หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ไขปริศนา 'ญิฮาดสีเทา'

ไขปริศนา 'ญิฮาดสีเทา'

ไขปริศนา 'ญิฮาดสีเทา'

            ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 28 เมษายน 2547 หรือที่เรียกกันว่า เหตุการณ์กรือเซะ จะล่วงเลยมาเกือบครบ 9 ปีแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่จบ และยังเป็นปริศนา!


         อะไรทำให้คนเหล่านั้นกล้าหาญและกล้าตาย?  มันไม่ใช่รูปแบบการลุกขึ้นสู้ที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ

        ในช่วงที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ ยังคึกคักกันอยู่ ประมาณช่วงปี 2518-2523 ไม่มีกลุ่มไหนที่จะสร้างให้แนวร่วมเดินสู่ความตายเช่นนี้ได้

        แม้ในอดีตยามที่เราลาดตระเวนลัดเลาะตามเทือกเขา หากต้องบังเอิญพบกองกำลังฝ่ายรัฐ เรายังต้องชั่งใจฉุกคิด หากต้องปะทะกัน จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ และเกิดพลาดพลั้งบาดเจ็บล้มตายจะประสาน หรือพาคนเจ็บลงจากภูเขาหาแนวร่วมที่ไหน เรื่องเหล่านี้สำคัญมาก

         ถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วไม่สามารถหนีรอดพ้นไปได้ การถูกจับกุมแม้เพียงคนเดียว เท่ากับต้องรื้อฐานปรับกระบวนกันเป็นเรื่องใหญ่โต และยุ่งยากที่สุดตรงที่แนวร่วมที่อยู่ตามหมู่บ้าน ต้องแน่นแฟ้นกับเรา

         การอุ้มการซ้อมเพื่อรีดข่าวนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องเจ็บปวดจริงๆ และเป็นเรื่องที่ขัดแย้งรุนแรงระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายกองกำลัง จนนำไปสู่ความล้มเหลวของทุกๆ กลุ่ม ถ้าเช่นนั้นกลุ่มที่ออกมาปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่กังวลในเรื่องเหล่านี้เลยหรือ?

         จึงขอสรุปว่า บรรดาผู้ที่ออกมาปฏิบัติการใน 28 เมษายน เป็นคนละกลุ่ม คนละพวกกับกลุ่มคนที่กำลังปฏิบัติการรายวันในขณะนี้ (แม้ผู้อยู่เบื้องหลังจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน)

        หากพิจารณากันจริงๆ จังๆ เป็นไปไม่ได้เลยหากแกนนำที่จัดตั้งและบัญชาการจะยังอยู่ลอยนวลไปได้ เพราะมีผู้ถูกจับกุมในเหตุการณ์นี้หลายคนและยังมีพวกที่มารายงานตัวภายหลังอีก ชื่อเสียงเรียงนามของคนที่มาจัดตั้งมาระดมพล ชัดเจนหมดแล้ว และจนบัดนี้ก็คงยังหาตัวไม่เจอ

         แม้บางเรื่องจะเขียนลำบาก แต่ท่านลองคิดถึงตนเอง ถ้าคนเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านหรือแนวร่วมที่ท่านจัดตั้ง คิดว่าใจจะดำพอที่จะสั่งการให้ออกมาตายหมู่เช่นนี้มั้ย?


ข้อสังเกตสำหรับกรณี 28 เมษายน

       ผู้คนเหล่านี้ (ใน 108 ศพ) ไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่มีความรู้ทางศาสนาที่สูงพอที่จะเข้าใจเป้าหมายของอิสลามในเรื่องญิฮาด (ต่อสู้หรือสงคราม)

         ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ถึงแม้บางคนอาจจะถูกระบุว่าเป็นครูสอนศาสนา หรือคัมภีร์อัลกุรอานก็ชอบอ่านอยู่เป็นประจำ แต่ใช่ว่าคนเหล่านี้จะเข้าใจได้ดี โดยเฉพาะการที่จะสามารถอรรถาธิบายหรือเข้าใจคัมภีร์อัลกุรอานได้นั้น ต้องมีความรู้ความสามารถในด้านภาษาอาหรับเป็นอย่างดี และศาสตร์ด้านอื่นๆ

        เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า เรียนรู้ทุกศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจอัลกุรอานเพียงเล่มเดียว ดังนั้น มุสลิมแทบทุกคนจะอ่านออกเสียงอักขระต่างๆ ที่มีในคัมภีร์อัลกุรอานเหมือนเช่นชาวพุทธสอนให้ลูกหลานท่องบทสวดภาษาบาลีโดยที่ไม่รู้ความหมาย

พวกเขาดำเนินการอย่างไร?


          มีการนำพาคนที่อาวุโสหรือน่าเชื่อถือที่สุดในแต่ละกลุ่ม ไปดูปืน และพบบุคคลที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะเข้าร่วมกับขบวนนี้ เช่น อดีตเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง (มุสลิม) ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า มีอาวุธ และมีผู้สนับสนุนที่จะรู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐแน่นอน

         จากนั้นก็พาไปพบคนสติเฟื่องที่เก็บตัวอยู่แต่ในเพิงพักเชิงเขา และพร่ำบ่นแต่คาถาอาคม สอนวิธีการกล่าวนามของพระเจ้า ก่อนอื่นทุกคนต้องซื้อผ้าใช้สำหรับนุ่ง ในช่วงที่โต๊ะครูสติเฟื่องทำพิธีอาบน้ำมนต์ และมอบคาถาไปฝึกท่องกัน (ยกเว้นกลุ่มที่มาจากบ้านสุโสะ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นกรณีซับซ้อนอีกแบบ)


         เมื่อถึงวันเวลาปฏิบัติการ ฝ่ายจัดตั้งกลับแจ้งกะทันหันว่า ปืนมีจำนวนไม่พอต่อกองกำลังจำนวนมาก จำต้องให้อาวุธแก่พวกที่ฝึกคาถาอาคมไม่ถึงขั้น ส่วนพวกที่ฝึกวิชาจนแก่กล้าพอจะลุยภูเขามีดทะเลเพลิงได้ ก็ไม่ต้องใช้ปืน ได้ยินแค่นั้น หลายคนถอดใจ ถอนตัวกลับบ้านไปเกือบครึ่ง

นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ที่ฝ่ายรัฐไม่เข้าใจว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น?

        การตรึงกำลังรอบมัสยิดกรือเซะ ทั้งที่คนภายในมัสยิดเสียชีวิตตั้งแต่สองชั่วโมงแรกที่ปะทะกันแล้ว

         ใครฉายภาพการยิงถล่มมัสยิดมุสลิมออกไปทั่วโลก แถมไปด้วยการตกแต่งภาพให้มีภาพทหารยืนเหยียบหลังคามัสยิดเหนือพระนามของ อัลลอฮฺ

       ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุเช่นนั้น เพียงชั่วไม่ทันข้ามคืน ภาพดังกล่าวก็ออกเผยแพร่ทั่วโลกอาหรับ มีขบวนการไหนที่ทำได้?

         การเลือกจุดมัสยิดกรือเซะ ไม่ใช่เพราะผู้ก่อการต้องการแสดงสัญลักษณ์แห่งอดีตรัฐปัตตานี เพราะก่อนปี 2531 มัสยิดแห่งนี้ถูกทอดทิ้งไม่มีใครเหลียวแล จนกรมศิลป์ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว

        แต่การเลือกสถานที่แห่งนี้ เพราะอาคารมัสยิดหลังนี้ ไม่มีโดม ไม่มีหลังคา ถ้าหากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพมัสยิดกรือเซะมาก่อน ก็ต้องคิดว่ารัฐไทยยิงถล่มมัสยิดจนพังยับเยิน

       เช่นเดียวกันกับกรณีการนำภาพข่าวหลายปีมาแล้ว กรณีชาวฮินดูบุกยึดมัสยิดบาบารี ในอินเดีย หรือภาพข่าวการฆ่าฟันกันระหว่างมุสลิมกับคริสเตียน ในเมืองอัมบอนของอินโดนีเซีย อยู่ในแผ่นวีซีดีชุดเดียวกับเหตุการณ์ตากใบ ซึ่งมีการจัดเป็นคอลเลคชั่นออกขายกันทั่วมาเลเซีย อินโดนีเซียไปไกลถึงตะวันออกกลาง

ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบ้านเราทำได้หรือ? มีสต็อกภาพข่าวที่ว่านี้หรือ?
         เหตุการณ์ 28 เมษายน ที่ผ่านมา มีบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่เดินสายจัดตั้งและเลือกจัดตั้งกันเป็นกลุ่มที่โยงใยเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ผูกพันกันอยู่แล้ว เน้นการทำความเข้าใจในประเด็นคำสั่งใช้ที่มีในคัมภีร์อัลกุรอานในการต่อสู้ เช่น บทที่ 9 โองการที่ 29

         "พวกเจ้าจงทำการรบกับบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺ และไม่ศรัทธาในวันสุดท้ายและพวกเขามิได้ยึดเอาสิ่งที่อัลลอฮฺ และศาสนาทูตของพระองค์บัญญัติห้าม นำมาเป็นข้อห้าม และพวกเขามิได้นับถือศาสนาที่เที่ยงแท้ พวกเขาได้แก่พวกที่ได้รับคำภีร์ (มาก่อน) จนกว่าพวกเขาจะมอบค่ารัชชูปการ (ส่วย) จากมือ และพวกเขายอมตน (อยู่ใต้ตัวบทกฎหมายทุกประการ)"
         และมีการอ้างถึงอีกหลายๆ โองการ ตามที่ทางการเองได้ยึดหนังสือที่เรียกเสียน่ากลัวว่า 'คัมภีร์มรณะ' (รายละเอียด คัมภีร์มรณะ คลิ๊กที่นี่)จากที่เกิดเหตุ

         หรือหนังสือ 'อิสลามศาสนาแห่งสันติภาพ' ของ ดร.อิสมาแอล ลุฏฟี จะปะกิยา อธิบดีวิทยาลัยอิสลาม ยะลา ที่ออกแจกจ่ายทั่วไป ซึ่งผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมอ่านแล้วอาจฉงน เพราะนอกจากบอกว่าชื่อ อิสลาม แปลว่า 'สันติ' แล้ว ยังไม่เข้าใจเลยว่า สันติภาพของอิสลาม หัวใจที่ชัดเจนอยู่ตรงไหน เช่น หลักแห่งไมตรีภาพกับชนต่างศาสนิก หน้า 75 ได้อ้าง อัลกุรอาน บทที่ 60 โองการที่ 8 และ 9

         "อัลลอฮฺไม่ได้ห้ามเจ้าทำดีและยุติธรรมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ก่อสงครามกับพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และไม่ได้ไล่พวกเจ้าออกจากถิ่นฐานของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้ที่ยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺได้ห้ามพวกเจ้าจากบรรดาผู้ที่ก่อสงครามกับพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และได้ขับพวกเจ้าออกจากถิ่นฐานของพวกเจ้า ทั้งยังได้ร่วมมือกันขับไล่พวกเจ้า (ทรงห้าม) ไม่ให้พวกเจ้าเป็นมิตรสัมพันธ์กับพวกเขาและผู้ใดที่ถือสัมพันธ์กับพวกเขาผู้นั้นย่อมเป็นผู้อยุติธรรม"

         ถ้าจะกล่าวโดยสรุปของโองการนี้คือ พระเจ้าไม่ห้ามที่จะทำดีกับคนที่ไม่กระทำต่อเรา

        ผู้เขียนขอส่งสาสน์ถึงบรรดานักการศาสนาแห่งอิสลามทั้งหลาย ช่วยกระชากสติของผู้ก่อการที่ตกเป็นเครื่องมือ และหลงไปในกับดักปีศาจคาบคัมภีร์ โดยเฉพาะการหลงผิดที่คิดว่าตนเองคือ มูญาฮีดีน นักรบที่ดำเนินการตามกฎแห่งศาสนา



         พวกท่านควรสำนึกว่า พวกเขา (ผู้ถูกลอบยิง, ลอบวางระเบิด) คือลูกหลานแห่งเรา และท่านยังไม่ถึงเวลายุติการก่อความรุนแรงอีกหรือ?

         น้ำตาของผู้สูญเสีย น้ำตาของลูกกำพร้า ยังไม่มากพอหรือ? พวกท่านลืมคำท่านศาสดาแล้วหรือ "แท้จริงเสียงอุทธรณ์ของผู้ถูกกดขี่นั้น จะได้รับการตอบรับจากอัลลอฮฺเสมอ"

        แน่นอน มันถึงเวลาแล้วที่บรรดานักการศาสนาแห่งอิสลาม จะต้องออกมาร้องตะโกนและปกป้องบรรดาพจนาถอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของพระองค์ให้ถูกต้อง และไม่ถูกนำมาใช้อย่างหลงผิด

         คำถามที่พวกท่านต้องตอบ.. ชอบธรรม และถูกต้องแล้วหรือ? ที่บรรดาผู้ก่อการทั้งหลายได้กระทำการโดยอ้างอิสลาม สงครามญิฮาดแห่งอิสลามคืออะไร? มีเงื่อนไขอะไร และอย่างไร?

       ถึงเวลาอย่างที่สุดแล้ว ด้วยความปรารถนาสันติของคนทั้งแผ่นดิน!
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น