หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เปิดปาก "พยานปากเอก" ไขปมศพเกลื่อนที่กรือเซะ "ขบวนการหลอกชาวบ้าน แล้วทหารถูกใครหลอก?




โศกนาฏกรรมเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 หรือที่รู้จักกันดีในนาม "เหตุการณ์กรือเซะ" ซึ่งก่อความสูญเสียชีวิตผู้คนและเจ้าหน้าที่รัฐรวม 108 ชีวิตนั้น จนถึงวันนี้ยังคงเป็นปริศนาดำมืดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุใดวัยรุ่นและชายฉกรรจ์มุสลิมนับร้อยคนซึ่งส่วนใหญ่มีเพียง "มีด" กับ "กริช" จึงกล้าบุกเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ซึ่งมีอาวุธครบมือ


และเหตุใดจึงมีการ "ตายหมู่" ที่มัสยิดกรือเซะ มัสยิดเก่าแก่ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์อิสลามในดินแดนปลายสุดด้ามขวานเขตประเทศไทย โดยคำตอบของคำถามดังกล่าวนี้ไม่น่าจะเป็นแค่ลักษณะกำปั้นทุบดินที่ว่า "เพราะทหารยิงอาวุธหนักเข้าไป" แต่สิ่งที่น่าค้นหาคือทำไมสถานการณ์จึงประจวบเหมาะและจบลงตรงสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนั้น


การสืบเสาะค้นหาความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์มีมาตลอดหลายปีทั้งจากฝ่ายความมั่นคงเอง และคณะกรรมาธิการวิสามัญบางชุดของวุฒิสภา ในส่วนของฝ่ายความมั่นคงนั้นเชื่อว่าเป็นความพยายามของกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนวาดแผนการนี้ขึ้นและจงใจให้เกิดความสูญเสียขนาดใหญ่ เพื่อยกประเด็นแบ่งแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รัฐปาตานีในอดีต) ขึ้นสู่เวทีนานาชาติขณะที่ฝ่ายกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาบางท่าน (ปัจจุบันเป็นอดีตไปแล้ว) ซึ่งเคยลงพื้นที่ไต่สวนเรื่องนี้เห็นว่า เป็นการวางแผนของฝ่ายความมั่นคงที่รู้ข้อมูลการข่าวมาก่อนล่วงหน้า แต่จงใจให้เกิดการปะทะ โดยเชื่อว่าจะสามารถกวาดล้างขบวนการที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนได้ทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่อย่างไรก็ดียังมีข้อมูลจากบุคคลในพื้นที่อีกหลายชุดที่อาจจะยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน ซึ่งจะเรียกว่าเป็น "พยานปากเอก" ก็น่าจะได้ เพราะเขารอดชีวิตโดยบังเอิญจากความรุนแรงที่ไม่แน่ชัดว่าฝ่ายใด "จัดฉาก" ให้เกิดขึ้น


เปิดปาก "พยานปากเอก"


มิง (นามสมมติ) ชายหนุ่มวัยใกล้ 30 ปี คือบุคคลที่เรากำลังพูดถึง เขายืนยันว่ารอดชีวิตจากเหตุการณ์วันที่ 28 เมษาฯ เพราะไม่ได้ไปร่วมก่อเหตุตามนัด!


"จริงๆ ผมน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ หากวันนั้น (วันที่ 28 เมษาฯ 2547) ผมไม่มีปัญหาทางบ้านพอดี" มิงเริ่มต้นเรื่องราวของเขาด้วยภาษามลายูถิ่น


เรื่องราวของมิงเป็นที่รับรู้กันในวงแคบ คือเฉพาะตัวเขากับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา กระทั่งเวลาล่วงผ่านมานานปี ในวาระครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์กรือเซะ เขาจึงยอมเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเป็นครั้งแรกเพื่อบอกเล่าความจริงบางด้านของเหตุการณ์ร้ายในครั้งนั้นที่เขา(เกือบ) เคยมีส่วนร่วม


มิง เล่าว่า ช่วงปี 2547 เขากำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา เขาต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงเลือกเข้าเรียนกะเช้า เพื่อจะได้มีเวลาทำงานในตอนเย็น


"ช่วงที่ผมเรียนอยู่ ผมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง ทุกๆ สัปดาห์ อุสตาซ (ครู) จะเรียกหัวหน้าห้องทุกห้องไปประชุม ทุกครั้งที่มีการประชุมกัน อุสตาซจะให้หัวหน้าห้องทุกห้องหาเด็กในห้องของตนเองมาเข้าร่วมประชุมด้วย 5 คน โดยเน้นว่าต้องเป็นเด็กดี เรียนเก่ง ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าอุสตาซให้หาเด็กมาทำอะไร เพราะเขาบอกเพียงว่ามาทำฮิดายะห์ (นำทาง หรือการชี้นำ) ผมก็นึกว่าเป็นการอบรมธรรมดาทั่วไป"


"ทุกครั้งที่เด็กมาร่วมประชุม อุสตาซจะบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์ของรัฐปาตานีในอดีต จากนั้นก็จะพูดให้เกลียดชังคนนอกศาสนาและเจ้าหน้าที่รัฐ สัปดาห์หนึ่งจะนัดไปฟังบรรยาย 5 วัน โดยผู้ที่มาบรรยายไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ไม่มีนักเรียนรู้จัก" มิง เล่าต่อว่า เมื่อเสร็จจากการอบรม หรือ "ฮิดายะห์" แล้ว อุสตาซก็จะนัดพวกนักเรียนให้ไปอบรมต่อตามมัสยิดในพื้นที่ต่างๆ โดยผู้บรรยายจะเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนหัวข้อบรรยายไปเรื่อยๆ เช่น ความรุ่งเรืองของรัฐปาตานีในอดีต, ความเกลียดชังคนไทยพุทธ, ความอยุติธรรมของรัฐบาลไทยที่กระทำต่อคนมลายู

"บรรยากาศตอนบรรยายจะนั่งฟังร่วมกับชาวบ้าน ในมัสยิดเงียบกริบ ไม่มีเสียงอื่นใดเลยนอกจากเสียงของผู้บรรยาย คนที่เข้าร่วมอบรมจะนั่งฟังด้วยความตั้งใจ สนใจ บางคนถึงกับหน้าแดงร้องไห้ บางคนก็แสดงอาการโกธรเกลียดรัฐและคนนอกศาสนา"

มิง บอกว่า หลังจากเดินสายฟังบรรยายได้ประมาณ 2 เดือน ก็เริ่มเข้าสู่การฝึกอบรมขั้นต่อไป"อุสตาซนัดให้ผมกับเพื่อนนักเรียนไปรวมกันที่ชายทะเลแถวๆ อ.เทพา จ.สงขลา และ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เพื่อทดสอบร่างกาย โดยครั้งแรกครูที่เป็นคนฝึกจะให้วิ่งจับเวลา จากนั้นจะฝึกหลายอย่างมาก มีการฝึกใช้อาวุธโดยใช้ไม้แทนปืนด้วย ฝึกอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อฝึกเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนั้นผมเริ่มรู้ข้อมูลว่ามีการฝึกกันแบบนี้มาหลายรุ่นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ากี่รุ่น รู้แต่เพียงว่ารุ่นของผมเป็นรุ่นสิบกว่าๆ"

และแล้วก็ถึงวันสำคัญซึ่งกลุ่มนักเรียนที่ผ่านการฝึกอบรมไม่มีใครรู้ล่วงหน้า..."ช่วงก่อนวันที่28 เมษาฯ อุสตาซก็นัดเด็กนักเรียนไปรวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่ง (มิงไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นที่ไหน) ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินทางไปตามนัด เมื่อไปถึงก็เจอผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบาบอ (ครูสอนศาสนาชั้นผู้ใหญ่) จากนั้นชายคนนี้ก็เรียกให้ทุกคนไปนั่งร่วมประชุม ซึ่งมีคนไปประมาณร้อยกว่าคน เสร็จแล้วก็ให้ท่องบทสวดเป็นภาษาอาหรับ 3 บท ตอนที่ท่องบทสวดนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองใหญ่กว่าคนอื่น เห็นคนอื่นเล็กไปหมด คิดว่าทุกคนที่ไปร่วมพิธีก็รู้สึกแบบเดียวกัน ใครพูดไม่ถูกหูก็จะเข้าไปบีบคอทันที ไม่กลัวใครเลย ยิ่งเห็นทหาร ตำรวจจะเข้าไปบีบคอให้ได้ จากนั้นก็มีการพูดปลุกระดมเรื่องรัฐปาตานีอีก"

"ต่อมาวันที่ 27 เมษาฯ ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน อุสตาซคนเดิมได้นัดให้ไปรวมตัวกันที่น้ำตกแห่งหนึ่งในพื้นที่ โดยกลุ่มของผมไปกัน 20 คน เมื่อไปถึงที่หมายก็ตกใจมากเมื่อเห็นว่าคนที่มาประชุมคราวนี้มีมากกว่าที่ผ่านๆ มา จากที่ได้สอบถามเพื่อนทั้ง 20 คนที่มาด้วยกัน ไม่มีใครรู้จักคนอีกหลายร้อยที่กำลังเข้าร่วมประชุมในคืนนั้นเลย"

มิงเล่าอีกว่า คืนนั้นได้พบกับบาบอคนเดิม และก็มาปลุกระดมเหมือนกับทุกครั้ง เรื่องที่พูดก็เป็นข้อมูลเชิงลบของรัฐ คนนอกศาสนา และตำรวจ ทหาร ขณะที่เขานั่งฟังอยู่อย่างสงบ ก็มีโทรศัพท์จากทางบ้านตามตัวให้เขากลับบ้านด่วน

"จู่ๆ ที่บ้านก็โทร.มา บอกว่ามีปัญหาให้กลับด่วน ผมจึงชวนเพื่อนอีกคนให้กลับด้วยกัน อุสตาซก็ไม่ว่าอะไร เพราะคนเยอะมาก และไม่รู้เรื่องอีกเลยว่าที่น้ำตกแห่งนั้นในคืนนั้นเขาทำอะไรกันต่อ"

มิงบอกว่า เขามาได้ข่าวเกี่ยวกับเพื่อนๆ ที่ไปร่วมประชุมวันนั้นในอีก 1 วันถัดมาว่ามีหลายคนเสียชีวิต

"เพื่อนสิบกว่าคนที่ร่วมประชุมด้วยกันที่น้ำตก ไปตายในวันที่ 28 เมษาฯ ตายที่ อ.สะบ้าย้อย (จ.สงขลา) 3 คน (เป็นนักกีฬาทีมฟุตบอลเยาวชน) ส่วนที่เหลือตายที่มัสยิดกรือเซะ ทีแรกเพื่อนที่กลับมาด้วยกันมาบอก ผมไม่เชื่อ หาว่าเขาโกหก เลยชวนกันไปดู แทบล้มทั้งยืนเลย เพราะในใจรู้แล้วว่าถูกหลอก แต่ไม่รู้ว่าใครหลอก รู้แต่ว่าถูกหลอกแน่นอน หลอกให้เกิดเรื่องแบบนี้ และมีการตายเกิดขึ้น ถือว่าโชคเข้าข้างผม ไม่อย่างนั้นก็คงต้องตายเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างแน่นอน"

ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านมาถึง 7 ปีแล้ว แต่มิงบอกว่ายังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้ดี เมื่อครบรอบเหตุการณ์วันที่ 28 เมษาฯในแต่ละปี เขาจะมานั่งคิดย้อนไปถึงช่วงนั้นว่าเขากับเพื่อนๆ ไปทำอะไรกัน โดยเฉพาะการประชุมที่น้ำตกในคืนก่อนวันที่ 28 เมษาฯ

"มันเป็นอะไรที่ลืมยากมาก เพื่อนต้องเจอจุดจบเพราะถูกหลอก เพราะรู้ไม่ทันคน"

แม้จะรู้ว่าถูกหลอก แต่เครื่องหมายคำถามก็ยังมีอยู่มากมายในหัวใจของมิง...

"ผมกับอีกหลายคนที่รอดชีวิตจากวันนั้นได้มานั่งถามกันเองว่าถูกใครหลอกกันแน่ เพราะบาบอและอุสตาซที่มาปลุกระดมก็หายตัวไปหลังจากเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ตาย ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐเองก็รู้ทัน แม้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มีการสับเปลี่ยนกำลัง ผมเลยไม่รู้ว่าการตายครั้งนั้นเกิดจากกลุ่มขบวนการหลอกหรือเจ้าหน้าที่รัฐหลอกกันแน่" มิงตั้งคำถามทิ้งท้าย

คำถามอันแหลมคมของมิง จะว่าไปก็เป็นคำถามที่กรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาบางท่านเคยตั้งมาแล้วว่าฝ่ายความมั่นคงน่าจะรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่28 เมษาฯ แต่ทำไมถึงเลือกใช้วิธีการในลักษณะกวาดล้าง หรือเพราะประเมินว่ากำลังคนของฝ่ายก่อความไม่สงบน่าจะมีอยู่เท่านี้ทว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเหตุการณ์วันที่ 28 เมษาฯ โดยเฉพาะที่มัสยิดกรือเซะนั้น ได้กลายเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดการปลุกปั่นปลุกระดมและความแค้น มีเครือข่ายแนวร่วมก่อความไม่สงบขยายวงกว้างมากขึ้นจนเหตุการณ์ความไม่สงบบานปลายมาจนถึงปัจจุบัน

ฉะนั้นหากเด็กหนุ่มอย่างมิงและเพื่อนๆของเขาถูกคนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรืออ้างว่ามีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหลอกเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง คำถามที่รัฐต้องตอบก็คือ แล้วเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะฝ่ายทหารที่ปฏิบัติการในวันนั้นถูกใครหลอก...

ใครกันที่ทำให้เหตุการณ์กรือเซะกลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล และเป็นเชื้อเพลิงให้ไฟใต้คุโชน?

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

10 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มก่อการร้าย “ไอซิส”



       ไอซิส คือกลุ่มก่อการร้ายหนึ่งที่อันตรายและมีความน่ากลัวที่สุดของโลกในขณะนี้ โดยมีสมาชิกและแกนนำคนสำคัญจากหลายๆชาติทั่วโลก ซึ่งในรายงานชิ้นนี้จะนำเสนอประวัติแกนนำคนสำคัญของไอซิสพอสังเขปดังนี้

1. อบูบักร อัลบักดาดี

          ชื่อเต็ม อิบรอฮีม เอาวาด อิบรอฮีม อาลีอัลบัดรี อัลสามารออี เขาคือผู้นำกลุ่มติดอาวุธ Islamic State in Iraq and The Levant (ISIL) หรืออีกชื่อหนึ่ง Islamic State in Iraq and Syria (ISIS)


       อัลบักดาดี เกิดในเมือง ซาเมร่า ในอิรัก ปี 1971 ตามรายงานระบุว่าเขาเป็นผู้นำละหมาด (อิหม่าม) ในมัสยิดในเมืองหนึ่งในช่วงที่มีการทำสงครามอิรัก ใน ปี 2003

         ในวันที่ 4 ตุลาคม 2011 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ขึ้นบัญชี อัลบักดาดี เป็นผู้ต้องระวังเป็นพิเศษในโลกแห่งการต่อต้านก่อการร้าย และมีค่าหัว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อมูล หากผู้ใดสามารถจับหรือฆ่าเขาได้ เฉพาะ อัยมาน อัลซอวาฮีรี ผู้นำอัลกออีดะฮฺ มีค่าหัวที่ 25 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

        อัลบักดี ถูกจับกุมในปี 2005 และถูกขังที่ ค่าย บัคคา โดยการควบคุมของกองทัพสหรัฐในอิรัก จนกระทั่งการถ่ายโอนการควบคุมโยรัฐบาลอิรักเองในปี 2009 ซึ่งอเมริกาได้สร้างขึ้นมีความแข็งแกร่งเพื่อกรณีเช่นการจับกุมแกนนำได้ แต่แล้วในปีเดียวกัน รัฐบาลอิรักตัดสินใจปล่อยตัว อัลบักดาดีไป และไม่นานหลังจากที่ถูกปล่อยตัวแล้ว เขาได้รับการประกาศให้เป็นผู้นำ ISI เมื่อวันที่ พฤษภาคม 2010 และเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการเมื่อขยายตัวเข้าไปสู่สงครามซีเรีย ในวันที่ 8 เมษายน 2013 ต่อมากลายเป็นรู้จักในนาม ISIS/ISIL อัลบักดาดี ได้อ้างความรับผิดชอบในเหตุการณ์และการปฏิบัติการทางการทหารของกลุ่ม ในวันที่ 28 สิงหาคม 2011 การโจมตีมัสยิด อัลกูรอ ในแบกแดด เป็นเหตุให้ ผู้นำศาสนาสายซุนนี่ เสียชีวิต คือนาย คอลิด อัลฟะฮฺดาวี หลังจากหน่วยคอมมานโด
       สหรัฐอเมริกาโจมตีอับตตาบัต และฆ่า บินลาเดน เสียชีวิต อัลบักดาดีออกแถลงการณ์ แสดงความเสียใจต่อการจากไปของ บินลาเดน และขู่ว่าจะตอบโต้กองทัพสหรัฐอเมริกา

          เมื่อการก่อตั้งของ ISIS ได้รับการประกาศในปี 2013 อัลบักดาดีระบุว่า สงครามกลางเมืองในซีเรีย เป็นสงครามญีฮาด และขบวนการ ISI ในซีเรียก็เข้าร่วมด้วยและกลายมาเป็น ISIS


2. อบู อะลา อัล อัฟรีย์ (Abu Ala al-Afri)


       อบู อะลา อัล อัฟรีย์ ชื่อจริง คือ “อับดุลรอฮ์มาน มุศตอฟา” เป็นที่ปรึกษาของอบูบักร บักดาดี รักษาการตำแหน่ง ผู้นำแทนอบูบักร หลังจากมีข่าวว่าได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส


        กำเนิด ในเขตพื้นที่ “ อัล ฮัฎร์” ห่างจากเมืองโมซูล อิรัก ประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นอาจารย์สอนวิชาฟิสิกส์ ช่วงระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย

        รายงานชี้ว่า ในช่วงปี 1998 อัลอัฟรีย์ ได้เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ก่อนที่จะกลายเป็นสมาชิกระดับสูงคนหนึ่งของ อัลกออิดะฮ ซึ่งเขาได้ให้สัตยาบันกับ อัลกออิดะฮ เมื่อปี 2004

         เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ในการบัญชาการกลุ่มก่อการร้าย ในเขต ฮัดร เมือง โมซุล ในจังหวัด นัยนาวา และเขายังเป็นบุคคลที่ กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ พากันยกย่องยิ่งกว่า อบูบักร อัลบัฆดาดี

3. อบู อะลา อัลอัมบารี


         ถือเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในซีเรีย เป็นผู้บัญชาการทหารชุดปฏิบัติการในซีเรีย อีกทั้งเป็นแกนนำของกลุ่มอัลนุศราห์ ฟรอน

         ในยุคสมัยของซัดดัม เขาเป็นผู้บัญชาการทหารของอิรัก ซึ่งเขาถูกกล่าวหาในคดีทุจริต จาก “กลุ่มทหารอิสลาม”ในอิรัก จึงต้องหนีออกจาประเทศอิรัก และเข้าร่วมสมทบกับกลุ่มอัลกออิดะห์


4. อบู สุลัยมาน อัล นาเศร

          ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาชูรอและผู้บัญชาการทหารไอซิส ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งนี้ต่อจาก อบู อัยมาน อัลอิรอกีย ซึ่งเสียชีวิต จากการที่อเมริกาบุกโจมตีอิรัก เมื่อ 2014

         เขายังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีสงครามของไอซิสด้วย หลังจากที่อบู อัยยูบ อัล มิศรี และ อบูอุมัร อัลบักดาดี เสียชีวิตจากการที่อเมริกาบุกโจมตีเมือง ทิกริก อิรัก เมื่อปี 2010

        อะบู สุลัยมาน อัล นาเศร มีชื่อจริง ว่า นุอฺมาน ซัลมาน มันศูร อัลซัยดี เคยถูกจำคุกช่วงระยะเวลาหนึ่งในเรือนจำโบกา เมืองบัศราห์ อิรัก
5. อบู มุฮัมมัด อัลอัดนานี

          เป็นโฆษกของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ชื่อจริง ว่า ฏอฮา ศุบฮี ฟัลลาฮี กำเนิดปี 1977 ในหมู่บ้าน บานิช เมือง อัดลิบ ประเทศซีเรีย วันที่ 31 เดือน มีนาคม 2005 ถูกจับกุมตัวในอิรัก แต่หลังจากนั้นไม่นานได้รับการปล่อยตัว

        ในปี 2014 เขาได้ปรากฏตัวในคลิปวิดีโอโดยให้การสัตยาบันแก่ อบูบักร์ บักดาดี เขาเป็นบุคคลแรกที่ประกาศข่าว กรณีกลุ่มก่อการ้ายโบโกฮารามในไนจีเรียให้การสัตยาบันกับอบูบักร์ บักดาดี และเรียกร้องให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆในแอฟริกาตะวันตกให้การสัตยาบันกับไอซิส


6. อบู อุมัร อัลชัยชานี

        เขาถือกำเนิดในจอร์เจีย และเป็นนักรบผู้กล้าหาญคนหนึ่งของจอร์เจียในสมัยครามกับรัสเซียในปี 2008 หลังจากที่เขาออกจากจอร์เจีย ก็ได้เข้าร่วมขบวนการก่อการร้ายในซีเรีย จากนั้นก็ได้เป็นแกนนำของกลุ่มกบฏและกลุ่มก่อการร้าย “กุตัยบะห์ อัลมุฮาญีรีน” “ ชัยชุล มุฮาญีรีน” และ อันศอร”

       ในปี 2013 เป็นหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจทางภาคเหนือของซีเรีย เช่น ฮัลบ์ ลัตตาเกีย และ อัดลิบ และในปลายปี 2013 เป็นแกนนำของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสประจำภาคเหนือของซีเรียอย่างเป็นทางการ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียงในหมู่แกนนำกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย

         ในวันที่ 24 กันยายน 2014 กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้ขึ้นบัญชีดำเป็นผู้ก่อการร้าย โดยมีค่าหัว 5 ล้านดอลลาร์

7. อบู วะฮีบ


          เป็นแกนนำของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ประจำเมือง อัลอันบาร์ อิรัก ชื่อเต็ม ชากิร วะฮีบ อัลฟะฮ์ดาวีย อัลดัยลามี กำเนิด ปี 1986 เขาเป็นผู้บัญชาการในการสังหารโหดผู้โดยสารชาวซีเรีย ในช่วงฤดูร้อน เมื่อปี 2013

         อบู วะฮีบ เป็นหนึ่งในนักโทษ 110 คน ที่หนีออกจากเรือนจำในอิรัก เมื่อปี 2012 หลังจากที่กลุ่มอัลกออิดะห์บุกโจมตี โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเมืองอันบาร์ ตั้งเงินรางวัล 50,000 ดอลลาร์ ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสของเขา

8. ฮูเซ็น บิลาล บอสเนีย


         เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มตักฟีรีสลาฟี ในบอสเนีย และเป็นแกนนำชื่อดังอีกคนหนึ่งของกลุ่มไอซิส เกิดในปี 1972 ในบอสเนีย และเป็นแกนนำที่มีชื่อเสียงในการชักใยชาวยุโรปให้เข้าร่วมกลุ่มไอซิส

        ในสมัยเด็ก เขาได้อพยพกับครอบครัวยังประเทศเยอรมนี และในที่นั้นเขาได้เข้าร่วมกลุ่มสลาฟีตักฟีรี ในปี 1992 ได้กลับมายังบอสเนียอีกครั้งเพื่อทำสงครามและเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหาร

9. ตอริก บิน ตอฮีร บิน อัลฟาลาห์ อัลเอานี อัลฮัรซี


         เป็นชาวตูนิเซีย เป็นแกนนำระดับรุ่นเก่าของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในอิรัก ถูกรู้จักในนาม อะมีร อินตีฮารียูน (ผู้นำแห่งการระเบิดสังหาร) เนื่องจากเขาเป็นมันสมองไอซิสในการคาร์บอมต่างๆ ทั่วโลก อีกทั้งเป็นครูฝึกและอาจารย์สอนให้กับกลุ่มก่อการร้ายและจัดส่งไปในซีเรีย รัฐบาลอเมริกาตั้งค่าหัวไว้ 3 ล้านดอลลาร์ ให้กับผู้แจ้งเบาะแสของเขา

10 แกนนำต่างๆที่เป็นสาขาย่อยที่ห้การสัตยาบันต่อไอซิส

  • อบู บักร์ ชัยคู เป็นแกนนำกลุ่มก่อการร้ายโบโกฮาราม ในไนจีเรีย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าของโบโกฮารามตั้งแต่ปี 2009
  • อับดุลรอฮ์มาน มุสลิมดุส เป็นนักข่าวชาวอัฟกานิสถาน และเคยติดคุกกวนโตนาโม มาก่อน ในปี 2014 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำของกลุ่มไอซิสในอัฟกานิสถานและปากีสถาน
  • อบู อับรออ์ อับ อิซดี ชาวเยเมน เป็นสมาชิกของไอซิส และหลังจากที่ไอซิสสามารถยึดเมือง “ดัรนาห์” ในลีเบีย อบูบักร บักดาดี แต่งตั้งให้เขาเป็นแกนนำไอซิสในลิเบีย และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาในเมือง ดัรนาห์ ลิเบียอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พม่า ห้ามหญิงชาวพุทธ แต่งงานกับมุสลิม ดับฝันขยายพันธ์อันตราย



        พม่า ประกาศความสำเร็จ ห้ามหญิงชาวพุทธ แต่งงานกับมุสลิม เปลี่ยนศาสนา ไว้ในกฎหมายสำเร็จ
        พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในนครย่างกุ้ง ร่วมกันฟังการปราศรัยจากพระสงฆ์ กลุ่มมาบาธา นำโดย พระวีระธุ โดยมีการปราศรัยอนาคตของการปกครองพม่า และประกาศความสำเร็จ ที่สามารถผลักดันกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์ของชาติพันธุ์พม่า โดยให้ความสำคัญในการแต่งงานและเปลี่ยนศาสนา โดยผ่านกฎหมาย 4 ฉบับได้สำเร็จ ได้แก่

  • 1.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากร
  • 2.กฎหมายการเปลี่ยนศาสนา มิให้ชาวพุทธเปลี่ยนเป็นอิสลาม
  • 3.กฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียว รักเดียวใจเดียว ห้ามมีภรรยามากกว่า 1 คน
  • 4.กฎหมายที่ห้ามหญิงชาวพุทธแต่งงานกับชายชาวมุสลิมเปลี่ยนศาสนา


         ขณะที่หากนำมาเปรียบเทียบหลักศาสนาอิสลาม ที่มีสถานะเป็นกฎหมายศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมายปกครองประเทศ เช่น ห้ามหญิงมุสลิมเปลี่ยนเป็นศาสนาอื่น หากชายศาสนาอื่นแต่งงานข้ามศาสนาต้องเข้าอิสลามเท่านั้น การมีบุตรได้ไม่จำกัด บุตรต้องเป็นอิสลาม ชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คน

       การบัญญัติกฏหมายดังกล่าวจึงเป็นการคุ้มครองเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ประเพณีของพม่า โดยการให้ความสำคัญประชากรพม่า การประกาศความสำเร็จดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นถึงความพร้อมใจของทั้งฝ่ายรัฐบาลทหาร และประชาชนส่วนใหญ่ในพม่า และยังให้ความสำคัญกับแนวทางการปกครองโดยมีพระสงฆ์เป็นแกนนำ และมองไปถึงอนาคตของประเทศพม่าภายภาคหน้า ที่ต้องเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง ไปตามกฎศาสนาอิสลาม

        ถึงแม้ว่าหลังการผ่านกฏหมายฉบับดังกล่าว จะถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า กลุ่มผู้สนับสนุนดังกล่าวไม่เห็นด้วยกับองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศกดดัน แต่เพราะมีแรงสนับสนุนจากรัฐบาล จึงทำให้กฎหมายฉบับดังกล่าว ผ่านสำเร็จ กลุ่มผู้สนับสนุนดังกล่าว ให้เหตุผลว่า พวกเขามองไปถึงอนาคตรุ่นลูกหลานของชาวพม่า และเป็นการคงไว้ ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมของพม่าอีกด้วย เพราะกฎในศาสนาอิสลาม ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิม และไม่สอดคล้องกับการปกครองในประเทศพม่า

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไปกันคนละทาง ตกลงเชื่อใครดีละนี่



       แจ้งเตือนเฝ้าระวังเคร่งครัด "ไทย" ตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีจากกลุ่ม "ไอเอส" ชี้จุดพื้นที่สำคัญ ห้าง-สถานบันเทิง-รถไฟใต้ดิน-รถไฟฟ้า ระบุเป็นการขยายพื้นที่อิทธิพลก่อการร้าย 

         เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ชาติชาย แตงเอี่ยม รอง ผบช.ปรท.ผบช.ตม. ลงนามในหนังสือคำสั่งเลขที่ 0029.322/467 ลงวันที่ 15 ก.พ.59 ถึง ผบช.สตม. ที่ปรึกษา (มค.) และรอง ผบช.สตม. มีใจความว่า 

       เพื่อทราบและดำเนินการตามหนังสือ บช.ส.ลับด่วน 0028.(9)/32 ลง 3 ก.พ.59 ตามสั่งการ ผบ.ตร. ลงวันที่ 29 ม.ค.59 ท้ายนัยหนังสือ บช.ส.ลับ ที่ 0028.(ขว)/56 ลง 29 ม.ค.59 

          เนื่องด้วยได้รับการแจ้งเตือนจาก ที่ปรึกษาพิเศษ สอท.สหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย SPECIAL ASSISTANT (SA) ถึง ความเป็นไปได้ในการก่อเหตุในประเทศไทยของกลุ่มก่อการร้ายเพื่อโจมตีแหล่งชุมชนสาธารณะ อาทิ ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว สถานบันเทิง รถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) รถไฟฟ้า (BTS) เนื่องจากแผนการขยายพื้นที่อิทธิพลของกลุ่ม IS ที่แพร่อิทธิพลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย,มาเลเซีย) ซึ่งอาจเคลื่อนไหวเข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้น จึงกำชับให้ปฏิบัติตามหนังสือ สตม.ลับ ด่วนที่สุด ที่ 0029.122/400 ลงวันที่ 5 ก.พ.59 พร้อมทั้งแจ้งเตือนภาคเอกชนในพื้นที่ให้มีมาตรการในการ รปภ.อย่างเข้มงวด ซึ่งในการประสานการปฏิบัติควรระมัดระวังข้อมูล โดยให้ใช้วิธีการอ้างอิงสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในประเทศอินโดนีเซีย และให้พิจารณาพร้อมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติโดยเคร่งครัด 

        กรณีมีเหตุสำคัญเร่งด่วน หรือมีข้อมูลข่าวสารสำคัญ ให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยให้รายงาน ผบช.สตม. ที่ปรึกษา(มค) รอง ผบช.สตม.(ปป) และ รอง ผบช.สตม.(มค) ทราบในโอกาสแรก และรายงานสถานการณ์เป็นเอกสารมายัง ศปก.สตม. โดยเร็ว 

        “รัฐบาล” ยันไร้กลุ่มไอเอสเข้าไทย ระบุประเทศยังปลอดภัย ด้านพล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ปรึกษาทูตสหรัฐอเมริกาแจ้งเตือนไทยเฝ้าระวังกลุ่มไอเอสเตรียมก่อการร้ายในไทย บริเวณห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวว่า ได้สอบถามจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ทางสถานทูตไม่เคยพูดเช่นนั้น ไม่มีข้อมูลตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งนี้ทางสหรัฐฯอาจจะพูดถึงไอเอสในเรื่องต่างๆ แต่ไม่ได้พูดว่าจะมีกลุ่มไอเอสเดินทางเข้าไทย "ขอให้สื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลข่าวสารก่อนนำเสนอสู่ประชาชน อยากให้ช่วยกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการทำลายความมั่นใจในเรื่องต่างๆ และขอยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำงานอย่างเต็มที่" พล.ต.วีรชนกล่าว“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/crime/380667

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผลตรวจอาวุธปืนเหตุจับกุมนายต่วนสุลัยมัน ดาโอ๊ะมารียอ และนายมัสลัน เจ๊ะมุ เคยใช้ก่อเหตุ 2 คดี ตาย 1 บาดเจ็บ 3



         จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 เวลา 16:30 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้น เข้าติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย บ้านเลขที่ 36/2 โดยมี นายนิแม ดามัน แสดงตนเป็นเจ้าของบ้าน และสามารถจับกุม นายต่วนสุลัยมัน ดาโอ๊ะมารียอ และนายมัสลัน เจ๊ะมุ บ้านเลขที่ 36/2 ม.4 บ.ไอลือแบ ต.กอตอตือระ อ.รามัน จ.ยะลา ผลการตรวจอาวุธปืนของ ศพฐ.10 พบความเชื่อมโยงของคดี 2 คดี ยิงประชาชนใน อ.เมือง เสียชีวิต 1 ราย เหตุยิงประชาชนในพื้นที่ อ.รามัน บาดเจ็บ 3 ราย


            ซึ่งจากการเข้าจับกุมเป้าหมายได้ทำการตรวจยึดของกลาง จำนวน 11 รายการด้วยกันคือ ปืนเล็กกล (AK47) ขนาด 7.62 มม. RUSSIAN จำนวน 1 กระบอก เลขหมายประจำปืน 16236831 พร้อมซองกระสุนปืน 2 อัน และกล้องเล็งยี่ห้อ Carl Zeiss 1 อัน, ปืนพกออโตเมติก (NORINCO) ขนาด 9 มม. LUGER เครื่องหมายทะเบียนถูกขูดลบ เลขหมายประจำปืน 4111454 จำนวน 1 กระบอก, ซองกระสุนปืนของปืนพกออโตเมติก ขนาด .38 SUPER จำนวน 1 อัน, ท่อเหล็กกลวง ความยาวประมาณ 13.7 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนติเมตร จำนวน 1 ท่อน และไม้รางปืนจำนวน 1 อัน



           ผลการตรวจพิสูจน์อาวุธปืน และเครื่องกระสุน โดยพบว่า อาวุธปืนเล็กกล (AK47) ขนาด 7.62 มม. RUSSIAN เคยใช้ก่อเหตุในคดีที่มีประวัติเก็บไว้ในสาระบบของ ศพฐ.10 จำนวน 2 คดี คือคดีแรกเมื่อ 30 พ.ค.2558 เหตุคนร้ายยิง นายมูฮัมหมัดอัสรูล ซิ (เสียชีวิต), ทางเข้าสวนยางพารา ม.6 ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา (ป.0670/2558) เก็บปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุได้ 3 ปลอก คดีที่สองเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2558 เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง นาย อิสมาแอ ฟุโต๊ะลี และพวกรวม 3 ราย ได้รับบาดเจ็บ ที่ร้านน้ำชาเลขที่ 74/3 ม.4 (บ้านอูเป๊าะ) ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา (ป.1042/2558) จากการเก็บปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุได้ 41 ปลอก

       ส่วนอาวุธปืนปืนพกออโตเมติก (NORINCO) ขนาด 9 มม. LUGER ตรวจไม่พบคดีที่มีประวัติเก็บไว้ในสาระบบของ ศพฐ.10

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

“อวสาน ญีฮาดวิทยา” ช่วงเวลาที่สื่อโจรรอประโคมข่าว


“อวสาน  ญีฮาดวิทยา”

          เป็นอันสิ้นสุดของคดีเมื่อ “ครอบครัวแวมะนอ”ไม่มีการอุทธรณ์ กรณีศาลแพ่ง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.26/2556 ให้ยึดที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย

       14 ก.พ.59 “ครอบครัวแวมะนอ” เก็บข้าวของทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านที่ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ. ปัตตานี มีชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ช่วยในการขนย้ายออกจากบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปอเนาะ

        นายบันยาล แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ แวมะนอ กล่าวว่า “ผมเคารพการตัดสินใจของศาล” ส่วนเรื่องที่ว่าคนที่มีหมายจับและเป็นต้นตอของการยึดทรัพย์หนนี้ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือเป็นเจ้าของโรงเรียนนั้น เขาเชื่อว่าศาลรู้แล้ว “ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร แต่เรื่องที่ดินผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามันเป็นของคนอื่น แต่ศาลคงคิดว่ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เมื่อศาลตัดสินผมก็ยอมรับ ผมบอกแต่แรกแล้วว่า เมื่อเราสู้คดี ไม่ว่าแพ้หรือชนะเราก็จะยอมรับคำตัดสิน”

        “ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร” ซึ่งเป็นคำพูดที่สะดุดหูและชวนคิด มีอยู่บ่อยครั้งที่สมาชิกในครอบครัวไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทำ แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้วก็จะต้องยอมรับจากผลการกระทำของคนในครอบครัว

       “วันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารมาถาม พอเห็นเราจะย้ายไปอยู่มัสยิดก็บอกว่าทำไมไม่ไปบอกทหารก่อน ผมก็บอกว่ามีชาวบ้านที่จะช่วยเราอยู่แล้ว ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของผมบ้าง ”นายบันยาล ได้กล่าวถึงเจ้าหน้าที่ที่มาสอบถาม


        ภาพที่ชาวบ้านที่ช่วยกันขนข้าวของ“ครอบครัวแวมะนอ”ออกจากผืนแผ่นดินที่เคยอยู่อาศัยและใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนปอเนาะญีฮาดวิทยามานานหลายสิบปี สื่อแนวร่วมจงใจกันและพร้อมใจเผยแพร่ ไปในทิศทางเดียวกัน เสมือนหนึ่งมีการนัดหมายและได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกทางด้านจิตวิทยาสังคม โดยปฏิเสธเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าทำการช่วยเหลืออย่างไม่มีเยื่อใย

        นายบันยาล ยังกล่าวต่อไปว่า “มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาพูดคุยบอกให้เราอุทธรณ์ ครอบครัวก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมเจ้าหน้าที่มาบอกให้พวกเราอุทธรณ์ ในเมื่อพวกเขาเองเป็นคนฟ้องร้องเรา มันเหลือจะบรรยาย ตกลงเจ้าหน้าที่จะเอายังไงกับเรากันแน่”

       นายโสภณ ทิพย์บำรุง อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 9 กล่าวว่า “ถ้าครอบครัวแวมะนอไม่ยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องถือว่าคดีสิ้นสุด คำพิพากษามีผลทันที โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินจะตกเป็นของรัฐ หมายถึงรัฐเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ดี หากรัฐยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ใครก็ตามสามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่มีสิทธิครอบครอง แต่ถ้าวันใดรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา ก็ต้องย้ายออกไป”

         “แนวทางที่ดีสำหรับครอบครัวแวมะนอ คือ การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่ต่อสู้ตามกระบวนการ ก็ไม่มีช่องทางอื่นที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลย และเห็นว่าทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ”อัยการโสภณ ระบุ

        ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 อัยการโสภณ ทิพย์บำรุง ได้แถลงข่าวอธิบายเหตุผลของศาลแพ่งในการริบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของปอเนาะญีฮาดให้ตกเป็นของแผ่นดินให้สาธารณชนได้รับรู้ โดยย้ำเหตุผลที่ศาลรับฟัง คือ ที่ดินผืนนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกของกลุ่มคนร้ายในขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีหลักฐานทั้งพยานบุคคล และพยานแวดล้อมอื่นๆ ครบถ้วน

       หากวิเคราะห์สาเหตุที่ “ครอบครัวแวมะนอ” ไม่ยื่นอุทธรณ์ น่าจะมาจากสาเหตุไม่สามารถนำหลักฐานมาหักล้างต่อศาลได้ และที่สำคัญ มูลนิธิทนายความมุสลิมที่ปรึกษาในคดี“ครอบครัวแวมะนอ” อาจจะมีการประเมินหนทางต่อสู้แล้วว่าหากอุทธรณ์ไปก็ไม่สามารถชนะคดีความได้


      ที่น่าสนใจ ทำไม?  “ครอบครัวแวมะนอ” จึงรีบย้ายออกจากที่ดินผืนดังกล่าวทั้งๆ ที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าวได้อยู่ ยกเว้นรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา จึงจะต้องย้ายออกไป ตามที่ทนายโสภณได้กล่าวไว้

       ซึ่งจากข้อสังเกต น่าจะมีบุคคลอยู่เบื้องหลังให้ทำการย้ายออก เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะสื่อแนวร่วมที่ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอดว่ารัฐรังแกประชาชน และแล้วก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ มีการนำภาพพร้อม และเขียนข่าวมีการขยายผลแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง สร้างกระแสให้ประชาชนมลายูปาตานีรู้สึกคล้อยตาม สงสารและเห็นอกเห็นใจ“ครอบครัวแวมะนอ”ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำมาโดยตลอดตามที่ นายบันยาล แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่ปอเนาะญีฮาด ได้กล่าวมาโดยตลอด

        ในความเป็นจริงการหาทางออกที่ดินผืนดังกล่าว รัฐมิได้ยึดมาเป็นทรัพย์สินของรัฐโดยที่ประชาชนในชุมชนไม่สามารถใช้ในการใดการหนึ่งได้เลย ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนในพื้นที่รวมทั้งชาวบ้านสามารถที่เสนอความต้องการในการใช้ที่ดินผืนดังกล่าวตามที่ตกลงกัน แล้วนำเสนอต่อรัฐเพื่อเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน

        ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ขับเคลื่อนและใกล้ชิดประชาชนมาโดยตลอด คือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้มีแนวทางช่วยเหลือเยียวยา “ครอบครัวแวมะนอ” อยู่แล้ว โดยมีแนวความคิดในการปรับปรุงปอเนาะญีฮาดแห่งนี้ให้เป็นสถานศึกษาของชุมชนต่อไป และให้เจ้าของปอเนาะเดิมเป็นผู้จัดการบริหารสถานศึกษาอีกด้วย

       จะเห็นได้ว่าปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วมีทางออก และหนทางในการแก้ไขปัญหา ยกเว้นการไม่ยอมให้ความร่วมมือหันหลังให้กับปัญหา มีการตั้งแง่รังเกียจรังงอน มีอคติกับรัฐและเจ้าหน้าที่ กลายเป็นช่องว่างให้ผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยโอกาสในการสร้างบาดแผลทางใจ ตกเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความบาดหมางจนยากจะแก้ไข ในส่วนของคดีความทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล ตัดสินไปตามหลักฐานและพยานแวดล้อม ด้วยความสุจริตยุติธรรมให้ความเท่าเทียมและเสมอภาคกับทุกฝ่ายทุกคนอยู่แล้วโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา…เพราะฉะนั้นตามที่ได้มีบุคคลผู้ไม่หวังดีทำการยุยงปลุกปั่นกล่าวหารัฐกลั่นแกล้ง รัฐรังแกประชาชนไม่ได้เป็นความจริงที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่ประการใดเลย…จะเห็นได้ว่ารัฐได้มีการอะลุ่มอล่วยยืดหยุ่นในการปฏิบัติมาโดยตลอดเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้….

—————

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จับกุม RKK ผู้ต้องหาเหตุลอบระเบิด หมาย ป.วิอาญา 2 หมายที่ลำใหม่

55679_Fotor


         ชุดเคลื่อนที่เร็ว ชคต.ลำใหม่ สนธิกำลังร่วม ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เข้าปิดล้อมตรวจค้น บ้านเลขที่ 26/4 ม.4 ปอเยาะ ต.ลำใหม่ จับกุม RKK ผู้ต้องหาตามหมายศาล จากเหตุการณ์ลอบวางระเบิด หมาย ป.วิอาญา 2 หมาย

        ยะลา-วันนี้(15 ก.พ.59) เวลา 15.30 น. นปพ.ร่วม ประจำจังหวัดยะลา ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ลำใหม่, กก.สส.ภ.จังหวัดยะลา ตรวจพบความเคลื่อนไหวของ นายอายุ ดอเลาะ ในพื้นที่ ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา


        ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ได้สนธิกำลังจาก นปพ.ร่วมประจำจังหวัดยะลา, หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47, นปพ.ร่วม.ชร.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41, หน่วยเฉพาะกิจยะลา 16, ชุดสืบสวน สภ.ลำใหม่, กก.สส.ภ.จ.ยะลา, ชป.จงอาง เข้าตรวจสอบบ้านเป้าหมาย เลขที่ 26/4 ม.4 ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา จ.ยะลา เป็นบ้าน ของ นายดือราเซะ กาเด

         จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว นายอายุ ดอเลาะ อายุ ๓๐ ปี เลขบัตรประชาชน 1-9501-00081-90-8 อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ที่ 4 ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของเจ้าหน้าที่ มีหมาย ป.วิ อาญา จำนวน 2 หมาย เลขที่ จส.๓๑๗/๒๕๕๒ และ เลขที่ จส.๓๕/๒๕๕๔




           นายอายุ ดอเลาะ เป็นผู้ต้องหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันพยายามฆ่าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระบิดมีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย มีและใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้เสียทรัพย์

        เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว นายอายุ ดอเลาะ ส่งพนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวัน และส่งตัวไปยัง กรมทหารพรานที่ 41 เพื่อทำการซักถามขยายผลต่อไป

เจ้าหน้าที่ทำลายแผน BRN ปฏิบัติการฆ่าผู้บริสุทธิ์

12674217_1208232932542980_1366595446_n_Fotor


เจ้าหน้าที่ทำลายแผน BRN ปฏิบัติการฆ่าผู้บริสุทธิ์

https://www.youtube.com/watch?v=150eXeCX3K8&feature=youtu.be

        เจ้าหน้าที่ปิดล้อมฐาน BRN ขบวนการโจรใต้ พบมีแผนลอบทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมหลักฐานอาวุธ เครื่องประกอบระเบิด และอุปกรณ์ระเบิดพร้อมใช้งานจำนวนมาก และที่สำคัญมีหลักฐานแน่ชัดว่าฐานปฏิบัติการแห่งนี้คือสถานที่หนึ่งที่กลุ่มขบวนการ BRN ใช้เป็นสถานที่ประกอบระเบิด จัดเตรียมอาวุธ และวางแผน ซึ่งปฏิบัติเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ใช้

         จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ เข้าปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ป่าพรุ หมู่ที่ 5 ตำบลตันหยงเปา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2559 ระหว่างการปิดล้อมคนร้ายไหวตัว จึงเกิดการยิงปะทะกันขึ้นประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าสามารถจับกุม นายซาบารี เจะอารี อายุ 21 ปี ได้พร้อมอาวุธปืนเครื่องกระสุน และระเบิดแสวงเครื่องพร้อมใช้งาน น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม และระเบิดแสวงเครื่องขนาดเล็กอีกจำนวนมาก ระหว่างการปะทะมีบุคคลที่หลบหนีไปได้ 5 คน ทราบชื่อ คือ

  • 1.นายเมาลานา สาเมาะ 
  • 2.นายจำเริญ อูมาสะ 
  • 3.นายอิสยาซะห์ หะแย/ยะห์/ฟุกร 
  • 4.นายฟัดลาน เสาะหมาน 
  • 5.นายอันนุงวา กาซอ 
       โดยทุกคนจะมีปืนพกสั้น และปืนยาว 4 กระบอก คือ เอ็ม16 A4 จำนวน 1 กระบอก 2.เอเค 47 จำนวน 1 กระบอก 3.ปืนลูกซอง จำนวน 2 กระบอก

        พื้นที่ตั้งฐานปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ในป่าโกงกาง การเข้าถึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องใช้เรือเป็นพาหนะอย่างเดียว จากการตรวจสอบพบ กระท่อมที่พัก 3 หลัง เรือ 3 ลำ อาวุธปืนพร้อมกระสุน ดินระเบิด และถังแก๊ส ที่ประกอบระเบิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 2 ถัง กระท่อมหลังแรกเป็นสถานที่ประกอบระเบิด ตรวจพบวัตถุประกอบระเบิด มีทั้งน้ำมันที่ใช้ผสมกับปุ๋ยยูเรีย ถังแก๊สหุงต้มขนาดใหญ่บรรจุดินระเบิดและอุปกรณ์จุดระเบิดแล้ว จำนวน 2 ถัง น้ำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม ดินระเบิด 1 ลำเรือ เหล็กเส้นตัดเป็นสะเก็ดระเบิด 1 ลำเรือ แผงโซล่าเซลล์ อาวุธปืน รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนมาก กระท่อมหลังที่ 2 เป็นโรงนอนและที่ประกอบอาหาร พบอาวุธปืนลูกซองยาวแบบพับฐาน พร้อมกระสุน 20 นัด น้ำมันเบนซินจำนวนมาก ส่วนกระท่อมหลังที่ 3 เป็นเรือนนอน และห้องประชุมวางแผน พบเรือ 3 ลำ ระเบิดที่บรรจุอยู่ในถังแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม จำนวน 2 ถัง คัมภีร์อัลกุรอานหลายเล่ม เสื้อผ้า เปลนอน และอุปกรณ์การดำรงชีพเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าฐานปฏิบัติการแห่งนี้ ตั้งมาประมาณไม่ต่ำกว่า 2 ปี และทราบว่ากลุ่มขบวนการ BRN ได้ระดมแนวร่วมในพื้นที่เตรียมวางแผนเพื่อลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างสถานการณ์ แต่โชคดีเจ้าหน้าที่รู้ความเคลื่อนไหววางกำลังเข้าจับกุมก่อน

       ท่าทีของภาครัฐ ได้แสดงออกถึงการขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ร่วมกันแจ้งเบาะแสข้อมูลข่าวสาร จนนำมาซึ่งความสำเร็จในการปฏิบัติดังกล่าว และเชื่อว่าการปิดล้อมจับกุมบุคคลระดับปฏิบัติของขบวนการ BRNพร้อมอาวุธ เครื่องระเบิดที่ไว้สังหารผู้บริสุทธิ์ในครั้งนี้ หลายฝ่ายทั้งประชาชน กลุ่มองค์กรต่างๆ เราคงปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า การลอบฆ่าทั้งด้วยการลอบยิง ฆ่าแล้วเผา ลอบวางระเบิด เป็นขบวนการโจรใต้ BRN ที่มีตัวตนอยู่จริงๆ และเป็นที่โชคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐ สามารถทำลายแผนปฏิบัติการฆ่าผู้บริสุทธิ์ของขบวนการ BRN ได้ก่อน


————————————-

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เข้าใจซะใหม่ อิสลาม มิใช่สันติ อิสลาม คือ การยอมจำนน


            มุสลิมเมืองไทย สนับสนุนพวก ISIS กันเข้าไป เย้ว ๆ กันใหญ่เวลาพวก ISIS ชนะบีกยึดเมืองได้
พวกนี้ยึดเมืองไหนก็จับคนฆ่าทิ้งไม่เลือก ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ผู้หญิง อิหม่ามดัง ๆ ในยุโรปก็ไม่ีมีใครประนามเลย  ประมาณว่าเห็นด้วยแบบลึก ๆ แบบไม่เปิดเผย คืออยากจะเห็นพวก ISIS สร้างรัฐอิสลามบริสุทธิ์ เพื่อเป็นโมเดลในการทำที่เมืองต่าง ๆ ในยุโรปปัจจุบันนี้ ชาวยุโรปเริ่มตื่นตัวรับรู้แผนการณ์อิสลามอพพยแล้ว 

        หลายประเทศเริ่มปิดพรมแดนไม่ให้ผู้อพยพเข้ามา ตัดกำลังสำรอง ชาวอาหรับอิสลามและอาฟริกาอิสลามที่เข้ามานี้ ไม่ได้เรียนหนังสือ เข้ามาก็ออกลูกครอบครัวล่ะ 5-6 คนอย่างต่ำ ในขณะที่ชาวยุโรปเจ้าของบ้านมีลูกกันแค่ครอบครัวล่ะ 1-2 คนอย่างมาก ไม่ต้องเก่งคณิตศาสตร์ก็ทำนายได้ว่า ด้วยอัตราออกลูกเช่นนี้ ประชากรมุสลิมจะครอบครองพื้นที่ชาวยุโรปหมดในไม่ช้าไม่เกิน 100 ปี พอเมืองไหนที่มุสลิมมีเยอะ ๆ มันก็ยึดทั้งซอย ทั้งถนน ปิดซอย ปิดถนน ปิดเมืองเป็นโซน ยุโรปเรียก "์ฺNO GO ZONE" หมายถึงเขตของมุสลิม คนที่ไม่ใช่มุสลิมไม่ควรเข้าไปไม่รับประกันความปลอดภัย ตำรวจเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะมีกฎหมายสิทธิมนุษยชนค้ำคอไว้ พวกมุสลิมปิดถนนละหมาด ปิดการจราจรเลย ไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองอะไรทั้งนั้น ประหนึ่งว่า เขตนั้น ๆ ไม่มีกฎหมายของรัฐบาลแล้ว หรือใช้กฎชารีอะห์ หรือกฎศาสนาจัดการกันเอง และมีกระจายไปทั่วยุโรป ทุกเมือง 

         ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ อาจเป็นไปได้ว่า จะเกิดสงครามกลางเมืองในยุโรปตามเมืองต่าง ๆ เป็นดาวกระจายไปทั่วยุโรป และอเมริกาด้วย ซึ่งเราไม่คิดมาก่อนว่า รัฐเทกซัส รัฐคาวบอยเมืองลุงแซมจะมีปัญหาเรื่องมุสลิม แต่ปัจจุบันนี้มุสลิมรุกเข้าไปในรัฐเทกซัสแล้ว และสร้างสุเหร่าจำนวนมาก ทะเลาะกับชาวบ้านเจ้าของฟาร์มเลี้ยงหมูซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของมุสลิม การยึดเมืองแบบดาวกระจาย โดยการอพยพชาวอิสลามไปยึดพื่นที่ตามจุดสำัคัญต่าง ๆ ยึดที่ละซอย ที่ละถนน เป็นบล๊อก ๆ ทำ "์ฺNO GO ZONE" แบบนี้ดาวกระจายไปเรื่อย ๆ นี้

          รอถึงวันหนึ่งให้มีจำนวนประชากรมุสลิมออกลูกออกหลานมาก ๆ พอกับชาวยุโรปเจ้าของบ้าน และกองกำลังหัวรุนแรงมากพอและพร้อม ผู้นำหัวรุนแรงอาจสั่งให้มุสลิมหัวรุนแรงทุกเมืองลุกฮือขึ้นยึดเมิองต่าง ๆ ในยุโรปพร้อม ๆ กันแบบดาวกระจาย ได้เห็นเป็นสงครามกลางเมืองทั่วยุโรปแน่ ๆ ยุโรปกับอเมริกาจะได้รบกับอิสลามในบ้านตัวเอง !




         Sharia Law ถ้าโลกนี้ถูกอิสลามครองและบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์กับคนในโลก กฎนี้จะทำยังไงกับคุณ ?  มุสลิมตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป อเมริกา เริ่มขบวนการบังคับรัฐบาลให้ใช้กฎอิสลามแล้ว เดินขบวน เที่ยวบอกบังคับคนไม่ใช่มุสลิมตามถนนให้ยอมรับกฎอิสลาม ทำตามกฎอิสลาม กดดันรัฐบาลรัฐต่าง ๆ 




       เป้าหมายของอิสลาม ไม่ใ่ช่แค่การเผยแพร่ศาสนาให้คนเป็นคนดี !!! แต่คือพันธกิจครองโลกเพื่ออัลล่าห์ (ALLAH)  (ทุกศาสนาต้องอยู่ใต้อิสลามหรือถ้าทำลายให้หายไปซ่ะได้ก็ดีที่สุดถ้าทำได้)
ผู้นำโลกอิสลามทุกที่ก็เห็นด้วยกันหมด ทำทุกวิธีทางเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ อันแรกคือยึดยุโรปกับอเมริกาก่อน ใช้หลายแท็กติก อพยพคนจากอาหรับไปอยู่ให้มาก ๆ ออกลูกออกหลานเยอะ ๆ ทำไมใช้วิธีนี้ ??? ก็เพราะถ้ารบกันแบบซึ่ง ๆ หน้าโดยใช้กำลังทหารและอาวุธนั้นสู้ไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีแทรกซึม (infiltrate)อพยพคนเข้าไปจนทั่วและขยายพันธุ์ออกลูกเยอะ ๆ ชวนฝรั่งตะวันตกมาเป็นอิสลามเข้าพวกด้วย รอเวลาระเบิดตูมลุกฮือยึดทุก ๆ เมืองและใช้ก่อการร้ายสร้างความกลัวให้คนกลุ่มน้อยหันมานับถืออิสลามถ้าไม่อยากตายหรือถูกขับไล่ และทำให้คนกลัวว่าถ้าไม่ตามใจอิสลาม ถ้าไม่เห็นด้วยกับอิสลาม จะเกิดปัญหา เป็นผลทางจิตวิทยาต่อสังคมให้คนกลัวเพื่อรับอิสลามเพื่อหลีกเีลี่ยงปัญหา

          อิสลามคือ "submission" หรือ "การยอมจำนน" อิสลามไม่ใช่สันติ ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจ คำว่าสันติำสำหรับอิสลามคือ คุณต้องยอมจำนนต่ออัลล่าห์ก่อน ถ้าุคุณไม่ยอมจำนนต่ออิสลามก็ไม่มีทางที่จะัได้รับสันติ !!! 

         อิสลามคือ คือระบอบ fascist ที่สมบูรณ์แบบ กำหนดชิวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ระบอบที่ต้องยอมจำนนต่อศาสดามูฮัมหมัด พวกนบี อิหม่ามครูศาสนา และกฎอิสลามที่จะต้องทำตามทุกอย่างโดยขัดขืนไม่ได้ สงสัยไม่ได้เพราะบาป เลิกเป็นอิสลามก็ไม่ได้ด้วย ตาย !!!

          ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เมืองไทย ไม่มีทางแก้ได้หรอก มันอยู่ในขบวนการของจักรวรรดิอิสลามที่จะครองโลก พันธกิจในฝั่งอาเซียน !!!



           ย้ำอีกครั้ง ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ไม่มีวันแก้ไขได้ ใครมาเป็นนายกฯ ก็แก้ไม่ได้ ต่อให้นายกฯ เป็นมุสลิมก็แก้ไม่ได้หรอก ถ้าไม่ได้ตามที่โลกอิสลามต้องการ จะเป็นแบบนี้ ไปเรื่อย ๆ และจะขยายขึ้นมาเป็น 5 จังหวัดหรือมากกว่าด้วย สงครามนี้หนีไม่พ้น !!!

แองโกลา สั่งแบน อิสลาม ระบุไม่เหมาะกับสังคม


   “แองโกลา” อดีตดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกา สร้างประวัติศาสตร์เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่ ประกาศแบน “ศาสนาอิสลาม” อย่างเป็นทางการ ระบุเป็นศาสนาที่มีหลักความเชื่อและการปฏิบัติขัดแย้งต่อค่านิยมของผู้คนในสังคมแองโกลาอย่างสิ้นเชิง

       รายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า แองโกลาได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศแบนศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ โดย ประธานาธิบดีโชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส ผู้นำแองโกลา ออกมายืนยันที่กรุงลูอันดา เมืองหลวงของประเทศว่า “จุดจบของศาสนาอิสลาม” ในแองโกลาได้มาถึงแล้ว


        ตามคำสั่งแบนศาสนาอิสลามของรัฐบาลแองโกลานั้นระบุว่า มัสยิดทุกแห่งที่มีอยู่ในแองโกลาจะต้องถูกปิดแบบไม่มีกำหนด และห้ามชาวมุสลิมในแองโกลาที่มีจำนวนประมาณ 80,000-90,000 คนรวมตัวกันจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาในทุกรูปแบบในที่สาธารณะ

       แหล่งข่าวในรัฐบาลแองโกลาเปิดเผยว่า การตัดสินใจแบนศาสนาอิสลามแบบถาวรในครั้งนี้ ของรัฐบาลประธานาธิบดี โชเซ เอดูอาร์โด ดอส ซานโตส มีขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า หลักความเชื่อและค่านิยมหลายประการของศาสนาอิสลามไม่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมแองโกลาที่มีประชากรมากกว่า 15.9 ล้านคนเป็นชาวคริสต์

       ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยของแองโกลาและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในขณะนี้จำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามในแองโกลานั้นมีอยู่ไม่ถึง 90,000 คน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรที่อพยพเข้ามาใหม่จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก รวมถึงกลุ่มประชากรเชื้อสายเลบานอนที่เข้ามาตั้งรกรากในแองโกลา

ตร.ชุดสืบสวนภูธร จ.ภูเก็ตรวบเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้


           ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดภูเก็ต รวบเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ พร้อมของกลาง ยาบ้า ร่วม 2 หมื่นเม็ด ไอซ์ กว่า 114 กรัม อาวุธปืน 2 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุน

       เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (14 ก.พ.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ และ พ.ต.อ.พินิจ ศิริชัย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมคิด บุญรัตน์ ผกก.กก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมแถลงผลการจับกุม 3 ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด ประกอบด้วย 
  • นายธันวา หรือวา แซ่ขอ อายุ 39 ปี ชาว จ.ภูเก็ต จับกุมได้ที่หน้าห้องเช่า ใกล้สี่แยกปฏิพัทธิ์ - กระบี่ ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมของกลางยาไอซ์ 41.81 กรัม ยาบ้า จำนวน 630 เม็ด อาวุธปืนพกสั้น แบบลูกโม่ ขนาด .38 พร้อมกระสุนจำนวน 16 นัด โดยกล่าวหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ไอซ์ และยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • นายบำรุง หรือดำ ดีแก้ว อายุ 31 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ โดยจับได้ที่บริเวณลานจอดรถปฏิพัทธิ์แมนชั่น ตั้งอยู่ใกล้สี่แยกปฏิพัทธิ์-กระบี่ ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ 
  • นายซอละห์ หรือโก๊ะ เพ็งหวัง อายุ 27 ปี ชาว จ.สงขลา จับกุมได้ที่หน้าโรงเรียนคลองพน ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ พร้อมด้วยของกลางยาบ้า จำนวน 14,492 เม็ด อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม.จำนวน 1 กระบอกพร้อมกระสุน จำนวน 29 นัด โดยกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ไอซ์ และยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และกล่าวหานายซอละห์หรือโก๊ะ เพ็งหวัง ว่า มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ

         การจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.สส.ภ.จว.ภูเก็ต ได้ดำเนินการสืบสวนขบวนการค้ายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง โดยทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ โดยเป็นขบวนการที่แบ่งงานกันทำ ซึ่งมีผู้สั่งการคือ นายอุสมาน หรือมัง จินตรา ผู้ต้องขังคดียาเสพติดเรือนจำจังหวัดยะลา ซึ่งจะซื้อขายยาเสพติดจากนายหมู ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง โดยจะสั่งยาเสพติดมาจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดสงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินการสั่งยาเสพติด นายอุสมาน หรือมัง จะโทรศัพท์สั่งยาเสพติดจากนายหมู และ นายหมูจะเป็นผู้ติดต่อทีมงานขนยาเสพติดจากพื้นที่จังหวัดภูเก็ต คือนายบำรุง หรือดำ ดีแก้ว เป็นผู้เดินทางไปขนยาเสพติด และนายอุสมานหรือมัง ติดต่อสั่งการให้นายซอละห์หรือโก๊ะ เพ็งหวัง เป็นผู้รับยาจากนายบำรุง หรือดำ เพื่อไปจำหน่ายให้กับผู้ค้ารายอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดยะลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป



           โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา นายอุสมาน หรือ มัง ได้โทรศัพท์ติดต่อสั่งยาเสพติดจากนายหมู ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง อยู่ที่ ต.ท่าขี้เหล็ก แนวเขตชายแดนไทยฝั่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในจำนวน 100,000 เม็ด เมื่อได้รับออเดอร์ นายหมู่ได้ติดต่อให้นายบำรุง หรือดำ ขึ้นไปรับยาเสพติด นายบำรุง หรือดำได้ตกลงตอบรับ และเดินทางโดยเครื่องบินพร้อมด้วย น.ส.อ้อม นามสมมุติ และนายเฟิร์ส นามสมมุติ รวม 3 คน เพื่อไปรับยาเสพติดตามคำสั่งของนายหมู เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงรายก็พบกับนายหมู และทีมงานของนายหมู คือนายซอละห์หรือโก๊ะ เพ็งหวัง โดยได้ทำข้อตกลงเรื่องการว่าจ้าง โดยมีวิธีการกล่าวคือ นายบำรุง หรือดำ จะได้ค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 800,000 บาท แต่จะต้องวางตัวนายเฟิร์สฯ ไว้เป็นประกันกับนายซอละห์หรือโก๊ะ เมื่อส่งยาเสพติดเรียบร้อยแล้วนายเฟิร์สฯ จะได้รับการปล่อยตัว

         และในขณะเดียวกัน นายซอละห์หรือโก๊ะ ได้สั่งยาเสพติดจากนายหมูเป็นจำนวน 100,000 เม็ดในราคมมัด(2,000 เม็ด) ละ 100,500 บาท โดยนายหมู จะส่งยาเสพติดให้นายซอละห์ โดยยังไม่มีเงินมัดจำ แต่ต้องมอบบุคคลไว้เป็นประกัน เมื่อชำระเงินแล้วตัวประกันจะได้รับการปล่อยตัว โดยนายซอละห์ ตอบรับตามข้อตกลงและได้มอบ น.ส.นา และ น.ส.ยะห์ ที่พามาด้วยไว้กับนายหมู และได้นัดแนะสถานที่รับยาเสพติด

         ต่อมาเวลาประมาณ 04.00 ในวันถัดมา นายหมู่ได้โทรศัพท์ติดต่อให้นายบำรุง หรือดำ ไปรับยาเสพติดที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร จังหวัดเชียงราย หลังจากได้นำยาเสพติดมาแล้ว นายบำรุง พร้อมด้วย น.ส.อ้อม (นามสมมุติ) ได้นำยาเสพติดมาทางรถโดยสารประจำทางและทางรถไฟจนมาถึงจังหวัดสงขลา และมอบให้นายซอละห์หรือโก๊ะ โดยได้รับค่าจ้างเป็นยาบ้าจำนวน 10,000 เม็ด นายบำรุง รับตัวนายเฟิร์ส และเดินทางกลับมาพร้อมยาบ้า โดยได้นำยาบ้าส่วนหนึ่งไปซุกซ่อนไว้ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และอีกส่วนหนึ่งนำมาจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ หลังจากจับกุมได้ นำเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดยาบ้าที่ซุกซ่อนไว้ที่จังหวัดกระบี่ และสืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมนายซอละห์ หรือโก๊ะ ได้ในที่สุด

ประชาชนสหรัฐอเมริกา 20 เมือง นัดวันรวมตัวต่อต้านอิสลาม



        สำนักข่าว MSNBC รายงานว่าวันที่ 17-18 ตุลาคม 2558 นี้จะมีกลุ่มต่อต้านอิสลาม ออกมาประท้วงบริเวณหน้าสุเหร่าของ 20 เมืองในสหรัฐอเมริกา บางกลุ่มประกาศพกอาวุธออกมาด้วย การประท้วงครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “การประท้วงของโลกเพื่อมนุษยชาติ” (Global Rally for Humanity) พร้อมด้วยสโลแกนว่า “โลกนี้ปฏิเสธอิสลาม” (The world is saying no to Islam) โดยหวังว่าจะเป็นพลังขับชาวมุสลิมออกจากอเมริกา

       ในเฟซบุ๊กของกลุ่มต่อต้านระบุว่า “ทุกคนจงลุกขึ้นมาต่อต้านอิสลาม การกระทำครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการเหยียดผิว แต่เป็นความหมายง่ายๆว่าคุณไม่ใช่คนปัญญาอ่อนและมองเห็นความเป็นจริงของอิสลามทั่วโลก....โลกนี้ปฏิเสธอิสลาม”  เฟซบุ๊กของกลุ่มต่อต้านอิสลามยังเขียนไว้อีกว่าการรณรงค์ต่อต้านสุดสัปดาห์นี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอิสลามหัวรุนแรงเปิดโจมตีมนุษยชาติทุกวัน และการต่อต้านจะเกิดขึ้นในทุกประเทศ ทุกสุเหร่า

          รายงานข่าวเปิดเผยว่ากำหนดการประท้วงจะมีขึ้นใน 20 เมืองของสหรัฐอเมริกา เป้าหมายคือการประท้วงบริเวณหน้าสุเหร่า  ขณะที่สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (the Council on American-Islamic Relations =CAIR) เป็นกลุ่มนำด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมได้ติดต่อเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายท้องที่เพื่อรักษาความสงบเพราะกลุ่มประท้วงระบุว่าจะมีการพกพาอาวุธออกมาประท้วงด้วย พร้อมกับเรียกร้องให้ชุมชนมุสลิมอยู่ในความสงบเพียงให้จับตาดูการประท้วง

การประท้วงอิสลามเมื่อเดือนพฤษภาคม

        เมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 มีคนอเมริกันประมาณ 200 คนรวมตัวกันประท้วงอิสลามและพระมะหะหมัด ศาสดาของอิสลามบริเวณหน้าสุเหร้าเมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา จัดโดยนายจอน ริทซ์ไฮเมอร์ ( Jon Ritzheimer) อดีตทหารผ่านศึกสงครามอิรัก เขาปรากฎตัวขึ้นสวมเสื้อยืดสีดำเขียนไว้ว่า “F—k Islam.”

        นายริทซ์ไฮเมอร์เปิดเผยว่าเขาได้แรงจูงใจนี้มาจากการประท้วงมุสลิมที่เท็กซัส ในสุดสัปดาห์นี้เขาก็จะเข้าร่วมโดยใช้แนวเดียวกับที่เคยประท้วงที่ฟีนิกซ์ มีการโบกธงต่อต้านอิสลามด้วย เป็นการเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์นี้

       ขณะที่ CAIR ออกคำแถลงผ่าน Newsweek ว่ากลุ่มผู้จัดการต่อต้านอิสลามเป็นเรื่องของการจงเกลียดจงชัง (hate rallies) พร้อมกับแจ้งว่าจะพกพาอาวุธที่ถือว่าทำถูกกฎหมาย และอาจจะมีการนำหมูและคัมภีร์อัล-กุรอานออกมาดำเนินการด้วย

       “ขบวนการต่อต้านอิสลาม เกิดขึ้นในช่วงนี้มีแรงจูงใจเป็นเรื่องอาชญากรรมของความจงเกลียดจงชัง (hate-motivated crimes)ที่เพิ่มขึ้น เป็นเรื่องของความอคติที่มีเป้าหมายไปทั่วประเทศทั้งในส่วนบุคคลและทรัพย์สินที่กระทำต่ออิสลามและชุมชนมุสลิมอเมริกัน” คำแถลงกล่าว

        ในขณะที่วันที่ 17 ตุลาคมนี้ นายเบน คาร์สัน ผู้สมัครชิงชัยเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2016 เปิดเผยว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่าทำไมเขาต่อต้านมุสลิมอเมริกันไม่ต้องการให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมทั้งยังอ้างอิงไปยังคณะ“บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ” (the Founding Fathers) ที่ประกาศห้ามไม่ให้บุคคลบางกลุ่มขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี โดยมีความกลัวว่าจะทำให้ความซื่อสัตย์ต่อสหรัฐนั้นแตกต่างไป

         ไม่เพียงเฉพาะนายคาร์สันเท่านั้น แต่ผู้สนใจเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอีกคนคือนายดอนัลด์ ทรัมพ์ กล่าวเมื่อเดือนกันยายนในระหว่างการหาเสียงที่รัฐนิว แฮมเชอร์ ประกาศว่า “เรามีปัญหาของประเทศ ที่เรียกว่ามุสลิม”

          นายดอนัลด์ ทรัมพ์ เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา นับถือศาสนาอะไรและมีพันธกรณีต่ออเมริกาอย่างไร

        “เขาไม่มีใบเกิด แต่อาจมีใบหนึ่ง และมีอะไรอยู่ในนั้น อาจจะเป็นเรื่องศาสนา เขาอาจเป็นมุสลิม”ทรัมพ์ให้สัมภาษณ์ผ่านทีวีฟ็อกซ์ เมื่อปี 2011 “ผมไม่รู้ บางทีเขาก็อาจไม่ต้องการอะไร”

         ขณะที่สถานีทีวี CBS Detroit รายงานจากเมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกนรายงานว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดียร์บอร์น ,เอฟบีไอและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกระทรวงความมั่นคงสหรัฐพร้อมที่จะรับมือการเดินขบวนประท้วงที่เรียกว่าGlobal Rally for Humanity โดยเฉพาะช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 17 จะมีการประท้วงที่สุเหร่าชื่อ the Islamic Center of America ซึ่งเป็นสุเหร่าใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือบนถนน Ford

         เมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกนเป็นเมืองหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยุโรปและตะวันออกกลาง สืบเนื่องมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชนชาติยุโรปประกอบด้วยเยอรมัน,โพลิส,ไอริช,และอิตาเลียน ส่วนชาวตะวันออกกลางที่มารวมตัวกันเป็นชุมชนใหญ่ประกอบด้วย ชาวเลบานอน,เยเมน,อิรัก,ซีเรียและปาเลสไตน์

         เฉพาะชาวอาหรับ-อเมริกันมีประมาณ 40,000 คน เป็นเจ้าของห้องอาหารและธุรกิจต่างๆ ใช้ภาษาอังกฤษและอาหรับ เมืองเดียร์บอร์นมีประชากรอาหรับเพิ่มมากขึ้นเมื่อปี 2003 เป็นต้นมา หลังจากสหรัฐไปทำสงครามในอิรักเป็นเหตุให้เกิดผุ้อพยพชาวอิรักที่จะต้องเลี้ยงดู ทำให้เดียร์บอร์นกลายเป็นเมืองใหญ่สุดของชาวอาหรับ-อเมริกันและนับถือศาสนาอิสลาม

ไม่เชื่อ อย่าลบหรู่ นักรบของพระเจ้า ถ้าเอดส์ไม่แดก เป็นไม่ได้นะครับทั่น



            แหล่งข่างวงในเผย ผู้นำ ISIS หวั่นเอดส์ระบาดในหมู่นักรบ สั่ง 16 นักรบที่ติดเชื้อ HIV จากการข่มขืนทาสกามคนเดียวกัน ปฏิบัติงานระเบิดพลีชีพ ยืนยันมีรายหนึ่งถูกฆ่า หลังพบว่าจงใจแพร่เชื้อให้กลุ่มนักรบกันเอง 

            เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยเรื่องความหวาดหวั่นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส HIV หรือเชื้อโรคเอดส์ ภายในหมู่นักรบ ISIS อ้างอิงตาม ARA News สำนักข่าวอิสระของซีเรีย ที่ได้สัมภาษณ์แพทย์รายหนึ่งที่ถูกบังคับปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลของกลุ่มรัฐอิสลาม ในเมือง อัล-มายาดีน ทางตะวันออกของซีเรีย ระบุว่า โรงพยาบาลที่นี่กลายเป็นที่ตรวจหาเชื้อ กักกัน และรักษานักรบที่ติดโรคเอดส์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นนักรบต่างชาติ และในช่วงที่ผ่านมามีนักรบ 16 รายแล้ว ที่ได้รับคำสั่งบังคับให้ปฏิติการระเบิดพลีชีพ หลังทั้งหมดถูกตรวจพบว่ามีเชื้อ HIV ในร่างกาย โดยติดเชื้้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับนักโทษหญิงชาวโมรอคโค 2 คน ที่กลายเป็นทาสกามแก่กลุ่มนักรบ ซึ่งในตอนนี้หญิงทั้ง 2 รายหลบหนีออกไปยังประเทศตุรกีแล้ว ด้วยกลัวว่าจะถูกนำตัวไปสังหาร

            นอกจากนี้แหล่งข่าวยังระบุว่า ที่ผ่านมามีนักรบรายหนึ่งถูกประหารชีวิตไป หลังจับได้ว่าเขาจงใจแพร่เชื้อ HIV ให้คนอื่น โดยนักรบรายนี้เป็นชาวอินโดนีเซีย มาเข้าร่วมกับกลุ่ม ISIS เมื่อเดือนกันยายน 2556 และเจ้าตัวเป็นโรคเอดส์มาอยู่แล้ว แต่เขาได้บริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลของกลุ่มรัฐอิสลาม ส่งผลนักรบชาวอียิปต์รายหนึ่งที่รับเลือดจากเขาติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวชาวยาซิดีวัย 15 ทาสกาม จนเธอติดเชื้อ และแพร่เชื้อต่อไปให้นักรบชาวซาอุดีอาระเบียอีก 2 รายที่บังคับให้เธอร่วมหลับนอนด้วย 

            กลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อต้าน ISIS ชื่อ Raqqa is Being Slaughtered Silently ยังเผยอีกว่า โรงพยาบาลของ ISIS ในเมืองรักกา เผชิญภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ในการตรววจหาเชื้อ HIV มาร่วม 2 ปีแล้ว และได้ตั้งโรงพยาบาลเมืองอัล-มายาดีนขึ้น เพื่อไว้เป็นสถานที่กักกันและรักษาโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นว่า ทางกลุ่มนักรบรัฐอิสลามเองก็มีความหวาดหวั่นต่อการติดเชื้อโรคเอดส์ในกลุ่มนักรบไม่น้อย ขณะที่กลุ่มนักรบก็เข้าข่ายมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ทั้งการที่ส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่มีประวัติการใช้ยาเสพติดและเป็นอาชญากรมาก่อน รวมทั้งการผลัดเปลี่ยนใช้ภรรยาและทาสกามร่วมกันด้วย

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คนร้ายดักสิบล้อบังคับให้พูดยาวีคนขับพูดไม่ได้ถูกจ่อยิงดับอีก 3 รอด ก่อนเผาวอดที่รือเสาะ




             กลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธครบมือ ดักเรียกรถบรรทุกสิบล้อ ก่อนบังคับให้ 4 คนลงจากรถ บังคับให้พูดภาษายาวี โชเฟอร์พูดไม่ได้ ถูกยิงดับ ก่อนหนีเอาน้ำมันราดรถ จุดไฟเผาจนเสียหาย พร้อมวางบึมดักสังหาร จนท. ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุ โชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บ…
          นราธิวาส-วันนี้ (13 ก.พ.59) เวลา 15.30 น. พ.ต.อ.เรืองศักดิ์ บัวแดง ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายยิงแล้วเผาคนขับรถบรรทุก 10 ล้อ เหตุเกิดบนถนนสายรือเสาะ – ตะโล๊ะหะลอ บ้านจือแร หมู่ 3 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จึงระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบ


            ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่เดินทางก่อนจะถึงที่เกิดเหตุประมาณ 2 กม. ได้ถูกคนร้ายจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในกล่องเหล็กหนัก 5 กก. จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ที่ลอบนำไปวางไว้ริมถนน แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

            เมื่อเจ้าหน้าที่ถึงที่เกิดเหตุ พบเพลิงกำลังลุกไหม้รถบรรทุก 10 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 80 3045 ยะลา ของ หจก.ยะลาฮุ้นหยู ที่จอดไว้บนถนน จนทำให้ล้อหน้าซ้ายขวา และห้องโดยสารถูกเพลิงไหม้เสียหาย แต่เจ้าหน้าที่เกรงถูกคนร้ายวางแผนลวงดักสังหารซ้ำ จึงได้จอดรถและนำท่อนไม้ริมทางมาขวางถนนเพื่อไม่ให้ประชาชนสัญจรไปมา เกรงจะได้รับอันตราย โดยที่พงหญ้าริมทางห่างจากรถประมาณ 5 เมตร พบศพ นายประเสริฐ บุญรักษ์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 ม.7 ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา นอนคว่ำหน้าในสภาพมีบาดแผลถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดที่ต้นคอและแผ่นหลังรวม 3 นัด


           เจ้าหน้าที่ได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ฉก.อโณทัย มาทำการตรวจสอบและเคลียร์พื้นที่จนปลอดภัย ก่อนจะนำศพผู้เสียชีวิตส่ง รพ.รือเสาะ เพื่อให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดอีกครั้ง และประสานญาติมารับศพเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

           จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายประเสริฐ พร้อมพวกรวม 4 คน ได้ขับรถบรรทุก 10 ล้อ ออกจากโกดังที่ อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อไปส่งข้าวสารในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส แล้วเสร็จได้เดินทางกลับโกดังที่ จ.ยะลา ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายจำนวน 4-5 คน พร้อมอาวุธปืนครบมือดักซุ่มอยู่ริมถนน เมื่อรถวิ่งผ่านคนร้ายได้วิ่งออกไปใช้ปืนขู่บังคับให้หยุดรถ

           หลังรถหยุดคนร้ายได้เรียกให้ทุกคนลงมาจากรถ แล้วให้ทุกคนพูดภาษายาวีออกมา โดย 3 คน ซึ่งเป็นมุสลิมสามารถพูดได้ มีเพียง นายประเสริฐ ซึ่งเป็นคนขับรถ พูดไม่ได้อยู่คนเดียว คนร้ายจึงใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่ นายประเสริฐ 3 นัดซ้อน จนล้มคว่ำลงเสียชีวิต คนร้ายได้ฉวยโอกาสขโมยกระเป๋าคาดเอวของผู้ตายซึ่งมีเงินสดอยู่ประมาณ 1.2 แสนบาทไปด้วย โดยก่อนที่จะหลบหนีได้ใช้น้ำมันที่เตรียมมาราดใส่ล้อรถและห้องโดยสาร และจุดไฟเผาจนไหม้เสียหาย

           ส่วนคนร้ายอีกชุดได้นำระเบิดแสวงเครื่องไปวางไว้ที่ริมถนนห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 2 กม. เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาตรวจสอบ ณ จุดเกิดเหตุ แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

           สาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ ผกร.ที่พยายามสร้างสถานการณ์ และสังหารชาวบ้านรายวัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะได้เชิญตัวผู้รอดชีวิตทั้ง 3 คน ไปสอบสวนขยายผล เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

โจรใต้ดักยิงคนขับรถสิบล้อดับก่อนเผารถวอด แถมวางระเบิด ตร.ซ้ำไร้เจ็บที่รือเสาะ



           นราธิวาส - โจรใต้ ดักยิงคนขับบรรทุกรถสิบล้อ(ไทยพุทธ)เสียชีวิต ก่อนปล่อยลูกน้อง(ไทยมุสลิม) จุดไฟเผารถ วางระเบิดตำรวจ ที่รือเสาะ นราธิวาส

          วันนี้ (13 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา พ.ต.อ.เรืองศักดิ์ บัวแดง ผกก.สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายยิงแล้วเผาคนขับรถบรรทุก 10 ล้อ เหตุเกิดบนถนนสายรือเสาะ-ตะโล๊ะหะลอ บ้านจือแร หมู่ 3 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จึงระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และในระหว่างเดินทางก่อนถึงที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ได้ถูกคนร้ายจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในกล่องเหล็กหนัก 5 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือที่ลอบนำไปวางไว้ริมถนน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ



          ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปตรวจสอบเหตุเผารถบรรทุก พบไฟกำลังลุกไหม้รถบรรทุก 10 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 80 3045 ยะลา ของ หจก.ยะลา ฮุ้นหยู ที่จอดไว้บนถนน จนทำให้ล้อหน้าซ้ายขวา และห้องโดยสารถูกเพลิงไหม้เสียหาย แต่เจ้าหน้าที่เกรงจะถูกคนร้ายวางแผนลวงดักสังหารซ้ำ จึงได้จอดรถและนำท่อนไม้ริมทางมาขวางถนนเพื่อไม่ให้ประชาชนสัญจรไปมาเกรงจะได้รับอันตราย

         โดยที่พงหญ้าริมทาง ห่างจากรถประมาณ 5 เมตร พบศพ นายประเสริฐ บุญรักษ์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 ม.7 ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา นอนคว่ำหน้าในสภาพมีบาดแผลถูกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดที่ต้นคอและแผ่นหลัง รวม 3 นัด จึงได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ฉก.อโณทัย มาทำการตรวจสอบและเคลียร์พื้นที่จนปลอดภัย ก่อนจะนำศพผู้เสียชีวิตส่ง รพ.รือเสาะ เพื่อให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดอีกครั้ง และติดต่อญาติมารับศพเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

          จากการสอบสวนเบื้องต้น คนร้ายได้ก่อเหตุโดยตัดต้นไม่ขวางถนน และโปรยตะปูเรือใบเส้นทางรือเสาะ - ตะโล๊ะหะลอ บ้านจือแร ต.สาวอ อ.รือดสาะ จ.นราธิวาส เพื่อหวังดักรถบรรทุกสิบล้อ พฤติกรรมคนร้าย หลังจากที่รถเป้าหมายถูกตะปูและไม่สามารถขับขึ่ต่อไปได้ คนร้ายได้ไล่คนขับและลูกน้องรวม 4 คนให้ลงจากรถ คนร้ายบังคับให้ทั้งสี่คนพูดภาษายาวี นายประเสริฐ ซึ่งเป็นคนไทยพุทธไม่สามารถพูดภาษายาวีได้ จึงถูกคนร้ายจ่อยิง เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนคนอื่น ๆ พูดภาษายาวีได คนร้ายสอบถามแล้วทราบว่าเป็นไทยมุสลิม อีก 3 คน
  • 1.นายอาหมัดฟิกรี ยูกะ, 
  • 2.นายมาหามะ เปาะสามู, 
  • 3.นายอับดุลมาแซ เจ๊ะนะ 
        คนร้ายจึงได้ปล่อยตัวทั้ง 3 รายไป โดยคนร้ายได้เงินสดไปประมาณ 1 แสนบาท  ในขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการปกป้อง (จนท.ตร.)เข้าตรวจสอบเหตุพื้นที่ คนร้ายได้กดชนวนระเบิดใกล้สะพาน หวังทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ...

กลุ่มด้วยใจ-มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มั่วรายงาน

2 คู่หู


โดย ‘ลมใต้ สายบุรี’

           “กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่วรายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล ดังปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อแขนงต่างๆ อย่างกว้างขวางทั้งใน และต่างประเทศในห้วงที่ผ่านมานั้น

         การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้ความสำคัญ และตระหนักในสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่มาโดยตลอด ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการ และข้อเน้นย้ำในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของการบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้การรับรู้ และมีส่วนร่วมของผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา และบุคคลในครอบครัวตามแนวทางสันติวิธี ตั้งแต่ขั้นตอนของการจับกุม โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก

          ส่วนขั้นตอนการคุมตัวและซักถาม ที่เปิดโอกาสให้บุคคลในครอบครัวเข้าเยี่ยมได้ทุกวันตามห้วงเวลาที่กำหนด โดยไม่เคยกีดกัน หรือขัดขวางตามที่ถูกกล่าวอ้าง พร้อมกับจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ญาติ เช่น ที่พัก (หากมีความต้องการ) มีกิจกรรมนันทนาการ และการประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนา

         นอกจากนี้ ยังคงเปิดโอกาสให้เครือข่ายองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรระหว่างประเทศ กาชาดสากล คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งใน และต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน รวมทั้งมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจและเครือข่ายองค์กร สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ควบคุมตัว และซักถามในหน่วยทหารได้ตลอดเวลา โดยไม่เคยปิดกั้นแต่อย่างใด ซึ่งทุกองค์กรต่างให้การยอมรับในความพยายามปรับปรุงสถานที่ และวิธีการดำเนินการตามคำแนะนำ ทำให้ประเด็นการร้องเรียนจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ดีขึ้นโดยลำดับ

        หลายท่านอาจจะสงสัยทำไม? เจ้าหน้าที่จึงมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย แล้วนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการซักถาม หรือมีการตรวจสารพันธุกรรม DNA ซึ่งการควบคุมตัวตามกฎหมายคราวละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน หากไม่มีมูลความผิดจะได้รับการปล่อยตัวในทันที

       จากการซักถามในหลายครั้งได้นำไปสู่ความสำเร็จในการเข้าทลายฐานปฏิบัติการของกลุ่ม ผกร. มีการเปิดเผยที่ซ่อนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ ยึดอุปกรณ์ในการประกอบระเบิด และที่สำคัญนำไปสู่การจับกุมสมาชิกแนวร่วมในระดับผู้ปฏิบัติการ และระดับแกนนำ

        ตัวอย่างความสำเร็จจากผลการซักถามผู้ต้องสงสัยเหตุระเบิดถนน ณ นคร จ.นราธิวาสจำนวน 3 จุด ซึ่งในครั้งนั้น นายอัมรีย์ วรรณมาตร ได้ให้การรับสารภาพว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องเหตุลอบวางระเบิด โดยมีผู้ร่วมก่อเหตุที่คือ นายซุลกิปลี มะสะ เป็นผู้สั่งการ นายรีดวน สุหลง เป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องเข้าไปก่อเหตุ และนายอิสมะแอ เจ๊ะโซะ เป็นผู้ดูต้นทางร่วมกับตนเอง

          อีกกรณีหนึ่งคือเหตุการณ์กลุ่ม ผกร.เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย.ร.15121 (ฐานพระองค์ดำ) จากการซักถาม นายยาห์ยา บือราเฮง ซึ่งเป็นพลทหารภายในหน่วยฐานพระองค์ดำกระทำตัวเป็นไส้ศึกได้ให้ข้อมูล นำไปสู่การออกหมายจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 15 รายด้วยกัน ในที่สุดเมื่อวันที่ 21 พ.ย.55 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้มีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 35 ปี 12 เดือน จำนวน 3 ราย จำคุกตลอดชีวิตจำเลย จำนวน 1 ราย พิพากษาให้ประหารชีวิต จำเลย 1 ราย

        ส่วนการตรวจสารพันธุกรรม DNA เพื่อความแม่นยำในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษดำเนินคดี ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ ที่ผ่านมาการนำนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของสากล

       หากเราอ่านรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมานในพื้นที่ จชต. ของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจ โดย น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ เคยดำเนินการอย่างเป็นทางการมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ

  • ครั้งที่ 1 เมื่อ 28 พ.ค.55 และ
  • ครั้งที่ 2 เมื่อ 10 ก.พ.59 
         โดยมีกลุ่มเป้าหมาย และการรายงานรูปแบบการทรมานที่เหมือนๆ กัน อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาเนื้อหาอย่างละเอียดพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มารายงานซ้ำ เป็นลักษณะการกล่าวอ้างจากคำบอกเล่า โดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งๆ ที่เมื่อเกิดประเด็นปัญหาขึ้นมา รัฐจะเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการอิสระ และโดยเครือข่ายองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ดังที่ปรากฏให้เห็นมาโดยตลอด

         ทั้งนี้ รูปแบบการซ้อมทรมานที่ระบุในรายงานทั้ง 2 ครั้ง นอกจากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีข้อสังเกตในหลายประเด็นที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก บังคับให้ทานสารเคมี การเผาไหม้ และประเด็นล่าสุด คือ ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ขาดอากาศหายใจ หรือการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงย่อมมีร่องรอย หรือหลักฐานให้ปรากฏต่อแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ทั้งก่อน และภายหลังการควบคุมตัว รวมทั้งปรากฏต่อญาติ และครอบครัวที่เข้าเยี่ยมได้ทุกวัน ซึ่งเครือข่ายองค์กรเหล่านี้ต่างก็ทราบดี

         ดังนั้นจากพฤติกรรมของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ในการเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจถือได้ว่าเป็นการจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล

        ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคงโดย แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงของทุกเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวอ้างอย่างเร่งด่วน พิสูจน์ความจริงการให้ข้อมูลกับองค์กรดังกล่าวให้ปรากฏว่าเป็นอย่างไร มีมูลความจริงหรือไม่ หากเป็นความจริงก็จะมีการลงโทษทั้งวินัย และอาญาทหารอย่างเด็ดขาด แต่หากไม่เป็นความจริง หรือมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง บุคคลและองค์กรเหล่านี้ก็จะต้องยอมรับความจริงจากสิ่งที่ได้กระทำด้วยเช่นเดียวกัน

        นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เคยถูกกองทัพไทยแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญา โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาททำให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา ต้อง“เสื่อมเสียชื่อเสียง” เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จากกรณีที่นางสาวพรเพ็ญฯ บิดเบือนข้อเท็จจริง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัว

         องค์กรภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวใน จชต. บางองค์กรมีการทำเป็นอาชีพ การจัดกิจกรรมจะต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรต่างประเทศ แต่การบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายประเทศเป็นสิ่งมิบังควร ต้องขอความร่วมมือไปยังสื่อมวลชนให้เสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ โดยขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังที่ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

———————

สิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่ว




       “กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่วรายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล

Video Player


        “กลุ่มด้วยใจ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่วรายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากลส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มารายงานซ้ำ เป็นลักษณะการกล่าวอ้างจากคำบอกเล่า โดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
         รูปแบบการซ้อมทรมานที่ระบุในรายงานทั้ง 2 ครั้ง นอกจากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีข้อสังเกตในหลายประเด็นที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก บังคับให้ทานสารเคมี การเผาไหม้ และประเด็นล่าสุด คือ ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ขาดอากาศหายใจ หรือการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น

         ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคงโดย แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงของทุกเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวอ้างอย่างเร่งด่วน พิสูจน์ความจริงการให้ข้อมูลกับองค์กรดังกล่าวให้ปรากฏว่าเป็นอย่างไร มีมูลความจริงหรือไม่ หากเป็นความจริงก็จะมีการลงโทษทั้งวินัย และอาญาทหารอย่างเด็ดขาด แต่หากไม่เป็นความจริง หรือมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง บุคคลและองค์กรเหล่านี้ก็จะต้องยอมรับความจริงจากสิ่งที่ได้กระทำด้วยเช่นเดียวกัน