หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ไฟใต้ที่รัฐไม่กล้ามอง


http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_6891.html

ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด!

นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน” ท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


โดย ปาแด งา มูกอ
22 มกราคม 2554

สิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนของเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (กลุ่มผี ? ) ยังคงสามารถก่อเหตุรุนแรงได้แทบทุกที่ ทุกเวลา เท่าที่ทางกลุ่มต้องการเหมือนเดิม! 

กองกำลังทหาร,ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) ปัจจุบัน ที่ประกอบด้วย (กำลังทหาร 30,000 นาย,กำลังตำรวจ 18,000 นาย,กำลังฝ่ายปกครอง (จ้างประชาชนให้มาตายแทน ทหาร,ตำรวจ ในนาม อาสาสมัครต่างๆ อาทิ ชรบ.อรบ.,อรม.,ทส.ปส.อส.รด.,อส.ตำรวจหมู่บ้าน ฯลฯ ) 18,000 นาย รวม 66,000 นาย

ซึ่งหลายคนบอกว่าเยอะ แต่เมื่อพิจารณาจากภารกิจแล้ว ยืนยันว่าไม่เยอะอย่างที่คิด

เพราะทุกวันนี้ทุกหน่วยงานของภาครัฐกำลังรบอยู่กับ(ผี?) ที่ไม่มีตัวตน และจะปรากฏตัวตนขึ้นมา ก็จากการให้สัมภาษณ์ของบรรดาหัวหลักหัวตอปัญญาอ่อนของบ้านเมือง ที่ใช้เป็นสูตรสำเร็จ ว่า

“ เหตุการณ์ครั้งนี้น่าเชื่อว่าเป็นการลงมือของนายอะไรต่อมิอะไร / สถานการณ์ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว / สถิติการก่อการร้ายลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา / การลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจและเหี้ยมโหดในครั้งนี้ เป็นการฉลองวันครบรอบการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มขบวนการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2530 จากขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติปัตตานี หรือ BNPP เป็นแนวร่วมอิสลามปลดปล่อยปัตตานี หรือ BIPP /


รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้นำประเทศระดับ นนายกรัฐมตรีที่กล่าวว่า
“โดยปกติพอใกล้การประชุมโอไอซี จะมีความพยายามก่อเหตุหรือยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยความรุนแรง เพื่อนำไปใช้เป็นเงื่อนไข ซึ่งกำลังมีการสอบสวนอยู่เหมือนกันว่ามีข้อสังเกตต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางเรื่อง แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะต้องยึดกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ และวงจรความรุนแรงเพื่อนำไปสร้างเป็นเงื่อนไข หรือขยายผลในเวทีต่างประเทศ”


หรือระดับ ผู้บัญชาการทหารบกแห่งประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า
“ทำไมเหตุการณ์ในพื้นที่ยังไม่จบ อยากบอกว่าตราบใดคนเหล่านี้ ที่สมองถูกบ่มเพาะและถูกล้างสมอง ที่ทำทุกวันนี้เพื่อความถูกต้องหรือเพื่ออะไรต่างๆ ไม่ว่าชาติพันธุ์ทางประวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ยังมีอยู่ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนสมองคนพวกนี้ได้ หรือคนเหล่านี้ยังเกิดความคับแค้นใจและความเข้าใจในรัฐ ไม่เข้าใจด้านกฎหมาย เขาก็พร้อมปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถแบ่งประเทศเราออกไปได้ ยังไงก็แบ่งไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถรวมกำลังขนาดใหญ่ไปยึดพื้นที่ได้ แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีการยึดครองเมื่อไร เราต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามเป็นลักษณะการสู้รบ ซึ่งเราไม่อยากปฏิบัติลักษณะนั้น เพราะจะทำให้สถานการณ์รุนแรงในสายตาชาวโลก
"

นี่คือสูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจุบัน ครับ



เหตุการณ์ความรุนแรงรายวันใน จชต. ทุกวันนี้ จะไม่พูดถึงหรือวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำของ ใคร...? กลุ่มใด...? แต่จะพูดถึงข้อเท็จจริง ของตัวปัญหา ๓ ประเด็นหลัก ที่ทำให้รัฐแก้ปัญหาไฟใต้ไม่ได้

ประเด็นแรก : ความผิดพลาดในยุทธการของกองทัพ ( ปัญหาเรื่อง ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว กับ ผบ.ฉก.เลขสองตัว)

ความผิดพลาดดังกล่าวก็คือ การจัดหน่วยกำลังในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา โดยการจัดวางกำลังในปัจจุบันอยู่ในรูปของ "หน่วยเฉพาะกิจ" หรือ ฉก. แยกเป็นจังหวัดและอำเภอไล่ลงไป โดยมีตัวเลขกำกับ กล่าวคือ

- หน่วยเฉพาะกิจยะลา (ฉก.1 เดิม) รับผิดชอบ จ.ยะลา ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 6 กองพัน และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตำรวจตระเวนชายแดน / ตชด.)

- หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี (ฉก.2 เดิม) รับผิดชอบ จ.ปัตตานี ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 5 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน (ทหารเรือ) 1 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส (ฉก.3 เดิม) รับผิดชอบ จ.นราธิวาส ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 7 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน 2 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจสงขลา (ฉก.4 เดิม) รับผิดชอบ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 1 กองร้อยทหารราบ และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตชด.)

นอกจากนั้นยังมี "หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน" หรือ ฉก.ทพ. กระจายอยู่ในพื้นที่ป่าเขาอีกหลายกองพัน รวมถึงหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (หมวกแดง) และ "หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย" รับผิดชอบภารกิจเก็บกู้ทำลายล้างวัตถุระเบิดด้วย

จุดที่น่าสนใจก็คือ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจระดับจังหวัด หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว" ปัจจุบันเป็นนายทหารยศ "พลตรี" มีภารกิจ คุมกำลังระดับจังหวัด ซึ่งกองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละจังหวัดมาจากต่างกองทัพภาคกัน

โดยหน่วยเฉพาะกิจยะลา เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 3)
หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 2) และ(แค่เดินถนนในตัวเมืองก็หลงแล้ว)
หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 1)


ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัด หรือ ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว เป็นทหารระดับรองแม่ทัพหรือเสนาธิการจากแต่ละกองทัพภาค ผู้ที่คิดสูตรนี้คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) (เจ้าพ่อเรือเหาะที่ยังเหาะไม่ได้ในทุกวันนี้) และนำการจัดกำลังลักษณะนี้มาใช้ตั้งแต่เขาก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.

วัตถุประสงค์ที่ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งเอาไว้ก็คือ ผบ.ฉก.แต่ละคนจะได้แข่งกันทำงาน คือมีความพร้อมทั้งฝ่ายเสนาธิการและยุทธการ

แต่ปัญหาที่มักไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ หรือ ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดเหล่านี้มาจากต่างกองทัพภาค และไม่ได้ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อ ผบ.ทบ.มีนโยบายให้ทำงานแข่งกัน สายการบังคับบัญชาของพวกเขาจึงต้องวิ่งเข้าหาแม่ทัพภาคของตัวเอง และตัว ผบ.ทบ. 

เป้าหมายก็คือการขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี อันเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นในกองทัพภาคของตัวเอง หาใช่กองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่

โครงสร้างที่เป็นอยู่ทำให้เกิดปัญหาแม่ทัพภาคที่ 4 (เจ้าของพื้นที่) ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาที่แท้จริง แต่ ผบ.ฉก.สามารถขับเคลื่อนงานยุทธการได้อย่างอิสระ ภายใต้การกำกับในระดับสูงสุดโดย ผบ.ทบ.

ยิ่งไปกว่านั้น ใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังตั้ง "กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร" หรือ พตท.ขึ้นมาเพื่อดูแลหน่วยกำลังทั้งหมด โดยมีผู้บัญชาการเป็นนายทหารยศ "พลโท" จากเดิม "พลตรี" ซึ่งการขยับเพิ่มยศก็เพื่อให้สามารถบังคับบัญชาบรรดา ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดได้นั่นเอง

จากนโยบาย "แข่งกันทำงาน" ทำให้ ผบ.พตท. ไม่ได้มีสภาพต่างไปจาก แม่ทัพภาคที่ 4 เท่าใดนัก จะเห็นได้ว่าบทบาทของ ผบ.พตท. ส่วนใหญ่จะทำได้แค่เรียกประชุม “ ผบ.ฉก.เลขสองตัว” คือหน่วยเฉพาะกิจระดับอำเภอ ซึ่งผู้บังคับหน่วยจะมียศ "พันเอก"

ที่หนักที่สุดคือนโยบายด้านยุทธการทั้งหมดถูกกำหนดมาจาก ผบ.ทบ. จะเห็นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ ในขณะนั้น(ปี             2551-2553      ) ลงพื้นที่ถี่ยิบ ราวกับว่าตัวเองเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และทุกนโยบายในพื้นที่ล้วนสั่งตรงมาจากข้างบน

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะ ถาวร เสนเนียมรมช.มหาดไทย ในฐานะแม่ทัพดับไฟใต้ของรัฐบาล เคยเสนอในที่ประชุมวงจรปิดจนเป็นที่ฮือฮามาแล้วว่า เขาต้องการให้ถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้กองทัพภาคที่ 4 ในฐานะเจ้าของพื้นที่ได้ทำงานร่วมกับกองกำลังประชาชนที่จัดตั้งขึ้น ทั้ง อส. (อาสารักษาดินแดน) ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) และ อรม. (อาสาสมัครรักษาเมือง) เพราะทหารที่เกาะติดพื้นที่มานานย่อมเข้าใจพื้นที่มากกว่า และน่าจะสร้างปัญหาน้อยกว่าทหารจากนอกพื้นที่ที่ "มาแล้วก็ไป"

ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาขานรับแนวคิดนี้ แม้ท่าทีของฝ่ายการเมืองจะสอดรับกับแนวทางที่ ผบ.ทบ.วางเอาไว้ในท้ายที่สุด คือถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปเมื่อสถานการณ์ความไม่สงบอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อเปิดทางให้ "กองพลทหารราบที่ 15" หรือ "กองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากร" รับไม้ต่อ ซึ่งกรอบเวลาคร่าวๆ ที่วางเอาไว้คือปีที่ 8-10 ในแผนดับไฟใต้ 10 ปีของ ผบ.ทบ.

ทว่าความไร้เอกภาพและยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดดังที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำให้น่าคิดไม่น้อยว่ากว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นได้จริงหรือไม่

นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหา นับเป็นเรื่องที่ดี น่ายกย่องสรรเสริญ แต่สิ่งที่ติดตามมาจากการ “ทำงานแข่งกัน” โดยมีสิ่งตอบแทนคือ ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน “การทำงานแข่งกัน” จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน”

จนท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


สิ่งที่น่าจับตามองในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ หลุมระเบิดจำนวน 20 หลุมจากอานุภาพของเครื่องยิงระเบิด M 79 ที่ถูกระดมยิงเข้าไปในฐานนั้น ตัวเครื่องยิงระเบิดพอจะทำใจได้ว่า กลุ่มผี อาจจะไปว่าจ้างโรงกลึงทำขึ้นมาแต่ที่ทำใจไม่ได้และยอมรับไม่ได้ก็คือ เจ้าตัวลูกระเบิดนี่แหล่ะ ที่กองทัพจะต้องตอบให้ประชาชนที่เสียภาษีให้กระจ่างหน่อยว่า มันมาจากไหน กลุ่มผี มันได้พัฒนาไปไกลถึงกับสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเลยหรือ ข้องใจจริงๆ

ประเด็นที่สอง : ความผิดพลาดในนโยบาย

แนวคิดในการที่จะสลายมวลชนในแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหา ไม่ว่าปัญหาที่พื้นที่นั้น เป็นแหล่งซ่องสุม แหล่งพักพิง หรือแหล่งหลบซ่อน อย่างที่บอกไว้

นี่คือนโยบายอันชาญฉลาดของนักการเมือง ที่จ้างให้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่มีงานทำอยู่แล้ว มาตายแทนเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเสียค่าจ้างน้อย ค่าเยียวยาช่วยเหลือก็น้อย ไม่ต้องมีพวงหรีดหรูหรา ไม่ต้องขอยศ,เงินเดือนเพิ่ม และไม่ต้องรับผิดชอบผูกพันไปถึงลูกๆของคนที่ตาย ที่ต้องหาโรงเรียนให้เรียนต่อ หรือหางานให้ทำ เหมือนเช่นเจ้าหน้าที่รัฐ จาก ร.อ.กระโดดเป็น พล.อ. ใครไม่อยากตายให้มันรู้ไป

ประเด็นสำคัญ นโยบายของรัฐ รวมถึงนโยบายห่วยๆที่เกิดจากก้อนสมองของ ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการที่จะพยายาม แย่งมวลชนกลับคืนมา อาทิ นโยบายของจังหวัดยะลา “ นโยบาย สี่เสาหลัก (ฮูกุมปะก๊ะ) ” อันนี้แหละ ที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ ในหมู่บ้าน/ตำบล เกิดความหวาดระแวงกันเอง

วันดีคืนดีเห็นเพื่อนบ้านที่เคยร่วมวง ดื่มน้ำชา นินทานาย (นายในที่นี้ทางใต้เขาหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐ) ทุกเช้า เกิดแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธปืนทั้งสั้นและยาว เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น และผลของการตกใจก็คือ ตายครับ ในห้วงระยะเวลาปลายปี 2553 ถึง ม.ค.2554 อาสาสมัครในสามจังหวัดชายแดนใต้ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20 คน พร้อมกับของแถมคืออาวุธปืน

ปัญหาดังกล่าวขอถามบรรดาแม่ทัพนายกอง ผู้ว่าทุกคน รวมไปถึงรัฐบาลว่า รู้เรื่องเกี่ยวกับคำว่า “เขตงาน” ดีพอหรือไม่ หรือว่ารู้อยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูดหรือให้สัมภาษณ์.......????? 

จากข้อมูล “เขตงาน” ที่ระบุในรายละเอียด เกี่ยวกับการปฏิบัติการของกลุ่มที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันเรียกว่า “กลุ่มก่อความไม่สงบ” นั้น หากศึกษาในรายละเอียด และวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมานั้น จะปรากฏเห็นชัดว่า การปฏิบัติการของกลุ่มลึกลับ (กลุ่มผี) จะพัฒนารุดหน้าไปมากในทุกๆด้าน ไม่ว่าทางด้านหฤโหด อำมหิต และความทันสมัยในยุคสงครามไซเบอร์ ที่หน่วยงานภาครัฐตามไม่ทัน

การพัฒนาดังกล่าว มิใช่พัฒนาในด้านกำลังรบหรือการมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่เป็นการพัฒนาโดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร แต่เน้นกลยุทธ์ที่ว่า "หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้..ให้ใช้วิธีทำให้กลัว" อันเป็นการปูทางเพื่อเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้น "ทับซ้อน" กับการปกครองของรัฐไทย

โดยเริ่มจากหมู่บ้าน,ตำบล ไปสู่อำเภอ,จังหวัด จนถึงภาค ประเด็นดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูง โดยศึกษาจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๒

ประเด็นสำคัญ แล้ว ใคร? และ กลุ่มใด? ที่สามารถวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้นมา “ทับซ้อน” กับการบริหารงานของภาครัฐได้ นับเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับหน่วยงานของภาครัฐ ที่เพียบพร้อมไปด้วยกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาณอันมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง


ประเด็นสุดท้าย : สงครามไซเบอร์เริ่มที่ชายแดนใต้

“ ปราชญ์ซุนวู” ท่านกล่าวว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” อย่าไปดูถูกฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็ดขาด อย่าเห็นว่าเขานุ่งโสร่งซอมซ่อ ทำงกๆเงิ่นๆ นั่นแหล่ะ นักรบไซเบอร์รุ่นใหม่ล่ะครับ ปัจจุบันเขาใช้อินเตอร์เนทกันแล้ว ไม่เหมือนทหารไทยเรา ที่ยังสะพายปืนสงครามแต่งเครื่องแบบสนาม วิ่งซอกๆตามสวนยางอยู่นั่นแหล่ะ

ต้องยอมรับว่าในโลกยุคใหม่ เป็นโลกที่ไร้พรมแดน (แต่ก็ยังมีกลุ่มที่พยายามแบ่งแยกดินแดนอยู่ทุกวันนี้) อำนาจการสั่งการ,การโต้ตอบทางการเมือง รวมถึงการทำสงครามจิตวิทยา มันได้ก้าวไกลไปมากแล้ว รัฐบาลและกองทัพไทยอย่าได้หลงลำพองว่าเก่งกว่า ฉลาดกว่า มีคนหนุนหลังที่ดีกว่า เป็นอันขาด

มิฉะนั้นแล้วผมและท่านทั้งหลายอาจจะไม่มีที่สำหรับซุกหัวนอน
************

กลุ่มขบวนการพูโลเผยแพร่บทความ วันที่ 8 มกราคม 2554:ถาวรหรือจะเปลี่ยนใจอันแน่วแน่ของนักสู้ปตานี 

ต่อไปนี้เป็นเอกสารโฆษณาชวนเชื่อของPULO เผยแพร่ทางเวบไซต์ขององค์การPULOเมื่อ 8 มกราคมที่ผ่านมา การนำเสนอนี้เพื่อให้ได้รู้ท่าทีทัศนะของPULOต่อนโยบายของรัฐบาลไทย ไม่มีเจตนาอื่น


ตามที่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการทำลายล้างชนชาวมลายูปตานี เปิดเผยกรณีคณะรัฐมนตรีจักรวรรดิ์นิยมไทยเมื่อ 4 ม.ค.2554 เห็นชอบการประกาศกำหนดบทลงโทษนักต่อสู้ปตานีที่กำลังบั่นทอนการคงอยู่ของจักรวรรดิ์นิยมไทย ณ เขตดินแดนยึดครอง(ปตานี) ในขณะนี้ ในนามของ มาตรา 21 แห่งพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในของจักรวรรดิ์นิยมไทย พ.ศ 2551


และตามที่กองอำนวยการรักษาผลประโยชน์ของจักรวรรดิ์นิยมไทย (กอ.รมน.) เสนอ เพื่อประกาศใช้ในพื้นที่นำร่อง 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายการทำลายล้างอย่างละมุนละไมของรัฐบาล ซึ่งจะต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณารายละเอียดว่า จะจัดการอย่างไรกับนักสู้ปตานีในฐานความผิดที่ขัดขืนต่อทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยทุกรูปแบบภายใน 1 สัปดาห์นั้น


รมช.คลั่งชาติไทย (ที่กลายพันธุ์จากมลายูฮินดู/พุทธศรีวิชัยก่อนถูกสุโขทัยรุกราน นัคาราศรีดารมาราชาและบริเวณใกล้เคียง) คนนี้พยายามจะกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลจักรวรรดิ์นิยมไทยมีจุดประสงค์เพื่อกล่อมใจผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำทุกรูปแบบที่ทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยถือว่ามีความผิดอันเนื่องมาจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงโดยตรงนั้น ให้คิดใหม่และหลอกตัวเองว่า หลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และย้ำอีกว่าจะมีคณะกรรการที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการ 3 คณะ


คือ 1.คณะกรรมการรับการยอมจำนน (เพื่อยุติการต่อสู้ตามหนทางของอัลลอฮผู้ทรงยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพ)


2.คณะกรรมการทรมานกายและใจในรูปของการกลั่นกรองกลั่นแกล้งและสอบสวนพิเศษในรูปของการข่มขู่ต่างๆนานา


3.คณะกรรมการสยบลบหลู่แล้วทำทีเยียวยา โดยเฉพาะการเยียวยาเพื่อกู้หน้าต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายจักรวรรดิ์นิยมไทย โดยไม่ได้คำนึงถึงท่าทีความรู้สึกของผู้เสียหายแต่ประการใด ท้ายสุดจะถูกสั่งเข้ารับการอบรมล้างสมองในโรงเรียนที่ให้ชื่อสุดหรูว่า สันติสุข (จอมปลอม)


เพียงเท่านี้หรือที่นายถาวรทำได้ หลังกลับจากไปเที่ยวเตร่ที่ไอร์แลนด์เหนือ? ทำไมไม่เปิดโปงด้วยว่าคนไอร์แลนด์เขาอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างถาวร(ที่ไม่เสนเนียม)ได้ เนื่องจากพวกเขาสามารถปลดเปลื้องความคิดคลั่งชาติอย่างบ้าบิ่นหันหน้าไปสู่ความเป็นมนุษยธรรม?


ถ้าจะเริ่มแรกด้วยการเคารพในสิทธิอันชอบธรรมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อันดับแรกสุดจำเป็นต้องพิจารณาตนเองยุติการกระทำอันเป็นอันธพาลด้วยวาจาและการกระทำต่อชนชาวมลายูมุสลิมปตานีผู้รักสันติ ณ ดินแดนที่พวกเขาตั้งสมญานามว่า ดินแดนแห่งสันติภาพ




อ่านข่าวสารนี้แล้วนึกไปถึงงบประมาณทหารปีละนับหมื่นล้านเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ งบลับกองทัพที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ การค้าอาวุธเถื่อนและตลาดมืด ซึ่งไม่รู้ใครหรือนักการเมืองหน้าไหนเกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์อยู่กับมันบ้าง ทำเอาสงสัยว่า ยุทธการทางการทหารที่ใช้กันแบบนี้ เป็นยุทธการดับไฟใต้


หรือเลี้ยงไฟใต้ (ไว้ให้นานๆ) กันแน่ !!!..


******************************************



ใครจุดไฟใต้ ? ปมที่รัฐคิดไม่ออก! บอกไม่ถูก!

“ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล






โดย ปาแด งา มูกอ
24 มกราคม 2554


ตุรงแง” คืออะไร? ใคร?คือ “ตุรงแง”


“ตุรงแง” เป็นภาษาถิ่นมลายู ที่มีความหมายว่า “ทหารบ้าน”


จากข้อมูล ที่ได้มีการระบุว่า “ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล


โดยเฉพาะการทำลายความเชื่อมั่นต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกภาคส่วน ต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์และเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รายวัน) ที่เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

โครงสร้าง “ตุรงแง”


ขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดและจัดโครงสร้างเพื่อหลอมรวม งานมวลชนและงานด้านการทหารไว้ที่ตำแหน่ง “ตุรงแง” หรือ “ทหารบ้าน” ในการทำหน้าที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ทุกรูปแบบ


ส่วนใหญ่บุคลากรในกลุ่มนี้เป็นเด็กหนุ่มที่ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถผ่านขั้นตอนไปเป็นนักรบหลักอย่างคอมมานโด หรือกองกำลังติดอาวุธประจำหมู่บ้านอย่าง RKK ได้


แต่ได้ทำพิธี ซูเปาะ (สาบานตน) มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ในงานโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของขบวนการ จัดทำใบปลิว และนำพาตนเองไปอยู่ในร้านน้ำชาประจำหมู่บ้านเพื่อพูดชักจูงใจ และสร้างภาพอันเหี้ยมโหดอำมหิตของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ชาวบ้านเกิดอาการหวาดกลัวและเกลียดชัง


ในที่สุดนำไปสู่ความร่วมมือกับขบวนการ


บางส่วนของ “ตุรงแง” ที่เข้ามาให้ความร่วมมือช่วยเหลือการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่รัฐจนได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ได้สวมโอกาสดังกล่าว ในการปล่อย ข่าวลวง ชี้นำ บิดเบือน และเบี่ยงเบนข้อมูลที่เป็นจริง


เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ เกิดความไขว้เขวหรือเข้าใจผิด อาทิ การใส่ร้ายป้ายสีกลุ่มบุคคล หรือสถาบันทางสังคม เช่น ปอเนาะ มัสยิด หรือกลุ่มประชาชนที่เป็นกลาง


เมื่อเจ้าหน้าที่ (หลงเชื่อ) ใช้กำลังปิดล้อมหรือตรวจค้น,จับกุม,ควบคุมตัวเพื่อซักถาม กลับจะเป็นการผลักกลุ่มบุคคลหรือสถาบันทางสังคมเหล่านี้ ไปสู่ความร่วมมือกับขบวนการและต่อต้านต่อสู้กับอำนาจรัฐในที่สุด


( ณ ปัจจุบันวันนี้ ยังไม่มีใครหรือหน่วยงานรัฐใดในพื้นที่ จะสามารถล่วงรู้ว่าบุคคลใดหรือบุคลากรใดรวมถึง สายข่าวหรือแหล่งข่าวคนใด คือ “ตุรงแง” ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่า “ตุรงแง” ได้เข้ามาแฝงตัวไว้จำนวนมากมายเท่าใด ?)


“ตุรงแง” ยังมีหน้าที่หลักอีก 3 ประการ ดังนี้


1.สืบข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐ และสมาชิกใน อาเยาะห์ทุกคนที่มีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนาในหมู่บ้านจัดตั้ง (อาเยาะห์)


2.ช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติการทางการทหารแก่กลุ่มนักรบ ด้วยการจัดหาอาวุธจากแหล่งซุกซ่อนใน อาเยาะห์ หรือจัดเก็บอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการและอาวุธที่ยึดได้จากเจ้าหน้าที่ไปเก็บซุกซ่อนไว้ ณ แหล่งซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่ อาเยาะห์


3.ปฏิบัติการขัดขวาง เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้การปฏิบัติการของกลุ่มนักรบประสบความสำเร็จ เช่น การตัดต้นไม้ขวางถนน โปรยตะปูเรือใบ ขัดขวางการไล่ติดตามหรือส่งกำลังมาสนับสนุนของ เจ้าหน้าที่รัฐ


นี่คือบทบาทหน้าที่อันสำคัญของ “ตุรงแง” ที่สร้างปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด


จากข้อมูลของที่ได้มีการระบุว่า “ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนั้น


รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ มีการดำเนินการหรือแก้ไขปัญหาที่สำคัญเช่นนี้อย่างไร จึงทำให้เกิดความสงสัยและคลางแคลงใจว่า ปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา ก็มีความเป็นห่วงเป็นใยประเทศไทยอย่างสุดซึ้งเช่นเดียวกัน


โดยได้ประสานความร่วมมือมายังรัฐบาลไทย และได้กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ก่อการร้าย เพื่อร่วมมือในการปราบปราม กลุ่มก่อการร้าย ที่สหรัฐฯ กำหนดเป็นแผนนโยบายไว้ ซึ่งนอกจากจะใช้ในประเทศของตนเองแล้ว ยังเผื่อแผ่ไปยังประเทศพันธมิตรและประเทศในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย




แต่รัฐบาลไทย ต้องการสงวนไว้เป็นเพียง กลุ่มก่อความไม่สงบ (กลัวคำว่า กลุ่มก่อการร้าย เพราะว่าคำนี้ เก็บไว้ใช้ใน กทม.และกลุ่มเสื้อแดงโดยเฉพาะ)ไว้เท่านั้น




แต่จากข้อมูลความเป็นจริงที่มีการระบุว่า การก่อการร้าย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TERRORISM IN SOUTHEAST ASIA) เป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia) ซึ่งมีอยู่ 11 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม


โดยเฉพาะปัญหา การก่อการร้าย ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จะมีความรุนแรงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคแห่งนี้ ได้แก่ กลุ่มอาบูไซยาฟในฟิลิปปินส์ และกลุ่มเจไอของ ญะมาอะห์ อิสลามียะห์(Jama ah Islamiyah)ในอินโดนีเซีย ที่มีความชัดเจนมากที่สุด


สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น ยังไม่มีผู้ชี้ชัดว่ามีการเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้ายทั้งสองกลุ่ม


เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีคำถามว่าแล้วทำไม สหรัฐอเมริกา จึงต้องให้รัฐบาลไทยร่วมมือในการปราบปราบกลุ่ม ก่อการร้าย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆที่ไม่มีความชัดเจนของกลุ่ม ก่อการร้าย ไม่มีความชัดเจนของกลุ่มที่ต้องการ แบ่งแยกดินแดน


สรุปแล้ว ในเมื่อความไม่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็น กลุ่มก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อความไม่สงบและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่เคยปรากฏตัวเหมือนดังเช่น กลุ่มก่อการร้าย,กลุ่มก่อความไม่สงบ,กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในประเทศอื่นๆ ที่เขาปฏิบัติกัน จนกลายเป็นระดับก่อการร้ายสากล


ตรงกันข้ามกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้ร่องรอย แต่ศักยภาพในการก่อความไม่สงบกลับรุนแรงและอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง หรือว่า ทหารตำรวจและหน่วยงานภาครัฐของเรา กำลังต่อสู้อยู่กับ “ผี”


แล้วหน่วยกำลัง “ผี” เหล่านี้ (ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกว่าอย่างไรก็ตาม) ใคร? เป็นคนสร้างมันขึ้นมา และเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ในการสร้างสถานการณ์,เหตุการณ์ความรุนแรง จนสร้างความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สินทั้ง จนท.รัฐและประชาชนไปเป็นจำนวนมาก


*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:


-ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด! ..นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน” ท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น