หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ครู 3 จังหวัดภาคใต้อย่าทอดทิ้งนักเรียน

ครู 3 จังหวัดภาคใต้อย่าทอดทิ้งนักเรียน

 
           ย้อนหลังกลับไป 8 ปี ตั้งแต่ปี 2547 เหตุการณ์ 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลาบางส่วน การจากไปด้วยการถูกยิงของครูนันทนา  แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่ากำชำ ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 คือรายที่ 154 ชีวิตของครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียไป เป็นเครื่องมือที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี หรือที่เราเรียกทั่วไปว่าผู้ก่อเหตุรุนแรง ใช้ได้ผลในระดับยุทธศาสตร์ ที่ใช้ต่อสู้กับรัฐ นับตั้งแต่การสูญเสียครูจูหลิน  ปงกันมูล ครูช่วยสอนบ้านกูจิงรือปะ เมื่อปี 2549 ทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัว และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลชีวิตครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเสียงเรียกร้องออกมามากมาย ทั้งฝ่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรครู และนักการเมือง ซึ่งรัฐบาลทุกยุค ทุกสมัย ก็ต้องรีบเร่งสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าปฏิบัติทันที นั่นเองที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงรู้จุดกระทบของฝ่ายรัฐว่า “ครูคือยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดอ่อนของรัฐ” และ “ครูคือเหยื่อที่ดีที่สุด” ด้วยเพราะสังคมไทยผูกพันกับครูอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อดีต ฉะนั้นเองเมื่อมีการสูญเสียครูไม่ว่าเหตุใด จะนำมาซึ่งความเสียใจกับคนไทยที่ใกล้ชิดครู ซึ่ง 3 จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน

         การปรับเปลี่ยนกลยุทธ ตั้งแต่ฝ่ายทหารเข้าไปดูแลในโรงเรียน และครู โดยใช้โรงเรียนบางแห่งที่เป็นพื้นที่สีแดงเป็นฐานที่ตั้ง ก็ถูกฝ่ายสิทธิมนุษยชนมองว่าเกิดความเสี่ยงต่อครูและนักเรียน ในการถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ฝ่ายทหารจึงจำเป็นต้องย้ายฐานออกห่างโรงเรียนโดยไม่มีองค์กรครู หรือครูคนไหนออกมาคัดค้านสักคนเดียว ทุกครั้งที่มีครูเสียชีวิตจำเลยคนแรกคือฝ่ายความมั่นคง และ ทหาร แม้จะเพิ่มหรือมีวิธีการใดเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ครู แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ว่านั่นคือการตั้งรับไม่ใช่การรุก ซึ่งผู้ตั้งรับย่อมมีวันเสียเปรียบไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทุกครั้งที่มีครูสูญเสีย สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ “ปิดโรงเรียน” เป็นวิธีบั่นทอนอำนาจรัฐที่ใช้มาโดยตลอดของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งภาพข่าว และสถานการณ์ ภาครัฐทุกฝ่ายต่างมีความเห็นใจครู และตั้งใจจริงที่จะร่วมปกป้องครู แต่ทุกครั้งเมื่อครูถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่เคยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศาสนา ครูจะสั่งปิดโรงเรียนทุกพื้นที่ทันที และการกระทำเช่นนี้ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือนักเรียน ลูกหลานของพวกเรา และยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ปกครอง และนักเรียน ต่อเจ้าหน้าที่ และโรงเรียนที่ปิด เสริมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการอยู่แล้วก็เท่ากับว่า เมื่อปิดโรงเรียนทุกครั้งที่ครูถูกกระทำ ก็เท่ากับว่า “ขุนหลุมไว้ฝังศพตัวเองหรือไม่”

         คงไม่มีฝ่ายไหนกล้าบอกให้ครูลุกขึ้นมาสู้กับโจร เพราะครูนั้นมีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี แต่ก็ยังมีครูใจเด็ดจังหวัดปัตตานีที่กล้าขับรถชนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มาลอบ ยิง โจรต้องหลบหนีทิ้งรถมอเตอร์ไซต์เมื่อ 9 พฤศจิกายน  2555 ที่ผ่านมา แต่ถ้าวันนี้เมื่อครูถูกคนร้ายกระทำแล้วปิดโรงเรียน ต้องถามว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเปิดเรียนอีกใช่ไหม เพื่ออะไร หากต้องการให้กำลังฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ เพื่อเพิ่มส่วนตั้งรับในการดูแลครู แต่เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรนักศึกษาบางองค์กรออกมาต่อต้านการเพิ่มเติมกำลังทหารในพื้นที่ การเพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ ทำไมไม่เห็นครูสักคนเดียวมาคัดค้านหรือให้กำลังใจทหารแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่แสดงการสนับสนุนให้เพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งเดียว ทุก ครั้งที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายรุกไล่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจนไม่สามารถ เคลื่อนไหวก่อเหตุได้ เช่น วางระเบิด เผาโรงเรียน ตรวจยึดอุปกรณ์เตรียมก่อเหตุระเบิดได้ จับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายราย  สิ่งที่ฝ่ายขบวนการจะแก้ยุทธศาสตร์จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก นั่นก็คือ ยิงครูไทย พุทธ 1 คน ซึ่งก่อนจะยิงครู 1 คน ต้องยิงอุซตาส หรือ โต๊ะอิหม่าม ก่อน 1 คน เพื่อเป็นข้ออ้างในการโฆษณาชวนเชื่อ สร้างความชอบธรรมในการแก้แค้นให้ฟาฎอนี ด้วยการยิงครูไทยพุทธ ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วเมื่อครูหยุดโรงเรียน ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องกลับมาเป็นฝ่ายเพิ่มมาตรการทุกครั้ง นี่เองจึงเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง  

“เมื่อครูปิดโรงเรียน ครู จึงเป็นเหยื่อที่มุ่งหมายที่สุด ในสงครามนี้” และไม่เคยเห็นองค์กรสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรนักศึกษาทุกระดับออกมาประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อครูแม้แต่สักครั้งเดียว แต่จะโจมตีว่าฝ่ายความมั่นคงมีกำลังทหารตั้งมาก แต่คุ้มครองครูไม่ได้ ใช่ไหม?? 

         สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีครูรายที่ 155 หรืออีกกี่รายต่อไป ผลที่ปิดโรงเรียน และส่งผลกระทบโดยตรงที่สุด คือ เด็กนักเรียน เยาวชน ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งด้อยในเรื่องการศึกษาที่สุดขณะนี้ในประเทศไทย เพราะไม่มีครูไทยพุทธคนไหนจะต้องการอยู่ในพื้นที่ แล้วจะหาความตั้งใจในการสอนมาจากไหน ความผูกพันระหว่างครูกับนักเรียนจะเกิดได้อย่างไร ครูไทยพุทธจำนวนลดน้อยลง ครูที่เก่งไม่ต้องการมาสอนในพื้นที่ล้วนเป็นเหตุเป็นผลที่องค์กรทางการศึกษา และครูทุกคนต้องลองไปตรึกตรองดู ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการใช่หรือไม่ แล้วเราต้องยอมไปตามทางที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกำหนดเช่นนั้นหรือ ฉะนั้นจึงต้องขอวิงวอนครูโปรดอย่าหยุดโรงเรียน เด็กนักเรียน เยาวชน ลูกหลานของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรอคอยคุณครู ผู้ที่นำทางสันติสุขให้กับพวกเขาทุกคน นักเรียนเปรียบเสมือนลูก หลานของครูที่เฝ้ารอคอย ศึกษาหาวิชาความรู้จากครู ผู้เปรียบประดุจแม่คนที่สองของเด็กนักเรียนทุกคน ความใกล้ชิดระหว่างครูกับนักเรียนดั่งครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นครูคือความหวังของเด็กนักเรียนชาวใต้ทุกคนที่กำลังรอคอย และร่วมสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน 

         ขอวิงวอนกรุณาอย่าปิดโรงเรียน ที่ใดมีโรงเรียน ที่นั้นย่อมมีนักเรียน และมีครู หากโรงเรียนปราศจากครู ก็ ย่อมขาดชีวิต จิตวิญญาณของโรงเรียน ประดุจต้นไม้ที่ขาดแสงสว่างเพื่อเจริญเติบโต และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อไม่มีครูอยู่กับโรงเรียน ย่อมแสดงถึงการสูญเสียจิตวิญญาณที่จะหล่อเลี้ยง กำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขในอนาคต และความว่างเปล่าของโรงเรียนที่ไร้ครู จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างโอกาสในการก่อเหตุ ปลุกระดม ทำลาย เผาผลาญ ทั้งตัวโรงเรียน และจิตวิญญาณความรู้สึกของโรงเรียนให้สูญหายไปจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งครูทุกคนยอมได้หรือ พวกเราทุกคนคงยอมไม่ได้ที่จะให้โรงเรียนไร้ซึ่งบุคลากรครู โรงเรียนถูกทำลาย เผาผลาญไปสิ้น หากวันนี้โรงเรียนปิด นักเรียนจะไปพึ่งพาใคร สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องกลับมาเปิดเพื่อลูกหลานของเราทุกคน แต่หากเกิดกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้กระทำการอันชั่วร้ายต่อครูอีก โรงเรียนก็ต้องปิดอีกอย่างนั้นหรือ นั่นเองเท่ากับทุกคนเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ครูเป็นเครื่องมือ เพื่อให้โรงเรียนหยุดตามที่ฝ่ายขบวนการต้องการคือ “ก่อเหตุต่อครูแล้วจะมีการปิดโรงเรียน” วันนี้ทุกคนต้องไม่ยอมให้โรงเรียนปิด 

          ขอส่งพลังใจให้ครูทุกคนต้องมาร่วมกันฝ่าฟันสถานการณ์ร่วมกันเพื่อลูกหลาน เพื่อจิตวิญญาณของแม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ ที่ช่วยพายเรือส่งเด็กเยาวชนชายแดนใต้ไปให้ถึงฝั่ง เราต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือตามที่ฝ่ายผู้ไม่หวังดีต้องการ หากเมื่อไหร่ที่ครูถูกทำร้าย แล้วโรงเรียนต้องปิดการศึกษา นั่นเองที่เป็นส่วนที่ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือกระทำต่อครูผู้บริสุทธิ์อีกไม่มี วันจบสิ้น เท่ากับว่าเข้าทางกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพราะเขารู้ว่าถ้ายิงครูเมื่อไหร่ โรงเรียนปิดเมื่อนั้น รัฐเองก็ถูกครูร้องเรียน รัฐก็เอากำลังมาป้องกันครู พวกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ก็เคลื่อนไหววางระเบิดได้สบาย และเหตุนี้ใช่ไหมที่ครูถึงเป็นเหยื่อของสงครามแย่งชิงมวลชน และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว 
 
 “ครูกรุณาอย่าทอดทิ้งนักเรียน”
 
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น