หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คดีถึงที่สุดศาลฎีกาพิพากษา 5 ขบวนการเบอร์ซาตูแยกดินแดนใต้





วันนี้ (29 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณา 711 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีก่อการร้ายหมายเลขดำ 1021/2548 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายมุสตอปา เจ๊ะยะ, นายอิลยาส หรืออิสยาส มันหวัง, นายอุสมาน ปะชี, นายยูไล โสะปนแอ และนายมะอาซี บุญพล ทั้งหมดเป็นสมาชิกขบวนการเบอร์ซาตู ในกลุ่มบีอาร์เอ็น คอร์ดิเนต ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1


คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า ระหว่างเดือน พ.ย. -29 ธ.ค. 2547 จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายและก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ในเขตพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยใช้ปืนฆ่าตำรวจเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน มุ่งหมายเพื่อบังคับขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้ยินยอมแบ่งแยกดินแดนใน จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนของ จ.สงขลา ออกจากราชอาณาจักร เพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง เรียกว่ารัฐปัตตานีหรือรัฐปัตตานีดารุสซาลาม โดยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2547 จำเลยทั้งห้าร่วมกันวางแผนและยิง ด.ต.โมหามัด เบญญากาจ ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เหตุเกิดที่ ต.บานา สะบารัง ตะลุโบ๊ะ อ.เมืองปัตตานี ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและซิมการ์ดที่ใช้ติดต่อสื่อสารไว้เป็นของกลางได้ จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ


โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น เห็นว่าคดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดที่ยืนยันบ่งชี้ให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนร้ายยิงผู้ตาย มีเพียงคำรับสารภาพของจำเลยทั้งห้าที่เขียนด้วยลายมือตนเอง แม้โจทก์จะมีนายชาลี กระแสร์ ทนายความยืนยันว่าจำเลยให้การด้วยความสมัครใจไม่มีการข่มขู่ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธอ้างว่าให้การชั้นสอบสวนโดยไม่สมัครใจ และเมื่อพิจารณาระยะเวลาในช่วงการสอบสวนจำเลยเป็นเวลากลางคืนและในช่วงเวลาดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง ย่อมทำให้จำเลยทั้งห้าเกิดความเครียดและไม่อยู่ในวิสัยของปุถุชนจะให้การได้อย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติต่อจำเลยในการสอบสวน อีกทั้งเจ้าพนักงานไม่สามารถตรวจยึดอาวุธปืน หรือมีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายลงมือยิงผู้ตาย พยานหลักฐานเท่าที่นำสืบในคดีที่มีโทษสูงเช่นนี้ โจทก์ต้องมีพยานที่มั่นคงที่รับฟังได้โดยชัดเจนว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิด แต่ในคดีนี้พยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่อาจยืนยันได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิด

คดีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันก่อการร้ายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าการโทรศัพท์ติดต่อกันของพวกจำเลยเป็นการพูดคุยเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำผิดร่วมกัน และเป็นบุคคลที่เข้าร่วมในขบวนการก่อการร้ายสร้างความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการยิงผู้ตายเพื่อก่อการร้าย หรือเป็นสมาชิกขบวนการบีอาร์เอ็น นอกจากนี้ยังได้ความจากเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายการข่าว และปลัดอำเภอเมืองปัตตานี เบิกความว่าไม่ปรากฏชื่อจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายสร้างความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือมีชื่ออยู่ในสารบบผู้ก่อการร้าย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันก่อการร้ายแต่อย่างใด พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้า ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้อง

ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้า ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนปรึกษาหากันแล้ว เห็นว่าโจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย เบิกความว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือและซิมการ์ด ที่ยึดได้จากเหตุการณ์ระเบิดรถจักรยานยนต์ใน จ.ปัตตานี และเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิต เมื่อปี 2547 ซึ่งทราบว่าจำเลยดังกล่าวได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อสื่อสารกัน กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมพวกจำเลยเป็นเวลานาน 1 เดือนเศษ ประกอบกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และ 4 ในบันทึกข้อเท็จจริงว่า ทำหน้าที่คอยเฝ้าดู ด.ต.โมหามัด ผู้ตายซึ่งทำงานอยู่ศาลากลาง จ.ปัตตานี เพื่อแจ้งให้ผู้กระทำความผิดรายอื่นๆทราบ โดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ชักชวนให้มาร่วมกระทำผิด และต่อมาหลังเหตุการณ์ ด.ต.โมหามัด ถูกยิงเสียชีวิต จำเลยที่ 5 ได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ทั้งนี้คำรับสารภาพดังกล่าวเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับเพราะในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีญาติและทนายความมาสังเกตุการณ์อยู่ด้วย

พยานหลักฐานทั้งหมดจึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ พิพากษาว่าจำเลยที่ 1,4 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ส่วนจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุไม่ได้ร่วมกระทำความผิด เนื่องจากไปทำงาน จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนฆ่าผู้อื่น ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นพยานหลักฐานไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 3 ขณะที่จำเลยที่ 5 มีความผิดเพียงฐานสนับสนุน เพราะไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 5 เป็นเป็นผู้จ้างวานหรือ ตัวการร่วมฐานฆ่าผู้อื่น ทั้งนี้การก่อเหตุดังกล่าวอยู่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงถือเป็นความผิดฐานก่อการร้ายอีกด้วย

ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เห็นควรพิพากษาแก้ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1,4 และ 5 ฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฆ่าผู้อื่นและก่อการร้ายแต่จำเลยที่ 1 และ 4ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำคุกจำเลยที่ 2 ,3 ไม่มีความผิดฐานเป็นสนับสนุน แต่มีความผิดฐานสนับสนุนก่อการร้าย ให้จำคุกคนละ 20 ปี คำให้การเป็นประโยชน์มีเหตุบรรเทาโทษคงจำคุก คนละ 12 ปี 16 เดือน และให้ริบของกลาง

โจรใต้แต่งกายคล้ายทหารยิงปลัด อบต.สุคิริน


โจรใต้แต่งกายคล้ายทหารยิงปลัด อบต.สุคิริน

       นราธิวาส - โจรใต้กว่า 10 คนแต่งกายคล้ายทหารบุกจับตัว ก่อนจ่อยิงศีรษะปลัด อบต.สุคิริน จ.นราธิวาสเสียชีวิต อีกด้านกดระเบิดดักซุ่มยิงตำรวจขณะเดินทางเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุเคราะห์ดีไร้เจ็บ

       วันนี้ (29 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนราธิวาสว่า ร.ต.ท.วงเดือน คำศรี ร้อยเวร สภ.สุคิริน จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายแฝงตัวเข้าภายใน อบต.ร่มไทร ซึ่งตั้งอยู่ ม.1 ต.ร่มไทร อ.สุคิริน และใช้อาวุธปืนบุกยิง นายบุญเลิศ จินดาธนะนันท์ อายุ 57 ปี ปลัด อบต.เสียชีวิต จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมชาย พนมอุปการ ผกก.สภ.สุคิริน และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง รุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

      โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางถึงบริเวณบ้านไอบือนา ม.3 ต.ร่มไทร ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวน แฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิคนิค หนัก 20 ก.ก. จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ที่ลอบนำไปฝังไว้ใต้ผิวถนนเพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ แต่โชคดีพลาดเป้าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ




        ต่อมา พ.ต.อ.สมชาย พนมอุปการ ผกก.สภ.สุคิริน ได้ประสานไปยัง ร.ต.ท.พลวัฒน์ เทพษร รอง หน.ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส เพื่อขอสนับสนุนเข้าเคลียร์พื้นที่และตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ชุด ได้เดินทางมาถึงบริเวณถนนในพื้นที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มใส่รถของเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด โดยถูกที่บริเวณประตูด้านซ้ายมือตรงข้ามคนขับ จำนวน 3 นัด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ชุด จึงได้เดินทางต่อไปยังที่ทำการ อบต.ร่มไทร ที่จุดเกิดเหตุ

        ซึ่งเมื่อถึงที่เกิดเหตุพบ พ.ต.อ.สมชาย พนมอุปการ ผกก.สภ.สุคิริน และพนักงานสอบสวน ได้นำเจ้าหน้าที่ขับรถยนต์ฝ่าจุดระเบิด มารอเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ชุดที่หน้าที่ว่าการ อบต.ร่มไทร พร้อมทั้งเข้าร่วมตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบศพ นายบุญเลิศ ปลัด อบต.ร่มไทร นอนคว่ำหน้าเสียชีวิต ที่บริเวณพื้นหน้าเต็นท์ชั่วคราวที่กางไว้สำหรับเป็นที่จอดรถ จยย. โดยมือทั้ง 2 ข้าง ถูกมัดไพล่หลังด้วยลวด และมีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนพกสั้น ขนาด 9 ม.ม. ที่บริเวณท้ายทอย 1 นัด และที่บริเวณด้านหลังของอาคาร อบต. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์เก๋งของพนักงาน อบต.ไม่ทราบยี่ห้อรุ่นสีและแผ่นป้ายทะเบียน ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจนพรุนไปทั้งคัน

      และในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนตกอยู่ทั้ง 2 จุดคือ จุดที่ปลัด อบต.ถูกยิงเสียชีวิตและที่รถยนต์เก๋งของพนักงาน อบต.ได้ตกอยู่รวม 32 ปลอก โดยแยกเป็นเอ็ม16 จำนวน 28 ปลอก อาก้า 1 ปลอก และปลอกกระสุนปืนพก ขนาด 9 ม.ม. จำนวน 3 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน




     จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แต่งกายคล้ายทหารพร้อมอาวุธปืนครบมือ เดินเข้าไปใน อบต.ในลักษณะเหมือนทหารมาเยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่ โดย 1 ในคนร้ายได้ถามหาตัวปลัด อบต. ส่วนกำลังที่เหลือได้แยกย้ายกันควบคุมเจ้าหน้าที่ อบต.ทั้งหมดมารวมกัน โดยแยกเป็นไทยพุทธและมุสลิมออกจากกัน หลังจากนั้นคนร้ายได้เดินไปควบคุมตัวปลัด อบต.ที่นั่งทำงานอยู่ภายในห้องออกมา พร้อมทั้งให้ทุกคนนอนคว่ำหน้า แล้วคนร้ายได้ใช้ลวดที่เตรียมมาจับมือพนักงานทุกคนไพล่หลังแล้วใช้ลวดมัด

      หลังจากนั้นคนร้ายประมาณ 7-8 คน ได้เดินไปที่หลังอาคาร อบต.ใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์เก๋งของพนักงานที่คนร้ายคาดว่าเป็นรถยนต์เก๋งของ ปลัด อบต.จนพรุนทั้งคัน เมื่อได้ยินเสียงปืนพนักงาน อบต.ที่ต่างคนต่างถูกคนร้ายให้นอนคว่ำหน้า ได้พากันลุกขึ้นวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงปลัด อบต.คนเดียว คนร้ายจึงได้ควบคุมตัวปลัด อบต.มาที่บริเวณเต็นท์ชั่วคราว ที่กางไว้สำหรับเป็นที่จอดรถ จยย. แล้วจากนั้น 1 ในคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 ม.ม. จ่อยิงที่ท้ายทอยของปลัด อบต.จนเสียชีวิตคาที่ แล้วคนร้ายได้พากันหลบหนีขึ้นเทือกเขาด้านหลังของ อบต.ไป

      ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตั้งไว้ 2 ประเด็นคือ จากสถานการณ์ความไม่สงบ ในส่วนประเด็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัว และภายใน อบต.หรือไม่นั้นยังอยู่ระหว่างสอบสวน

รวบโจรใต้หนีหมายศาลคาบ้านพักบันนังสตา..



           ยะลา - เมื่อ 28 ธ.ค.58 หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมประจำ จ.ยะลา ได้สนธิกำลังทหารตำรวจ จัดกำลังเข้าตรวจสอบบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ม.1 บ.ตะบิงติงงี ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา หลังสืบทราบว่ามีคนร้ายตามหมายจับเข้ากบดานบ้านหลังดังกล่าว

           เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบ สามารถควบคุมตัว นายมะสุกี สาและ ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง เพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงในการติดต่อสื่อสาร นายมะสุกี สาและ เป็นบุคคลตามหมายจับ ศาลจังหวัดนาทวี ที่ 583/2558 ลงวันที่ 23 ต.ค.58 จากเหตุการณ์ กลุ่มคนร้ายกว่า15 คน ได้ซุ่มโจมตีฐานปฏิบัติการชุดพัฒนาสันติ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.1 บ้านเกาะแลหนัง ต.ปากบาง อ.เทพา เป็นเหตุให้อาสารักษาดินแดนเสียชีวิต 1 นายและทหารพรานบาดเจ็บสาหัส 1 นาย

           นายมะสุกี สาและ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน 
  • ร่วมกันก่อการร้าย 
  • ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อการร้าย 
  • สมคบหรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย 
  • ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจรเพื่อก่อการร้าย 
  • ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน 
  • ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 
  • ร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง 
  • ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และ
  • วางเพลิงเผา เหตุเกิดหมู่ที่ 3 ตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.54 เวลาประมาณ 18.25 น.

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตุรกีเล่นอะไรกันอยู่ รถน้ำมัน 12,000 คันวิ่งเข้าตรุกรี


ประธานาธิปดีตรุกรีมีอะไรจะพูดมั้ยรถน้ำมัน 12,000 คันวิ่งเข้าตรุกรีบ้านมึง ใครละขโมยนำ้มัน
        26 ธ.ค. รัสเซียแฉ ภาพถ่ายดาวเทียมพิสูจน์ "คาราวานรถขนน้ำมันเถื่อน 12,000 คัน" ป้วนเปี้ยนใกล้พรมแดนตุรกี-อิรัก

        เอเจนซีส์ – กองเสนาธิการใหญ่แห่งกองทัพรัสเซียออกแถลงการณ์ล่าสุด ระบุหน่วยข่าวกรองพบจากหลักฐานภาพถ่ายทางดาวเทียม มีรถบรรทุกขนน้ำมันเถื่อนร่วม 12,000 คัน แล่นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บริเวณพรมแดนทั้งสองฝั่งของพรมแดนตุรกีด้านติดอิรัก

         RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้(25 ธ.ค)ว่า กองทัพรัสเซียออกแถลงการณ์ถึง ข่าวกรองที่ได้รับพร้อมภาพถ่ายทางดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงจำนวนขบวนการลักลอบขนถ่ายน้ำมันดิบเถื่อนที่พบว่า รถแทงเกอร์ขนน้ำมันจำนวนมากเหล่านี้ถูกพบแนวบริเวณชายแดนตุรกี

          “ภาพถ่ายทางอากาศเหนือซาโค(Zakho) ซึ่งเป็นเมืองในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานแห่งอิรัก พบว่ามีรถแทงเกอร์ และรถบรรทุก ขนน้ำมันราว 11,775 คัน อยู่ในบริเวณ “ทั้งสองฝั่ง” เลียบพรมแดนตุรกี ด้านติดอิรัก” เซียร์เกย์ รุดสกอย (Sergey Rudskoi) เจ้ากรมใหญ่ยุทธการ (chief of the Main Operations Directorate) แห่งกองเสนาธิการใหญ่กองทัพรัสเซีย (the Russian General Staff)แถลงต่อนักข่าวในวันศุกร์(25 ธ.ค)

         นอกจากนี้รุดสกอยยังแถลงเพิ่มเติมต่อว่า “และเป็นที่ต้องสังเกตว่า คาราวานขนน้ำมันจากทั้งอิรักและซีเรีย ล้วนแต่ต้องผ่านจุดเช็กพอยต์ซาโคนี้ทั้งสิ้น”

        สื่อรัสเซียยังรายงานเพิ่มเติมว่า รถบรรทุกขนน้ำมันเหล่านี้ได้แล่นผ่านพรมแดนตุรกีติดซีเรียด้วยเช่นกัน รุดสกอยชี้ และกล่าวต่อว่า ในเวลาเดียวกัน กลับพบว่ามีรถแทงเกอร์ขนน้ำมันในเส้นทางทิศเหนือและทิศตะวันตกที่ใช้วิ่งขนจากซีเรีย กลับพบมีจำนวนลดลง เจ้ากรมใหญ่ยุทธการรัสเซียกล่าว
“โดยทางเราใช้ข้อมูลยืนยันจากดาวเทียม และพบว่ามีรถแทงเกอร์บรรทุกน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ใช้ “เส้นทางทิศเหนือ” มุ่งหน้าไปยังโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในตุรกีน ดูเหมือนจะลดลง” รุดสกอยแถลงต่อ และยังเสริมด้วยว่า และรัสเซียพบว่า มีจำนวนรถแทงเกอร์ขนน้ำมันที่ใช้ “เส้นทางตะวันตก” มีจำนวนลดลงเหลือแค่ 265 คัน ซึ่งในการแถลงข่าว ทางกองทัพรัสเซียชี้ว่า เส้นทางตะวันตกเป็นเส้นทางระหว่างเมือง อิสเคนเดรัน(Iskenderun)และเมืองเรย์ฮานลี (Reyhanli)ในฝั่งตุรกี ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนซีเรีย

         RT รายงานต่อว่า ที่ผ่านมากองทัพอากาศรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธทำลายรคาราวานรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลุ่มก่อการร้าย IS ไปแล้วจำนวน 2,000 คน และแค่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังรัสเซียได้ทำลายคาราวานแทงเกอร์ขนน้ำมันเถื่อนของกลุ่มก่อการร้ายไปแล้วถึง 17 ขบวน รวมไปถึงสถานที่ในการขุดเจาะและบรรจุน้ำมันดิบของกลุ่ม IS

        สื่อรัสเซียรายงานต่อว่า เป็นเพราะกองกำลังรัสเซียประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการทำลายขบวนการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนนี้ ทำให้ทางกลุ่มก่อการร้ายจำเป็นต้องหาเส้นทางใหม่ในการลักลอบขนส่งน้ำมันดิบ ซึ่งในปัจจุบันนี้พบว่า รถบรรทุกน้ำมันเถื่อนถูกบรรจุในเขตอิทธิพลของกลุ่ม IS ในจ. Deir ez-Zor ซีเรีย และใช้เส้นทางมุ่งหน้าไปยังพรมแดนอิรัก เพื่อไปยังเมืองซาโคและโมซูล
“แต่ถึงจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการใช้เส้นทาง แต่ทว่าจุดหมายสุดท้ายของคาราวานน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ยังคงเป็น “ตุรกี” รุดสกอยแถลงทิ้งท้าย

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตำรวจเยอรมันบุกที่พักมุสลิมซาลาฟีย์ อ้างพบเสื้อกั๊กที่นิยมใช้ในกลุ่มระเบิดพลีชีพ




ข่าวเว็ปไซต์ thelocal.de - รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในเยอรมันออกแถลงการณ์ชี้แจงการสั่งระดมตำรวจกว่า 1,000 นาย บุกเข้าตรวจค้นในที่พักอาศัยของกลุ่มซาลาฟีย์ประมาณ 70 แห่งทั่วประเทศ


โดยก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์ Berliner Zeitung รายงานว่า เจ้าหน้าที่พบเสื้อกั๋กแบบที่ผู้ก่อเหตุระเบิดตัวเองนิยมใช้สวมใส่ในการก่อเหตุ ที่แฟลตของ Denis Cuspert (หรือในชื่อปัจจุบัน อะบู ตัลฮา อัล-อัลมานี) อดีตนักแรพนิยมซาลาฟีย์ที่เปลี่ยนมานับถืออิสลาม ทางการระบุว่าอะบูตัลฮา เป็นนักบรรยายที่มีผู้เลื่อมใสจำนวนมาก รวมทั้งเคยโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการญิฮาดในเยอรมัน นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังค้นพบเทปวิดีโอ ที่แสดงการต่อต้านประชาธิปไตย และคุกคามผู้ไม่ศรัทธาในอิสลาม ของ Millatu Ibrahim ซึ่งทางการห้ามเผยแพร่แล้ว

กลุ่มที่ทางการเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ Dawaffm, Millatu Ibrahim และกลุ่ม Die Wahre Religion (ศาสนาที่จริงแท้) ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ใน ฮัมบวร์ก, ชเลสวิค-โฮลสไตน์, Lower Saxony, เบอร์ลิน, บาวาเรีย, ไรน์-เวสต์ฟาเลียตอนเหนือ และ Hesse

นอกจากนั้นยังสั่งปิดมัสยิดของกลุ่มซาลาฟีย์ใน Solingen ซึ่งเป็นเครือข่ายของ Milatu Ibrahim อีกด้วย

ซาลาฟีย์นับเป็นกลุ่มที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในเยอรมัน และถูกมองว่าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงและอันตราย อันเนื่องมาจากกการยึดหลักการอย่างเคร่งครัด โดยมีการเรียกร้องต้องการให้นำหลักการชาริอะฮฺมาใช้ในการบริหารจัดการในกลุ่ม

สมาชิกซาลาฟีย์ที่เคร่งครัดมักจะปฏิเสธการอยู่ร่วมในสังคมหลัก โดยพยายามตีกรอบและใช้ชีวิตที่หลีกเลี่ยงสิ่งฮะรอมที่อาจจะเข้ามาแปดเปื้อน

คาดว่ามีสมาชิกของกลุ่มนี้ประมาณ 4,000 คนในเยอรมัน

กลุ่มซาลาฟีย์ในเยอรมันถูกเพ่งเล็งหลังจาก Arid Uka ชาวเยอรมันเชื้อสายโคโซโวที่นิยมซาลาฟีย์ ถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต ในเหตุสังหารทหารอเมริกัน 2 นาย ที่สนามบินแฟรงค์เฟิร์ต เหตุเกิดเมื่อมีนาคม 2554

เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีการประจันหน้ากันระหว่างกลุ่มฝ่ายขวา Pro-NRW กับกลุ่มซาลาฟีย์ ในเมืองโคโลญจ์ ก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นในรัฐ North Rhine-Westphalia โดยกลุ่มขวาจัดชูป้ายภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดามุฮัมมัดอยู่หน้ามัสยิด ซึ่งตำรวจที่มากั้นกลางระหว่าง 2 กลุ่มถูกกลุ่มซาลาฟีย์แทงบาดเจ็บ 2 นาย ในเหตุชุลมุน

มีกรณีที่กลุ่มอิสลามห้วรุนแรงจัดทำวิดีโอเผยแพร่เรียกร้องให้สังหารผู้สนับสนุน่กลุ่ม Pro-NRW และนักหนังสือพิมพ์ที่เขียนภาพล้อ

เยอรมัน สั่งปิดมัสยิด ที่มีคำสอนสร้างความรุนแรง หรือ สนับสนุนพวกก่อการร้าย


เยอรมันปิดสุเหร่าแห่งหนึ่ง เชื่อเป็นฐานจัดหากำลังให้กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง


           เอเอฟพี - ตำรวจเยอรมันสั่งปิดมัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองฮัมบูร์ก ทางตอนเหนือของเยอรมัน วันนี้ (9) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จี้เครื่องบินเมื่อครั้งเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 มักมาพบปะกัน ณ มัสยิดแห่งนี้บ่อยครั้งก่อนก่อเหตุ ทางการแถลง

      “เราได้ทำการปิด สโมสรไตบะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมผสม อาหรับ-เยอรมัน” ทางเมืองฮัมบูร์ก กล่าวในคำแถลง “รวมทั้งอดีตมัสยิด อัลกุดส์ ก็ถูกปิดลงด้วย”

         เจ้าหน้าที่เมืองฮัมบูร์กไม่ได้อธิบายเหตุผลที่ต้องปิดมัสยิดดังกล่าว แต่มีแหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า สโมสรดังกล่าวในเมืองฮัมบูร์กเป็นสถานที่จัดหากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เพื่อส่งเข้าร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์

          นายตำรวจ 20 คนได้ทำการตรวจค้นมัสยิดดังกล่าวเมื่อเช้าตรู่วันนี้ ทั้งนี้ คนร้าย 3 คนที่จี้เครื่องบินเมื่อวันที่ 11 กันยายน ซึ่งรวมทั้ง โมฮัมหมัด อัตตอ หัวหน้าปฏิบัติการครั้งนั้นก็เคยมาพบปะกันหลายครั้งที่มัสยิดอัลกุดส์ดังกล่าว ก่อนที่จะย้ายเข้าไปในสหรัฐฯ โดย โมฮัมหมัด อัตตอ เป็นผู้ขับเครื่องบินลำแรกที่พุ่งชนตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ กลางนครนิวยอร์ก

           ทางการแถลงว่า มัสยิดแห่งนี้เป็นเสมือนศูนย์กลางการจัดหาคนให้กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง รวมทั้งกลุ่มผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบินในเหตุการณ์ 911 ด้วย

         มัสยิดอัลกุดส์ ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 45 คน ยังคงเป็นสถานที่พบปะสำคัญของพวกมุสลิมหัวรุนแรงในเมืองฮัมบูร์ก

         เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แถลงว่า มีกลุ่มคนจำนวน 10 คน เดินทางจากมัสยิดอัลกุดส์เข้าไปยังปากีสถาน หรืออัฟกานิสถานเมื่อปีที่แล้ว และอาจจะเข้าร่วมฝึกในค่ายทหาร

       ทั้งนี้ อย่างน้อยหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้เข้าร่วมกับขบวนการอิสลามแห่งอุซเบกิสถานในปากีสถาน และต่อมาก็ปรากฏตัวอยู่ในวีดีโอชวนเชื่อของขบวนการดังกล่าว

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

นี่คือสันดานของอดีตแกนนำนักศึกษาเถื่อนถ่อย!!


            นี่คือสันดานของอดีตแกนนำนักศึกษาเถื่อนถ่อย!!  ที่ทำการโพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว ที่นำมาไม่ใช่เป็นการขยายผลต่อ แต่เพื่อให้ดูความรู้สึกนึกคิดของคนผู้นี้ ที่ไม่มีเหตุผล ไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม ยังคงดำเนินการเคลื่อนไหวแบบมั่วๆ ไร้ซึ่งเหตุผล และไม่มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้นำ

          การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐที่ผ่านมา ไม่อยากจะรื้อฟื้น แต่ย่อมมีเหตุและผลที่ได้มีการสั่งปิดปอเนาะญีฮาด และมีการดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาล จนนำมาซึ่งการริบทรัพย์ที่ดิน จำนวน 14 ไร่เศษในเวลาต่อมา  แต่กลุ่มบุคคลที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนกลับจุดประเด็นเรื่องที่ดินวากัฟขึ้นมา กล่าวหารัฐบาลรังแกปอเนาะ ไม่ได้ยึดปอเนาะ แต่ "ปิดกิจการของครูสอนศาสนาที่บิดเบือนคำสอน ปลูกฝังแนวความคิดรุนแรง" ไม่ได้ยึดที่ดินปอเนาะ แต่ "ยึดคืนที่ดินวากัฟ ที่ครูสอนศาสนาเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว"

  • ‪#‎อ่านบทความประกอบ‬
  • ที่ดินปอเนาะญีฮาดวิทยา ถูกศาลสั่งริบทรัพย์ใช้ซ่องสุมกำลังและการฝึก RKK http://www.southernreports.com/?p=694
  • ‘ปอเนาะ’ คือสถานที่บ่มเพาะสิ่งดีๆ แต่พวกคุณใช้ผิดที่ กลับ ‘บ่มเพาะ’ กลุ่มขบวนการ http://www.southernreports.com/?p=746
  • ศาลสั่งริบทรัพย์ที่ดิน ‘ปอเนาะญีฮาด’..ผู้ไม่หวังดีปลุกปั่นประชาชนเข้าใจผิดเป็นที่ดิน ‘วากัฟ’ http://pulony.blogspot.com/2015/12/blog-post_19.html
  • บริษัทฯ ใหนก็ได้ช่วยรับเขาเข้าทำงาน ที่เถอะผมเชื่อว่า บริษัทเจริญแน่นอน เห็นพีแกจบมาหลายปีแล้วังตกงานอยู่เลย
  • https://m.facebook.com/suhaimee.dulasa

Cr.ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รู้ยัง? จุฬาราชมนตรีคนที่ 1 ถึงคนที่ 13 เป็นมุสลิมชีอะห์!!




ตำแหน่ง “จุฬาราชมนตรี” แห่งราชอาณาจักรไทย

           สมัยกรุงศรีอยุธยา ทำเนียบศักดินาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1991 – 2031 บอกว่า “จุฬาราชมนตรี” บางแห่งเรียกว่า “จุลาราชมนตรี” กรมท่าขวาเป็นหัวหน้าฝ่ายแขก ไม่ปรากฏตัวตนว่าเป็นใครแผ่นดินสมเด็จพระเอกทศรถ พ.ศ. 2148 – 2163 ว่ามีตัวตนปรากฏอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. 2163 – 2171 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเฉกอะหะหมัด เข้ารับราชการ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเฉกอะหะหมัดรัตนราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าขวา จึงนับได้ว่าท่านเฉกอะหะหมัด เป็นปฐมจุฬาราชมนตรีแห่งกรุงสยาม ทำหน้าที่เป็นทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ควบคุมเกี่ยวข้องกับชาวต่าง ประเทศ การรับแขกเมือง เก็บภาษีอากร สินค้าขาเข้า สินค้าขาออก เรื่องการเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศกับควบคุมดูแลเกี่ยวกับกิจการทางด้าน ศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรสยาม

รายนาม “จุฬาราชมนตรี” ในประเทศไทย

          1. เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหะหมัด) เป็นชาวเปอร์เซียเป็นมุสลิมนิกายชีอะต์ อิสนาอะซะรี ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2045 – 2170) และต่อมาถึงรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2173 – 2198) กรุงศรีอยุธยา

          2. พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เป็นหลานของเจ้าพระยาบวรราชนายก ได้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 – 2225) กรุงศรีอยุธยา

          3. พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) เป็นบุตรของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) ในสายสกุลของท่านเฉกอะหมัด ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระเจ้าอยู่บรมโกศ (พ.ศ.2275 – 2301) กรุงศรีอยุธยา

          4. พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) เป็น บุตรเจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) ในสายสกุลของท่านเฉกอะหมัด ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่ง สุริยามรินทร์กรุงศรีอยุธยา

          5. พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว -มุฮัมมัดมะอ์ซูม) เป็นบุตรจุฬาราชมนตรี (เชน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรุงรัตนโกสินทร์

         6. พระยาจุฬาราชมนตรี (อากาหยี่) เป็นน้องชายของพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย กรุงรัตนโกสินทร์

         7. พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน – มุฮัมมัดกาซิม) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

         8. พระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย – มุฮัมมัดบาเกร) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (อากาหยี่) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

         9. พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม – มุฮัมมัดตะกี) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

         10. พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน – กุลาฮูเซ็น) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

        11.พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้รับพระราชทานนามสกุล “อหะหมัดจุฬา” เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2456

         12.พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

          13. พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

           14. จุฬาราชมนตรี แช่ม พรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา) เป็นมุสลิมนิกายซุนนีคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล (พ.ศ. 2488 – 2490)

          15. จุฬาราชมนตรี ต่วน สุวรรณศาสตร์ (อิสมาแอล ยะห์ยาวี) เป็นมุสลิมนิกายสุนนีคนที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2490 – 2524


        16.จุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัด (อะหมัด บินมะหะหมัด) เป็นมุสลิมนิกายสุนนีคนที่ 3 ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ. 2524 – 2540


         17. จุฬาราชมนตรี สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ได้รับ คัดเลือก จากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จำนวน 29 จังหวัด และได้รับ พระบรมราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ. 2540 – 2553


18. จุฬาราชมนตรี อาศิส พิทักษ์คุมพล ได้รับ พระบรมราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553


ที่มา เว็บไซต์สำนักจุฬาราชมนตรี

ครูสอนศาสนาอิสลามสอนว่า สตรีที่ทำจีฮัดเมื่อขึ้นสวรรค์ จะได้รางวัลเป็น ชายหนึ่งคนที่มี “อวัยวะเพศที่ไม่รู้ล้ม”



           อาจารย์สอนอิสลามชาวจอร์แดน-ปาเลสไตน์ ท่านนี้ชื่อ ชี๊ค มาชฮู บิน ฮาซัน อัล-ซัลแมน (Sheikh Mashoor bin Hasan Al-Salman) บอกว่า ศาสดากล่าวว่า สตรีที่ทำจีฮัดเมื่อขึ้นสวรรค์ จะได้รางวัลเป็น ชายหนึ่งคนที่มี “อวัยวะเพศที่ไม่รู้ล้ม” (ขณะที่ผู้ชายที่ทำจีฮัดจะได้หญิงสาว 72 คน)


        ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสอนอีกว่า ผู้หญิงไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับชายที่เป็นทาสของตนได้ หากต้องการจริง ๆ เธอจะต้องแต่งงานกับทาสคนนั้น และให้ทาสคนนั้นเป็นนายของเธอเสียก่อน

เพราะคนเลว ใช้ปอเนาะ เป็นสถานที่บ่มเพาะกลุ่มขบวนการ

บ่มเพาะ

เรื่องโดย“บูมีกู สายัง”
         อิสลามคือศาสนาแห่งสันติภาพ และขันติธรรม ดังนั้นผู้ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะประพฤติตนขัดแย้ง กับหลักการดังกล่าว ยิ่งกว่านั้นไม่มีแหล่งกำเนิดใดๆ จาก
อัลกุรอาน และฮะดิษของท่านนบีมุฮัมมัด ที่บ่งชี้ไปในทิศทางดังกล่าว การเรียกร้องในอิสลาม
ที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ได้เชิญชวนด้วยวิธีการที่เฉลียวฉลาด และนิ่มนวลซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะถือได้ว่า เป็นความรุนแรงแต่ประการใด ดังปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะ อัลนะห์ล โองการที่ 125 ความว่า 
        “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี แจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นพระองค์ทรงรู้ดียิ่ง ถึงผู้ที่หลงจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาของผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง”
        อิสลามได้เรียกร้องให้มนุษย์ทุกคน อยู่ด้วยกันฉันท์มิตร แม้จะมีความแตกต่างกันก็ตาม
ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลหุจรอจญ์ โองการ 13 ความว่า 
        “โอ้ มนุษย์ชาติทั้งหลาย แท้จริงข้าได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าพันธุ์และตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ อัลลอฮ์ นั้นคือผู้ที่มีวามยำเกรงยิ่ง ในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียด ถี่ถ้วน ”
      เช่นกันอิสลามได้เรียกร้องให้มุสลิม ใช้ชีวิตความเป็นอยู่กับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม(ต่างศาสนิก)
ดังปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลมุมตาฮีนะฮ์ โองการที่ 8 ความว่า 
        “อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้า เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีกับพวกเขา และให้ความยุติธรรมกับพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรักผู้มีความยุติธรรม”
       คำพูดของศาสดานี้มุ่งที่จะละเว้นไม่ให้มีการเกลียดชังซึ่งกันและกัน และดำรงอยู่ในขันติธรรม โดยปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมทั้งการก่อการร้าย โดยอิสลามถือว่าการฆ่าคนเพียงคนเดียวเสมือนกับการฆ่าคนทั้งโลก ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราฮ์ อัลมาอิดะฮ์ โองการ
ที่ 22 ความว่า 
     “แท้จริงฆ่าชีวิตหนึ่ง โดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เรื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล”
     จากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน “ปอเนาะ” มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน มีคำว่า ปอเนาะเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะโรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือปอเนาะญิฮาด อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
       โรงเรียนญิฮาดวิทยา โดนซัดทอดจากการซักถามผู้ต้องสงสัยว่า เป็นแหล่งซ่องสุมการฝึกฝนการต่อสู้เมื่อปี พ.ศ.2546 ก่อนที่จะเข้าทำการปล้นอาวุธปืนที่ค่ายปิเหล็ง กองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส
      โรงเรียนญิฮาดวิทยา ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ไฟใต้ จากการซักถามผู้ต้องสงสัย ที่ถูกควบคุมตัวซึ่งหนึ่งในนั้นให้การยอมรับว่า มีการฝึกฝนการต่อสู้ในพื้นที่นี้จริง เมื่อปีพ.ศ.2546 ก่อนที่จะเข้าทำการปล้นอาวุธปืนกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 โดยใช้เทคนิคการฝึกแบบเข้มข้น ระยะเวลาในการฝึกเพียงแค่ 26 วันเท่านั้น แต่สามารถเทียบหลักสูตรการใช้อาวุธการต่อสู้ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจถึง 6 เดือน
       สำหรับผู้ต้องสงสัยจำนวน 4 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุปล้นอาวุธปืนกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส ที่ถูกเชิญตัวไปซักถามที่ค่ายอิงคยุทธบริหารอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี คือ 
  • นายอาดือนัน เจะอาแซ ลูกโต๊ะครูเก่า, 
  • นายมาซือลัม ดาแม, 
  • นายอับดุลเลาะ กะเจ และ
  • นายแวฮาฟิซ แกตอง 
    ซึ่งทั้งหมดเป็นนักศึกษาโรงเรียนปอเนาะญิฮาดวิทยาการ
         เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.58 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.26/2556
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 699 หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประเมิน 591,090 บาท ของนายดูนเนาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือปอเนาะวิทยา กับพวก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย
       ในส่วนของผู้ที่มีเอี่ยวกับที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยา นำโดย 
  • นางยาวาฮี แวมะนอ, 
  • นางปารีเดาะ เจะมะ, 
  • นางหามีย๊ะ สาแลหมัน, 
  • นายอาดือนัน เจะอาแซ และ
  • นายอับดุลเลาะ เจะอาแซ 
         ซึ่งมีชื่อร่วมในกรรมสิทธิ์ น.ส.3 เป็นผู้คัดค้านที่ 1-5 ในคดีนี้ อ้างว่า ผู้คัดค้านทั้งห้า ได้รับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยาที่สอนศาสนา และสายสามัญจากบิดามาเป็นมรดกตกทอด และผู้คัดค้านทั้งห้า ประกอบอาชีพสุจริต ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือความผิดเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และ ผู้คัดค้าน ไม่ได้ใช้ที่ดินสนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำก่อการร้าย ไม่มีการสะสมกำลังพลหรือการฝึก
        ขณะที่คำร้องอัยการ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้ 2 คน ซึ่งให้การยอมรับว่า เป็นสมาชิกหน่วยคอมมานโดกลุ่มโจร BRN ถูกส่งตัวฝึกหลักสูตรคอมมานโด และชุดรบ ขนาดเล็ก ที่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือปอเนาะญีฮาด โดยมี อิสมาแอ หรือจิแอ มะเซ็ง เป็นผู้ควบคุมการฝึก และนายดูนเนาะ แวมะนอ หรือ เปาะซูเลาะ เป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบช่วงวันที่ 4 ม.ค.47 ต่อเนื่อง 4 ม.ค.51 รวม 36 คน และอัยการจังหวัดปัตตานี ได้สั่งฟ้องนายดูนเนาะ กับพวกรวม 36 คน และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดปัตตานี และนายดูนเนาะ และพวกรวม 11 คนยังถูกดำเนินคดีฐานเป็นกบฏ อั้งยี่
       จากเหตุความไม่สงบ 4 ม.ค.47-30 ม.ค.49 ใน จ.นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ของกรมสอบสวน
คดีพิเศษด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมของนายดูนเนาะ กับพวกแล้ว จึงมีมติว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ม.3(8) จึงให้ เลขาธิการ ปปง.ส่งเรื่องให้อัยการ ผู้ร้อง ดำเนินการยื่นคำร้องตามขั้นตอนกฎหมาย
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐาน ผู้ร้อง รับฟังได้ว่าเกี่ยวกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ตามคำร้องอัยการผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าวคู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย ภายใน 30 วัน
นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง
       ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน(วากัฟ) ที่ถูกบริจาค เพื่อสาธารณะ/ศาสนกุศล แต่แท้จริงแล้วเป็นที่ดินที่ได้ถูกออกเอกสารสิทธิ์เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคล ที่มีความสัมพันธ์ รู้เห็น เกี่ยวข้องโดยตรงกับนายดูนเลาะ แวมะนอ ที่กระทำผิด อีกทั้ง ที่ดินดังกล่าวก็ถูกใช้เพื่อการกระทำผิด มีพยาน ซัดทอด/รู้เห็นกว่า 30 คน ศาลจึงยืนยันการยึดทรัพย์สินดังกล่าว
       การยึดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของแผ่นดิน ก็หมายถึงการที่ทรัพย์สินนั้น จะกลับมาเป็นสมบัติของสาธารณะหรือของส่วนรวมนั่นเอง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของ ปชช.ในพื้นที่ ที่ควรจะต้องมีการประชุมประชาคมลงมติ เสนอขอใช้ประโยชน์ เพื่อส่วนรวมต่อไป

สื่อโจรใต้บิดเบือนไม่เลิก‬ อ้างดินปอเนาะญีฮาดของรัฐปาตอนี



สื่อโจรใต้บิดเบือนไม่เลิก‬ อ้างดินปอเนาะญีฮาดของรัฐปาตอนี วากัฟจากน้ำเงินของชาวปาตานี ไม่ใช้ของสยาม นักล่า อาณานิคม

  • ศาลสั่งริบทรัพย์ที่ดินปอเนาะญีฮาด....
  • ผู้ไม่หวังดีปลุกปั่นประชาชนเข้าใจผิดเป็นที่ดินวากัฟ
          ประเด็นศาลยึดทรัพย์ปอเนาะญีฮาด เครือข่ายขุมกำลังนักเลงคีบอร์ดซึ่งเป็นแนวร่วมโจรใต้ฟาตอนีกำลังปลุกเร้าประชาชนมุสลิมปาตานีในพื้นที่ จชต. ทำการปล่อยข่าวด้วยการกล่าวหาโจมตีเพื่อต้องการสื่อไปยังต่างประเทศว่ารัฐกลั่นแกล้งทำการยึดที่ดินวากัฟที่ได้รับบริจาคเพื่อสร้างโรงเรียนปอเนาะเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

          ไม่น่าเชื่อว่ารัฐดำเนินการสิ่งไหน รู้สึกว่าจะผิดไปหมดในสายตาของพวกนอกรีตศาสนาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดประเด็นในแต่ละครั้งคาบเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ให้ตกเป็นเครื่องมือได้ง่าย โดยใช้ศาสนาในการแอบอ้าง

         คราวนี้ก็เช่นเดียวกันมีการปลุกปั่นให้ประชาชนในพื้นที่ที่นับถือศาสนาอิสลามเกิดความเข้าใจผิดคำสั่งศาลในการริบทรัพย์ซึ่งเป็นที่ดิน จำนวน 14 ไร่เศษ ของโรงเรียนญีฮาดวิทยา จังหวัดปัตตานี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน (วากัฟ) ที่ถูกบริจาคเพื่อสาธารณะและศาสนกุศล

      การที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.26/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 699 หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประเมิน 591,090 บาท ของนายดูนเนาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือปอเนาะวิทยา กับพวก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย
         ในการกระทำความผิดมี อิสมาแอ หรือจิแอ มะเซ็ง เป็นผู้ควบคุมการฝึก และนายดูนเนาะ แวมะนอ หรือ เปาะซูเลาะ เป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบช่วงวันที่ 4 ม.ค.47 ต่อเนื่อง 4 ม.ค.51 อัยการจังหวัดปัตตานี ได้สั่งฟ้องนายดูนเนาะ กับพวกรวม 36 คน อีกทั้ง นายดูนเนาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา และพวกรวม 11 คนยังถูกดำเนินคดีฐานเป็นกบฏ และอั้งยี่
         ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อกำลังเบี่ยงเบนประเด็น ทั้งๆ ที่กระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการตามกฎหมาย ข้อความข้างต้นศาลได้สาธยายชัดเจนอยู่แล้วถึงมูลเหตุแห่งการกระทำความผิด ที่ดินปอเนาะญีฮาดเป็นที่ดินส่วนบุคคล โดยผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ยื่นเรื่องขอคัดค้านในฐานะเป็นเจ้าของกรมสิทธิ์ จำนวน 5 รายด้วยกัน จึงไม่ใช่ที่ดินที่บริจาค (วากัฟ) อย่างแน่นอน
         ส่วน การริบทรัพย์ดังกล่าวให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ก็หมายถึงการที่ทรัพย์สินนั้นจะกลับมาเป็นสมบัติของสาธารณะหรือของสมบัติของส่วนรวม ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของประชาชนในพื้นที่ ที่จะต้องมีการทำประชาคมลงมติ เสนอขอใช้ประโยชน์ในที่ดินผืนดังกล่าวเพื่อส่วนรวม โดยมีจังหวัดเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสมและอนุมัติต่อไป

         ขอฝากไปยังพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ จชต. อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีพยายามสร้างความปั่นป่วน ด้วยการกล่าวหาโจมตีรัฐบาลกลั่นแกล้ง และยั่วยุจุดประเด็นใหม่ๆ ให้เกิดความแตกแยกในสังคมด้วยการนำศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่ได้มีการกลั่นกรองแล้วและเป็นที่ยอมรับจากบุคคลทั่วไป

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทพิสูจน์ปอเนาะสีเทา กับกรณีญีฮาดวิทยาถูกศาลสั่งริบทรัพย์




โดย ‘แบดิง โกตาบารู’

        “ศาลแพ่ง” สั่งริบที่ดิน 14 ไร่ ที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา จังหวัดปัตตานี มูลค่าร่วม 6 แสน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หลังอัยการยื่นคำร้องปี 56 ปปง. พบ "ดูนเนาะ แวมะนอ" ครูใหญ่ มีเอี่ยวคดีกบฏ BRN ก่อความไม่สงบชายแดนใต้


          เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.26/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 699 หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประเมิน 591,090 บาท ของ นายดูนเนาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือปอเนาะวิทยา กับพวก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย

           กลายเป็นข่าวร้อนแรงส่งท้ายปลายปีอีกครั้งกับกรณีศาลแพ่งสั่งริบที่ดิน 14 ไร่ ที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา จังหวัดปัตตานี มูลค่าร่วม 6 แสน เมื่อมาถึงจุดนี้ทำให้ผู้เขียนอยากจะย้อนรำลึกถึงบทความ “ปอเนาะสีเทา”เรื่องสั้นรางวัลชมเชยในโครงการ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ประจำปี 2557”โดยกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเขียนโดย อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด บล็อก AwanBook ได้นำมาเผยแพร่ในwww.deepsouthwatch.org

         ก่อนอื่นเลยเป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้ได้มีบุคคลบางกลุ่มพยายามตั้งป้อม ขัดขวาง ปกป้องสถาบันปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนบางแห่ง ที่มีอยู่หลายพันโรงในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเตะ พร้อมอ้างเหตุผลเป็นพื้นที่เฉพาะในการทำกิจกรรมทางศาสนา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถก้าวล่วงพื้นที่ดังกล่าวได้ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่เข้าไปเท่ากับว่าเป็นการไม่ให้เกียรติและไม่เคารพย่ำเกรงศาสนา

         ผู้เขียนทราบดีว่าประเด็นศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุ่มเสี่ยงต่อการนำไปกล่าวอ้างขยายผลของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ให้คนทั่วไปที่เสพข้อมูลข่าวสารอย่าง“เข้าถึง” แต่ “ไม่เข้าใจ” จนหลงเข้าใจผิดกลายเป็นช่องว่างให้ผู้ที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือนำไปแอบอ้างว่าสถานที่เหล่านั้นเตะต้องไม่ได้ จนในที่สุดกลุ่มขบวนการโจรใต้ได้โอกาสเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าทำการตรวจสอบ ใช้สถาบันปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนเป็นที่ซ่องสุมกำลัง ใช้เป็นสถานที่ฝึก และซุกซ่อนอาวุธปืนอย่างสบายอุรา

          บทพิสูจน์หลายครั้งจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวได้ตรวจเจอสิ่งที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในโรงเรียน "ปอเนาะสีเทา" เหล่านั้นถึงขั้นเป็น"กบฏ อั้งยี่ และกองโจร" ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ประกอบระเบิด ชุดวงจรไฟฟ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 

          เอกสารขั้นตอนสู่ความสำเร็จ เป็นแผนผังลักษณะขั้นบันได 7 ขั้น หนังสือประวัติศาสตร์ และการต่อสู้ของรัฐปัตตานีภาษามลายู หนังสือ เจมาห์ อิสลามิยาแผ่นบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การฝึกของกลุ่มก่อการร้าย อัลไคด้า อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อีกมากมาย แต่ที่สำคัญคือ สามารถจับกุมตัวสมาชิกแนวร่วมทั้งจับเป็นและจับตายได้เป็นจำนวนมาก




          และครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าทำไมเจ้าหน้าที่รัฐจึงต้องเข้าทำการพิสูจน์ทราบ เข้าทำการตรวจค้นโรงเรียนต้องสงสัย มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งตามเสียงร่ำลือกัน กับข้อกล่าวหาของสังคม “ปอเนาะคือแหล่งบ่มเพาะโจรใต้” พยานหลักฐานและการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลสามารถยืนยันชัดเจนมีการใช้สถาบันปอเนาะเป็นแหล่งบ่มเพาะ ฝึกปรือการใช้อาวุธ ซ่องสุมกำลังจริง


          อีกทั้งยังมีการปลุกกระแสความรักชาติปาตานี ในลักษณะบิดเบือนประวัติศาสตร์ หลักศาสนาขึ้นภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา เพื่อกล่อมเกลาให้เยาวชนมุสลิมเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ ชาวไทยพุทธ และรัฐบาลไทยได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน



         ในส่วนของผู้ที่มีเอี่ยวกับที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยา นำโดย นางยาวาฮี แวมะนอ, นางปารีเดาะ เจะมะ, นางหามีย๊ะ สาแลหมัน, นายอาดือนัน เจะอาแซ และนายอับดุลเลาะ เจะอาแซ ซึ่งมีชื่อร่วมในกรรมสิทธิ์ น.ส.3 เป็นผู้คัดค้านที่ 1-5 ในคดีนี้ อ้างว่า ผู้คัดค้านทั้งห้า ได้รับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยาที่สอนศาสนาและสายสามัญจากบิดามาเป็นมรดกตกทอด และผู้คัดค้านทั้งห้า ประกอบอาชีพสุจริต ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือความผิดเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และผู้คัดค้าน ไม่ได้ใช้ที่ดินสนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำก่อการร้าย ไม่มีการสะสมกำลังพลหรือการฝึก

       ขณะที่คำร้องอัยการ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้ 2 คน ซึ่งให้การยอมรับว่า 
  • เป็นสมาชิกหน่วยคอมมานโดกลุ่มโจร BRN
  • ถูกส่งตัวฝึกหลักสูตรคอมมานโดและชุดรบ ขนาดเล็ก ที่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือ ปอเนาะญีฮาด 
  • โดยมีอิสมาแอ หรือจิแอ มะเซ็ง เป็นผู้ควบคุมการฝึก และ
  • นายดูนเนาะ แวมะนอ หรือ เปาะซูเลาะ เป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา 
          โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบช่วงวันที่ 4 ม.ค.47 ต่อเนื่อง 4 ม.ค.51 รวม 36 คน และ อัยการจังหวัดปัตตานี ได้สั่งฟ้องนายดูนเนาะ กับพวกรวม 36 คน และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดปัตตานี และนายดูนเนาะ และพวกรวม 11 คนยังถูกดำเนินคดีฐานเป็นกบฏ อั้งยี่




          จากเหตุความไม่สงบ 4 ม.ค.47-30 ม.ค.49 ใน จ.นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ของกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมของนายดูนเนาะ กับพวกแล้วจึงมีมติว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เป็นทรัพย์สิน ที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ม.3(8) จึงให้ เลขาธิการ ปปง.ส่งเรื่องให้อัยการ ผู้ร้อง ดำเนินการยื่นคำร้องตามขั้นตอนกฎหมาย 

          ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐาน ผู้ร้อง รับฟังได้ว่าเกี่ยวกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ตามคำร้องของอัยการ สำหรับคดีดังกล่าวคู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งคิดว่าคงจะมีการต่อสู้ในกระบวนการชั้นศาลต่อไป

           “ปอเนาะสีเทา” หรือจะเปลี่ยนสีเป็น “ปอเนาะสีดำ” จะต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ในนามส่วนตัวผู้เขียนอยากจะให้เป็น “ปอเนาะสีขาว” อยู่ที่องค์กรที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนและบังคับวิถี มุ่งไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อคนทั่วไป ที่สำคัญไม่ให้โรงเรียน และสถาบันปอเนาะเหล่านี้ตกเป็นเครื่องมือ เป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการ 

         นั่นคือคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนในแต่ละจังหวัด ผู้ประกอบการรับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชน รวมทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อมุ่งไปสู่โรงเรียน สถาบันปอเนาะสีขาว อย่างเช่น “สถาบันปอเนาะอิสลามศาสน์ดารุสาลาม” (ปอเนาะ ตาเซะ) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อำเภอเมืองยะลา ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนในโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.58 และยังเข้าร่วมโครงการพัฒนาปอเนาะต้นแบบ ภายใต้โครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้”

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ศาลแพ่ง สั่งริบที่ดิน 14 ไร่ ที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา จังหวัดปัตตานี












ศาลแพ่ง สั่งริบที่ดิน 14 ไร่ ที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา จังหวัดปัตตานี มูลค่าร่วม 6 แสน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หลังอัยการยื่นคำร้องปี 56 ปปง.พบ "ดูนเนาะ แวมะนอ" ครูใหญ่ เอี่ยวคดีกบฏ BRN ก่อความไม่สงบชายแดนใต้
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.26/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 699 หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประเมิน 591,090 บาท ของนายดูนเนาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือปอเนาะวิทยา กับพวก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยา ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย
โดยมี นางยาวาฮี แวมะนอ, นางปารีเดาะ เจะมะ, นางหามีย๊ะ สาแลหมัน, นายอาดือนัน เจะอาแซ และนายอับดุลเลาะ เจะอาแซ ซึ่งมีชื่อร่วมในกรรมสิทธิ์ น.ส.3 เป็นผู้คัดค้านที่ 1-5 ในคดีนี้ อ้างว่า ผู้คัดค้านทั้งห้า ได้รับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนญีฮาดวิทยาที่สอนศาสนาและสายสามัญจากบิดามาเป็นมรดกตกทอด และผู้คัดค้านทั้งห้า ประกอบอาชีพสุจริต ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือความผิดเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และผู้คัดค้าน ไม่ได้ใช้ที่ดินสนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำก่อการร้าย ไม่มีการสะสมกำลังพลหรือการฝึก
ขณะที่คำร้องอัยการ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้ 2 คน ซึ่งให้การยอมรับว่า เป็นสมาชิกหน่วยคอมมานโดกลุ่มโจร BRN ถูกส่งตัวฝึกหลักสูตรคอมมานโดและชุดรบ ขนาดเล็ก ที่โรงเรียนญีฮาดวิทยา หรือ ปอเนาะญีฮาด โดยมีอิสมาแอ หรือจิแอ มะเซ็ง เป็นผู้ควบคุมการฝึก และนายดูนเนาะ แวมะนอ หรือ เปาะซูเลาะ เป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบช่วงวันที่ 4 ม.ค.47 ต่อเนื่อง 4 ม.ค.51 รวม 36 คน และอัยการจังหวัดปัตตานี ได้สั่งฟ้องนายดูนเนาะ กับพวกรวม 36 คน และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดปัตตานี และนายดูนเนาะ และพวกรวม 11 คนยังถูกดำเนินคดีฐานเป็บกบฏ อั้งยี่
จากเหตุความไม่สงบ 4 ม.ค.47-30 ม.ค.49 ใน จ.นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ของกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบการทำธุรกรรมของนายดูนเนาะ กับพวกแล้ว จึงมีมติว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ม.3(8) จึงให้ เลขาธิการ ปปง.ส่งเรื่องให้อัยการ ผู้ร้อง ดำเนินการยื่นคำร้องตามขั้นตอนกฎหมาย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐาน ผู้ร้อง รับฟังได้ว่าเกี่ยวกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ตามคำร้องอัยการผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าวคู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง

ตอบโจทย์?..ผลการชันสูตรศพนายอับดุลลายิ


           แผนการเสี้ยมของสื่อโจรใต้รอบใหม่หลังแพทย์ มอ.หาดใหญ่แถลงข่าวผลการชันสูตรศพ นายอับดุลลายิ ดอเลาะ ไม่พบสิ่งผิดปกติ

            จริงหรือเท็จกรณีสื่อจอมบิดเบือน Wartani นำคำกล่าวของ "กูรอสเมาะ ตูแวบือซา ภรรยาของนายอับดุลลายิ ดอเลาะ สมาชิกแนวร่วมโจรใต้ที่เสียชีวิตในค่ายทหารมาทำการขยายผล “รัฐต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ก๊ะไม่ยอม ก๊ะจะสู้ให้ถึงที่สุด หากกลไกกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับอาแบได้แล้ว ก๊ะก็หวังที่จะพึ่งกลไกกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ ก๊ะจะสู้จนกว่ากลไกกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับอาแบได้แล้ว ก๊ะถึงจะยอมจำนนแล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของพระเจ้าที่จะให้ความเป็นธรรม”

          หากจำไม่ผิดตอนเกิดเหตุใหม่ๆ ฝ่ายญาติของนายอับดุลลายิบ ดอเลาะ หรือเปาะซู ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรทั้งสิ้น แต่กลับมีกลุ่ม องค์กร และบุคคลบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวนำประเด็นดังกล่าวมากระพือข่าวโหมสร้างกระแส ทำให้มีการเข้าใจผิด ตั้งข้อสงสัย ยุแหย่ให้ฝ่ายญาติเกิดการลังเลค้นหาความจริงถึงสาเหตุการตาย

          เพื่อความบริสุทธิ์ใจฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐจึงได้ตั้งคณะกรรมเฉพาะกิจขึ้นเพื่อสอบสวนหาสาเหตุ ตอบปัญหาของสังคมให้เกิดความกระจ่าง ไม่ให้ปัญหาสงสัยคาราคาซังถกเถียงถึงสาเหตุการตายโดยไม่มีหลักฐาน โดยมีสื่อแนวร่วมโจรใต้ทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้นในการนำเสนอข่าวสาร มีกลุ่มนักศึกษา PerMAS เจ้าเก่าคอยเสี้ยมสร้างความแตกแยก หาผลประโยชน์ให้องค์กรโดยแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงใดๆ เลย เพียงแค่ปลุกระดมมวลหมู่สมาชิกนักศึกษาเถื่อนถ่อยคอยเชียร์รอฟังผลการชันสูตรศพ

          แต่เอาเข้าจริง ๆ ญาติกลับไม่ให้มีการผ่าพิสูจน์ศพ นายอับดุลลายิ ดอเลาะ จะเป็นความคิดของญาติหรือความคิดของใครไม่ทราบได้ คณะแพทย์ได้แต่ด้อมๆ มองๆ ศพได้เฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่ประการใด

         การไม่ให้มีการผ่าพิสูจน์ศพ เป็นความกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่แนวความคิดของญาติผู้ตายหรอกนะ เป็นความจงใจของใครบางกลุ่มที่ต้องการสร้างกระแสต่อไม่ให้หนังเรื่องนี้จบบริบูรณ์มีไตรภาคทำการสร้างต่อให้ท่านผู้ชมคอยติดตาม อีกทั้งหวังสร้างกระแสไปสู่อินเตอร์ทำการโปรโมทไปยังต่างประเทศทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยใช้เรือนร่างผู้ตายเป็นจุดขาย...มันช่างมีพิรุธนะ...
        ในอีกมิติหนึ่งเรามาดูผลการชันสูตรของคณะแพทย์ มอ.หาดใหญ่กัน รวมทั้งมุมมองของคณะกรรมการที่ไปร่วมรับฟังในวันแถลงข่าวกันเมื่อวานนี้ ณ ห้องประชุม 201 โรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่
นายแพทย์กิตติศักดิ์ ศรีพงษ์ นิติแพทย์คณะแพทย์ศาสตร์ มอ.หาดใหญ่ กล่าวว่า หลังจากได้รับศพนายอับดุลลายิ ดอเลาะ มาชันสูตรเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทีมแพทย์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการตรวจสอบในทุกจุดที่น่าจะเป็นข้อคำถามเพื่อคลายความสงสัย แต่ตรวจสอบได้เฉพาะภายนอกเท่านั้น เนื่องจากทางญาติไม่อนุญาตให้ทำการผ่าพิสูจน์ โดยผลการตรวจสอบร่างกายภายนอกไม่พบบาดแผล หรือร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด
          นาย แวดือราแม มะมิงจิ กล่าวว่า ผลกระตรวจสอบครั้งนี้ก็ชัดเจนแล้วในประเด็นความสงสัยของการถูกทำร้ายหรือไม่ แม้จะไม่ใช่ผลการตรวจที่ครบถ้วน100% เพราะยังเหลือผลที่ต้องตรวจเพิ่มเติมอีก เช่น ดีเอ็นเอ และคราบเลือด ซึ่งต้องใช้เวลา 1-2 เดือน แต่เท่าที่รับฟังประเด็นที่มีการแจ้งผลวันนี้ก็มีความชัดเจนในหลายประเด็นที่ตอบคำถามที่เป็นข้อสงสัยของสังคมได้ ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน
         ด้านนายอับดุลราแม มะลาแม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ตำบลคอลอตันหยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบฯ กล่าวว่า เท่าที่ได้ฟังรายละเอียดของทีมแพทย์ที่ชันสูตรแล้วก็เข้าใจและไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และจะได้นำข้อมูลไปแจ้งยังครอบครับผู้เสียชีวิตและชาวบ้านในพื้นที่ให้รับทราบผลการชันสูตรของคณะแพทย์ต่อไป

        โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลข่าวสารของกลุ่มผู้ไม่หวังดีสร้างความแตกแยกในสังคม ควรใช้ข้อมูลรอบด้านก่อนการตัดสินใจ

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

PerMAS กับวันสิทธิมนุษยชนสากล..... ........บนความเอนเอียงของผลประโยชน์



           เมื่อ 10 ธันวาคม 2558 ซึ่งตรงกับวันสิทธิมนุษยชนสากล international human rights day สหพันธ์นิสิตนักศึกษาเยาวชนนักเรียนปาตานี PerMAS ได้เข้าพบตัวแทนจากองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย United Nations Thailand เพื่อขอความร่วมมือให้ชุมชนระหว่างประเทศผลักดันให้ประชาชนปาตานีเข้าถึงสิทธิทางการเมืองและให้เกิดกลไกการตรวจสอบร่วมเพื่อปกป้องพลเมืองปาตานีในกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงและกรณีการกระทำผิดหลักกติกาสงครามตามข้อตกลงตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ international humanitarian law

          วันที่ 13 ธันวาคม 2558 กลุ่มโจรใต้ฟาตอนีได้ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม ไปฝังไว้ในหลุมฝังศพมารดาของ อส.ทพ.ซัยค์ เจ๊ะดอมะ สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ซึ่งได้ทำพิธีอ่านคัมภีร์อัลกรุอาน และขอดูอาร์ให้แก่มารดาที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และคนร้ายได้กดชนวนระเบิดในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ อส.ทพ.ซัยค์ เจ๊ะดอมะ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายอาซิ เจ๊ะดอมะ อายุ 63 ปี ผู้เป็นพ่อได้รับบาดเจ็บ


            น่าเศร้าใจ และหดหู่ใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของกลุ่มโจรใต้ฟาตอนีในครั้งนี้ แต่ที่น่าผิดหวังยิ่งกว่านั้นคือ ความคาดหวังว่าจะมีกลุ่มองค์กรนักศึกษา กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ออกมาประณามการก่อเหตุที่ป่าเถื่อน ไร้ซึ่งความปราณี ขาดความยั้งคิดเหมือนคนไม่มีศาสนา


           ขณะเดียวกันกลุ่มนักศึกษา PerMAS กลับไปพบ UN เพื่อขอความร่วมมือให้ชุมชนระหว่างประเทศผลักดันให้ประชาชนปาตานีเข้าถึงสิทธิทางการเมืองและให้เกิดกลไกการตรวจสอบร่วมเพื่อปกป้องพลเมืองปาตานีในกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง แต่
ไม่เคยแยแสกรณีการเสียชีวิตของประชาชนบริสุทธิ์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกระทำจากโจรใต้ฟาตอนี กลับมุ่งเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มตน

          อีกทั้งหากินบนความตายของประชาชน หาช่องความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐนำไปขยายผลให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต โดยการเขียนข่าวสาดสีตีไข่เข้าไปให้ดูเป็นเรื่องสำคัญเพื่อสื่อไปยังองค์กรระหว่างประเทศ อย่างเช่นการเสียชีวิตของ นายอับดุลลายิ ดอเลาะ ภายในค่ายทหาร หน่วยงานภาครัฐเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนรวมทั้งครอบครัวทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่กลุ่มนักศึกษา PerMAS กลับนำไปขยายความทำการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ


           สงสัยเหลือเกินว่า อส.ทพ.ซัยค์ เจ๊ดอมะ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติตนเป็นคนดีกระทำในสิ่งที่ถูกต้องมีค่าความเป็นมนุษย์ ต่างจาก นายอับดุลลายิ ดอเลาะ ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการโจรใต้ตรงไหน?...กลุ่มนักศึกษา PerMAS และกลุ่มองค์กรต่างๆ จึงให้ความสำคัญกว่ามีใครช่วยตอบให้กระจ่างแจ้งได้ไหมครับ


           หรือว่า กลุ่มนักศึกษา PerMAS และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ให้ความสำคัญกับการเรียกร้องสิทธิการกำหนดใจตนเองเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทยเพียงอย่างเดียว อีกทั้งคอยแสวงประโยชน์เก็บเกี่ยวความตายของสมาชิกโจรใต้ในการร้องเรียกเอกราช 


          แต่กับผู้บริสุทธิ์ไม่เคยใส่ใจจะออกมาเรียกร้องใด ๆ เลยเพราะไม่มีผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แสดงว่าบรรดาองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มสิทธิมนุษยชน องค์กรนักศึกษา ไม่มีความเป็น “คน” 
           เพราะตีค่าความเป็นคนเป็นเรื่องของผลประโยชน์!!!...ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องมนุษยธรรมตามที่กลุ่ม และองค์กรนักศึกษาโจรใต้แอบอ้างมาโดยตลอดแต่อย่างใดเลย...

Cr.เพจลมหายใจปลายด้าขวาน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อย่าฝากผีฝากไข้ไว้กับโจร


          โจรใต้มีหลายกลุ่ม และแต่ละกลุ่มก็มีแนวคิดและความรุนแรงเป็นทุนติดตัว ด้วยนิสัยสันดานโจรนี่เองทำให้ก่อเกิดอัตลักษณ์แก้ปัญหาด้วยกระสุน และระเบิด...

          ที่ผ่านมาก็มีภาพปรากฏให้เห็นว่า BRN พูดคุย แต่กลับมีกระแสจากโจรใต้ต่างกรุ๊ปต่างก๊วน ออกมาคัดค้านและก่อเหตุเข่นฆ่าผู้คนให้รัฐบาล และกลุ่มต่างก๊วนเห็น เพื่อแสดงจุดยืนว่ากูไม่เอา "เขตปกครองพิเศษ" กูจะ "แบ่งแยกดินแดน"...

แล้วความซวยจะตกที่ใครล่ะ??? คำตอบคงหนีไม่พ้นประชาชนในพื้นที่นั่นแหละ...


          ปัจจุบัน‬ รามา ปาตานี คือเครื่องมือ การเมืองต่างชาติ ไม่ได้มีอำนาจ หรืออิทธิพลในการควมคุมโจรใต้ แถมความคิดแตกต่างพวกนี่คือละคร หลอกตาประชาชนในสามจังหวัด ให้เชื้อในสิ่งที่อ้าง แต่หมดอำนาจไปนานแล้ว

       ‎หากมองย้อนไปหลายสิบปีก่อน‬ จะเห็นว่าแม้แต่กลุ่มเดียวกันเองยังขาดเอกภาพถึงกับต้องกลุ่ม PULO กลุ่มพูโล แปล เป็นไทยว่า องค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี (Patani United Liberation Organization) ก่อตั้งเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2511 โดย ตวนกูบีรอ กอตอนีลอ หรือ อดุลย์ ณ วังคราม 

บัณฑิตจากอินเดีย ได้รวมเพื่อนๆ จัดตั้งองค์กรนี้ที่ซาอุดิอาระเบีย การดำเนินงานในระยะแรกเน้นการปลุกระดมมวลชนโดยมีกลุ่มเป้าหมายที่ผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่น

        พูโลจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2519 ผู้นำกองกำลังที่สำคัญมีหลายคน เช่น 
  • หะยียูโซะ ปากีสถาน และ
  • หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ 
        มีการส่งเยาวชนไปฝึกวิชาทหารและการก่อวินาศกรรมที่ลิเบียและซีเรีย องค์กรเริ่มมีปัญหาจากการปราบปรามของรัฐและนโยบายใต้ร่มเย็นในช่วงหลัง จน พ.ศ. 2525 จนนำไปสู่การแตกแยกภายในองค์กร
การแยกตัวเป็นพูโลเก่าและพูโลใหม่

         พ.ศ. 2528 ดร.ฮารง อเมริกา หรือ ฮารง มูเล็ง บังคับให้ตนกูบีรอกอตอนีลาออก หะยีสะมะแอ ท่าน้ำที่อยู่ฝ่านตนกูบีรอไม่พอใจจึงเริ่มมีการแข็งข้อ พ.ศ. 2531 ดร.ฮารงถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ผลของความขัดแย้งนี้ทำให้หะยีสะมะแอแยกไปจัดตั้งกลุ่มอาบูยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2532
พูโลใหม่:

ตราพูโลจากเว็บไซต์พูโล เริ่มใช้ปี 2548 มีดาวห้าดวง

           ดร.ฮารงและหะยีฮาดี บินรอซาลี ได้ปรับองค์กรใหม่เปลี่ยนชื่อและสัญญลักษณ์ขององค์กร จนพ.ศ. 2536 หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำกับหะยีสะมะแอขัดแย้งกัน หะยีดาโอ๊ะหนุน ดร.ฮารงให้แยกมาจัดตั้งพูโลใหม่เมื่อ พ.ศ. 2538 จน พ.ศ. 2541 พูโลใหม่ประสบปัญหาเมื่อสมาชิกระดับแกนนำหลายคนถูกจับกุมรวมทั้งหะยีดาโอ๊ะ บางส่วนทยอยออกมอบตัว ปัจจุบันการต่อสู้ด้วยอาวุธของพูโลใหม่เหลือไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในเขตจังหวัดนราธิวาสและยะลา กลุ่มนี้อยู่ภายใต้การนำของคณะกรรมการที่มี่จำนวนประมาณ 20 คน มีหะยีฮาดี บินรอซาลี เป็นผู้นำ และไม่มีผู้ใดปรากฏในสื่อมวลชน นอกจากลุกมาน บินลีมา ที่มีฐานเคลื่อนไหวในสวีเดน มีเว็บไซต์เป็นของตนเองคือ  pulo.org จากนั้นใด้มีการเปลียนแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น www.puloinfo.net


         กลุ่มของตนกูบีรอได้รับการเรียกขานว่าพูโลเก่าซึ่งแม้กลุ่มของดร.ฮารงจะแยกออกไปแล้ว แต่กลุ่มนี้ก็ยังมีความขัดแย้งภายในอยู่ระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหาร

แล้วท่านผู้มีอำนาจจะฝากผีฝากไข้โจรใต้ให้ดูแลประชาชนอย่างนั้นหรือ..???
"กบฏต้องโทษฐานกบฏ ไม่ใช่ตบรางวัล....."