เผยโฉมหน้า 4 แกนนำ อาจโจมตีหาดใหญ่
| |
เผยโฉมหน้า 4 แกนนำ อาจโจมตีหาดใหญ่
เผยโฉมหน้า 4 แกนนำ กลุ่มก่อความไม่สงบ อาจลักลอบก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่หาดใหญ่ ช่วงเทศกาลปีใหม่
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เผย ภาพ 4 แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่อาจจะลักลอบเข้ามาก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประกอบด้วย นายวันฆอยรี สะรายอราเซ๊ะ อายุ 25 ปี นายอับดุลฮาเล็มเจ๊ะคู อายุ 25 ปี นายพามิง เจ๊ะแค อายุ 30 ปี และ นายมูหาหมัด มูดอลาแซ อายุ 27 ปี โดยทั้ง 4 คน มีภูมิลำเนา อยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ซึ่งหน่วยงานด้านการข่าว ได้ประสานและแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และออกตรวจค้นติดตามจับกุมตามเป้าหมายที่อาจจะเข้ามากบดานทั้งในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และ 4 อำเภอชายแดนสงขลา
สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ ทั้งทหาร ตำรวจ และ อส. สนธิกำลังตั้งจุดตรวจจุดสกัดบนเส้นทางเข้าเมืองหาดใหญ่ ทั้ง 4 มุมเมืองตามแผนปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่เพื่อป้องกันปัญหาด้านความมั่นคง อาชญากรรม และลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
หน้าเว็บ
▼
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
เผยโฉมหน้า 4 แกนนำ อาจโจมตีหาดใหญ่
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ไฟใต้จักมอดดับได้ด้วยประชาชน
ไฟใต้จักมอดดับได้ด้วยประชาชน | |
สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในต้นปี 2547 โดยทวีความรุนแรง จากเหตุการณ์การบุกโจมตีที่ตั้งหน่วยกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เข้าปล้นอาวุธปืนสงครามไปจำนวนมาก พร้อมสังหารเจ้าหน้าที่อย่างโหดเหี้ยม 4 ศพ นับเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเกือบ 9 ปี
ในช่วงแรกของสถานการณ์นั้นเป้าหมายในการลอบทำร้ายคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะทหารและ ตำรวจ ด้วยข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่า ต้องการตอบโต้รัฐไทยที่ไม่ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นคนมลายูและที่สำคัญ คือ การแบ่งแยกดินแดนตอนใต้ของไทยใน 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่ออิสระในการปกครองตนเอง พร้อมๆ กับการปลุกระดมสร้างความหวาดกลัว และหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนไทยต่างศาสนามาเป็นเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ได้ใช้ประเด็นที่มีความอ่อนไหวในเรื่องความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และขยายแนวร่วม จากกลุ่มมุสลิมในพื้นที่โดยการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องชาติพันธุ์การเป็นคนมลายูปัตตานี และบีบบังคับให้คนต่างศาสนาออกนอกพื้นที่โดยวิธีการข่มขู่ต่างๆนานา เข่น ก่อเหตุรุนแรงใช้อาวุธสงครามฆ่าคนไทยพุทธอย่างโหดเหี้ยม และระเบิดในสถานที่ขุมชนสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทยพุทธในพื้นที่จนต้องตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด จึงกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญให้สถานการณ์ภาคใต้ของไทยกลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้นและขยายขีดความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ถึงวันนี้รูปแบบของสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงได้มีการพัฒนาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในลักษณะการบ่อนทำลาย การก่อวินาศกรรมด้วยการลอบวางระเบิดขนาดใหญ่เพื่อสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจในเขตชุมชนเมือง การลอบสังหาร และลอบวางเพลิง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมจนถึงปัจจุบันมีจำนวนตัวเลขพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมจิตวิทยา ระบบเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่และของประเทศโดยรวมอย่างมาก
และแน่นอนว่าสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยกำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่ายทั้งภายในและนอกประเทศว่าบทสรุปของความรุนแรงนี้จะจบลงได้หรือไม่ เมื่อไหร่และอย่างไร
สำหรับคำถามนี้เชื่อว่าผู้ที่อยากรู้คำตอบมากที่สุดคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธที่ต้องทนอยู่กับการก่อเหตุรุนแรงสารพัดชนิด เห็นภาพของความสูญเสียอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซ้ำร้ายหลายคนต้องประสบพบเจอกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ในขณะที่ไม่สามารถหนีออกจากพื้นที่ได้เพราะที่นี่เป็นเสมือนบ้านที่อยู่มาตั้งแต่ปู่ยาตายาย การอพยพออกนอกพื้นที่จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุที่ไม่สมควรกระทำในขณะที่สามารถทำให้ปัญหาความรุนแรงนี้ลดน้อยลงหรือหมดไปได้ด้วยวิถีทางอื่น
จากความยืดเยื้อยาวนานของปัญหาความรุนแรง ความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวัน การอยู่ร่วมกันแบบหวาดระแวงทำให้กระแสความเบื่อหน่ายและไม่สนับสนุนการก่อเหตุเริ่มปรากฏทุกหย่อมหญ้าไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงอ้างกับเขาเหล่านั้นว่าทำเพื่อปกป้องศาสนา แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายที่ต้องถูกเข่นฆ่าไปด้วยเมื่อไม่ให้ความร่วมมือ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงได้สร้างผลกระทบด้านลบต่อพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นส่วนรวมในทุกด้าน
และนี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อมวลชนต่างออกมานำเสนอข่าวสารความเป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสร้างสรรค์เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ด้วยการสะท้อนภาพที่แท้จริงถึงความพยายามในการแก้ปัญหาของทุกภาคส่วน รวมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหาหนทางช่วยกันทำให้เหตุการณ์ยุติลงโดยเร็วซึ่งดูจะเป็นเค้าลางที่ดีหากได้รับความร่วมมือในลักษณะนี้ต่อไปในฐานะสื่อที่เปี่ยมล้นด้วยจรรยาบรรณ
ในฐานะเป็นคนในพื้นที่ที่รู้เห็นปัญหานี้มาโดยตลอดจึงอยากใช้เวทีนี้ขอบคุณไปยังท่านสื่อมวลชนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
เพราะการปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียวไม่สามารถทำให้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้จบลงได้ เพราะปัญหาที่เป็นรากเหง้าฝังลึกนั้นมิได้มีเพียงกลุ่มขบวนการเท่านั้น หากยังมีตัวแปรส่งเสริมอื่นๆ อีกที่เป็นปัจจัยสนับสนุน
การยุติความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ยังดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าสิ้นสุดลงนี้ ได้ปรากฏเสียงเรียกร้องต้องการความสงบสุขจากพี่น้องประชาชนมาโดยต่อเนื่อง ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ด้วยการลุกขึ้นร่วมกันต่อต้านโดยไม่แบ่งแยก ปฏิเสธและไม่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสามัคคีร่วมกันสอดส่องดูแลและแสดงพลังของประชาชนออกมา ภายใต้การใช้บทบาทนำของผู้นำท้องถิ่นเท่านั้นที่จะช่วยให้ฝันร้ายนี้จบสิ้นลง เพราะวันนี้ในต่างประเทศยังเข้าใจสถานการณ์และความเป็นไปของภาคใต้ของไทย หลายฝ่ายทั้งองค์กรระดับชาติรวมถึงสื่อมวลชนในต่างประเทศยังพร้อมใจกันประณามการก่อเหตุด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ลองนึกดูว่าหากไฟกำลังไหม้บ้านเรา แล้วพวกเราซึ่งเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันไม่ช่วยกันตักน้ำมาดับไฟแล้วจะรอให้ใครมาช่วย เราคงไม่อยากให้บ้านของเรามอดไหม้ไปกับตาทั้งๆ ที่ยังสามารถช่วยกันได้มิใช่หรือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องร่วมมือกัน ตอบได้เลยตอนนี้ว่าพลังของพวกเราประชาชนในพื้นที่เท่านั้นที่จะยุติไฟที่กำลังเผาไหม้บ้านของเราลงได้ คำถามต่อไปคือ เราจะรออะไรอยู่
ซอเก๊าะ นิรนาม
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
สมุนโอลันล้า ถล่มร้านน้ำชา มุสลิมตายอีกตามเคย
สมุนโอลันล้า ถล่มร้านน้ำชา ผู้หญิง เด็กมุสลิมตายอีกตามเคย
| |
เมื่อเวลา 07.20 น. วันที่ 11 ธ.ค.
เกิดเหตุคนร้ายยิงถล่มร้านน้ำชา เลขที่ 60/2 บ้านดามาบูเวาะ หมู่ 1
ต.ตันหยงลิมอ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย
ที่เกิดเหตุพบรอยเลือดเปรอะกระจายไปทั่ว ข้าวของ โต๊ะ เก้าอี้
ถ้วยชามและแก้วน้ำ แตกเกลื่อน โดยที่พื้นถนนหน้าร้านพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม.16
อาก้าและเอสเค.33 ตกจำนวนมาก เก็บได้ทั้งหมดร่วม 40 ปลอก
ส่วนผู้บาดเจ็บมีชาวบ้านในละแวกช่วยกันนำส่ง รพ.ระแงะ ทราบชื่อ
ก่อนเกิดเหตุนายปิยะวัฒน์ โมง เจ้าของร้านและเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดามาบูเวาะ หมู่ 1 ต.ตันหยงลิมอ ตนนั่งอยู่ภายในตัวบ้าน โดยมีนางกามีระ มามะ อายุ 47 ปี ภรรยา ยืนขายอาหารและน้ำชาให้ลูกค้าที่นั่งดื่มและยืนซื้ออยู่ ระหว่างนั้นมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนขับรถกระบะ มาจอดหน้าร้าน จากนั้นชายฉกรรจ์ 3 คนที่อยู่บริเวณกระบะท้ายได้ลุกขึ้นยืนกราดยิงใส่เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จนคนในร้านล้มระเนระนาด ก่อนที่ทั้งหมดจะเร่งเครื่องหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล | |
http://narater2010.blogspot.com/
|
ยิงผอ.หญิง - ครูผู้ช่วยในโรงเรียนบ้านบาโงเสียชีวิต
ยิงผอ.หญิง - ครูผู้ช่วยในโรงเรียนบ้านบาโงเสียชีวิต
| |
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่11
ธ.ค.เกิดเหตุคนร้ายยิงครูขณะกินข้าวเที่ยงมีผู้เสียชีวิตภายในโรงเรียนบ้าน
บาโง ม.1 ต.ปาหนัน ที่เกิดเหตุอยู่ภายในโรงอาหารของโรงเรียน
พบผู้เสียชีวิตนอนตายจมกองเลือดอย่างน่าอนาถ ทราบชื่อ
สภาพศพทั้ง 2 คนถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16
เข้าศีรษะจนกะโหลกเปิด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 ปลอก
ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 กำลังนั่งกินข้าว
พร้อมกับครูอีก 5 คน ภายในโรงอาหาร
โดยที่นักเรียนกำลังพักเที่ยงเล่นอยู่ภายในบริเวณโรงเรียน ปรากฏว่า
ได้มีคนร้าย 5 คน 2 ในนั้นสวมใส่ชุดคล้ายทหาร มีอาวุธปืนเอ็ม 16
ใช้รถจักรยานยนต์ จำนวน 3 คันขับมาจอดไว้หน้าโรงเรียน จากนั้น คนร้าย 2
คนที่ใส่ชุดทหารเดินเข้ามาภายในโรงอาหาร
ก่อนจะประกาศว่าให้ทุกคนก้มหัวลงกับโต๊ะ จากนั้น 2
คนร้ายจึงปฏิบัติการโหดจ่อยิงหัวของผู้อำนวยการ และครูผู้ช่วย ยิงใส่คนละ 1
นัดจนล้มกองกับพื้นเสียชีวิตทันที ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของครู
และนักเรียน
และดึงกุญแจรถยนต์ที่เอวของนายสมศักดิ์แล้วขโมยรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า รุ่น
BT50 ทะเบียน บฉ 218 ยะลา ก่อนหลบหนีไปโดยภายในรถมีอาวุธปืน ขนาด 9 มม.ด้วย
1 กระบอก ครูที่เสียชีวิตเป็นรายที่ 156 และ 157
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555
โจรใต้อำมหิตยิงถล่มสองแถวประเดิมเปิดเรียน
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ยูนิเซฟเรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนใต้
ยูนิเซฟเรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนใต้
| |
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555
โจรใต้วางระเบิดทหารพรานที่เจาะไอร้อง
โจรใต้วางระเบิดทหารพรานที่เจาะไอร้อง
| |
ซึ่งทั้ง 6 นายถูกแรงอัดของระเบิดที่ได้กระแทกกับตัวรถ จนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศรีษะแขนและขา อาการไม่สาหัสมากนักหลังจากแพทย์โรงพยาบาลเจาะไอร้องปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ได้ส่งตัวทหารทั้ง6 นาย ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ก่อนเกิดเหตุทราบว่าได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ รวม 6 นายนั่งรถยนต์หุ้มเกราะวีว่าร์ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทางตามปกติเมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่าสวนยางพาราริมทางและได้ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิด แสวงเครื่องที่ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้มต้มหนัก 50 ก.ก. ที่นำไปฝังไว้ใต้ผิวถนนและเกิดระเบิดขึ้นในขณะที่รถยนต์หุ้มเกราะวีว่า ร์ผ่าน จนทำให้ล้อหลังทั้ง2 ข้างตกลงไปในหลุมระเบิดหลังจากนั้นตนได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคลานออกนอก รถและหาที่กำบังก่อนเปิดฉากยิงใส่ต่อสู้ใส่กลุ่มคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในป่าจน ทั้ง 2 ฝ่ายได้ยิงปะทะกันเป็นละลอกๆนาน 15 นาทีตนจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เจาะไอร้อง เข้าสนับสนุน
****************************************
วันนี้ (14 ธ.ค.) พ.ต.ท.สุชาติ สอิด สารวัตรสอบสวน สภ.เจาะไอร้อง
จ.นราธิวาส
รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวนเส้น
ทางสังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4808 กรมทหารพรานที่
48บนถนนเขตรอยต่อบ้านไอปาแย-บ้านเจาะไอร้อง ม.1 ต.จวบ
จึงพร้อมด้วยพ.ต.อ.มนัส ศิกษมัต รอง ผบก.ภ.จ.นราธิวาส พ.ต.ท.เนติธร
วัตตธรรม นวท.สบ.3กลุ่มงานสถานีตรวจที่เกิดเหตุ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10
ร.ต.อ.ประจวบ นิ่มเรือง สว.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส
ร.ต.ต.พลวัฒน์ เทพษร หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส
รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบรถยนต์หุ้มเกราะวีว่า หมายเลขทะเบียนตรากงจักร 23836 ล้อหน้าทั้ง 2
ข้างตกอยู่ในหลุมระเบิดลึก 2 เมตร กว้าง 3 เมตร
โดยเฉพาะที่บริเวณปากหลุมระเบิดเจ้าหน้าที่พบสายไฟฟ้าสีเขียวลากยาวเข้าไปใน
ป่าสวนยางพาราข้างทาง150 เมตร
และพร้อมกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ตกอยู่เกลื่อนบนถนนจำนวนกว่า100 ปลอก
เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่เข้าสนับสนุนได้นำตัวส่ง รักษาที่โรงพยาบาลเจาะไอร้องไปก่อนหน้าแล้วทราบชื่อ คือ 1.ส.อ.อับดุลรอฮิม ยามา หัวหน้าชุด 2.อส.ทพ.ตังพงษ์ ภาพันธ์3. อส.ทพ.อมรศักดิ์ ขันเรือน 4. อส.ทพ.ศรชัย จันทร์แดง 5. อส.ทพ.ชูวิทย์จันทร์ทิพย์ และ 6. อส.ทพ.สมชาย วาตวงศ์พันธ์ ซึ่งทั้ง 6 นายถูกแรงอัดของระเบิดที่ได้กระแทกกับตัวรถ จนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศรีษะแขนและขา อาการไม่สาหัสมากนักหลังจากแพทย์โรงพยาบาลเจาะไอร้องปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ได้ส่งตัวทหารทั้ง6 นาย ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จากการสอบสวน ส.อ.อับดุลรอฮิม หัวหน้าชุดทราบว่าก่อนเกิดเหตุได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ รวม 6 นายนั่งรถยนต์หุ้มเกราะวีว่าร์ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทางตามปกติเมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่าสวนยางพาราริมทางและได้ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิด แสวงเครื่องที่ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้มต้มหนัก 50 ก.ก. ที่นำไปฝังไว้ใต้ผิวถนนและเกิดระเบิดขึ้นในขณะที่รถยนต์หุ้มเกราะวีว่า ร์ผ่าน จนทำให้ล้อหลังทั้ง2 ข้างตกลงไปในหลุมระเบิดหลังจากนั้นตนได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคลานออกนอก รถและหาที่กำบังก่อนเปิดฉากยิงใส่ต่อสู้ใส่กลุ่มคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในป่าจน ทั้ง 2 ฝ่ายได้ยิงปะทะกันเป็นละลอกๆนาน 15 นาทีตนจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เจาะไอร้อง เข้าสนับสนุน เพื่อต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายแต่กลุ่มคนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่เข้าเสริมจึงได้ อาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไปและเจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยเหลือตนและผู้ใต้ บังคับบัญชาส่งโรงพยาบาลดังกล่าว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ ไม่หวังดีเพื่อลอบดักสังหารเจ้าหน้าที่รายวัน.. | |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555
นี่คือคือ อัตลักษณ์ แห่งมาลายู
นี่คือคือ อัตลักษณ์ แห่งมาลายู
| |
นี่หรือ คือขบวนการกู้ชาติ มาลายู ที่แ้ท้ก็น้ำมันเถื่อน ยาเสพติด
สมคบนักการเมืองในพื้นที่ กับธุรกิจเถื่อน มอมเมาเยาวชน โดยอ้างพระเจ้า อ้างคัมภีร์ กดขี่ประชาชนมุสลิมด้วยกันเอง ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก | |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่ | |
การเสียชีวิตของนางสาวฉัตรสุดา นิลสุวรรณ ครูโรงเรียนบ้านยาโงะ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส นับเป็นเหตุคร่าชีวิตครูผู้หญิงรายที่ 2 ในรอบ 12 วัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ ผ่านมา เพิ่งจะเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นางนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะขับรถยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน จนทำให้สมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศปิดการเรียนการสอน โรงเรียนกว่า 300 แห่งใน จ.ปัตตานี อย่างไม่มีกำหนด เพื่อกดดันให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูให้รัดกุม กว่าที่เป็นอยู่ จนเมื่อมีการประชุมหารือกับฝ่ายความมั่นคงจนเป็นที่พอใจจึงได้ประกาศเปิดการ เรียนการสอนอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่แล้วผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเป็นฝ่ายจ้องกระทำก็ก่อเหตุยิงครูซ้ำขึ้นอีก ครั้ง
การก่อเหตุซ้ำซ้อนในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังตั้งตัวไม่ติด
อีกครั้งนี้
แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงบรรดาครูน้อยใหญ่ผู้ที่ยังมุ่งมั่น
ที่จะสั่งสอนให้เด็กนักเรียนที่นี่ให้มีความรู้ต่อไป
จากการก่อเหตุร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาจิตใจที่ไร้มนุษยธรรม
ของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้ว่า
พวกเขาคิดทำเรื่องเลวทรามนี้ได้อย่างไร
ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวทั้งในและต่างประเทศ
จนหลายฝ่ายต่างออกมาประณามการกระทำที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
นี้โดยถ้วนหน้า เพราะไม่มีสนามรบใดเลยในโลกนี้ที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐฯ
จะกระทำต่อครูผู้ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ซึ่งเป็นนัก
บวช
นอกจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบ ที่สร้างความเดือนร้อนอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้....เท่านั้น
และเช่นเคยเสมอ
มาที่ยังไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมใดออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครูที่
เสียชีวิตไปเลย
แม้แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่มักออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกระบวนการมุ่งสู่
สันติภาพของฝ่ายความมั่นคงและ ศอ.บต. ในทุกกรณีก็ยังคงวางตัวนิ่งเฉย
ซึ่งกรณีนี้อยากฝากไว้ให้คิดว่าเหตุผลที่นิ่งเงียบคืออะไร
ด้านฝ่ายผู้นำศาสนา ท่านฮัญยีแวดือราแม มะมิงจิ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานียังได้ออกมากล่าวถึงการกระทำของผู้ก่อ
เหตุรุนแรงเหล่านี้ว่าเป็นพวกที่บิดเบือนศาสนาและไม่ใช่ผู้ที่เรียกตัวเอง
ว่าเป็นอิสลาม
โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนา
เป็นสิ่งที่ไม่ผิดนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
เพราะความสำคัญของครูในทัศนะอิสลามจากท่านอะบีอุมาอะมะฮ์ ท่านนบีกล่าวว่า “แท้
จริงอัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์และชาวฟ้าและแผ่นดิน
จนแม้กระทั่งมดในรูของมันและแม้กระทั่งปลา
ต่างก็ปราสาทพรแก่ครูผู้ที่สอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประสบความดี” และเพราะ
ครูคือผู้ให้ ครูคือผู้เติมเต็ม ครูคือผู้มีเมตตา
ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ท่านนบี (ซ.ล.)
นั้นให้เกียรติผู้ที่ทำหน้าที่ครู แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนานิกหรือศัตรู
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ท่านได้ไถ่ตัวเชลยศึกในสงครามบะดัร
ซึ่งเป็นมุชริกีนชาวมักกะฮฺ โดยให้เป็นครูสอนเด็กมุสลิมชาวนครมะดีนะฮฺจำนวนสิบคน แบบอย่างของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นี้เป็นแบบอย่างที่งดงามที่มุสลิมทุกคนควรตระหนัก หากมุสลิมได้ตระหนักแล้ว กรณีการฆ่าครูหรือทำร้ายครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่แม้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูนับตั้งแต่เกิด
สถานการณ์ในปี 47 เป็นต้นมาจะทำให้ครูต้องสังเวยชีวิตไปเป็นรายที่ 155
แล้วก็ตาม
ยังไม่ปรากฏว่าครูในพื้นที่จะมีการขอย้ายออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามครูกับยังคงอดทนทำหน้าที่อย่างเสียสละ
ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ
และส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ
ครูก็คือผู้ที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้
พื้นที่ที่เหล่านักรบขี้ขลาดที่ทำร้ายได้แม้คนไม่มีทางสู้เรียกว่า
“แผ่นดินมลายู”
เพราะครูก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายมลายูที่เกิดและโตในแผ่นดินนี้ที่ต่างกัน
เพียงความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น
คำถามคือสิ่ง
ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงทำกับครู
ซึ่งก็คือลูกหลานมลายูนั้นมันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ
พี่น้องมลายูเห็นด้วยหรืออย่างไรว่า
การกระทำที่ชั่วช้าของผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งขัดต่อคำสอนอันดีงามของท่านนบีฯ
(ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร
ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนมาโดยตลอดขอเป็นกำลังใจให้ครูใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านได้รักษาความเสียสละ
มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติและเป็นข้าราชการที่
ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และของแผ่นดินไทยไว้ให้ได้อย่างมั่นคง
ซึ่งนั้นคงเป็นความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองและความใฝ่ฝันของเด็กนักเรียน
ในพื้นที่นี้ทุกคนด้วย
เพราะในส่วนของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว
จากการกระทำที่ขัดกับหลักศาสนาราวฟ้ากับเหวโดยไม่สนใจคุณธรรมความถูกต้องของ
เขาเหล่านั้น ตามหลักศาสนาแล้วพี่น้องมุสลิมทุกคนทราบดีว่าพวกเขาคือผู้ที่
“ตกศาสนา” ไปแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
---------------------------------------------
ซอเก๊าะ นิรนาม
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555
สมุนโอลันล้าวางเพลิงเผาโรงเรียนบางมะรวด ที่ปัตตานี
สมุนโอลันล้าวางเพลิงเผาโรงเรียนบางมะรวด ที่ปัตตานี
| |
วันที่ 29 พ.ย.เกิดเหตุคนร้ายลอบเผาโรงเรียนบางมะรวด หมู่ 1 บ้านบางมะรวด ต.บางมะรวด อ.ปะนาเระ เพลิงไหม้ อาคารเรียน ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ครึ่งไม้ครึ่งคอนกรีต เสียหายทั้งหลัง พบว่า อาคารเรียนที่ถูกเพลิงไหม้รวม 11 ห้อง ชั้นบน 5 ห้อง เป็นชั้น ป.3-ป.4 และห้องคอมพิวเตอร์ ส่วนชั้นล่าง 6 ห้อง เป็นห้องเรียนประถมปีที่ 2 รวม 2 ห้อง ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน ห้องพักครู ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะห้องคอมพิวเตอร์ มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 20 เครื่อง โน้ตบุ๊ก 10 เครื่อง และแลปท๊อป 50 เครื่อง ที่เพิ่งได้รับมา ถูกเพลิงไหม้เป็นเถ้าถ่าน รวมทั้ง โต๊ะเก้าอี้ อุปกรณ์การเรียนอื่นๆ และเอกสารต่างๆเสียหายหมดเช่นกัน ก่อนเกิดเหตุทราบว่า โรงเรียนดังกล่าวมีอาคารเรียนจำนวน 5 อาคาร ที่ถูกเพลิงไหม้เป็นอาคาร 2 มีนักเรียน 520 คน ครู 30 คน เปิดตั้งแต่ชั้นอนุบาล – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นนักเรียนมุสลิมทั้งหมด ก่อนเกิดเหตุ มีครู และ นักเรียน รวมประมาณ 10 กว่าคน ร่วมเข้าค่ายและพักภายในโรงเรียน ขณะที่กำลังอยู่อาคารตรงข้าม ได้เห็นเปลวเพลิงเกิดขึ้นที่อาคารชั้นบนห้องคอมพิวเตอร์ก่อน จากนั้นลามไปหมดทั้งอาคาร เจ้าหน้าที่พยายามเข้ามาดับเพลิง แต่ฝาผนังบางส่วนเป็นไม้ทำให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี | |
http://narater2010.blogspot.com/
|
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ครู 3 จังหวัดภาคใต้อย่าทอดทิ้งนักเรียน
ครู 3 จังหวัดภาคใต้อย่าทอดทิ้งนักเรียน
| |
ย้อนหลังกลับไป 8 ปี ตั้งแต่ปี 2547 เหตุการณ์
3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลาบางส่วน
การจากไปด้วยการถูกยิงของครูนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่ากำชำ
ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 คือรายที่ 154 ชีวิตของครู 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียไป เป็นเครื่องมือที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี
หรือที่เราเรียกทั่วไปว่าผู้ก่อเหตุรุนแรง ใช้ได้ผลในระดับยุทธศาสตร์
ที่ใช้ต่อสู้กับรัฐ นับตั้งแต่การสูญเสียครูจูหลิน ปงกันมูล
ครูช่วยสอนบ้านกูจิงรือปะ เมื่อปี 2549 ทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัว
และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลชีวิตครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
มีเสียงเรียกร้องออกมามากมาย ทั้งฝ่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรครู
และนักการเมือง ซึ่งรัฐบาลทุกยุค ทุกสมัย
ก็ต้องรีบเร่งสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าปฏิบัติทันที
นั่นเองที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงรู้จุดกระทบของฝ่ายรัฐว่า “ครูคือยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดอ่อนของรัฐ” และ “ครูคือเหยื่อที่ดีที่สุด”
ด้วยเพราะสังคมไทยผูกพันกับครูอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อดีต
ฉะนั้นเองเมื่อมีการสูญเสียครูไม่ว่าเหตุใด
จะนำมาซึ่งความเสียใจกับคนไทยที่ใกล้ชิดครู ซึ่ง 3 จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ
ตั้งแต่ฝ่ายทหารเข้าไปดูแลในโรงเรียน และครู
โดยใช้โรงเรียนบางแห่งที่เป็นพื้นที่สีแดงเป็นฐานที่ตั้ง
ก็ถูกฝ่ายสิทธิมนุษยชนมองว่าเกิดความเสี่ยงต่อครูและนักเรียน
ในการถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ฝ่ายทหารจึงจำเป็นต้องย้ายฐานออกห่างโรงเรียนโดยไม่มีองค์กรครู
หรือครูคนไหนออกมาคัดค้านสักคนเดียว
ทุกครั้งที่มีครูเสียชีวิตจำเลยคนแรกคือฝ่ายความมั่นคง และ ทหาร
แม้จะเพิ่มหรือมีวิธีการใดเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ครู
แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ว่านั่นคือการตั้งรับไม่ใช่การรุก
ซึ่งผู้ตั้งรับย่อมมีวันเสียเปรียบไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ทุกครั้งที่มีครูสูญเสีย สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ “ปิดโรงเรียน”
เป็นวิธีบั่นทอนอำนาจรัฐที่ใช้มาโดยตลอดของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ทั้งภาพข่าว และสถานการณ์ ภาครัฐทุกฝ่ายต่างมีความเห็นใจครู
และตั้งใจจริงที่จะร่วมปกป้องครู
แต่ทุกครั้งเมื่อครูถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่เคยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน
และศาสนา ครูจะสั่งปิดโรงเรียนทุกพื้นที่ทันที
และการกระทำเช่นนี้ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือนักเรียน ลูกหลานของพวกเรา
และยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ปกครอง และนักเรียน ต่อเจ้าหน้าที่
และโรงเรียนที่ปิด เสริมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการอยู่แล้วก็เท่ากับว่า
เมื่อปิดโรงเรียนทุกครั้งที่ครูถูกกระทำ ก็เท่ากับว่า “ขุนหลุมไว้ฝังศพตัวเองหรือไม่”
คงไม่มีฝ่ายไหนกล้าบอกให้ครูลุกขึ้นมาสู้กับโจร
เพราะครูนั้นมีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี
แต่ก็ยังมีครูใจเด็ดจังหวัดปัตตานีที่กล้าขับรถชนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มาลอบ
ยิง โจรต้องหลบหนีทิ้งรถมอเตอร์ไซต์เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา
แต่ถ้าวันนี้เมื่อครูถูกคนร้ายกระทำแล้วปิดโรงเรียน
ต้องถามว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่
แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเปิดเรียนอีกใช่ไหม เพื่ออะไร
หากต้องการให้กำลังฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้
เพื่อเพิ่มส่วนตั้งรับในการดูแลครู แต่เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชน
องค์กรนักศึกษาบางองค์กรออกมาต่อต้านการเพิ่มเติมกำลังทหารในพื้นที่
การเพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่
ทำไมไม่เห็นครูสักคนเดียวมาคัดค้านหรือให้กำลังใจทหารแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่แสดงการสนับสนุนให้เพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งเดียว ทุก
ครั้งที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายรุกไล่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจนไม่สามารถ
เคลื่อนไหวก่อเหตุได้ เช่น วางระเบิด เผาโรงเรียน
ตรวจยึดอุปกรณ์เตรียมก่อเหตุระเบิดได้ จับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายราย
สิ่งที่ฝ่ายขบวนการจะแก้ยุทธศาสตร์จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก นั่นก็คือ ยิงครูไทย
พุทธ 1 คน ซึ่งก่อนจะยิงครู 1 คน ต้องยิงอุซตาส หรือ โต๊ะอิหม่าม ก่อน 1 คน
เพื่อเป็นข้ออ้างในการโฆษณาชวนเชื่อ
สร้างความชอบธรรมในการแก้แค้นให้ฟาฎอนี ด้วยการยิงครูไทยพุทธ
ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วเมื่อครูหยุดโรงเรียน ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องกลับมาเป็นฝ่ายเพิ่มมาตรการทุกครั้ง นี่เองจึงเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง
“เมื่อครูปิดโรงเรียน ครู จึงเป็นเหยื่อที่มุ่งหมายที่สุด ในสงครามนี้” และไม่เคยเห็นองค์กรสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรนักศึกษาทุกระดับออกมาประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของ
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อครูแม้แต่สักครั้งเดียว
แต่จะโจมตีว่าฝ่ายความมั่นคงมีกำลังทหารตั้งมาก แต่คุ้มครองครูไม่ได้
ใช่ไหม??
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีครูรายที่ 155
หรืออีกกี่รายต่อไป ผลที่ปิดโรงเรียน และส่งผลกระทบโดยตรงที่สุด คือ
เด็กนักเรียน เยาวชน ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้
ซึ่งด้อยในเรื่องการศึกษาที่สุดขณะนี้ในประเทศไทย
เพราะไม่มีครูไทยพุทธคนไหนจะต้องการอยู่ในพื้นที่
แล้วจะหาความตั้งใจในการสอนมาจากไหน
ความผูกพันระหว่างครูกับนักเรียนจะเกิดได้อย่างไร ครูไทยพุทธจำนวนลดน้อยลง
ครูที่เก่งไม่ต้องการมาสอนในพื้นที่ล้วนเป็นเหตุเป็นผลที่องค์กรทางการศึกษา
และครูทุกคนต้องลองไปตรึกตรองดู
ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการใช่หรือไม่
แล้วเราต้องยอมไปตามทางที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกำหนดเช่นนั้นหรือ
ฉะนั้นจึงต้องขอวิงวอนครูโปรดอย่าหยุดโรงเรียน เด็กนักเรียน เยาวชน
ลูกหลานของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรอคอยคุณครู
ผู้ที่นำทางสันติสุขให้กับพวกเขาทุกคน นักเรียนเปรียบเสมือนลูก
หลานของครูที่เฝ้ารอคอย ศึกษาหาวิชาความรู้จากครู
ผู้เปรียบประดุจแม่คนที่สองของเด็กนักเรียนทุกคน ความใกล้ชิดระหว่างครูกับนักเรียนดั่งครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นครูคือความหวังของเด็กนักเรียนชาวใต้ทุกคนที่กำลังรอคอย และร่วมสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน
ขอวิงวอนกรุณาอย่าปิดโรงเรียน ที่ใดมีโรงเรียน ที่นั้นย่อมมีนักเรียน และมีครู หากโรงเรียนปราศจากครู ก็
ย่อมขาดชีวิต จิตวิญญาณของโรงเรียน
ประดุจต้นไม้ที่ขาดแสงสว่างเพื่อเจริญเติบโต และในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อไม่มีครูอยู่กับโรงเรียน
ย่อมแสดงถึงการสูญเสียจิตวิญญาณที่จะหล่อเลี้ยง
กำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขในอนาคต และความว่างเปล่าของโรงเรียนที่ไร้ครู
จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างโอกาสในการก่อเหตุ ปลุกระดม ทำลาย
เผาผลาญ ทั้งตัวโรงเรียน และจิตวิญญาณความรู้สึกของโรงเรียนให้สูญหายไปจาก
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งครูทุกคนยอมได้หรือ
พวกเราทุกคนคงยอมไม่ได้ที่จะให้โรงเรียนไร้ซึ่งบุคลากรครู โรงเรียนถูกทำลาย
เผาผลาญไปสิ้น หากวันนี้โรงเรียนปิด นักเรียนจะไปพึ่งพาใคร
สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องกลับมาเปิดเพื่อลูกหลานของเราทุกคน
แต่หากเกิดกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้กระทำการอันชั่วร้ายต่อครูอีก
โรงเรียนก็ต้องปิดอีกอย่างนั้นหรือ
นั่นเองเท่ากับทุกคนเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ครูเป็นเครื่องมือ
เพื่อให้โรงเรียนหยุดตามที่ฝ่ายขบวนการต้องการคือ
“ก่อเหตุต่อครูแล้วจะมีการปิดโรงเรียน”
วันนี้ทุกคนต้องไม่ยอมให้โรงเรียนปิด
“ครูกรุณาอย่าทอดทิ้งนักเรียน”
| |
http://narater2010.blogspot.com/
|
เมื่อกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง BRN – Co - Ordinate โกหกชาวฟาฎอนี
เหตุการณ์ที่สาธารณชนทั่วโลกติดตามข่าวสารผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ
มีข่าวที่น่าสนใจอยู่มากมาย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ
และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แต่ละคนสนใจ
เหตุการณ์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วโลก
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่กำลังเจริญเติบโตที่เปิดเป็นประชาคมอาเซียน
หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN)
ประกอบด้วย 10
ประเทศโดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกไม่
น้อย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว และเหตุการณ์ใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา
จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลาบางส่วน คือ อำเภอจะนะ, อำเภอนาทวี,
อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา
ที่ทั่วโลกก็ติดตามข่าวสารถึงความเป็นไปในปัจจุบัน
และจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
สถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ตั้งแต่ พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
จนเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อสวัสดิภาพด้านชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน
ส่วนราชการ และภาครัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลามที่มี 80% ในจำนวน 2 ล้านคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งปัญหาความไม่สงบดัง
กล่าวมีพื้นฐานมาจากปัญหาเดิมซับซ้อนหลายมิติตั้งแต่ สังคมจิตวิทยา ศาสนา
และอุดมการณ์ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)
ที่ทางรัฐบาลได้พยายามแก้ไขด้วยแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด
จนเมื่อขบวนการที่มีกลุ่มบุคคลพยายามสร้างสถานการณ์การต่อสู้ด้วยการใช้ความ
รุนแรง และการก่อการร้ายตามวิถีทางของพวกสุดโต่งที่นิยมการก่อการร้าย
และการปกครองแบบเผด็จการมุสลิมใช้ชื่อว่ากลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate ซึ่ง
เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ครองมวลชนในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004)
อาศัยการบ่มเพาะในสถานศึกษา, สถานที่ปฏิบัติกิจทางศาสนา (มัสยิด)
จัดตั้งสมาชิก
และผลิตกำลังรบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อเป้าหมายการจัดตั้งรัฐปัตตานีดารุสลาม โดยมีกองกำลัง ทหาร หรือฝ่ายปฏิบัติการเรียกว่า RKK ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ที่รุนแรง
บั่นทอนอำนาจรัฐรวมทั้งป้องกันมวลชนด้วยความหวาดกลัว
แบบลัทธิเผด็จการสุดโต่ง
ของจักรวรรดินิยมอิสลามอีกทั้งเผยแพร่คำสอนที่บิดเบือน
ปลุกระดมให้มุสลิมที่หลงผิดไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำบาป
จึงสามารถก่อเหตุลงมือสังหารพวกพ้องมุสลิมด้วยกันเอง
ด้วยการหลงเชื่อคำสอนที่ผิดจากกลุ่มขบวนการ
และเป็นการป้องกันไม่ให้กำลังมวลชนของขบวนการมีใจออกห่างหรือออกจากกลุ่ม
เพราะหลงเชื่อคำกล่าวอ้างทางศาสนาที่บิดเบือนจากกลุ่มขบวนการนั่นเอง
รัฐบาลไทยได้ทุ่มเทความพยายามทั้งกำลังทรัพย์ กำลังบุคลากร
และเทคโนโลยีเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มขีดความสามารถตลอดเวลา 8 ปี
ในทุกสมัยของรัฐบาล
ซึ่งแน่วแน่ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม
โดยกำหนดยุทธศาสตร์กระบวนการ และวิธีการแก้ปัญหาที่ให้สอดคล้อง
และไม่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ไม่ฝืนอัตลักษณ์
ใช้สันติวิธีรวมถึงการเปิดโอกาส
และให้อภัยกับกองกำลังทหารของกลุ่มก่อความไม่สงบหรือ RKK ได้
เข้ามาร่วมแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน
อีกทั้งยังพร้อมรับฟังผู้ที่เห็นต่าง
และมีความคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมได้ออกมาพูดคุยจนเป็นที่ประจักษ์แก่
สายตาประชาคมโลกในที่สุดว่ายุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยได้ผล
และนำมาซึ่งสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา,
นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
ในที่สุดด้วยการดำเนินการด้านการเมืองโดยใช้สันติวิธีนี้เอง ทำให้กลุ่มขบวนการที่ก่อเหตุด้วยความโหดร้าย เข่นฆ่าพี่น้อง ประชาชนมุสลิมอย่างไม่ปราณี และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ซึ่งล้วนแต่ใส่ร้ายป้ายสี จนประชาชนมุสลิม พี่น้องชาวมลายูปัตตานีในประเทศไทย ไม่อาจทนต่อการบิดเบือน และหลอกลวงของกลุ่มขบวนการ BRN – Co- Ordinate อีกต่อไป จึงได้ออกมาต่อต้าน และขับไล่กลุ่มก่อความรุนแรงที่เรียกว่า RKK ที่ หลบซ่อนตัวแฝงตัวในหมู่บ้านออกจากสังคมโดยไม่เกรงกลัวอีกต่อไป พี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมปัตตานี และพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกศาสนาต่างออกมาร่วมต่อต้านกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ด้วยการแสดงออกทางกิจกรรมต่างๆ ในสังคมอย่างกว้างขวาง ในที่สุดกลุ่ม RKK หรือผู้ที่หลงผิด และผู้ที่เคยร่วมขบวนการก่อเหตุต่างทยอยออกมาแสดงตน พร้อมร่วมพูดคุยเพื่อสันติกับทางรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายทำให้ขบวนการ ไม่เห็นหนทางที่จะชนะรัฐบาลไทยอีกต่อไป หากยังใช้วิธีการที่สุดโต่ง และรุนแรงจนประชาชนมุสลิมต้องตายด้วยน้ำมือของตนเองมากขึ้น แม้แต่การบิดเบือนศาสนาก็จะไม่มีมุสลิมผู้ใดหลงเชื่ออีกต่อไป
3
จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย
ยุทธวิธีหนึ่งที่กลุ่มขบวนการนิยมความรุนแรงจักรวรรดิมุสลิมที่มีความสุด
โต่ง พยายามบิดเบือนศาสนาและกล่าวร้ายต่อรัฐบาลไทยประการหนึ่ง คือ
ใช้ระบบเครือข่าย Social Network ที่ยั่วยุส่งเสริมให้มุสลิมหลงเชื่อศาสนาที่ผิดหลักที่อัลลอฮ์ประทานมาแก่มนุษยชาติ อีกทั้งพยายามใส่ร้ายป้ายสีโจมตีรัฐบาลไทยบิดเบือนประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา เช่น สื่อ Ambranews.com จากประเทศเพื่อน
บ้านของไทย ที่นิ่งเฉยต่อการกระทำที่แทรกแซงประเทศไทยของสื่อดังกล่าว
และล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศโดยกลุ่มขบวนการที่ใช้นามผู้โพสต์โดย Khattabjadid 1 จากประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเช่นเคย ที่นำเสนอบทความอ้างอิงศาสนาโดยเชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มคนของกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate ที่เพิ่มแนวต่อสู้ในโลกออนไลน์ เพื่อหวังจูงใจไม่ให้คนในกระบวนการของตน, กลุ่ม RKK และ
มวลชนเอาใจออกห่าง และ ตีตนออกจากขบวนการ
ที่ทนไม่ได้กับการที่ขบวนการสั่งสังหาร พี่น้องมุสลิมรายวัน
ซึ่งเนื้อหาในบทความได้กล่าวถึง
1. ประชาชนชาวไทยที่กล่าวว่าชาติสยามได้รุกรานดินแดนปัตตานี ซึ่งเป็นดินแดนมุสลิมมลายู แท้จริงแล้วแถบภูมิภาคแหลมมลายูโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศไทยมีประวัติศาสตร์มายาวนานมามากกว่า 1,000 ปีจน
มาถึงปัจจุบัน ต่างมีการค้าขาย
ทำศึกสงครามตามยุคที่ผ่านเปลี่ยนตามประวัติศาสตร์จนอยู่ร่วมกันได้ทุกเชื้อ
ชาติ ศาสนา ทั้งพุทธ อิสลาม ฮินดู คริสต์
ในพื้นที่แถบแหลมมาลายูทั้งในประเทศไทย
และมาเลเซีย ที่ผู้คนล้วนอยู่อาศัยพึ่งพากันอย่างสันติ
โดยเฉพาะประเทศไทยที่ให้เสรีกับประชาชนมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ศึกษาวิชาการทางศาสนาจนได้ชื่อว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเมกกะห์แหล่งที่ 2 ของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก แล้วผู้บิดเบือนที่มีความคิดสุดโต่งอ้างคัมภีร์อัลกุร – อ่าน ซูเราะฮ์ อัต – เตาบะฮ์ (Al-Touba) โองการที่ 13 – 14 ที่ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่าสยาม (ประเทศไทย) เป็นศัตรู
2. ประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ทุกยุคสมัยปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข
และมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์ทุกศาสนามิได้ขาดตั้งแต่อดีต
ประชาชนชาวไทย (สยาม) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นผู้มีจิตใจอ่อนน้อม
ยินยอม เอื้อเฟื้อ ต่อบุคคลทุกชาติ
ทุกภาษาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วโลก
ประเทศไทยไม่เคยกีดกันในด้านศาสนา
พร้อมยินดีปรีดากับทุกศาสนาได้อย่างกลมกลืนแม้นศาสนาอิสลามเองก็มีประมุขของ
ศาสนาอิสลามในประเทศไทยคือจุฬาราชมนตรีที่ดูแลพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศอย่าง
ทั่วถึง, รัฐบาลยังสนับสนุนศาสนสถานของพี่น้องมุสลิม (มัสยิด),
ให้งบประมาณอุดหนุนต่อคณะกรรมการอิสลามในทุกๆเดือน, สนับสนุนกิจการฮาลานใน 3
จังหวัดภาคใต้,
รวมถึงสนับสนุนการศึกษาสำหรับเด็กเยาวชนที่โรงเรียนสอนศาสนาถึงคนละ
7,920บาท ต่อคนต่อปี
รวมถึงส่งเสริมธนาคารสำหรับประชาชนมุสลิมโดยไม่หวังผลกำลังเพื่อประชาชน
มุสลิม (ISLAMIC BANK OF THAIL AND) หรือ (I - BANK) ดังนั้นหากขบวนการ BRN – CO – Ordinate หรือ
กลุ่มมุสลิมสุดโต่งอ้างว่าประเทศไทย (สยาม) เป็นมุชริกีน
(ผู้ตั้งภาคีต่อองค์อัลลอฮ์) ตามอ้างอิงในซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่
28 – 29 ที่อัลลอฮ์ อนุญาติให้มุสลิมต่อสู้ และลงโทษนั้น
เป็นการบิดเบือนที่ไม่อาจยอมรับได้จากพี่น้องมุสลิมทั่วโลก
3. ขบวนการ BRN – Co – Ordinate และ
ผู้ที่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงที่เป็นมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อการร้ายล้วน
เป็นพวก มุชริกเสียเองที่เชื่อถือไม่ได้
ประพฤติตนของกลุ่มประดุจพวกไร้ศาสนา
บิดเบือนได้แม้กระทั่งคำบัญชาของเอกองค์อัลลอฮ์ในคัมภีร์ อัล – กรุอาน
ประหนึ่งไม่เกรงกลัว และเชื่อในวันอาคีร์เลาะฮ์ที่จะเข้าสู่ปรโลก
โดยไม่ได้รับการอภัย สถานการณ์ใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate สั่งการให้ก่อเหตุร้ายโดยไม่คำนึงถึงพี่น้องประชาชนมุสลิมมลายูอย่างเห็นได้ชัดเจน เช่น
-
การเผาโรงเรียนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงเรียนของรัฐ
โรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการบริจาคดูแลจากพี่น้องมุสลิมด้วยกัน
ที่บางครั้งผู้ก่อเหตุหลายคนทนไม่ได้กับการกระทำอย่างนี้
ที่ทำร้ายจิตใจลูกหลานมลายูของพวกเขาเอง
จนไม่อาจมีความก้าวหน้าทางการศึกษานี่เองเป็นเหตุผลที่ประชาชนมุสลิมออกมา
ต่อต้านการกระทำกลุ่มมุสลิมสุดโต่งอย่างกว้างขวาง
-
การใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร้เหตุผล เช่น
อ้างว่าทหารพรานเป็นทหารรับจ้างแท้จริงแล้ว ทหารพรานทั้งหญิง และชาย
ล้วนเป็นประชาชนในท้องถิ่น
เป็นลูกหลานของพี่น้องมลายูมุสลิมที่อาสามาทำงานเพื่อดูแลปกป้องท้องถิ่น
แต่กลับกลายเป็นเป้าหมายของขบวนการ
- การสังหารครู
และอุสตาซที่สุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากการกระทำของกลุ่มขบวน
การ ที่สุดโต่งหวังเพียงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น คือ
นักเรียนเด็กๆที่ต้องขาดโอกาสทางการศึกษา และกรณีเมื่อ 30 ตุลาคม 2012
ผู้ก่อเหตุของขบวนการ BRN – Co – Ordinate ลอบ
ยิง นายมาหะมะ มะแอ ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
หวังปลุกกระแสความเกลียดชังของประชาชนแต่พี่น้องมุสลิมต่างรับไม่ได้กับการ
กระทำดังกล่าวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง
-
การลอบวางระเบิดในเขตเมืองยะลา เมื่อ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2012
มีเด็กมุสลิมอายุ 4 ขวบ และเยาวชนบาดเจ็บถึง 2 คน
โดยเฉพาะการลอบวางระเบิดรางรถไฟสายยะลา – สุไหงโก – ลก เมื่อวันที่ 18
พฤศจิกายน ค.ศ.2012 อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส
อย่างไม่คำนึงถึงชีวิตพี่น้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์มีเยาวชนมุสลิมบาดเจ็บ
ถึง 3 คน
- การก่อเหตุร้ายตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) มีประชาชนพี่น้องทั้งมุสลิม และประชาชนชาวไทยพุทธ เสียชีวิตกว่า 4,000 ราย ล้วนเป็นการกระทำของมุสลิมสุดโต่งกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate การก่อเหตุร้ายราย
วันโดยหลอกลวงเยาวชนกลุ่มวัยรุ่นโดยใช้ยาเสพติด
และการบิดเบือนศาสนาให้ก่อเหตุรายวัน
ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อสร้างความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่
และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐโดยแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รวมถึงการปล่อยข่าวลือ
ล้วนเป็นการกระทำที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลุ่ม
มุสลิมสุดโต่ง ที่หน้าไหว้หลังหลอก
เป็นกลุ่มมุสลิมที่เชื่อถือไม่ได้ประพฤติตนเยี่ยงมุชริกที่ตั้งภาคีต่อองค์
อัลลอฮ์เสียเองที่ทุกฝ่ายที่เป็นมุสลิมต้องออกห่าง
และผลักใสออกจากสังคมมุสลิมผู้รักสันติทั้งมวล
4. ภาพเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อเหตุร้าย BRN – Co – Ordinate ที่มักนำเสนอให้สังคมมุสลิมทั่วโลก โดยมีขบวนการ PULO คอย
เสริมเติมแต่งเพื่ออ้างสิทธิของความเป็นผู้นำมลายูปัตตานีทั้งที่ไม่มีอำนาจ
บริหารแม้แต่น้อย แต่หวังเพียงเงินบริจาค เช่นกัน ซึ่งความจริงองค์กรอิสระ
และองค์กรอิสลามบางกลุ่มที่หลงเข้าใจผิดที่ให้เงินบริจาคสนับสนุนกลุ่มเหล่า
นี้ต้องทบทวน และพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้
-
ภาพเหตุการณ์ตากใบที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่ง
และองค์กรสิทธิมนุษยชนมักหยิบยกมาอ้างเสมอว่าเป็นการสังหารหมู่ซึ่งแท้จริง
แล้วเหตุการณ์ตากใบ
กลุ่มขบวนการเป็นผู้เริ่มวางแผนให้มีการจับกุมแนวร่วมของขบวนการตั้งแต่
เริ่มแรกจำนวน 6 คน
เพื่อเป็นเงื่อนไขในการระดมมวลชนเข้าสู่เขตการประท้วงชุมนุม
และหลอกลวงมวลชนโดยกักมวลชนไม่ให้ออกจากเขตการชุมนุม
พยายามยั่วยุเจ้าหน้าที่โดยให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลัง
การหลอกลวงของขบวนการต่อประชาชนครั้งนั้นขบวนการรู้แล้วว่าเป็นช่วงที่ถือ
ศีลอดแต่ก็ยังพยายามสร้างเหตุการณ์ให้บานปลายร้ายแรง
จากความผิดพลาดของการแก้ปัญหาเหตุการณ์ตากใบที่รัฐบาลในยุคสมัยของ
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ก้มหัวน้อมขอโทษผู้สูญเสีย และชาวไทยมุสลิม 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งน้ำตาด้วยความจริงใจ
และรัฐบาลทุกสมัยได้ทุ่มเทเยียวยาจิตใจ
และสวัสดิภาพของชีวิตผู้สูญเสียครอบครัวในเหตุการณ์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยครอบครัวผู้เสียชีวิตรัฐบาลไทยเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 7,500,000 บาท ผู้
พิการทุพลภาพรัฐบาลไทยเยียวยา จำนวน 4,500,000 บาท
ทั้งให้สิทธิ์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่เมกกะฮ์ ได้ครอบครัวละ 2 คน
ทุกปี
ปัจจุบันประชาชนมุสลิมที่ได้รับการสูญเสียในเหตุการณ์ตากใบทุกคนไม่ต้องการ
ให้ใครมารื้อฟื้นเหตุการณ์อีกต่อไป
- มัสยิดกรือเซะในจังหวัดปัตตานีเป็นสถานที่สำคัญของประชาชนชาวไทยทุกคนทุกเชื้อชาติในประเทศไทยควบ
คู่กับศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แต่มักถูกขบวนการก่อเหตุรุนแรง
และองค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางกลุ่มที่หวังผลประโยชน์บิดเบือนเหตุการณ์
การเข้าควบคุมเหตุรุนแรงในมัสยิดกรือเซะ เมื่ออดีต 28 เมษายน พ.ศ.2547
(ค.ศ.2004)
สร้างความเข้าใจผิดกับองค์กรมุสลิมมาโดยตลอดทั้งที่เหตุการณ์วันดังกล่าว
กลุ่มขบวนการได้ใช้ยาเสพติดควบคู่กับการปลุกระดมตามหลักศาสนาหลอกให้เยาวชน
ถือมีด และอาวุธเข้าโจมตีหวังสังหารเจ้าหน้าที่มากกว่า 80 แห่ง
ในวันดังกล่าว และจุดหนึ่งที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธมากกว่า 20 คน
เข้าโจมตีคือจุดตรวจใกล้มัสยิดกรือเซะจนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ จำนวน 2
นาย และต่อสู้จนกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวหลบหนีเข้าไปในมัสยิดกรือเซะ
และไม่ยอมมอบตัวทั้งข่มขู่ไม่ให้มุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ด้านในออกมาจาก
มัสยิด
จนที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นต้องใช้วิธีตามหลักสากลเข้าจับกุม
จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 คน
และกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือเสียชีวิต
แต่ต่อมารัฐบาลก็เยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งหมดในจำนวนเดียวกัน
กับเหตุการณ์ตากใบ
และเจ้าหน้าที่ซึ่งควบคุมการปฏิบัติการครั้งนั้นถูกดำเนินคดี
โดยขณะนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล และครอบครัวมุสลิม
ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ต่างให้อภัยกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
รวมทั้งไม่ต้องการให้ฝ่ายใดมาใช้มัสยิดกรือเซะที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มใดอีกต่อไป
-
ข้อเท็จจริงสำหรับเหตุการณ์มัสยิดอัล – ฟุรกอน พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009)
ประชาชนมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ต่างรู้ดีว่าพื้นที่ตั้งของมัสยิด อัล –
ฟูรกอน บ้านไอร์ปาแย หมู่ที่ 8 ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว พี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธ
และประชาชนมุสลิมอยู่เคียงข้างกัน 2 หมู่บ้านอย่างกลมกลืน แต่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลับสั่งการให้กลุ่ม RKK เข้า
ไปสังหารประชาชนในมัสยิดเพื่อป้ายสีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่
ซึ่งเป็นการกระทำที่มุสลิมยอมรับไม่ได้กลับพวกมุสลิมสุดโต่ง ที่หลอกลวงชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบันประชาชนในหมู่บ้านต่างเข้าใจ
และกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำหมู่บ้านคอยดูแล
ด้วยความอบอุ่น
5.
จากความพยายามของรัฐบาลไทยตลอดระยะเวลา 8 ปี จนถึงปัจจุบันด้วยความจริงใจ
และศึกษาเข้าใจปัญหาอย่างรอบด้านทั้งทางสังคมวิทยา ศาสนา เชื้อชาติ
รวมถึงการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน
ดูแลพัฒนาอย่างรอบด้านต่อประชาชนชาวไทย
และชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูอย่างรอบด้าน
ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจ
และออกห่างจากขบวนการที่สร้างแต่ความทุกข์ และทำลาย อีกทั้ง RKK ผู้ปฏิบัติการทางทหารของขบวนการเริ่มถอนตัว และออกมาพูดคุยกับรัฐบาลมากขึ้น ขบวนการ BRN – Co – Ordinate จึง
พยายามใช้ศาสนาเผยแพร่โดยบิดเบือน ซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่ 14 –
15 และไม่ให้ยอมรับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลไทย
ทั้งที่ขบวนการที่อ้างว่าทำเพื่อคนมลายูปัตตานีแต่กลับฆ่าพี่น้องมุสลิม
มลายูรายวัน สร้างแต่ความทุกข์ร้อน แต่ขบวนการเองรับเงินบริจาคจากองค์กร ที่เข้าใจเหตุการณ์ภาคใต้ผิด
และองค์กรที่สนับสนุนการก่อการร้ายปีละมากกว่า 500 ล้านบาท
ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015)
ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ความต้องการของพี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมที่ต้องการสันติภาพ
และติดต่อค้าขายกับประชาคมมุสลิมสันติทั่วโลก
ไม่มีมุสลิมคนใดกลุ่มใดต้องการสงครามการเข่นฆ่า และคัมภีร์ อัล – กุรอ่าน
ก็มิได้สั่งสอนให้มนุษยชาติเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน
แต่แท้จริงแล้วองค์ อัลลอฮ์ทรงพระประสงค์ให้มนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติทุกชาติพันธุ์ เหล่ากอ ทุกศาสนา โดย ยึดหลักสันติแห่งอิสลามที่ได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนปฏิบัติ ไม่ได้ให้ทำสงครามเข่นฆ่าโดยมุสลิมหัวรุนแรงที่บิดเบือนศาสนาด้วยความสุด โต่ง หวังอำนาจจากการเข่นฆ่า ทำให้มุสลิมทั่วโลกถูกเกลียดชัง และหลอกลวงมุสลิมด้วยกัน ด้วยคำว่าญิฮาดที่ผิดไปจากคัมภีร์ อัล – กรุอ่าน | |
http://narater2010.blogspot.com/
|