หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถอดความคิด นักรบฟาตอนี ตอนที่ 1


ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี ตอนที่ 1

ท่ามกลางเสียงระเบิดและควันปืนที่ไม่เคยหยุดในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบเก้าปีแล้ว ยังคงมีความไม่ตกผลึกในทางความคิดว่าสิ่งที่รัฐไทยกำลังต่อสู้อยู่นั้นคืออะไร  โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (Deep South Journalism School – DSJ) พยายามที่จะถอดความคิดของคนที่จับอาวุธลุกขึ้นสู้กับรัฐผ่านปากคำของพวกเขาเอง  
เราหวังว่าการสะท้อนเสียงเหล่านี้จะทำให้สังคมเข้าใจถึงวิธีคิดของพวกเขาและนำไปใช้ในการแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยปัญญาอย่างมีทิศทางมากขึ้น  เชื่อว่าทุกฝ่ายที่เฝ้าติดตามและทำงานในภาคใต้ต่างต้องการที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในเร็ววัน  แม้ในขณะนี้อาจจะยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตามที
รายงานพิเศษนี้มีทั้งสิ้น 7 ตอน  โดยจะมีการนำเสนอในหน้าเว็บไซต์ของ DSJ เป็นระยะ ๆ 
สายธารแห่งประวัติศาสตร์ 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าดินแดนที่รู้จักกันว่าเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในปัจจุบันนั้นเดิมมีฐานทางวัฒนธรรมจากอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธ  ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 9    ในขณะที่อิทธิพลของทั้งสองศาสนาแผ่ขยายอย่างกว้างขวางในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ข้ามกลุ่มและชาติพันธุ์   การเข้ามาของศาสนาอิสลามกลับจำกัดอยู่เฉพาะคนชาติพันธุ์มลายู  ในช่วงหลายศตวรรษ อาณาจักรสยามกับอาณาจักรปาตานีมีความสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ   เจ้าเมืองของปาตานีส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับสยามเพื่อแสดงความจงรักภักดีแต่สยามก็ให้อิสระเจ้าเมืองเหล่านั้นในการปกครอง 
ตราบจนกระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่สยามเผชิญกับภัยคุกคามจากเจ้าอาณานิคมตะวันตก ในกระบวนการสร้างชาติไทยและทำประเทศให้ทันสมัย   รัชกาลที่ 5 ได้ทรงปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งส่งผลให้อาณาจักรปาตานีกลายเป็นจังหวัดที่ขึ้นกับการปกครองของกรุงเทพฯ โดยตรงนับตั้งแต่พ.ศ. 2445  ต่อมาสยามได้ลงนามใน The  Anglo-Siamese Treaty ในพ.ศ. 2452  กับอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของดินแดนในคาบสมุทรมาลายาในขณะนั้น  สนธิสัญญาฉบับนั้นส่งผลให้พื้นที่ในรัฐเคดาห์ กลันตัน ตรังกานูและเปลิสตกเป็นของอังกฤษ   ส่วนดินแดนในอาณาจักรปาตานี รวมถึงสตูลตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม  
คนมลายูมุสลิมในดินแดนแถบนั้นไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจชะตากรรมของตนเองว่าต้องการจะเป็นสมาชิกของชาติสยามหรือไม่ การต่อต้านการถูกผนวกรวมและการถูกทำให้กลายเป็นไทยได้ปะทุขึ้นและดำเนินต่อมาตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ  แม้ว่าอาจจะเบาบางไปบ้างในบางยุคสมัย  แต่ความคิดต่อต้านยังไม่เคยยุติลง  การต่อสู้ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในหมู่ชนชั้นนำมลายูมุสลิมได้ขยายตัวไปสู่ระดับสามัญชนมากขึ้นเรื่อยๆ
หมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์อันหนึ่ง คือ การเรียกร้องของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ในพ.ศ. 2490 ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี  หะยีสุหลงได้ยื่นข้อเสนอ  7 ข้อให้กับตัวแทนของรัฐบาลไทย  ข้อเสนอนั้นประกอบด้วย  1) ให้มีผู้ปกครองใน 4 จังหวัด ปัตตานี สตูล ยะลาและนราธิวาสเป็นคนมุสลิมในพื้นที่และได้รับเลือกจากคนในพื้นที่  โดยให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลามและแต่งตั้งข้าราชการ  2) ให้ข้าราชการในสี่จังหวัดเป็นคนมลายูในพื้นที่ร้อยละ 80  3)  ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาไทย  4) ให้มีการใช้ภาษามลายูเป็นสื่อในการเรียนการสอนระดับประถม  5) ให้มีศาลพิจารณาคดีตามกฎหมายอิสลามที่แยกขาดจากศาลยุติธรรมของทางราชการ  โดยให้ดาโต๊ะยุติธรรมมีเสรีในการพิพากษาชี้ขาดความ 6)  ภาษีและรายได้ที่จัดเก็บให้ใช้ในพื้นที่ 4 จังหวัดเท่านั้น  7) ให้คณะกรรมอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนาโดยได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามข้อ 1 
          
                                               หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์
หลังจากได้มีการยื่นข้อเรียกร้องไม่นาน หะยีสุหลงและผู้นำศาสนาอีกหลายคนก็ถูกจับกุมข้อหากบฏและถูกคุมขังเป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน  ต่อมาเขาได้รับการปล่อยตัวก่อนครบกำหนด  แต่สองปีต่อมาเขากลับหายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมกับลูกชายคนโต   หลังถูกตำรวจสันติบาลที่สงขลาเรียกไปรายงานตัว ซึ่งคาดกันว่าพวกเขาถูกตำรวจจับถ่วงน้ำจนเสียชีวิต  เรื่องราวของหะยีสุหลงยังคงเป็นหนึ่งใน “ประวัติศาสตร์บาดแผล” ที่ยังคงถูกเล่าต่อๆ กันในหมู่ชาวมลายูมุสลิม  แม้เวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ  และน่าประหลาดใจว่าข้อเสนอหลายๆ ข้อที่มีการพูดกันในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับข้อเรียกร้องของหะยีสุหลงยิ่งนัก 
ในช่วงหลังพ.ศ. 2500  เป็นยุคเริ่มต้นของการต่อสู้ด้วยอาวุธ  โดยกลุ่มเคลื่อนไหวที่สำคัญ ได้แก่ 1) BNPP (Barisan National Pembebasan Patani - Patani National Liberation Front) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในพ.ศ. 2502 โดยมีกลุ่มชนชั้นนำของปาตานีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ  BNPP นับเป็นกลุ่มขบวนการติดอาวุธที่ต่อสู้เพื่อเอกราชกลุ่มแรก ต่อมาในพ.ศ. 2529 ได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น  BIPP (Barisan Islam Pembebasan Patani – Patani Islamic Liberation Front)  ปัจจุบันเชื่อว่ากลุ่มนี้ไม่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวแล้ว 
2) PULO (Patani United Liberation Organisation)  ก่อตั้งในพ.ศ. 2511 ที่ประเทศซาอุดิอาราเบีย  โดยนายตนกูบีรอ กอตอนีลอ  เขาเสียชีวิตในพ.ศ. 2548 ที่ประเทศซีเรีย  ในพ.ศ. 2550 นายนอร์ อับดุลเราะห์มานได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานแทน  ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งภายใน  นายคัสตูรี มะกอตา ซึ่งเป็นรองประธานและหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศได้แยกตัวออกมา  ทั้งสองกลุ่มต่างอ้างว่าตนเป็นประธานของกลุ่มพูโล  ปัจจุบันพูโลยังคงเคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศและทำงานการเมืองในเวทีระหว่างประเทศเป็นหลัก  
3) BRN (Barisan Revolusi Nasional – National Liberation Front)   กลุ่ม BRN จัดตั้งขึ้นในพ.ศ. 2503  โดยมีสมาชิกรุ่นก่อตั้ง คือ นายอับดุลการิม ฮัสซัน  ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนะห์ฎอตุลสูบาน ในอ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รวมถึงโต๊ะครูปอเนาะที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐ  ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงและนักวิเคราะห์อิสระบางท่านระบุว่านายอามีน โต๊ะมีนา ลูกชายของหะยีสุหลงและนายฮารูน สุหลง ประธานของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิเป็นสมาชิกรุ่นแรกๆ ด้วย  ในช่วงต้น การต่อสู้ของ BRN ใช้แนวทางแบบชาตินิยม-สังคมนิยม-อิสลามในการเคลื่อนไหว โดยเน้นการสร้างฐานจากโรงเรียนปอเนาะ   ต่อมาในช่วงทศวรรษ  2520 มีความขัดแย้งกันในเรื่องแนวทางของการต่อสู้   โดยมีการถกเถียงกันว่าการต่อสู้โดยใช้ประเด็นเรื่องชาตินิยม-สังคมนิยมนั้นไม่ถูกต้องและเป็นอุปสรรคต่อการสร้างแนวร่วมในประเทศมุสลิมอื่นๆ  และได้มีการเสนอให้นำเอาประเด็นศาสนามาใช้ในการต่อสู้แทน    
ความเห็นที่ขัดแย้งกันทำให้ BRN แยกกันเป็น 3 กลุ่ม  คือ BRN- Coordinate, BRN-Ulama และ BRN-Congress  อับดุลการิมแยกตัวไปเป็นกลุ่ม BRN-Ulama ซึ่งไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากนักหลังจากนั้น  เขาใช้ชีวิตอยู่ในมาเลเซียและหันไปสนใจนิกายชีอะห์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต  เขาเสียชีวิตในพ.ศ. 2539 BRN-Congress เป็นกลุ่มปฏิบัติการทางทหารเดิมของ BRN ซึ่งนำโดย นายรอสะ บูราซอ หรือ เจ๊ะกูเป็ง  การเคลื่อนไหวจะเน้นด้านการทหาร  ปัจจุบัน เจ๊ะกูเป็งเสียชีวิตไปแล้ว BRN – Coordinate เป็นกลุ่มที่หน่วยงานความมั่นคงและหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากที่สุดในการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ข้อมูลบางแหล่งระบุว่านายอามีน โต๊ะมีนา บุตรชายของหะยีสุหลงเป็นแกนนำของกลุ่ม BRN – Coordinate นายอามีนเสียชีวิตในพ.ศ. 2544   การเคลื่อนไหวของ BRN – Coordinate มีลักษณะปิดลับ  ไม่ปรากฎชัดเจนว่าใครเป็นผู้ถือธงนำในการต่อสู้  แม้ว่าทางฝ่ายความมั่นคงจะได้ระบุชื่อบุคคลจำนวนหนึ่งว่าเป็นแกนนำสำคัญ เช่น นายสะแปอิง บาซอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อพ.ศ. 2547
4) GMIP (Gerakan Mujahidin Islam Patani – Patani Islamic Holy Warriors Movement)  ตั้งขึ้นโดยนายนาซอรี  แซะเซ็ง ในพ.ศ. 2538  กลุ่มนี้พัฒนามาจากกลุ่ม GMP (Gerakan Mujhidin Patani) ซึ่งตั้งขึ้นในพ.ศ. 2529 และยุติบทบาทในพ.ศ. 2536   นาซอรีเคยไปฝึกการทหารที่ลิเบียและไปร่วมรบอัฟกานิสถาน  เชื่อว่ากลุ่มนี้มีความใกล้ชิดในเชิงอุดมการณ์กับกลุ่มญิฮาดสากลมากกว่ากลุ่มอื่น ในปัจจุบันไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน    
5) กลุ่ม Bersatu ซึ่งเป็นองค์กรร่ม (umbrella organization) ของ PULO, BIPP และ BRN ซึ่งจัดตั้งขึ้นใน พ.ศ.  2532  โดยมีดร. วันกาเดร์ เจ๊ะมานเป็นประธาน  ปัจจุบันไม่มีการเคลื่อนไหวในฐานะของกลุ่มนี้แล้ว 
การก่อตัวของคลื่นกระแสการต่อสู้ยุคปัจจุบัน
ในขณะที่รัฐไทยตายใจและคิดว่า “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ในภาคใต้กำลังจะสลายตัวไปแล้ว  ปรากฏการณ์การปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็งในอ. เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นสิ่งที่ช็อครัฐบาลทักษิณ ชินวัตรในขณะนั้น   ฝ่ายรัฐใช้เวลาอยู่นานในการจัดทัพเพื่อรับมือกับการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลันจนรัฐตั้งตัวไม่ทัน  รัฐยังคิดว่าพวกเขาเป็น “โจรกระจอก”  บ้างว่าเป็นพวกเด็กติดยาเสพติด  ไม่มีใครที่ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการก่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น จนมีคำพูดที่ว่ารัฐไทยกำลังรบอยู่กับ “ผี” ที่มองไม่เห็น
เนื่องจากว่าการเคลื่อนไหวในช่วงเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมาเป็นการเคลื่อนไหวใต้ดินปิดลับ  ข้อมูลว่าใครเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดินที่ปรากฏรูปอยู่ในทุกวันนี้ยังเป็นปริศนาที่หลายคนกำลังพยายามไข   ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงและปากคำของคนที่เคยอยู่ในขบวนการระบุตรงกันว่ากลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน คือ กลุ่ม BRN – Coordinate 
 สมาชิกระดับกลางที่เข้าสู่ขบวนการในช่วงทศวรรษ 2530 คนหนึ่งเล่าย้อนถึงสถานการณ์ในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ว่า BRN – Coordinate  ได้เปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวโดยการลงมาจากป่าเขาและเข้าไปหามวลชนในหมู่บ้าน  ซึ่งต่างจากแนวทางของ BRN - Congress ที่เน้นการทำงานกองกำลังอย่างเดียว ไม่เน้นงานด้านมวลชน  ในช่วงนั้นนายอับดุลการิมซึ่งลี้ภัยไปอยู่ในประเทศมาเลเซียแทบจะไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการเคลื่อนไหวแล้ว
 “ฐานแห่งการปฏิวัติ คือ ศาสนา แนวทางการต่อสู้ คือ จับอาวุธ และเป้าหมายของการปฏิบัติการ คือ merdeka [เอกราช]”, สมาชิกฝ่ายการเมืองระดับกลางผู้นี้กล่าวอย่างชัดเจน 
 เขาอธิบายว่าการทำงานของ BRN – Coordinate นั้นจะไม่เน้นการพึ่งตัวบุคคลแต่ว่าจะบริหารงานแบบคณะกรรมการร่วม   ในช่วงสิบปีแรกระหว่างพ.ศ. 2527 -  2537 เป็นช่วงของการทำงานความคิดและจัดตั้งมวลชนให้มีสำนึกความเป็นมลายู โดยเฉพาะในมัสยิด ตาดีกาและปอเนาะ  เหตุการณ์การเผาโรงเรียน 36 แห่งในปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสงขลาในคืนวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ดูเหมือนจะเป็นหมุดทางประวัติศาสตร์สำคัญในการประกาศลุกขึ้นสู้ด้วยการเผาสถานที่ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นแหล่งทำลายอัตลักษณ์ความเป็นมลายูและกลืนลูกหลานของพวกเขาให้กลายเป็นไทย
สมาชิกขบวนการผู้นี้ซึ่งปัจจุบันได้ยุติการเคลื่อนไหวแล้วระบุว่าในช่วงพ.ศ.  2537 – 2542 เป็นการวางโครงสร้างการทำงานขององค์กร โดยแบ่งหลักๆ เป็น 2 ปีก คือ ปีกการเมืองที่เรียกว่า MASA และปีกการทหารที่เรียกว่า MAY  (คาดว่าเป็นการกร่อนเสียงคำว่า militer ในภาษามาเลย์ซึ่งแปลว่า กองทัพ) ตั้งแต่ช่วงพ.ศ. 2538 เป็นต้นมาเริ่มมีการฝึกกองกำลังทางทหาร ในช่วงนั้นใช้เวลา 2 ปีในการฝึกแต่ละรุ่น  พอถึงพ.ศ. 2546 ขบวนการสร้างกองกำลังได้ตามเป้าหมายประมาณ 3,000 คน ช่วงพ.ศ.  2545 – 2546 เป็นช่วงอุ่นเครื่องก่อนการเปิดฉากการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ 
ในหนังสือ “สงครามประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่เขียนโดยนายทหารในภาคใต้ที่ศึกษาเกี่ยวกับขบวนการมากว่า 8 ปี ระบุว่า BRN – Coordinate เปิดฉากด้วยการปล้นปืนที่ป้อมตำรวจที่บ้านรานอ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 หลังจากนั้นมีการโจมตีฐานการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่หลายแห่งและขบวนการได้ปืนไปเกือบ 100 กระบอก 
นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังได้ระบุว่าขบวนการได้ตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งฝ่าย MASA  MAY ฐานทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ขบวนการพึ่งพาตนเองได้  ด้วยการเก็บเงินจากสมาชิกวันละ 1 บาท การเตรียมข้าวปลาเสบียงอาหารและเงินบริจาคจากแหล่งอื่น    รวมทั้งฝ่ายพยาบาลที่ต้องพร้อมรักษาคนเจ็บจากการสู้รบ
ทหารได้ยึดเอกสารฉบับหนึ่งจากโต๊ะทำงานของนายมะแซ อุเซ็ง ในพ.ศ. 2546  นายมะแซเป็นอุสตาซโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ผู้ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าเป็นสมาชิกระดับนำคนหนึ่งของ BRN - Cooridanate  ในเอกสารฉบับนี้ได้พูดถึง “แผนบันได 7 ขั้น”  ซึ่งได้ถูกนำมาอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นแผนการการปฏิวัติของ BRN - Coordinate
 เอกสารที่กองทัพเรียกว่า “บันไดเจ็ดขั้น”  ที่ยึดได้จากโต๊ะทำงานของนายมะแซ อุเซ็งในพ.ศ. 2546
                                คำแปลเอกสาร “บันได 7 ขั้น” (เอกสารของกอ.รมน.)
ในหนังสือ “องค์กรปฏิวัติปัตตานี” ที่เขียนโดยอดีตสมาชิกที่คุมงานมวลชนของขบวนการและจัดพิมพ์โดยนายทหารที่ทำงานในภาคใต้ได้อ้างถึงแผนบันได 7 ขั้นนี้   โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าในช่วงพ.ศ.  2527 – 2537 เป็นสิบปีแรกที่ขบวนการทำงานในขั้นที่ 1 และ 2 คือสร้างสำนึกมวลชนและจัดตั้งมวลชน   ในช่วงพ.ศ.  2538 – 2546 เป็นช่วงของการดำเนินงานในขั้นที่ 3 – 6  โดยพัฒนาการที่สำคัญคือ การวางโครงสร้างการปฏิบัติงานในปีกมวลชนและการทหาร  เมื่อถึงพ.ศ. 2547 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ “จุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ” หรือเป็นขั้นที่ 7 โดยมีการปล้นปืนในวันที่ 4 มกราคม  พ.ศ. 2547 เป็นหมุดหมายสำคัญของการเริ่มต้นการปฏิวัติ
ความพยายามต่อจิ๊กซอว์เพื่อเข้าใจพัฒนาการของขบวนการใต้ดินนี้อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด  เพราะความจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากในสถานการณ์เช่นนี้  บางทัศนะไม่เชื่อว่าแผนบันได 7 ขั้นที่ทหารอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งนี้จะเป็นแผนการปฏิวัติของฝ่ายขบวนการจริง   แต่นี่ก็เป็นข้อมูลชุดหนึ่งสำหรับการพิจารณาเพื่อเข้าใจปรากฏการณ์การต่อสู้ด้วยอาวุธที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา  
หมายเหตุ     รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช  เป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group    ปัจจุบัน เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทด้านทฤษฎีการจัดการความขัดแย้งที่ King’s College London และเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้  การจัดทำรายงานพิเศษเรื่อง “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี” ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ติดตามอ่าน ตอนที่ 2 "กระบวนการเข้าสู่การต่อสู้เพื่อ merdeka" ได้ในวันจันทร์ที่  12 พฤศจิกายน 2555

http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น