หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง BRN – Co - Ordinate โกหกชาวฟาฎอนี


เมื่อกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง BRN – Co - Ordinate โกหกชาวฟาฎอนี
              เหตุการณ์ที่สาธารณชนทั่วโลกติดตามข่าวสารผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ มีข่าวที่น่าสนใจอยู่มากมาย    ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แต่ละคนสนใจ เหตุการณ์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่กำลังเจริญเติบโตที่เปิดเป็นประชาคมอาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ประกอบด้วย 10 ประเทศโดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกไม่ น้อย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว และเหตุการณ์ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลาบางส่วน คือ อำเภอจะนะ, อำเภอนาทวี, อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา ที่ทั่วโลกก็ติดตามข่าวสารถึงความเป็นไปในปัจจุบัน และจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต

         สถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จนเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อสวัสดิภาพด้านชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ส่วนราชการ และภาครัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลามที่มี 80% ในจำนวน 2 ล้านคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งปัญหาความไม่สงบดัง กล่าวมีพื้นฐานมาจากปัญหาเดิมซับซ้อนหลายมิติตั้งแต่ สังคมจิตวิทยา ศาสนา และอุดมการณ์ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960) ที่ทางรัฐบาลได้พยายามแก้ไขด้วยแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด จนเมื่อขบวนการที่มีกลุ่มบุคคลพยายามสร้างสถานการณ์การต่อสู้ด้วยการใช้ความ รุนแรง และการก่อการร้ายตามวิถีทางของพวกสุดโต่งที่นิยมการก่อการร้าย และการปกครองแบบเผด็จการมุสลิมใช้ชื่อว่ากลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate ซึ่ง เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ครองมวลชนในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) อาศัยการบ่มเพาะในสถานศึกษา, สถานที่ปฏิบัติกิจทางศาสนา (มัสยิด) จัดตั้งสมาชิก และผลิตกำลังรบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อเป้าหมายการจัดตั้งรัฐปัตตานีดารุสลาม โดยมีกองกำลัง ทหาร หรือฝ่ายปฏิบัติการเรียกว่า RKK  ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ที่รุนแรง บั่นทอนอำนาจรัฐรวมทั้งป้องกันมวลชนด้วยความหวาดกลัว แบบลัทธิเผด็จการสุดโต่ง ของจักรวรรดินิยมอิสลามอีกทั้งเผยแพร่คำสอนที่บิดเบือน ปลุกระดมให้มุสลิมที่หลงผิดไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำบาป จึงสามารถก่อเหตุลงมือสังหารพวกพ้องมุสลิมด้วยกันเอง ด้วยการหลงเชื่อคำสอนที่ผิดจากกลุ่มขบวนการ และเป็นการป้องกันไม่ให้กำลังมวลชนของขบวนการมีใจออกห่างหรือออกจากกลุ่ม เพราะหลงเชื่อคำกล่าวอ้างทางศาสนาที่บิดเบือนจากกลุ่มขบวนการนั่นเอง

         รัฐบาลไทยได้ทุ่มเทความพยายามทั้งกำลังทรัพย์ กำลังบุคลากร และเทคโนโลยีเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มขีดความสามารถตลอดเวลา 8 ปี ในทุกสมัยของรัฐบาล ซึ่งแน่วแน่ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม โดยกำหนดยุทธศาสตร์กระบวนการ และวิธีการแก้ปัญหาที่ให้สอดคล้อง และไม่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ไม่ฝืนอัตลักษณ์ ใช้สันติวิธีรวมถึงการเปิดโอกาส และให้อภัยกับกองกำลังทหารของกลุ่มก่อความไม่สงบหรือ RKK ได้ เข้ามาร่วมแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน อีกทั้งยังพร้อมรับฟังผู้ที่เห็นต่าง และมีความคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมได้ออกมาพูดคุยจนเป็นที่ประจักษ์แก่ สายตาประชาคมโลกในที่สุดว่ายุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยได้ผล และนำมาซึ่งสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา 

         ในที่สุดด้วยการดำเนินการด้านการเมืองโดยใช้สันติวิธีนี้เอง ทำให้กลุ่มขบวนการที่ก่อเหตุด้วยความโหดร้าย เข่นฆ่าพี่น้อง ประชาชนมุสลิมอย่างไม่ปราณี และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ซึ่งล้วนแต่ใส่ร้ายป้ายสี จนประชาชนมุสลิม พี่น้องชาวมลายูปัตตานีในประเทศไทย ไม่อาจทนต่อการบิดเบือน และหลอกลวงของกลุ่มขบวนการ BRN – Co- Ordinate อีกต่อไป จึงได้ออกมาต่อต้าน และขับไล่กลุ่มก่อความรุนแรงที่เรียกว่า RKK ที่ หลบซ่อนตัวแฝงตัวในหมู่บ้านออกจากสังคมโดยไม่เกรงกลัวอีกต่อไป พี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมปัตตานี และพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกศาสนาต่างออกมาร่วมต่อต้านกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ด้วยการแสดงออกทางกิจกรรมต่างๆ ในสังคมอย่างกว้างขวาง ในที่สุดกลุ่ม RKK หรือผู้ที่หลงผิด และผู้ที่เคยร่วมขบวนการก่อเหตุต่างทยอยออกมาแสดงตน พร้อมร่วมพูดคุยเพื่อสันติกับทางรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายทำให้ขบวนการ ไม่เห็นหนทางที่จะชนะรัฐบาลไทยอีกต่อไป หากยังใช้วิธีการที่สุดโต่ง และรุนแรงจนประชาชนมุสลิมต้องตายด้วยน้ำมือของตนเองมากขึ้น แม้แต่การบิดเบือนศาสนาก็จะไม่มีมุสลิมผู้ใดหลงเชื่ออีกต่อไป  
          3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ยุทธวิธีหนึ่งที่กลุ่มขบวนการนิยมความรุนแรงจักรวรรดิมุสลิมที่มีความสุด โต่ง พยายามบิดเบือนศาสนาและกล่าวร้ายต่อรัฐบาลไทยประการหนึ่ง คือ ใช้ระบบเครือข่าย Social Network ที่ยั่วยุส่งเสริมให้มุสลิมหลงเชื่อศาสนาที่ผิดหลักที่อัลลอฮ์ประทานมาแก่มนุษยชาติ อีกทั้งพยายามใส่ร้ายป้ายสีโจมตีรัฐบาลไทยบิดเบือนประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา เช่น สื่อ Ambranews.com จากประเทศเพื่อน บ้านของไทย ที่นิ่งเฉยต่อการกระทำที่แทรกแซงประเทศไทยของสื่อดังกล่าว และล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศโดยกลุ่มขบวนการที่ใช้นามผู้โพสต์โดย Khattabjadid 1 จากประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเช่นเคย ที่นำเสนอบทความอ้างอิงศาสนาโดยเชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มคนของกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate  ที่เพิ่มแนวต่อสู้ในโลกออนไลน์ เพื่อหวังจูงใจไม่ให้คนในกระบวนการของตน, กลุ่ม RKK และ มวลชนเอาใจออกห่าง และ ตีตนออกจากขบวนการ ที่ทนไม่ได้กับการที่ขบวนการสั่งสังหาร พี่น้องมุสลิมรายวัน ซึ่งเนื้อหาในบทความได้กล่าวถึง

         1. ประชาชนชาวไทยที่กล่าวว่าชาติสยามได้รุกรานดินแดนปัตตานี ซึ่งเป็นดินแดนมุสลิมมลายู แท้จริงแล้วแถบภูมิภาคแหลมมลายูโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศไทยมีประวัติศาสตร์มายาวนานมามากกว่า 1,000 ปีจน มาถึงปัจจุบัน ต่างมีการค้าขาย ทำศึกสงครามตามยุคที่ผ่านเปลี่ยนตามประวัติศาสตร์จนอยู่ร่วมกันได้ทุกเชื้อ ชาติ ศาสนา ทั้งพุทธ อิสลาม ฮินดู คริสต์ ในพื้นที่แถบแหลมมาลายูทั้งในประเทศไทย และมาเลเซีย   ที่ผู้คนล้วนอยู่อาศัยพึ่งพากันอย่างสันติ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ให้เสรีกับประชาชนมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ศึกษาวิชาการทางศาสนาจนได้ชื่อว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเมกกะห์แหล่งที่ 2 ของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก แล้วผู้บิดเบือนที่มีความคิดสุดโต่งอ้างคัมภีร์อัลกุร – อ่าน ซูเราะฮ์ อัต – เตาบะฮ์ (Al-Touba) โองการที่ 13 – 14 ที่ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่าสยาม (ประเทศไทย) เป็นศัตรู
 
         2. ประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ทุกยุคสมัยปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข และมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์ทุกศาสนามิได้ขาดตั้งแต่อดีต ประชาชนชาวไทย (สยาม) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นผู้มีจิตใจอ่อนน้อม ยินยอม เอื้อเฟื้อ ต่อบุคคลทุกชาติ ทุกภาษาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วโลก ประเทศไทยไม่เคยกีดกันในด้านศาสนา พร้อมยินดีปรีดากับทุกศาสนาได้อย่างกลมกลืนแม้นศาสนาอิสลามเองก็มีประมุขของ ศาสนาอิสลามในประเทศไทยคือจุฬาราชมนตรีที่ดูแลพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศอย่าง ทั่วถึง, รัฐบาลยังสนับสนุนศาสนสถานของพี่น้องมุสลิม (มัสยิด), ให้งบประมาณอุดหนุนต่อคณะกรรมการอิสลามในทุกๆเดือน, สนับสนุนกิจการฮาลานใน 3 จังหวัดภาคใต้, รวมถึงสนับสนุนการศึกษาสำหรับเด็กเยาวชนที่โรงเรียนสอนศาสนาถึงคนละ 7,920บาท ต่อคนต่อปี รวมถึงส่งเสริมธนาคารสำหรับประชาชนมุสลิมโดยไม่หวังผลกำลังเพื่อประชาชน มุสลิม (ISLAMIC BANK OF THAIL AND) หรือ  (I - BANK) ดังนั้นหากขบวนการ BRN – CO – Ordinate หรือ กลุ่มมุสลิมสุดโต่งอ้างว่าประเทศไทย (สยาม) เป็นมุชริกีน (ผู้ตั้งภาคีต่อองค์อัลลอฮ์) ตามอ้างอิงในซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่ 28 – 29 ที่อัลลอฮ์   อนุญาติให้มุสลิมต่อสู้ และลงโทษนั้น เป็นการบิดเบือนที่ไม่อาจยอมรับได้จากพี่น้องมุสลิมทั่วโลก

         3. ขบวนการ BRN – Co – Ordinate และ ผู้ที่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงที่เป็นมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อการร้ายล้วน เป็นพวก   มุชริกเสียเองที่เชื่อถือไม่ได้ ประพฤติตนของกลุ่มประดุจพวกไร้ศาสนา บิดเบือนได้แม้กระทั่งคำบัญชาของเอกองค์อัลลอฮ์ในคัมภีร์ อัล – กรุอาน ประหนึ่งไม่เกรงกลัว และเชื่อในวันอาคีร์เลาะฮ์ที่จะเข้าสู่ปรโลก โดยไม่ได้รับการอภัย สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate สั่งการให้ก่อเหตุร้ายโดยไม่คำนึงถึงพี่น้องประชาชนมุสลิมมลายูอย่างเห็นได้ชัดเจน เช่น

         - การเผาโรงเรียนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงเรียนของรัฐ โรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการบริจาคดูแลจากพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ที่บางครั้งผู้ก่อเหตุหลายคนทนไม่ได้กับการกระทำอย่างนี้ ที่ทำร้ายจิตใจลูกหลานมลายูของพวกเขาเอง จนไม่อาจมีความก้าวหน้าทางการศึกษานี่เองเป็นเหตุผลที่ประชาชนมุสลิมออกมา ต่อต้านการกระทำกลุ่มมุสลิมสุดโต่งอย่างกว้างขวาง    

         - การใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร้เหตุผล เช่น อ้างว่าทหารพรานเป็นทหารรับจ้างแท้จริงแล้ว ทหารพรานทั้งหญิง และชาย ล้วนเป็นประชาชนในท้องถิ่น เป็นลูกหลานของพี่น้องมลายูมุสลิมที่อาสามาทำงานเพื่อดูแลปกป้องท้องถิ่น แต่กลับกลายเป็นเป้าหมายของขบวนการ

         - การสังหารครู และอุสตาซที่สุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากการกระทำของกลุ่มขบวน การ  ที่สุดโต่งหวังเพียงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น คือ นักเรียนเด็กๆที่ต้องขาดโอกาสทางการศึกษา และกรณีเมื่อ 30 ตุลาคม 2012 ผู้ก่อเหตุของขบวนการ BRN – Co – Ordinate ลอบ ยิง นายมาหะมะ  มะแอ  ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา หวังปลุกกระแสความเกลียดชังของประชาชนแต่พี่น้องมุสลิมต่างรับไม่ได้กับการ กระทำดังกล่าวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง

         - การลอบวางระเบิดในเขตเมืองยะลา เมื่อ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2012 มีเด็กมุสลิมอายุ 4 ขวบ และเยาวชนบาดเจ็บถึง 2 คน โดยเฉพาะการลอบวางระเบิดรางรถไฟสายยะลา – สุไหงโก – ลก เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.2012 อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส อย่างไม่คำนึงถึงชีวิตพี่น้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์มีเยาวชนมุสลิมบาดเจ็บ ถึง 3 คน

    - การก่อเหตุร้ายตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) มีประชาชนพี่น้องทั้งมุสลิม และประชาชนชาวไทยพุทธ เสียชีวิตกว่า 4,000 ราย ล้วนเป็นการกระทำของมุสลิมสุดโต่งกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate การก่อเหตุร้ายราย วันโดยหลอกลวงเยาวชนกลุ่มวัยรุ่นโดยใช้ยาเสพติด และการบิดเบือนศาสนาให้ก่อเหตุรายวัน      ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อสร้างความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่ และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐโดยแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รวมถึงการปล่อยข่าวลือ ล้วนเป็นการกระทำที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลุ่ม มุสลิมสุดโต่ง  ที่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นกลุ่มมุสลิมที่เชื่อถือไม่ได้ประพฤติตนเยี่ยงมุชริกที่ตั้งภาคีต่อองค์ อัลลอฮ์เสียเองที่ทุกฝ่ายที่เป็นมุสลิมต้องออกห่าง และผลักใสออกจากสังคมมุสลิมผู้รักสันติทั้งมวล

         4. ภาพเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อเหตุร้าย BRN – Co – Ordinate ที่มักนำเสนอให้สังคมมุสลิมทั่วโลก โดยมีขบวนการ PULO คอย เสริมเติมแต่งเพื่ออ้างสิทธิของความเป็นผู้นำมลายูปัตตานีทั้งที่ไม่มีอำนาจ บริหารแม้แต่น้อย แต่หวังเพียงเงินบริจาค เช่นกัน ซึ่งความจริงองค์กรอิสระ และองค์กรอิสลามบางกลุ่มที่หลงเข้าใจผิดที่ให้เงินบริจาคสนับสนุนกลุ่มเหล่า นี้ต้องทบทวน และพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้

         - ภาพเหตุการณ์ตากใบที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่ง และองค์กรสิทธิมนุษยชนมักหยิบยกมาอ้างเสมอว่าเป็นการสังหารหมู่ซึ่งแท้จริง แล้วเหตุการณ์ตากใบ กลุ่มขบวนการเป็นผู้เริ่มวางแผนให้มีการจับกุมแนวร่วมของขบวนการตั้งแต่ เริ่มแรกจำนวน 6 คน เพื่อเป็นเงื่อนไขในการระดมมวลชนเข้าสู่เขตการประท้วงชุมนุม และหลอกลวงมวลชนโดยกักมวลชนไม่ให้ออกจากเขตการชุมนุม พยายามยั่วยุเจ้าหน้าที่โดยให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลัง การหลอกลวงของขบวนการต่อประชาชนครั้งนั้นขบวนการรู้แล้วว่าเป็นช่วงที่ถือ ศีลอดแต่ก็ยังพยายามสร้างเหตุการณ์ให้บานปลายร้ายแรง จากความผิดพลาดของการแก้ปัญหาเหตุการณ์ตากใบที่รัฐบาลในยุคสมัยของ พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์  ได้ก้มหัวน้อมขอโทษผู้สูญเสีย และชาวไทยมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งน้ำตาด้วยความจริงใจ และรัฐบาลทุกสมัยได้ทุ่มเทเยียวยาจิตใจ และสวัสดิภาพของชีวิตผู้สูญเสียครอบครัวในเหตุการณ์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยครอบครัวผู้เสียชีวิตรัฐบาลไทยเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 7,500,000 บาท  ผู้ พิการทุพลภาพรัฐบาลไทยเยียวยา จำนวน 4,500,000 บาท ทั้งให้สิทธิ์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่เมกกะฮ์ ได้ครอบครัวละ 2 คน ทุกปี ปัจจุบันประชาชนมุสลิมที่ได้รับการสูญเสียในเหตุการณ์ตากใบทุกคนไม่ต้องการ ให้ใครมารื้อฟื้นเหตุการณ์อีกต่อไป

         - มัสยิดกรือเซะในจังหวัดปัตตานีเป็นสถานที่สำคัญของประชาชนชาวไทยทุกคนทุกเชื้อชาติในประเทศไทยควบ คู่กับศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แต่มักถูกขบวนการก่อเหตุรุนแรง และองค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางกลุ่มที่หวังผลประโยชน์บิดเบือนเหตุการณ์ การเข้าควบคุมเหตุรุนแรงในมัสยิดกรือเซะ เมื่ออดีต 28 เมษายน พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) สร้างความเข้าใจผิดกับองค์กรมุสลิมมาโดยตลอดทั้งที่เหตุการณ์วันดังกล่าว กลุ่มขบวนการได้ใช้ยาเสพติดควบคู่กับการปลุกระดมตามหลักศาสนาหลอกให้เยาวชน ถือมีด และอาวุธเข้าโจมตีหวังสังหารเจ้าหน้าที่มากกว่า 80 แห่ง ในวันดังกล่าว และจุดหนึ่งที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธมากกว่า 20 คน เข้าโจมตีคือจุดตรวจใกล้มัสยิดกรือเซะจนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ จำนวน 2 นาย และต่อสู้จนกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวหลบหนีเข้าไปในมัสยิดกรือเซะ และไม่ยอมมอบตัวทั้งข่มขู่ไม่ให้มุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ด้านในออกมาจาก มัสยิด จนที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นต้องใช้วิธีตามหลักสากลเข้าจับกุม จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 คน และกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือเสียชีวิต แต่ต่อมารัฐบาลก็เยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งหมดในจำนวนเดียวกัน กับเหตุการณ์ตากใบ และเจ้าหน้าที่ซึ่งควบคุมการปฏิบัติการครั้งนั้นถูกดำเนินคดี โดยขณะนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล และครอบครัวมุสลิม ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ต่างให้อภัยกับเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมทั้งไม่ต้องการให้ฝ่ายใดมาใช้มัสยิดกรือเซะที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มใดอีกต่อไป

         - ข้อเท็จจริงสำหรับเหตุการณ์มัสยิดอัล – ฟุรกอน พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009) ประชาชนมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ต่างรู้ดีว่าพื้นที่ตั้งของมัสยิด อัล – ฟูรกอน บ้านไอร์ปาแย หมู่ที่ 8 ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว พี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธ และประชาชนมุสลิมอยู่เคียงข้างกัน 2 หมู่บ้านอย่างกลมกลืน แต่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลับสั่งการให้กลุ่ม RKK เข้า ไปสังหารประชาชนในมัสยิดเพื่อป้ายสีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่มุสลิมยอมรับไม่ได้กลับพวกมุสลิมสุดโต่ง ที่หลอกลวงชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบันประชาชนในหมู่บ้านต่างเข้าใจ และกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำหมู่บ้านคอยดูแล ด้วยความอบอุ่น 

         5. จากความพยายามของรัฐบาลไทยตลอดระยะเวลา 8 ปี จนถึงปัจจุบันด้วยความจริงใจ และศึกษาเข้าใจปัญหาอย่างรอบด้านทั้งทางสังคมวิทยา ศาสนา เชื้อชาติ รวมถึงการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน ดูแลพัฒนาอย่างรอบด้านต่อประชาชนชาวไทย และชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูอย่างรอบด้าน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจ และออกห่างจากขบวนการที่สร้างแต่ความทุกข์ และทำลาย อีกทั้ง RKK ผู้ปฏิบัติการทางทหารของขบวนการเริ่มถอนตัว และออกมาพูดคุยกับรัฐบาลมากขึ้น ขบวนการ BRN – Co – Ordinate จึง พยายามใช้ศาสนาเผยแพร่โดยบิดเบือน ซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่ 14 – 15 และไม่ให้ยอมรับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลไทย ทั้งที่ขบวนการที่อ้างว่าทำเพื่อคนมลายูปัตตานีแต่กลับฆ่าพี่น้องมุสลิม มลายูรายวัน สร้างแต่ความทุกข์ร้อน แต่ขบวนการเองรับเงินบริจาคจากองค์กร ที่เข้าใจเหตุการณ์ภาคใต้ผิด และองค์กรที่สนับสนุนการก่อการร้ายปีละมากกว่า  500 ล้านบาท 
 
         ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ความต้องการของพี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมที่ต้องการสันติภาพ และติดต่อค้าขายกับประชาคมมุสลิมสันติทั่วโลก ไม่มีมุสลิมคนใดกลุ่มใดต้องการสงครามการเข่นฆ่า และคัมภีร์ อัล – กุรอ่าน ก็มิได้สั่งสอนให้มนุษยชาติเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน  

       แต่แท้จริงแล้วองค์ อัลลอฮ์ทรงพระประสงค์ให้มนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติทุกชาติพันธุ์ เหล่ากอ ทุกศาสนา โดย ยึดหลักสันติแห่งอิสลามที่ได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนปฏิบัติ  ไม่ได้ให้ทำสงครามเข่นฆ่าโดยมุสลิมหัวรุนแรงที่บิดเบือนศาสนาด้วยความสุด โต่ง หวังอำนาจจากการเข่นฆ่า ทำให้มุสลิมทั่วโลกถูกเกลียดชัง และหลอกลวงมุสลิมด้วยกัน ด้วยคำว่าญิฮาดที่ผิดไปจากคัมภีร์ อัล – กรุอ่าน
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น