หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตันหยงลิมอ คุณจำได้หรือไม่

เรือตรีวินัย นาคะบุตร และ จ.อ.กำธร ทองเอียด
ข่าวเก่า2นาวิกไทยตายครูจูหลิงตายNGOไปอยู่ใหนมาเลเซียคิดอะไร
        เมื่อวันที่ 21 กันยายน เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดไปทั่วประเทศ เมื่อคนร้ายสังหาร 2 นายทหารนาวิกโยธิน ซึ่งถูกชาวบ้านล้อมจับไว้เป็นตัวประกัน เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามยิงกราดใส่ร้าน น้ำชากลางหมู่บ้านตันหยงลิมอ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส 
 
          โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 20.30 น. ของวันที่ 20 กันยายน ได้มีคนร้ายจำนวนหนึ่งนั่งรถกระบะใช้อาวุธปืนอาก้ามากราดยิงร้านน้ำชา เลขที่ 62 หมู่ 7 กลางหมู่บ้านตันหยงลิมอ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บสาหัส 4 คน หลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย เรือตรีวินัย นาคะบุตร และ จ.อ.กำธร ทองเอียด สังกัดกองพันทหารราบที่ 9 กรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ กองพลนาวิกโยธิน ค่ายจุฬาภรณ์ 5 ซึ่งรักษาการณ์ประจำอยู่ที่โครงการพระราชดำริ บ้านตันหยงลิมอ ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เข้าไปในหมู่บ้าน และรถเสียใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ ชาวบ้านจึงเข้าล้อมและควบคุมตัวไว้ โดยค้นพบอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก และปืนพกสั้น 9 มม. จำนวน 1 กระบอก ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น จึงควบคุมตัวไว้ที่ศาลาอเนกประสงค์กลางหมู่บ้าน 

        ขณะที่กลุ่มชาวบ้านควบคุมตัวทหารทั้งสองนายอยู่นั้น กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจ ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปเพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่เมื่อทราบว่าทหารทั้งสองนายถูกชาวบ้านควบคุมตัวไว้ จึงรอดูท่าทีและตรึงกำลังไว้บริเวณรอบๆ หมู่บ้านตลอดทั้งคืน

ต่อรองผู้ว่าฯนราฯให้สื่อมาเลย์ทำข่าว

         จนกระทั่งเวลา 06.30 น. วันที่ 21 กันยายน นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และนายนัจมุดดีน อูมา อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคไทยรักไทย ได้เข้ามาในพื้นที่เพื่อขอเจรจากับตัวแทนชาวบ้านที่ปิดกั้นหมู่บ้านบริเวณ สะพานไอ้แดง ห่างจากหมู่บ้านตันหยงลิมอ 200 เมตร เพื่อขอให้ปล่อยตัวหรือนำตัวส่งดำเนินคดีที่ สภ.อ.ระแงะ แต่ชาวบ้านเรียกร้องให้สื่อมวลชนเข้าทำข่าว นายประชาจึงประสานงานให้นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 และช่อง 9 เข้ามาในพื้นที่ แต่ชาวบ้านบางส่วนกลับไม่ยอมให้เข้าไปทำข่าวในหมู่บ้าน กลับเรียกร้องให้สื่อมวลชนมาเลเซียเข้ามารายงานแทน

         นายประชาจึงเดินทางกลับ เพื่อเตรียมรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงานของดีเมืองนราธิวาส โดยให้ พล.ต.พิเชษฐ์ พิสัยจร รองแม่ทัพภาคที่ 4 นายอำเภอตันหยงมัส และ น.อ.ไตรขวัญ ไกรฤกษ์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจที่ 3 เข้ามาเจรจาต่อ ในขณะที่ฝ่ายชาวบ้านเรียกร้องให้สื่อมวลชนมาเลเซียเท่านั้นที่สามารถเข้ามา รายงานข่าวได้ 
click to view full image : 548000015809702.jpg , 40,583 bytes , 300x225 pixel

        เวลาเดียวกัน กลุ่มชาวบ้านส่วนหนึ่งได้นำท่อนไม้ขนาดใหญ่มาขวางกั้นการจราจร ปิดถนนทางเข้าออกหมู่บ้าน พร้อมตั้งเต๊นท์บริเวณสะพานไอ้แดง ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 100 เมตร โดยชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่คลุมฮิญาบ และเด็กทั้งหญิงและชายราว 100 คน 
http://mblog.manager.co.th/uploads/97/images/navyskilld.gif

       จากนั้นเวลา 14.20 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ระแงะ ที่เข้าไปเป็นตัวแทนเจรจากับกลุ่มชาวบ้านภายในหมู่บ้าน เดินออกมารายงานแก่ พล.ต.พิเชษฐ์ และพ.อ.อภิไธยที่ด้านหน้าหมู่บ้านว่า มีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปทำร้ายร่างกายทหารทั้งสองนายที่ถูกควบคุมอยู่ภายใน อาคารอเนกประสงค์ในหมู่บ้าน เมื่อมีคนเห็นและส่งเสียงโวยวายขึ้นวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้หลบหนีไป 

เข้าไปช่วยพบเป็นศพถูกฆ่าแล้ว

        ถัดมาประมาณ 15 นาที กลุ่มผู้สื่อข่าวมาเลเซียจากหนังสือพิมพ์บริตา ฮารียัน อูตูซาน มาเลเซีย นิวส์ สเตรตไทม์ และสำนักข่าวเบอร์นามา จำนวน 6 คน เดินทางมาถึงบ้านตันหยงลิมอ และเตรียมจะเดินเข้าไปพบชาวบ้าน แต่ยังไม่ทันจะถึง นายมะซูดิง วามะ เลขานุการสำนักงานพรรคประชาธิปัตย์ เขต 3 จ.นราธิวาส ซึ่งเป็น 1 ในตัวแทนที่เข้าไปเจรจากับกลุ่มชาวบ้านได้เดินออกมา พร้อมเปิดเผยว่าทหารทั้ง 2 นาย เสียชีวิตแล้ว โดยสภาพของทหารทั้งสองนายสวมกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด สภาพศพถูกมัดมือไพล่หลังถูกแทงหลายแผล จากนั้นรถกระบะของพล.ต.พิเชษฐ์ออกมาจากหมู่บ้าน ด้านหลังมีศพของทหารทั้งสองนาย มีเสื่อคลุมเอาไว้ เพื่อนำศพไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาลระแงะ 
http://www.thaisouthtoday.com/upload/pics/1_9.jpg

           นี่คงเกิดขึ้นอีกทั้งครูจูหลิงและอีกหลายๆคนคงเป็นแบบนี้อีก   แล้วทางมาเลเซียล่ะ

         
พลันที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่หมู่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็ปรากฏข่าวจากทางด้านมาเลเซียว่ากองทัพมาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารจำนวนสามกองพันมาประชิดที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้คนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย

        สื่อมวลชนไทยก็รายงานข่าวไปตามนี้คือเป็นการเคลื่อนกำลังมาเพื่อป้องกันคนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย

         ความหมายมันอยู่เพียงเท่านั้นจริง ๆ หรือ? ความจริงไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะมีความละเอียดอ่อนอยู่มากและเกี่ยว กับความสัมพันธ์ต่างประเทศ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องนี้สักครั้ง หนึ่ง มิฉะนั้นเพื่อนร่วมชาติของเราก็จะมองข้ามหรือลืมมองเรื่องสำคัญที่อาจเป็น อันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมือง

         คงจะจำกันได้ว่าหลังเกิดกรณีกรือเซะและตากใบแล้ว มาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารขึ้นมาที่ชายแดนหลายระลอก ครั้งละสองกองพันบ้าง สามกองพันบ้าง และหลาย ๆ กองพันในแนวหลังที่พอเห็นได้ว่าพร้อมจะเป็นกำลังหนุนกำลังส่วนหน้าที่วาง กำลังอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย

       ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีการถอนกำลังทหารเหล่านั้นออกไปจากชายแดนไทย และมาบัดนี้เคลื่อนกำลังเพิ่มเติมเข้ามาอีกสามกองพันพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ ทันสมัย หากประมาณคร่าว ๆ ถึงแสนยานุภาพที่เคลื่อนขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นจะมีกำลังร่วม
สองกองพลแล้ว

        ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางนาวีที่มาเลเซียเตรียมกองเรือ ดำน้ำเพ่นพ่านอยู่ในทะเลหลวง ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมาถึงแนวคลองกระแถวสงขลาและไม่ช้าไม่ นานก็ถึงแนวคลองกระชั้นบน แม้กระทั่งถึงพังงาด้วยซ้ำไป

        ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางอากาศที่ ณ วันนี้ใครรู้ดีช่วยบอกทีเถิดว่าหากเปรียบเทียบแสนยานุภาพทางอากาศกันแล้ว ระหว่างไทยกับมาเลเซียจะเป็นประการใด?

        กองกำลังมากมายขนาดนี้ มันเป็นไปเพียงเพื่อสกัดกั้นคนไทยไม่ให้ข้ามแดนเท่านั้นหรือ? ตรงนี้แหละขอให้ช่วยกันคิดให้ดี

       ทั้งซู 30 ทั้งเรือรบและนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นพลังแอบแฝงแล้วหนุนช่วยให้ปฏิบัติการก่อ ความไม่สงบยืดเยื้อรุนแรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งบางหน่วยงานและ
บุคคลสำคัญบางคนของมาเลเซียถึงกับประกาศว่า จะต้องแยกดินแดนสามจังหวัดออกเป็นรัฐอิสระหรือเป็นเขตปกครองพิเศษ ทำให้รัฐบาลไทยต้องกระอักกระอ่วนใจตลอดมา!

        ก่อนอื่นก็ต้องขอย้ำว่าเราคัดค้านสงคราม เราต้องการสันติ เราต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบสุข การกระทำใด ๆ ไม่ว่าของใครและของชาติใดที่เกื้อหนุนต่อการเกิดสงคราม ทำลายสันติ ขัดขวางสันติภาพ และสร้างความทุกข์ยากขึ้นแก่มนุษยชาตินั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชาติไทยและประชาชาติใด ๆ ในภูมิภาคนี้เลย

      วันก่อนได้แย้มพรายไว้บ้างแล้วว่าเมื่อราว 2 เดือนก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ทำเรื่องร้อง เรียนไปยื่นต่อสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกที่กรุงเตหะราน กล่าวหาประเทศไทยอย่างหน้าด้าน ๆ ว่ากีดกันข่มเหงรังแกมุสลิม นั่นก็เพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนร่วมชาติได้รู้ว่ามีอันตรายซ่อนตัวอยู่ ควรที่พี่น้องร่วมชาติทุกคนจะตื่นตัวขึ้นมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจ ไม่คาดคิด

        ทั้งยังได้เตือนด้วยว่าควรที่นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ในประเทศไทยของเราก็มีอยู่

         ต้องบอกอีกว่าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนั้นมีคนสองสัญชาติอยู่เป็นจำนวนร่วม 300,000 คน และเป็นไปในทางมากกว่า 300,000 คน ส่วนจะเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดนั้น ถึงวันนี้ย่อมเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องทำความกระจ่างและให้เกิด ความชัดเจนเพื่อที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงจะได้ใช้เป็นฐาน ข้อมูลในการปฏิบัติการ 

หรือเราต้องเสียดินแดนไปก่อนค่อยคิดใด้กัน!!!
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น