒ ปีกุน พ.ศ. ๒๑๔๒ นั้น ว่าจะมาช่วยพระเจ้าหงสาวดีต่อสู้ข้าศึก

       แต่พระเจ้าหงสาวดีไม่ไว้พระทัยพระเจ้าตองอู เพราะเคยกระด้างกระเดื่องมาแต่ก่อน ไม่ยอมให้กองทัพพระเจ้าตองอูเข้าไปในหงสาวดี พระเจ้าตองอูก็ตั้งกองทัพติดเมืองอยู่ข้างฝ่ายเหนือ เหมือนอย่างกองทัพพระเจ้ายักไข่ตั้งติดเมืองอยู่ข้างใต้ ล้อมเมืองหงสาวดีไว้

       ฝ่ายคนสนิทของพระเจ้าตองอู เมื่อลงมาถึงเมืองเมาะตะมะ ก็แยกย้ายกันไปปะปนอยู่ในพวกพลเมือง เที่ยวหลอกลวงพวกมอญว่าไทยเกณฑ์มาทำนา พอเสร็จแล้วจะกวาดต้อนเอาไปไว้ใช้ในกรุงศรีอยุธยา พวกราษฎรก็เกิดหวาดหวั่น บางพวกก็หลบหนี ไม่ทำการงานเป็นปกติเหมือนดังแต่ก่อน

       ครั้นพวกไทยที่เป็นพนักงานตรวจตราเห็นมอญหลบหนีก็สั่งจับกุม พวกมอญเลยเข้าใจกันไปว่าจะจับส่งไปเมืองไทย ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น บางทีถึงต่อสู้ไม่ยอมให้จับกุม แล้วเลยสมคบกันเป็นพวกๆ ถ้าเห็นไทยติดตามไปน้อยตัวก็รุมทำร้ายเกิดการฆ่าฟันกันขึ้นเนืองๆ

       เจ้าพระยาจักรีเห็นพลเมืองมอญกระด้างกระเดื่องขึ้นดังนั้น เข้าใจว่าเป็นเพราะพวกมอญที่เป็นมูลนายไม่กำราบปราบปราม ให้เอาตัวพวกมอญมูลนายมาจองจำทำโทษ พวกมอญที่เป็นชั้นมูลนายก็พากันหลบหนีไปเข้ากับพวกราษฎร เลยเป็นกบฏที่เมืองเมาะตะมะ

      สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบ ก็รีบเสด็จยกกองทัพหลวงออกจากพระนครศรีอยุธยาเมื่อเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีกุน เสด็จไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์ด้วยกันกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าพระยาสุรสีห์ฯคุมกองทัพเมืองเหนือไปทางด่านแม่สอดอีกทางหนึ่ง และมีกองทัพเมืองเชียงใหม่มาช่วยด้วยอีกกองหนึ่ง รวมจำนวนพลกองทัพไทย ๑๐๐,๐๐๐ ไปประชุมกันที่เมืองเมาะลำเลิง

      สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปถึง ต้องหยุดประทับยับยั้งจัดการปราบปรามพวกกบฏในเมืองมอญอยู่ถึง ๓ เดือนจึงราบคาบ และได้เสบียงอาหารบริบูรณ์ตามเกณฑ์

       ฝ่ายข้างเมืองหงสาวดี ตั้งแต่ถูกกองทัพเมืองตองอูกับเมืองยักไข่มาล้อมอยู่ พวกชาวเมืองกำลังกลัวจะต้องตกเป็นเชลยของไทย บางพวกก็เชื่อว่าพระเจ้าตองอูจะมาช่วยเหมือนปากว่า แต่พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงสงสัยว่า พระเจ้าตองอูคิดจะเอาเมืองหงสาวดีเอง เป็นแต่ทำอุบายว่าจะมาช่วย จึงไม่อนุญาตให้กองทัพพระเจ้าตองอูเข้าไปในพระนคร

       แต่เมื่อเมืองหงสาวดีถูกพวกเมืองตองอูกับเมืองยักไข่ล้อมอยู่เช่นนั้น ที่ในเมืองก็เกิดอดอยากขาดแคลนลง พอได้ข่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปถึงเมืองมอญ พวกชาวหงสาวดีที่เชื่อถือพระเจ้าตองอู ก็พากันลอบหนีออกไปหากองทัพเมืองตองอูมากขึ้นทุกที จนถึงมีพวกข้าราชการและที่สุดถึงพระมหาอุปราชาก็ทิ้งพระเจ้าหงสาวดีออกไปเข้ากับพระเจ้าตองอู โดยเห็นว่าแม้จะต้องเป็นเชลย ก็เป็นเชลยพวกพม่าด้วยกันเองอยู่ในเมืองพม่า ยังดีกว่าถูกไทยกวาดต้อนเอาไปเป็นเชลยในเมืองไทย

        พระเจ้าหงสาวดีถูกราชบุตรและข้าราชบริพารทิ้งเสียโดยมากเช่นนั้น มิรู้ที่จะทำอย่างไร ก็ต้องอนุญาตให้กองทัพเมืองตองอูเข้าไปในพระนคร แล้วมอบอำนาจให้พระเจ้าตองอูได้ว่าราชการบ้านเมือง ก็ให้ไปขอหย่าทัพกับพระเจ้ายักไข่ ด้วยยอมให้หัวเมืองชายทะเลที่ปรารถนา และทูลขอพระราชธิดาของพระเจ้าหงสาวดีองค์หนึ่ง กับช้างเผือกตัวหนึ่งให้พระเจ้ายักไข่ด้วย

       แม้รูปสัตว์ทองสัมฤทธิ์ซึ่งไทยได้มาจากเมืองเขมร แล้วพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเอาไปจากเมืองไทยนั้น พระเจ้ายักไข่ยากได้ก็ยอมให้ขนเอาไปเมืองยักไข่ในคราวนี้

       ฝ่ายพระเจ้ายักไข่ก็รับว่าจะแต่งกองโจรไว้คอยตีตัดลำเลียงเสบียงอาหารกองทัพไทยให้อดอยาก จะต้องถอยมัพกลับไปจากเมืองหงสาวดี ตกลงกันอย่างนั้นแล้วพระเจ้ายักไข่ก็เลิกทัพเรือกลับไปยังเมืองสิเรียมที่พระเจ้าหงสาวดียกให้นั้น

       เมื่อหย่าทัพกับเมืองยักไข่แล้ว พระเจ้าตองอูจึงทูลพระเจ้าหงสาวดีว่า สืบได้ความว่ากองทัพสมเด็จพระนเรศวรยกไปมีกำลังมากนัก จะต่อสู้ที่เมืองหงสาวดีเห็นจะสู้ไม่ไหว ขอเชิญเสด็จไปยังเมืองตองอู ตั้งต่อสู้ที่นั่นจึงจะพ้นมือข้าศึกได้

      พระเจ้าหงสาวดีมิรู้ที่จะทำอย่างไรก็ต้องยอม พระเจ้าตองอูจึงให้เก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติ และกวาดต้อนผู้คนพลเมืองหงสาวดีผ่อนส่งไปยังเมืองตองอูเป็นลำดับมา

       ในพงศาวดารพม่าว่า พระมหาอุปราชาอยู่ในพวกที่ไปก่อนเพื่อน ไปถึงเมืองตองอู พระสังกะทัตราชบุตรพระเจ้าตองอูก็ลอบปลงพระชนม์เสีย แต่ปกปิดมิให้รู้ไปถึงเมืองหงสาวดี

       ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงทราบแต่แรกเสด็จไปถึงเมืองเมาะลำเลิง ว่ากองทัพเมืองตองอูกับเมืองยักไข่ไปล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ ก็แคลงพระทัย ด้วยพระเจ้าตองอูกับพระเจ้ายักไข่ได้ทูลมาในศุภอักษรว่า ถ้ากองทัพหลวงไปเมื่อใดจะยกมาช่วยตีเมืองหงสาวดีทั้ง ๒ เมือง เหตุไฉนจึงด่วนไปล้อมเมืองหงสาวดีเสียก่อนกองทัพหลวงไปถึง แต่กำลังติดทรงปราบปรามพวกกบฏที่เมืองเมาะตะมะก็นิ่งอยู่

       พอปราบกบฎเรียบร้อยแล้วก็เสด็จยกกองทัพหลวงจากเมืองเมาะลำเลิง ขึ้นไปยังเมืองหงสาวดีในเดือน ๓ พระเจ้าตองอูได้ยินว่า สมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพออกจากเมืองเมาะลำเลิง ก็พาพระเจ้าหงสาวดีออกจากพระนครหนีไปเมืองตองอู เมื่อเดือน ๔ ขึ้น ๒ ค่ำ

      แต่พอเมืองหงสาวดีร้างไม่มีผู้คน พวกกองโจรชาวยักไข่ก็พากันเผาเมืองหงสาวดีเสียหมดทั้งเมือง แม้จนปราสาทราชมนเทียรก็ถูกไฟไหม้หมด ไม่มีอะไรเหลือ

     เรื่องเผาเมืองหงสาวดีครั้งนั้น ในหนังสือพงศาวดารบางฉบับว่า พระเจ้าตองอูสั่งให้เผา บางฉบับว่าพวกยักไข่เข้าไปเที่ยวค้นหาทรัพย์สินซึ่งยังเหลืออยู่ เช่นสุมไฟลอกทองพระเป็นต้น เลยเกิดเพลิงไหม้เมืองหงสาวดี ซึ่งเมืองยักไข่ตามประวัตินี่แหละครับ คือ ที่ตั้งของรัฐอาระกัน ภูมิลำเนาของโรฮิงญาในปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โจรฟาตอนนี ไม่พ้นกรรม !!??




          จากกรณีตรวจค้นรังโจรใต้วานนี้ (13 พ.ค. 58) หลังจับกุมโจรใต้ได้ 3 คน เจ้าหน้าที่ได้ทำแผนที่ซ่อนอาวุธปืน ขณะทำแผนอยู่นั้นโจรใต้ได้ชักปืนที่ซ่อนไว้ยิงเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 ส่วนโจรใต้ดับคาที่ 1

         และสามารถจับกุม นายอาซิ ดาโอง อยู่บ้านเลขที่ 31/4 ม.5 ต.ลูโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี หนึ่งในทีมลอบสังหารโหด 4 ทหารกล้ามายอเสียชีวิต และยิงไทยพุทธทราบชื่อ นายสุชาติ และภรรยา เสียชีวิตกลางตลาดนัดปาลัส เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 57...

ใครไม่อยู่ยะลา ไม่รู้หรอกครับ ไม่รู้แม่งอ้างคัมภีร์เล่มไหน หรือพราะเจ้าหัวควยองค์ไหน



เหตุลอบวางระเบิด อ.เมืองยะลา 14-15 พค 58
1.ตลาดใหม่
  • 1.1.ร้านศรีภัณฑ์ ระเบิด=2
  • 1.2.ร้านอีซี่สโตร์ ระเบิด=1 ไม่ระเบิด=6
  • 1.3.ศูนย์ DTAC ระเบิด=1
  • 1.4.ร้านอภิรักษ์เครื่องเรือน ระเบิด=1
  • 1.5.ร้านเมืองใหม่การไฟฟ้า ระเบิด=1
  • 1.6.ร้านยิ้มจินดา ระเบิด=1
  • 1.7.ร้านโกไข่การไฟฟ้า ระเบิด=1

2.ในเมือง
  • 2.1 ธกส.สิโรรส ระเบิด=1
  • 2.2 ร้านซีบาร์ ถสิโรรส ระเบิด=1
  • 2.3 ร้านปลาน้อย ถ.พิพิธภักดี ระเบิด=1
  • 2.4 ผังเมือง 4 ซอย 12 ระเบิด=1
  • 2.5 ร้านน้ำชาตาหลวง(วัดตรีมิตร) ระเบิด=1
  • 2.6 ร้านขายของชำกัวเซ่งเฮง ระเบิด=1
  • 2.7 ร้านขายเครื่องครัวเรือน(แยกมาสด้า) ระเบิด=1
  • 2.8 แยกก่อนถึงอนามัยสะเตงนอก ระเบิด=1
  • 2.9 ร้านดวงอมร ไม่ระเบิด=1
  • 2.10 ร้านทองดี(วัดเห้งเจีย) ระเบิด=1 
  • 2.11 โกดังศรีสมัย ระเบิด=1
  • 2.12 พินิจมอเตอร์ ระเบิด=1

3.ตลาดเก่า
  • 3.1 ร้านเเว่นท็อปเจริญ ถ.สิโรรส ระเบิด=1
  • 3.2 หจก.แสงเจริญนาประดู่ สาขาตลาดเก่า ระเบิด=2
  • 3.3 ร้านขายของชำปากซอยวิฑูรย์อุทิศ 11 ระเบิด=1
  • 3.4 ร้านขายน้ำแข็งปากซอยวิฑูรย์อุทิศ ระเบิด=1
  • 3.5 ตู้โทรศัพย์ปากซอยศรีบุตรา ระเบิด=1
  • 3.6 ร้านอู่เปี้ยกปากซอยศรีบุตรา ระเบิด=1
  • 3.7 สระพานข้ามคลองทางไปสวนส้ม(ร้านขายกล้วยแขก) ระเบิด=1
  • 3.8 โกดังสวัสดี ถ.สิโรรส 6 ระเบิด=1
  • 3.9 สวนส้ม ถ.ยะลา - วังพญา ระเบิด=1
  • 3.10 บ้านไม่มีเลขที่ ถ.ยะลา - วังพญา ระเบิด=1
  • 3.11 บริษัทซิมซุงฮวด ระเบิด=1
  • 3.12 ร้านศักดิอีเล็คโทรนิกส์ ถ.วิฑูรย์อุทิศ์ 1 ระเบิด=1
  • 3.13 ร้านขายของชำ(ก่อนถึงแสงเจริญมอเตอร์) ระเบิด=1

4.สาย15
  • 4.1 ตู้ ATM หน้าการไฟฟ้า ระเบิด=1
  • 4.2 เสาไฟฟ้า(ทางเข้าอิสลามประสานวิทย์) ระเบิด=1
  • 4.3 หน้าสุสานจีน (พงยือไร) ระเบิด=3 ไม่ระเบิด=3
  • 4.4 สามแยกไปเรือนจำ ระเบิด=1

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กระเทาะเปลือกแถลงการณ์ ‘LEMPAR'




โดย ‘แบดิง โกตาบารู’



           ตูแวดานียา ตูแวแมแง ร้อนอกร้อนใจอดรนทนไม่ไหวเมื่อมีผู้อื่นวิเคราะห์ตัวเองบ้าง ถึงกับรีบออกแถลงการณ์ในนามส่วนตัว ครั้งที่ 1: เรื่อง กรณีบล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนภาคใต้นำเสนอข้อมูลเท็จต่อสาธารณะ ในเว็บไซต์deepsouthwatch.org ปั่นราคาให้กับตนเองปัดความรับผิดชอบทุกกรณี




         อาจจะเป็นกลยุทธ์ของ นายตูแวดานียา ปลุกกระแสเพื่อต้องการขายหนังสือ PATANI MERDEKA บนท้องถนน#2 ดูจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทหนึ่งในนามนักเขียนที่มักแฝงอยู่ในอุดมการณ์จอมปลอมนอกเหนือจากการขายเสื้อ ขายสติ๊กเกอร์ ขายธง และอื่น ๆ ตามเวทีที่ตระเวนออกไปยังสถานที่ต่างๆ กับวาทะกรรม “เอกราชบนท้องถนน” ซึ่งเป็นการต่อสู้ตามแนวทางวิถีประชาธิปไตยที่ควรยกย่อง แต่สำหรับนายตูแวดานียา องค์กร LEMPAR ตลอดจนทัพหน้าอย่าง PerMAS เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เพราะมีการปิดบัง ซ่อนเงื่อน คงจะเป็นได้แค่เพียง “ขอทานบนท้องถนน” กระมัง !! เนื่องจากมีการแอบอ้างพี่น้องประชาชนปาตานีในการทำมาหากิน...มาโดยตลอด



         จั่วหัวแถลงการณ์ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายลงท้ายด้วยคำว่า นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผู้อำนวยการสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) เอ๊ะ!! ชักจะยังไงกันแน่ แถลงการณ์ในนามส่วนตัว แต่เอาตำแหน่งผู้อำนวยการ LEMPAR มาการันตีกลัวใครไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใหญ่...อยู่ในกะลา LEMPAR


        ตูแวดานียา ตูแวแมแง ได้กล่าวว่าบล็อกความจริงจากจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ Thailand South Situation ได้นำเสนอข้อมูลในลักษณะบทความเชิงรายงานและวิเคราะห์ ได้พาดพิงข้าพเจ้าในลักษณะให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะ

        การรีบออกมาแถลงการณ์ในนามส่วนตัวของ นายตูแวดานียา ย่อมมีนัย และยอมรับความจริงไม่ได้ในการนำเสนอเนื้อหาต่อสาธารณชน คุณดีแต่วิเคราะห์ผู้อื่น อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นไปยังบทบาทการเมืองของไทย ฟาดงวงฟาดหางคนโน้นทีคนนี้ทีจนได้ใจ ใช้สถานะตำแหน่ง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา ที่ใหญ่โตคับฟ้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

        คุณแสดงท่าทีและไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจรัฐ ในการติดตามจับกุมผู้ก่อเกตุรุนแรงหลายครั้ง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าท่านและบรรดาลิ่วล้อเป็นปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการ BRN น่าจะมีมูลความจริง


         เหตุการณ์หลาย ๆ ครั้งที่ขบวนการโจรใต้ได้ทำการก่อเหตุฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายอ่อนแอ เด็ก สตรี และคนชรา ขบวนการโจรนักศึกษานำโดยกลุ่มPerMAS ภายใต้การประสานงานโดย LEMPAR ซึ่งส่วนใหญ่สมาชิกภายในกลุ่มแทบเป็นเนื้อเดียวกัน จะมีความคิดที่สุดโต่ง ออกแถลงการณ์แสดงบทเสียใจต่อเหตุการณ์แต่แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง มุ่งให้ร้ายกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่อเหตุการณ์ หากใครได้อ่านแถลงการณ์LEMPAR: กรณีพลเรือนถูกฆ่าแล้วเผาในพื้นที่ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา จะถึงบางอ้อ


        ผู้เขียนขอนำข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ของสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา หรือ LEMPAR มาแกะเปลือกเพื่อให้เห็นแก่นแท้ที่แอบแฝงไว้ข้างในที่ฉาบด้วยยาพิษ องค์กรเหล่านี้อาศัยความตายของประชาชนในพื้นที่ด้วยการออกแถลงการณ์ แต่มิวายยังหาประโยชน์ใส่ตน...



  • 1.ขอให้รัฐจัดตั้งกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีความเป็นกลางซึ่งหมายถึงเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนและชี้แจงต่อสาธารณะด้วยข้อมูลที่อิงกับพยานหลักฐาน เพื่อลดกระแสและท่าทีการแสดงความรู้สึกกันไปมาของสาธารณะ อย่างน้อยๆ จะได้ลดความตึงเครียดและยับยั้งวงจรการเอาคืนและล้างแค้น
  • 2.ขอเรียกร้องให้สาธารณะจงใช้วิจารณญาณที่มีวุฒิภาวะทางการเมืองในการสรุปว่าใครคือคนร้ายตัวจริงเพราะในสถานการณ์รบแบบมีการใช้การลับลวงพรางสูงนั้น บางทีความจริงอาจจะเป็นความเท็จและความเท็จอาจจะเป็นความจริงก็เป็นได้
  1. 3.ขอเรียกร้องให้รัฐเร่งการดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายและต้องมีความรัดกุมรอบคอบเพื่อให้ได้มาซึ่งคนร้ายตัวจริง
  • 4.หากขั้นตอนของการตามหาคนร้ายจำเป็นที่จะต้องใช้ยุทธการปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านเป้าหมาย ขอเรียกร้องให้รัฐใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติการเพื่อไม่ให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินเฉกเช่นกรณีของเหตุการณ์โต๊ะชูดที่ผ่านมา


         ผู้เขียนอ่านทบทวนหลายรอบ ยังไม่เห็นเลยว่าแถลงการณ์ของ LEMPAR มีการประณามการกระทำของคนร้าย หรือเรียกร้องไม่ให้มีการก่อเหตุที่รุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่ประการใด มีแต่กลัวว่าจะมีการเอาคืน ผู้ที่เสียชีวิตโดนฆ่าตายแล้วเผายังจะมีการเรียกร้องให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ มีการชี้นำว่า“มีการใช้การลับลวงพราง ความจริงอาจจะเป็นความเท็จและความเท็จอาจจะเป็นความจริง” โดยเฉพาะข้อที่ 4 มิวายนำเหตุการณ์โต๊ะชูดมาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นยุทธวิธีขององค์กรเหล่านี้อยู่แล้วที่คอยแว้งกัดเมื่อประสบโอกาส

        มันช่างแตกต่างกับเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุม หรือกรณีมีเหตุปะทะวิสามัญจนนำไปสู่การเสียชีวิตของ ผกร. เสียเหลือเกิน กลุ่มขบวนการโจรใต้นักศึกษา กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมสนับสนุนโจรใต้จะรีบกุลีกุจอออกมาแสดงบทบาทอย่างเข้มแข็ง มีการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในแง่ลบ มีการกดดันให้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือมีการยื่นหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำการประท้วง


         สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS), สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) รวมทั้งนักวิชาการที่มีบทบาทชี้นำทางความคิด และองค์กรภาคประชาสังคมที่สวมหน้ากากกระทำตัวเป็นนักบุญ แต่มีการแอบอ้างบิดเบือนและทำลายความพยายามในการสร้างความเข้าใจของภาครัฐโดยใช้เงื่อนไขความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมจัดกิจกรรมในลักษณะเวทีเสวนา ปลุกเร้าให้ประชาชนเข้าใจว่ากำลังอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหง และต้องการแยกตัวเป็นเอกราช


         จึงขอเรียกร้องไปยังสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) และขบวนการโจรใต้ปาตานี (BRN) หยุดใช้เยาวชนนักเรียน นิสิตนักศึกษาเป็นเครื่องมือ ยุติพฤติกรรมการใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐ และบิดเบือนความจริงในสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ 

       หากยังมีการแถลงการณ์ซ่อนเร้น แอบแฝง ชี้นำทางความคิดสร้างความสับสนเคลือบแคลงสงสัย ก็อย่าพยายามอีกเลยครับเพราะมีคนรู้เท่าทัน หากยังดื้อดึงมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรของท่าน และควรมีความจริงใจมากกว่านี้ อย่ากระทำตนสองมาตรฐาน ตรงไปตรงมา ไม่ลับลวงพรางพฤติกรรมเสมือนไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่ให้เกียรติกับประชาชนชาวปาตานี

------------------------------------

ไม่เกินความคาดหมาย !!! สื่อโจร ดิ้นทุรนทุรายเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า



          สื่อโจรทั้งบรรดาเพจโจรฟาตอนีทั้งหลายที่พยามทำ IO นักศึกษาโจรอย่างกลุ่มพีมาส ที่นำทีมโดยแบมิงหน้าดำเจ้าเก่า ได้ระดมโพสคำถามต่อกรณีเหตุการที่คนร้าย คือ นายนิอีดือเระ เจะแห ที่ถูกจับกุ่ม แล้วถูกวิสามัญจนเสียชีวิตในภายหลัง โดยตั้งคำถามว่า " เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ เพราะคนร้ายถูกจับกุ้มแล้ว "

แต่ !!! มีสิ่งที่พวกสื่อโจร และนักศึกษาพีมาสไม่เคยพูด หรือพูดเพียงครึ่งเดียว คือ

  • 1. ท่านทราบหรือไม่ว่า นาย นิอีดือเระ เจะแห คือ ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุยิงทหาร 4 ศพ ที่มายอ ร่วมทั้งเป็นถึงหน.รือกู อ.มายอ และมีภาพเป็นหลักฐานชัดเจนจากกล้องวงจรปิด ลิงค์เหตุการณ์ http://www.pastnews.org/?p=6640

  • 2. ในการจับกุ้มครั้งนี้ มีผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนมาเป็นพยาน ซึ่งพวกเค้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมที่จะเป็นพยานได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ

  • 3. สิ่งที่เป็นหัวใจหลักที่บรรดาสื่อโจร และนักศึกษาโจรไม่พูดเลย คือ ลำดับเหตุการณ์ที่เมือเจ้าหน้าที่ได้ทำการ นายนิอีดือเระ เจะแห แล้วเจ้าตัวแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่ามีปืนซ้อนอยู่ในบ้าน เมือเจ้าหน้าที่พาเข้าไปค้นหาปืน กลับแอบหยิบขึ้นมายิงเจ้าหน้าที่ เพื่อทำการเปิดทางหนี

         เพราะ นายนิอีดือเระ เจะแห ย่อมรู้ตัวดีว่าถ้าถูกควบคุมตัวแล้วนำตัวขึ้นศาลมีโอกาศถูกประหารชีวิตตามตัวบทกฏหมาย จึงคิดที่จะหนีการควบคุมตัวโดยการล่วงเจ้าหน้าที่ แล้วเกิดการต่อสู้จนทำให้ เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 นาย คือ 1.ร.ต.อ.วิเชษ แห้วขุดทด บาดเจ็บแขน 2.ร.ท.นพพร มารวิชัย (สาหัส)

         เหตุการณ์นี้บรรดาสื่อโจร และนักศึกษากลุ่มพีมาสไม่เคยพูดถึงเลย หรือพูดเพียงครึ่งเดียว มันก็ไม่ต่างจากการโกหกใช้หรือไม่ ถ้าคนร้ายไม่มีปืนจริง ทำไมเจ้าหน้าที่ถูกยิงจนสาหัสด้วย คงไม่มีใครจัดฉากโดยการยิงตัวเองจนสาหัสใช้มั้ยครับพวกเรา !

ปัญหาภายใน PerMAS ระส่ำ สุไฮมี ดูละสะ เตรียมลาออก


โดย . แบมะ ฟาตอนี

         PerMAS แตกร้าว นายสุไฮมี ดูละสะ ประธานคนปัจจุบันเตรียมไขก๊อกลาออก เนื่องจากประสบปัญหาการบริหารจัดการภายในองค์กร อีกทั้งโดนตำหนิจากการออกแถลงการณ์ การเสียชีวิตของนายมุกตาร์ อาลีมามะ และบุตรชาย เมื่อ 19 เม.ย.57


         การปฏิบัติหน้าที่ของ นายสุไฮมี ดูละสะ ในฐานะประธาน PerMAS ที่ผ่านมาได้วางแผนการปฏิบัติงานที่มีความแตกต่างจากการทำหน้าที่ของ นายฮาเต๊ฟ โซ๊ะโก ประธาน PerMAS คนก่อนอย่างสิ้นเชิง นำองค์กรและบรรดาสมาชิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของพี่น้องปาตานีหลายต่อหลายเหตุการณ์ด้วยกัน การตัดสินใจที่ผิดพลาดนำมาซึ่งได้รับคำตำหนิจากที่ปรึกษาองค์กร อย่างกรณีล่าสุดการออกแถลงการณ์การเสียชีวิตของนายมุกตาร์ อาลีมามะ และบุตรชาย


นายสุไฮมี ดุลละสะ คือ นอมินี นายฮาเต๊ฟ โซ๊ะโก

         จากการตั้งข้อสังเกตในการบริหารงานภายในองค์กรของกลุ่ม PerMAS เริ่มมีปัญหามาตั้งแต่ นายสุไฮมี ดูละสะ เข้ารับตำแหน่งประธาน อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้อยู่ที่ตัวนายสุไฮมี ตัวจริงเสียงจริงที่คอยขับเคลื่อนกลุ่ม PerMAS คือ นายฮาเต๊ฟ โซ๊ะโก ต่างหาก และเป็นผู้ที่ดึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนกลุ่ม PerMAS มาจากเงินรายได้ในการค้ายาเสพติด ซึ่งมีพ่อตาและญาติภรรยาดำเนินการอยู่ นายสุไฮมี เป็นแค่หุ่นเชิดที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อความอัดอั้นตันใจไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ จึงมีการดื้อเพ่งแหกกฎกระทำการบางอย่างลงไปโดยไม่ผ่านคณะที่ปรึกษา นำมาซึ่งการโดนตำหนิถึงความผิดพลาดในการตัดสินใจแถลงการณ์อื้อฉาว ความร้าวฉานจึงเกิดขึ้นภายในองค์กร รอวันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทางใครทางมัน




BRN เดินเกม ใช้ PerMAS เป็นเครื่องมือ

     การรุกทางทหารของ BRN และใช้กลุ่ม PerMAS ในการปลุกระดมมวลชน ทำการโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ซึ่งระยะหลังมานี้รูปแบบการเคลื่อนไหวของ PerMAS เหมือนได้รับใบสั่งมาจาก BRN ที่ทำงานสอดคล้องกันในทุกมิติ นายสุไฮมี ประธาน PerMAS เหมือนโดนกดดันในการทำหน้าที่ เดินทางลงพื้นที่ความขัดแย้งที่มีการสูญเสียทำการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติทางทหารของ BRN จากการสร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาจนนำไปสู่ความเกลียดชังของผู้ที่รู้เท่าทัน อีกทั้งถูกจับตามองจากหน่วยงานภาครัฐที่มีการล้ำเส้นสร้างความเสียหายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน ประจานการทำงานในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง 

 



แถลงการณ์ PerMAS : กรณีคนร้ายกราดยิงที่บันนังสตา คือต้นเหตุความขัดแย้ง

        แถลงการณ์สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานีเรื่องกรณีคนร้ายกราดยิง ด.ช.ลุกมาน อภิบาลแบ อายุ 6 ปี 2 เดือนและบิดา นายมุกตาร์ อาลีมาม ะซึ่งในแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นที่มาของการตำหนิ นายสุไฮมี ดูละสะ จากกลุ่มที่ปรึกษา PerMAS มาดูกันว่าการเรียกร้อง 3 ข้อ มีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง


  • ข้อที่ 1 รัฐไทยควรยอมรับว่าที่นี้คือสงครามที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นตัวขับเคลื่อนและควรเปิดพื้นที่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชนที่ประชาชนไว้ใจ เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเหตุการณ์ที่ละเมิดหลักมนุษยธรรม
  • ข้อที่ 2 รัฐไทยควรเอาจริงเอาจังกับยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารเพื่อให้ได้มาซึ่งแนวทางการสร้างสันติภาพแก่ประชาชนที่แท้จริง
  • ข้อที่ 3 รัฐไทยควรถอดถอนทหารออกจากพื้นที่ให้หมดเพราะพิสูจน์แล้วว่าตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมีทหารเต็มพื้นที่ก็ไม่สามารถรักษาความสงบสุขแก่ประชาชนได้รังแต่สร้างความคลางแคลงสงสัยตลอดจนสร้างเงื่อนไขใหม่เพิ่มเติมตลอดเวลา
        การออกมาแถลงการณ์ของกลุ่มและองค์กรต่างๆ ในระยะหลังมานี้ส่วนใหญ่มุ่งเป้ามาที่หน่วยงานความมั่นคง ทั้งที่จริงแล้วบางเหตุการณ์เป็นเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัว อย่างเช่นกรณีการเสียชีวิตของนายมุกตาร์ อาลีมามะ และบุตรชาย ประเด็นแรก อาจมาจากสาเหตุการหักหลังกันเองในกลุ่ม RKK ประเด็นที่สอง อาจจะเกิดจากความขัดแย้งกันเองภายในกลุ่มค้าไม้เถื่อน เป็นชนวนนำไปสู่ความตายเนื่องจากขัดแย้งในเรื่องของผลประโยชน์ไม่ลงตัว  ซึ่งหากดูท่าทีที่ปรึกษาของ PerMAS ที่ไม่พอใจต่อการออกแถลงการณ์ของ นายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS เบื้องลึกจริงๆ น่าจะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งของแกนนำ RKK ในพื้นที่เอง




        ปัญหาภายในของกลุ่ม PerMAS มาจากส่วนตัวของ นายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS เองที่เกิดความเบื่อหน่วย โดนสังคมในสื่อสังคมออนไลน์โจมตีอย่างหนัก บวกกับโดนตำหนิจาการออกแถลงการณ์บิดเบือนความจริง การไม่มีเอกภาพและไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการภายในองค์กร นำมาซึ่งความล้มเหลวในด้านต่างๆ และที่สำคัญ นายสุไฮมี มีกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปเข้ารับการศึกษาต่อในต่างประเทศ อาจเป็นประเด็นนำไปสู่การคิดวางมือจากการเป็นประธานกลุ่ม PerMAS ต้องจับตามองกันต่อไปว่าบทบาท PerMAS ซึ่งเป็นปีกของขบวนการ BRN จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นภายในองค์กร ที่แน่ๆ ณ วันนี้ความขัดแย้งได้ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ภายใน PerMAS เปรียบเสมือนแก้วที่มีรอยร้าวยากที่จะประสานรอวันแตกสลาย ไม่มีใครคิดทำลายองค์กร PerMAS ได้แต่คนภายในองค์กรเองกลับทำลายกันเอง

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มหาลัย มอ.จ้างมาได้ไง



ประเด็นที่ ๑

  • กรณี เมื่อ ๖ พ.ค.๕๘ นายฮาร่า ชินทาโร อาจารย์สอนภาษามลายู มอ.ปัตตานี ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุใดรัฐบาลไทยพยายามจะปิดโรงเรียนปอเนาะดั้งเดิมในปาตานี ทั้งนี้ไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายแทรกซึมความเป็นพุทธ แต่การกระทำดังกล่าวยังเป็นการทำให้คนปาตานีกลายเป็นคนโง่ รวมทั้งยังได้ลดทัศนคติของชาวปาตานีให้เท่าเทียมกับอาณานิคมไทย เพราะอาณานิคมไทยไม่ได้ฉลาดในสายตาชาวปาตานีแต่เป็นพวกที่ใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตามการศึกษาโรงเรียนปอเนาะเป็นระบบที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายสิบปี และสามารถผลิตนักปราชญ์จำนวนมากทั่วคาบสมุทรมลายู การพยายามลดทัศนคติของ ชาวมลายูปาตานีเสมือนกับความพยายามลบล้างสถานบันปอเนาะ สปสช.ฯ ได้ทำแนว ปส.ดังนี้.-


วัตถุประสงค์ : เพื่อ

  1. เพื่อตอบโต้การบิดเบือนของ นายฮาร่า ชินทาโร ที่พยายามปลุกระดม สร้างความแตกแยกในสังคม บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
  2. สร้างความเข้าใจโดยนำความจริงเสนอต่อสาธารณชน จนท.ไม่ได้ปิดกัน และล่วงละเมิดทางการศึกษา ให้ความเสมอภาคในการศึกษาของทุกเชื้อชาติ ศาสนา และให้การสนับสนุนทางด้านการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน
  3. กระตุ้นให้องค์กรทุกภาคส่วน ตลอดจนกลุ่มนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป ได้ออกมาประณามและต่อต้านการกระทำของนายฮาร่า ชินทาโร เพื่อด้อยค่าและโดดเดี่ยวนายฮาร่า ชินทาโร
ประเด็นที่ ๒
  • กรณี นายกัสตูรี มะห์โกตา แกนนำกลุ่ม PULO ร่วมประณามการก่อเหตุการณ์ยิงและเผาราษฎรไทยพุทธเสียชีวิตที่ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จว.ย.ล. เมื่อ ๖ พ.ค.๕๘ พร้อมกล่าวว่า อาจนำไปสู่การก่อเหตุตอบโต้กัน รวมทั้งทำลายภาพลักษณ์ของนักต่อสู้ปาตานีในสายตาของประชาชนปาตานี และนานาชาติ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ สปสช.ฯ ได้ทำแนว ปส.ดังนี้.-

วัตถุประสงค์ : เพื่อ

  1. ประชาสัมพันธ์เผยแพร่การประณามของกลุ่ม PULO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันโหดร้าย สุดโต่งของ ผกร.
  2. สื่อให้เห็นว่า กลุ่ม PULO ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการปฏิบัติของกลุ่ม BRN เพื่อโดดเดี่ยวกลุ่มขบวนการ BRN
  3. สื่อให้สาธารณชนทราบว่า จนท.รัฐ มีความพยายามในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็ว
  4. กระตุ้นให้องค์กรทุกภาคส่วนและประชาชน ได้ออกมาร่วมกันประณามการกระทำของ ผกร. ต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และช่วยกันแจ้งเบาะแส ผกร.
----------------------------------------------------

จำคุกมือระเบิด 37 ปี 6 เดือน

         

       ตามที่ศาลจังหวัดปัตตานี พิพากษา นายอับดุลสาลาม สุหลง ให้จำคุก 37 ปี 6 เดือน ตามคดีหมายเลขดำที่ 1264/57 ฐานความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย อั้งยี่ ก่อให้เกิดระเบิดความผิดต่อชีวิตความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน

       เหตุที่ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาจากผลการตรวจ DNA ของนายอับดุลสาลามฯ พบว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุตรวจพบวัตถุระเบิด เมื่อ 12 ธันวาคม 55 พื้นที่ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี นำไปสู่การออกหมายจับ ป.วิอาญา นาย อับดุลสาลาม สุหลง พฤติกรรม นายอับดุลสาลาม สุหลง เคยถูกจับกุม 2 ครั้ง 
  • ครั้งที่ 1 เมื่อ 18 มกราคม 57 พื้นที่ ตำบลตะบิ้ง อำเภอสายบุรีฯ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางเทคนิคกับ นายฟัตฮีย์ อาลี สมาชิก RKK ระดับปฏิบัติการ (มือระเบิด) ส่งดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 
  • ครั้งที่ 2 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 57 ควบคุมตัว นายอับดุลสาลาม สุหลงเนื่องจากตรวจพบ DNA ของ นายอับดุลสาลามฯ ตรงกับเทปพันสายไฟสีดำ จากเหตุตรวจพบวัตถุระเบิด เมื่อ 12 ธันวาคม 55 ในพื้นที่ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี 
      ส่งดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ หน่วยซักถาม ณ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ผลการซักถาม นายอับดุลสาลาม สุหลง ให้การยอมรับว่าเป็นคนดูต้นทาง และรายงานความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ ให้กับ นายฟัตฮีย์ อาลี และ นายอุสมาน แวอูมา หรือ เจ๊ะตุ เมื่อ 24 มกราคม 57 ออกหมาย พรก. ส่งต่อ ศูนย์พิทักษ์สันติฯ และออกหมายจับ ป.วิอาญาฯ ดำเนินคดี เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 57 จนกระทั้งศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษา นายอับดุลสาลาม สุหลง ให้จำคุก 37 ปี 6 เดือน เมื่อ 2 ธันวาคม 57 ปัจจุบันนายอับดุลสาลาม สุหลง ฝากขังเรือนจำกลาจังหวัดปัตตานี อยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา

บทบาท PerMAS กับงานการเมืองสนับสนุน BRN ..........จริงหรือ?



‘อสนียาพร นนทิพากร’


        องค์กรภาคประชาสังคม เป็นอีกกลไกหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการผลักดันขององค์กรต่างชาติ พร้อมทั้งได้สนับสนุนเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมให้ ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินกิจกรรมเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อภาคประชาชนและรัฐบาล แต่ในปัจจุบันการขับเคลื่อนขององค์กรภาคประชาสังคมได้กลับกลายเป็นปัญหาต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้

      องค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้บางองค์กร ได้ทำงานการเมืองสนับสนุนกลุ่มขบวนการ BRN  ใช้ยุทธศาสตร์สงครามประชาชนนำไปสู่เป้าหมายคือ “เอกราช”และ“ยุทธศาสตร์วิธีสงครามกองโจร”(ญิฮาด) รวมทั้งสงครามข่าวสาร (IO) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการก่อเหตุของกำลังทหาร ควบคู่กับเน้นงานการเมืองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย“การกำหนดใจตนเอง”ในการแยกดินแดนเป็นอิสระจากรัฐบาลไทย

       จากการรวบรวมสถิติของหน่วยงานความมั่นคงพบว่า องค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อต้นปี 47 เป็นต้นมา ในปัจจุบันมีถึง 419 องค์กรด้วยกัน ในนามส่วนตัวของผู้เขียนเองยังคิดเสมอว่าน่าจะมีองค์กรที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม และไม่แสวงหาผลกำไรอยู่ในพื้นที่ แต่ในอีกมิติความคิดหนึ่งเชื่อเหลือเกินว่ามีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ตั้งองค์กรภาคประชาสังคมขึ้นมาบังหน้าเพื่อขอรับเงินทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ แต่น่าเป็นห่วงที่สุดคือตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานการเมืองสนับสนุนแนวร่วมกลุ่มขบวนการ BRN

       กลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือกลุ่ม PerMAS เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวในพื้นที่มาโดยตลอด เป็นความคาดหวังของปาตานีเนื่องจากกลุ่มขบวนการ BRN ได้วางบทบาทไว้เพื่อขับเคลื่อนงานการเมืองโดยเฉพาะ ต่อจากนี้เป็นต้นไปต้องจับตามอง และติดตามความเคลื่อนไหวอย่างกระชั้นชิด เนื่องจากรัฐบาลไทยจะสานต่อการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ ซึ่งกลุ่ม PerMAS ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการให้เกิดสันติสุขขึ้นในพื้นที่ ซึ่งพอจะจับประเด็นความต้องการของกลุ่ม PerMAS ได้จากการจัดกิจกรรมเวทีเสวนา BICARA PATANI ที่ผ่านมา ด้วยการเดินสายทำการปลุกระดมประชาชนปาตานี ต้องการให้มีการลงประชามติเพื่อกำหนดใจตนเอง (Right to Self-Determination) มุ่งไปสู่การแยกตัวเป็นเอกราช นับวันองค์กรนักศึกษากลุ่มนี้มีความสุ่มเสี่ยงเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐไทยเข้าไปทุกขณะ

        รูปแบบการดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม PerMAS มีความหลากหลายในการทำกิจกรรม แต่ที่สำคัญคือการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ส่วนอื่นของประเทศ ต่างประเทศที่มีพี่น้องมลายูปาตานีไปประกอบอาชีพ ไปศึกษา หรืออาศัยอยู่ ในลักษณะการปลุกกระแสความรักชาติปาตานี โดยชูประเด็น “SATU PATANI” ขึ้นมา

        กลุ่ม PerMAS มีความพยายามต้องการสื่อให้เห็นว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ขัดแย้งด้วยอาวุธ, เป็นพื้นที่อัตลักษณ์ของตัวเอง, เป็นดินแดนที่ถูกยึดครอง “สิทธิการเป็นเจ้าของ” และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางต่อพี่น้องมลายูปาตานี จากกรณีเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตรวจค้นบุคคลเป้าหมาย หรือมีเหตุปะทะจนนำไปสู่การเสียชีวิตของแนวร่วมขบวนการ



       การใช้เวทีระดับนานาชาติในการขับเคลื่อนงานการเมืองของปีกการเมืองกลุ่มขบวนการ BRN อย่างเช่นที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้มีการประชุมภาคประชาสังคมอาเซียน และเวทีภาคประชาชนอาเซียน (ACSC/APF) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 เมษายน 2558 องค์กรภาคประชาสังคม และกลุ่ม PerMAS ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย โดยสำนักสื่อ Wartani และสื่อ Kompas ของ ประเทศอินโดนีเซีย ได้ฉายภาพยนตร์สารคดี“ความล้มเหลวของทุ่งยางแดงโมเดล” นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพบรรยาย “สถานการณ์ซ้อมทรมานในประเทศไทยและภาคใต้” ส่วน นาย อาเต๊ฟ โซ๊ะโก หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) บรรยาย “ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการละเมิดสิทธิมนุษยชน”



       นาย กามาลุดดีน ฮานาฟี แกนนำกลุ่ม BIPP ได้กล่าวชื่นชมตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคมและกลุ่ม PerMAS ที่ร่วมแสดงออกในที่เวทีการประชุมดังกล่าว พร้อมย้ำว่าประชาชนทุกคนและทุกกลุ่ม มีบทบาทและหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการแสดงท่าทีให้กับนานาชาติรับทราบปัญหาในปาตานี ในอนาคตปาตานีจะกลับมาเป็นของพวกเราทุกคน

        มาถึงจุดนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องสงสัยต่อไปอีกแล้วกับพฤติกรรมของกลุ่มขบวนการ BRN, BIPP, กลุ่มนักศึกษา PerMAS, องค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กร และกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นอีกหลายกลุ่มได้ใช้ยุทธการ “แยกกันเดินร่วมกันตี” จุดหมายเดียวกันคือ “เอกราช” เท่านั้นที่ต้องการ ต่างรู้เห็นเป็นใจกันอย่างดี เพียงแต่บทบาทหน้าที่ต่างกันในการเคลื่อนไหว

       จะเห็นได้ว่ากลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กรได้ใช้สถานะของตัวเองในการโจมตีนโยบายยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลไทย มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อต้องการสื่อให้นานาชาติได้รับทราบปัญหา เพื่อให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง การประชุมเวทีระดับนานาชาติมีการเตรียมการในเรื่องที่องค์กรระหว่างประเทศให้ความสนใจเป็นพิเศษไปบรรยายเพื่อต้องการสื่อปัญหา เช่น เรื่องสถานการณ์ซ้อมทรมานในประเทศไทยและภาคใต้, ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการละเมิดสิทธิมนุษยชน

       เป็นที่น่าสังเกตว่าเรื่อง “สถานการณ์ซ้อมทรมานในประเทศไทยและภาคใต้” ที่ นางอังคณา นีละไพจิตร ได้นำไปบรรยายในเวทีการประชุมในครั้งนี้มีความพยายามสื่อให้นานาชาติได้รับรู้ ซึ่งในความเป็นจริงในปัจจุบันนี้ไม่มีอีกแล้ว กระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้มีการดูแลเป็นอย่างดี มีการตรวจร่างกายจากแพทย์ทั้งก่อนกระบวนการซักถามและหลังจบสิ้นกระบวนการซักถาม เพื่อลดข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว

       การรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยว่าได้กระทำความผิดมาด้วยการก่อเหตุ และเป็นสมาชิกแนวร่วม RKK ไม่มีการซ้อมทรมานและบังคับขู่เข็ญใดๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกขั้นตอนมีความโปร่งใส มีการเชิญบิดามารดา ลูกเมีย ผู้นำศาสนาในพื้นที่ร่วมรับฟังทุกขั้นตอนในกระบวนการซักถาม

         ส่วนการบรรยายหัวข้อ “ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการละเมิดสิทธิมนุษยชน” ที่บรรยายโดย นายอาเต๊ฟ โซ๊ะโก ทำการสื่อให้เห็นว่ายังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ในการติดตามจับกุมได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ใช้หลักของการเจรจาเป็นหลัก เพื่อลดการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่ากับฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น มีการประสานผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นมาช่วยในการเจรจาให้ผู้ต้องสงสัยเข้าทำการมอบตัว

         ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ต่อกรณีกลุ่มขบวนการได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ เด็กสตรี และคนชรา ด้วยการกระทำการสุดโต่งเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้ความปราณี กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มขบวนการกลับเงียบเฉยไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ เลย ซึ่งองค์กรเหล่านี้เงียบเพื่อคอยเก็บข้อมูลความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วทำการ (IO) ขยายผลให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเพื่อสื่อไปยังต่างชาติได้รับรู้ นี่คือ!!!หน้ากากที่แท้จริงขององค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้



         การโฆษณาชวนเชื่อเป็นงานถนัดขององค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะกลุ่ม PerMAS ในการสร้างการรับรู้ต่อประชาชนปาตานีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่นการเผยแพร่บทความ “การเสียสละของกลุ่ม PerMAS” มุ่งสร้างภาพลักษณ์ต่อองค์กร และเพื่อเป็นการให้กำลังใจต่อ นายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่มฯ ต่อกรณีมีกระแสข่าวว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีเนื้อหามุ่งเน้นปลุกระดมให้สมาชิกออกมาร่วมเคลื่อนไหว เนื่องจากกลุ่ม PerMAS เป็นความหวังของสังคมปาตานี



       ขณะที่เว็บไซต์ kabarkampus.com ของอินโดนีเซีย ได้นำเสนอข่าวว่านักศึกษาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังศึกษาอยู่ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย ได้จัดชุมนุมที่มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งชาติ (UIN) เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุมประจำปี เอเชีย - แอฟริกา ครั้งที่ 60 นำประเด็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนในปาตานีเข้าหารือในที่ประชุม โดยอ้างว่าการใช้อำนาจทางทหารของรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของประชาชน

      ที่ผู้เขียนได้หยิบยกในบางประเด็นเพื่อต้องการสื่อให้เห็นความเชื่อมโยงขององค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มนักศึกษา PerMAS ว่ามีความสัมพันธ์แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันกับขบวนการ BRN, BIPP เพื่อให้เห็นธาตุแท้ขององค์กรเหล่านี้ ผู้เขียนมิได้จงใจทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างไร้ข้อมูลและทิศทาง และเมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนได้ไปอ่านเจอบทความเรื่อง “คำสารภาพผู้ก่อเหตุระเบิดเมืองนรา...ฉีกหน้า PerMAS” เขียนโดย “อิมรอน” มีการเผยแพร่บทความลงใน pulony.blogspot.com ซึ่งได้มีการแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในเครือข่ายสังคมออนไลน์เมื่อได้อ่านแล้วก็เป็นข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจชวนให้ติดตาม

       เนื้อหาในบทความเป็นการแฉพฤติกรรมของ สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี หรือกลุ่ม PerMAS กับการโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกเร้าในเครือข่ายสังคมออนไลน์ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย มีการวางแผนประสานความร่วมมือไปยังกลุ่มนักศึกษาสถาบันต่างๆ ให้มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่กลุ่ม PerMAS กำหนด เพื่อทำการกดดันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งมีความพยายามให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดเมืองนราธิวาส และในเวลาต่อมาผู้ที่ถูกควบคุมตัวได้สารภาพความจริงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์ซึ่งเป็นการฉีกหน้ากลุ่ม PerMAS สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านว่าง ๆ 

ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปอ่านความจริงกัน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มองค์กรบางกลุ่มตามลิ้งด้านล่างนี้ครับ...

http://pulony.blogspot.com/2015/04/permas.html