วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คงอีกไม่นาน โรคเอดส์จะแดกไอซิส ไปเอง



        ชายหนุ่มที่อยากเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส เพื่อเป็นนักรบญิฮัด ต้องผ่าน "พิธีแต่งงาน" (marriage) 
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติในด้านมืดของกลุ่ม IS ที่ถูกเปิดเผยโดยนักรบไอเอสที่ถูกจับโดยทหารเคิร์ดในซีเรีย โดยมีการสอบสวนและซักถามในหลายเรื่องซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการ "รับน้อง" นักรบรุ่นใหม่เข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม

        มีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่สมัครใจเข้าร่วมกลุ่ม แต่หลายคนถูกลักพาตัว และถูกข่มขู่บังคับให้เข้าร่วมโดยไม่เต็มใจ และนี่เป็นตัวอย่างการบอกเล่าจากไอเอสบางคน ที่ถูกซักถามและบันทึกคลิปวีดีโอไว้เป็นหลักฐานโดย The STERK TV

       ไอเอสคนหนึ่งเล่าว่า เขาและคนอื่นอีก 10 คนได้ถูกคัดเลือกโดยผู้บัญชาการทหารระดับสูงของไอเอส (prince) ที่ชื่อ Abu Ala' อาบู อาลา ได้บอกว่าพวกเขาต้องผ่าน "พิธีแต่งงาน" (marriage) ทุกคน ซึ่งความหมายของพิธีแต่งงานก็คือ "การร่วมเพศ" กับเขา โดยที่ เขายืนยันว่า การร่วมเพศนี้ เป็นฮาลาล(Halal) สำหรับเขา คือ เขาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทำพิธีนี้ได้ฝ่ายเดียวโดยไม่ผิดหลักศาสนา 

      จากนั้นอาบู อาลาก็ได้ทำพิธีแต่งงานและร่วมเพศทางทวารหนัก (sodomize) แก่ไอเอสน้องใหม่ทั้ง 11 คน... บางคนจะขอ sodomize เขาบ้าง เขาก็ไม่ยอม ซึ่งในขณะที่ทำพิธี sodomize เขาก็จะถ่ายคลิปวิดีโอของทุกคนไว้เพื่อแบล็คเมล์ชายหนุ่มที่ไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่ม โดยจะส่งคลิปวิดีโอเหล่านี้ไปให้ครอบครัวของพวกเขาดู และบางครั้งก็จะเก็บไว้ขู่นักรบไอเอสรุ่นใหม่

       ในคลิปวีดีโอของ sterk tv มีการซักถามไอเอสที่ชื่อ Abdul Kareem Ibrahim Bazo เขาบอกว่า เขาถูกผูกตาและถูกข่มขืน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ กลุ่มไอเอสที่ข่มขืนเขาได้มาหาเขาและบอกว่าเขาต้องเข้าร่วมกลุ่ม แต่เขาไม่ต้องการ จึงถูกไอเอสขู่ว่าจะส่งคลิปวีดิโอ "พิธีแต่งงาน" ของเขาไปให้ครอบครัวเขาดู

      Ferhan Salim Unuf Safen วัย 20 บอกเล่าถึงรายละเอียดที่เขาถูกกลุ่มไอเอสจับตัวมา และถูกไอเอสประมาณ 6-7 คนข่มขืน เขาอับอายที่จะบอกรายละเอียดวิธีการที่กลุ่มไอเอสได้ทำกับเขาไว้ แต่ได้บอกว่าเขาถูกข่มขืนจนสลบ หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา กลุ่มนักรบไอเอสได้บอกกับเขาว่า "ตอนนี้คุณเป็นพวกเราแล้ว"

      ไอเอส Ahmed Hussain ได้เล่าถึงสิ่งที่เผชิญมาผ่านกล้องวิดีโอ บอกรายละเอียดที่เขาถูกจับตัวมา ยาเสพติด การถูกทรมาน การถูกบังคับให้เข้า "พิธีแต่งงาน" และการถูกรุมข่มขืนโดยกลุ่มไอเอส.. "พวกเขาแต่งงานกับผม 15 ครั้ง และเขาก็ล้างหัวของผม ใส่โคโลญจ์บนตัวผม พวกเขาบอกผมว่า ไม่มีใครสามารถเข้าร่วมกลุ่มไอเอสได้ โดยปราศจากการเข้า 'พิธีแต่งงาน'..."
.....

       มีนักรบไอเอสหลายคนที่ต้องการออกจากกลุ่มแต่ไม่สามารถทำได้ หลายคนทนทุกข์ทรมาน ถูกกดดัน ภายใต้กฎของกลุ่ม หากใครขัดขืนไม่ยอมทำตามก็จะถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดและโชว์ให้ไอเอสคนอื่นดูเพื่อข่มขวัญ วิธีการเหล่านี้มันก็คือการสังหารทางด้านจิตวิทยาแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและต้องการอิสรภาพ...


http://shoebat.com/…/major-isis-leader-recruits-eleven-mus…/

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คำพี ....อันกูละหื่น



ISIS ประกวดท่องอัล-กุรอาน โดยจะได้ทาสสาวฟรีเป็นของรางวัล

         กลุ่มไอเอส เฉลิมฉลองเดือนรอมฎอน โดยการจัดประกวดท่องจำบทอัล-กุรอาน ว่าด้วยบทที่เกี่ยวกับการสงครามทั้งหมด ใครจำได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ได้รับรางวัลสูงสุดคือทาสหญิง 1 คน

         การประกวดครั้งนี้จัดขึ้นทั่วจังหวัด อัล-บารากะฮ์ (al-Barakah) ของประเทศซีเรีย และจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21-27 มิถุนายน 2558 โดยผู้ชนะลำดับที่ 1 - 3 จะได้ทาสสาวฟรี 1 คน ส่วนลำดับที่ 4 -10 จะได้เป็นเงินรางวัล

        ไอเอสได้มีการลักพาตัวหญิงสาวในภูมิภาคนี้เพื่อนำมาขายเป็นทาส และนำมาเป็นของรางวัลสำหรับนักรบไอเอสที่ทำผลงานดี ซึ่งหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งที่เป็นชาวคริสต์ ยาซิดิและศาสนาอื่นๆ
.

shoebat.com/2015/06/24/isis-conducts-a-koran-memorization-contest-in-honor-of-ramadan-the-one-who-can-remember-the-koran-the-best-gets-a-free-sex-slave/

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทสุดท้ายของโจรใต้...ปล้นรถยนต์



        ถูกดำเนินคดี ความผิดฐาน ร่วมกันก่อการร้ายด้วยการวางระเบิดทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคล

       จากกรณีเมื่อ 31 พ.ค.58 เหตุคนร้ายจำนวน 5 คน แต่งกายด้วยชุดดำ ปล้นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ฟอร์ด สีเขียว ทะเบียน บท 2614 ปัตตานี ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา

      เจ้าหน้าที่ได้ติดตามไล่ล่า และแจ้งด่านตรวจสกัดจับรถยนต์กระบะคันดังกล่าว หลังถูกคนร้ายได้ปล้นไป จนในที่สุดคนร้ายได้นำรถไปจอดทิ้งไว้ในมัสยิดทางลัดพงยือไร ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา

       และในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการจับกุม นายอับดุลฟาริด สะกอ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/1 ม.1 ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จว.ยะลา ตามหมายจับ ศาลจังหวัดยะลา ที่ ฉฉ.27/2558 ลง 5 มิ.ย.2558 ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเหตุปล้นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ฟอร์ด เพื่อนำไปก่อเหตุ

       ล่าสุด นายอับดุลฟาริด สะกอ ถูกดำเนินดำเนินคดี ที่ 175/2558 ความผิดฐาน ร่วมกันก่อการร้ายด้วยการวางระเบิดทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคล

       คำถาม? ที่ไร้คำตอบ และตั้งข้อสังเกต ตกลงเป็นการปล้นรถ หรือสมยอมให้รถยนต์คันดังกล่าวกับโจรใต้กันแน่!! 

       การนำเสนอข่าวของสื่อแนวร่วมโจรใต้มักจะมีการชี้นำทางความคิด ด้วยการบิดเบือนข่าวสารสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ 

      ด้วยข้อความ "คนร้ายจำนวน 5 คน แต่งกายด้วยชุดดำ"  และมาถึงจุดนี้ชัดเจนหรือยังครับ!! กับผลการสอบสวนและส่งตัวดำเนินคดีโจรใต้ฟาตอนีที่ทำการปล้นรถยนต์ เพื่อนำไปใช้ในการก่อเหตุ 

      หากกระทำสำเร็จมีผู้คนอีกกี่ชีวิตจะต้องบาดเจ็บล้มตาย ทรัพย์สินเสียหายด้วยน้ำมือโจรใต้เลวๆ เหล่านี้

      ข้อสงสัยข้อสุดท้าย เพื่อเป็นข้อคิด ทำไม? ต้องนำรถยนต์ไปทิ้งในสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาด้วย หรือผู้สั่งการแนวร่วมขบวนการอยู่แถวนั้น 

      น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับตัวผู้กระทำการปล้นรถยนต์คันดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ลองนึกภาพดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการปฏิบัติการข่าวเท็จยัดเยียดความผิดให้เจ้าหน้าที่…

เหี้ย!!! ไม่เลิกจริงๆ โจรใต้ควายตอนี

อ้าว..เห็นท่าน ผอ.สถานบอกว่า เราอุตส่าห์สร้างคนดี "ส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดี...นักศึกษามือระเบิดยะลา"



ส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดี...นักศึกษามือระเบิดยะลา


       นายไซดี ทากือแน อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/2 ม.1 ต.กาบัง อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว ตามหมายจับของศาลจังหวัดยะลา ที่ ฉฉ.22/2558 ลง 4 มิ.ย.2558 จากการที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัว นาย ไซดี ทากือแน เนื่องจากเป็นผู้ต้องสงสัยมีความเชื่อมโยง ผกร.มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา 44 จุด รวม 56 ลูก เมื่อ 14-16 พ.ค.58 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมทั้งหมด 18 ราย


       นายไซดี ทากือแน จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ชั้น 10 ปัจจุบันกำลังศึกษา ดีโพมา (อนุปริญญา) วิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา

       จากการซักถาม นายไซดีฯ ได้ยอมรับว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลาจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่ประการใด

       เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับคำให้การยอมรับสารภาพของนายไซดีฯ ส่งดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลเพื่อพิจารณาลงโทษตามกฎหมายต่อไป


       นายสุไฮมี ดุละสะ ประธาน PerMAS จะว่าอย่างไรเมื่อผลสรุปออกมาเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำอวดดีไปป่าวประกาศหน้า UN หน้าสถานเอกอัครทูตมาเลเซีย เรียกร้องให้มีการตรวจสอบกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

       นักศึกษาโจรใต้ PerMAS คุณคือโจรก่อการร้าย ใช้ระเบิดแสวงเครื่องในการก่อเหตุ มุ่งหมายเอาชีวิตของผู้คน น่าจะจับไอ้พวกอัปรีย์เหล่านี้ไปผูกมัดกับระเบิดที่มันผลิตขึ้นมาจัง…

       การเคลื่อนไหวของกลุ่ม PerMAS นับว่าผิดพลาดในการเดินเกม แถมลงมือก่อเหตุเสียเอง คงไม่มีหน่วยงานไหนหรอกนะที่ปัญญาอ่อนเล่นด้วยกับนักศึกษาโจรใต้เหล่านี้....ประกาศให้ก้องโลก...เพื่อนเราเป็นโจรลอบวางระเบิด..เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์...BRN เงิบเลยต้องชิดซ้าย..ไม่แน่นะกลุ่ม PerMAS อาจจะเป็นแกนนำแทน BRN ในการพูดคุยกับรัฐบาลไทย เพราะมีทั้งกองกำลังทหาร และทำงานการเมืองควบคู่ไปด้วย คอยติดตามความชั่วกันต่อไป..

เมื่อ ‘ตูแวดานียา’ ประกาศ ‘ผมนี่แหละ BRN’

ทีี่มา :  http://board.postjung.com/887853.html

     พึ่งกลับมาจากเยี่ยมญาติที่เชียงใหม่ เจอกับหลานเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย  เล่าให้ฟังว่าเมื่อกลางเดือนที่แล้วได้ไปงาน “พื้นที่พลเมือง เปลี่ยน (ไม่) ผ่าน“  ซึ่งเขาจัดที่ร้านน้ำชาสนิมทุนเชียงใหม่ กลุ่มปาตานี ฟอรั่ม กลุ่มลุ่มน้ำสายบุรี องค์กรอะไรก็ไม่รู้เขียนว่า LEMPAR คนประชาธิปไตย พลเมืองเสมอกัน เมื่อ 15 พฤษภา ที่ผ่านมา

     หลานและเพื่อน ของเขาเล่าให้ฟัง ท่าน ตูแวดานียา ตูแวแมแง เป็น ผอ.ของ องค์กร LEMPAR เล่าว่าความหมายของคำว่าปาตานีเป็นชื่อของอาณาจักรของคนมลายู ที่ไม่เหมือนกับคำว่าปัตตานี ซึ่งเป็นชื่อจังหวัดของประเทศไทย ฟังดูมันยังไง ๆ เหมือนแบ่งแยกนะ แต่เด็กๆ เขากลับไม่ได้คิดอะไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ท่านบอกว่าเกิดมาตั้งนานแล้วตั้งแต่เกิดจากการต่อต้านของกลุ่มเจ้าเมืองเก่า

     ต่อมาเป็นการต่อต้านโดยกลุ่มผู้นำทางศาสนา และตั้งแต่ปี 2503 เกิดการลุกขึ้นสู้ของปัญญาชนจากรามคำแหง หรือกลุ่มที่จบจากอินโดนีเซีย และอียิปต์ เป็นเบ้าหลอม ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะคนของ BRN  จนมีอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกกลุ่ม รวมทั้ง แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ  

      กลุ่มนี้ เมื่อก่อเหตุเสร็จ ก็จะกลับไปเป็นชาวบ้าน ชาวสวน ท่าน ผอ.ตูแวดานียา บอกว่าตัวท่านเองก็เป็นแนวร่วมของ BRN ด้วยเช่นกัน แต่ที่ ไม่ถูกจับหรือเป็นอะไร ? เพราะมีนักศึกษาหลายสถาบันหนุนหลังอยู่...

      ชัดเจนว่าแนวร่วม BRN น่าจะกระจายอยู่ในกลุ่มนักศึกษาหลายโรงเรียนวิทยาลัยมหาวิทยาลัย.......................... 



          เรื่องที่ ผอ.ตูแวดานียา เล่า มันก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไม ngo ทั้งหลาย รวมทั้งกลุ่มนักศึกษาใน 3 จังหวัดบ้านเราถึงไม่ค่อยออกมาประนาม หรือแสดงความไม่เห็นด้วยเวลามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นกับคนทั่วไปโดยเฉพาะกับคนไทยพุทธ ก็คงจะเป็นอย่างที่ ผอ.ตูแวดานียาว่า เป็นเพราะ ngo และนักศึกษาจำนวนไม่น้อย เป็นแนวร่วมของกลุ่มผู้ก่อเหตุ… แต่พูดอย่างนี้ ก็ดูจะเหมารวมเกินไป เอาเป็นว่าใครอยากจะรู้ก็คงต้องไปลองสืบๆ ดูว่า แกนนำ ngo หรือภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวในบ้านเราตอนนี้จบการศึกษามาจากไหนบ้าง ถ้าส่วนมากจบมาจากรามคำแหง อินโดนีเซีย หรืออียิปต์ ก็คงไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก

        เรื่องจะให้พวกเขามาเป็นปากเป็นเสียง เป็นทางเลือกที่จะช่วยสร้างสันติภาพในพื้นที่...และถึงแม้ว่าท่านตูแวดานียาจะไม่ได้พูดถึงสถาบันการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดที่เป็นแหล่งบ่มเพาะ แต่ก็น่าเชื่อว่าคงจะมีด้วยแน่ๆ แต่จะเป็นที่ไหนบ้างนั้น ก็คงต้องดูว่านักศึกษากลุ่มไหนที่เป็นพันธมิตร หรือทำกิจกรรมร่วมกับองค์กร LEMPAR บ่อยๆ

      นอกจากนี้ ข้อมูลที่ ท่าน ผอ.ตูแวดานียา พูดมาจากการรู้จริง และจากประสบการณ์จริงของความเป็นคนในพื้นที่ เป็นผู้นำองค์กรที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก มันช่วยตอกย้ำข้อสงสัยหลายๆครั้งที่ผ่านมา ว่า


  • ทำไมเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
  • ที่นี่มันถึงเกิดได้ง่าย 
      ทั้งในพื้นที่ตัวเมือง ย่านชุมชน และในตลาด ทั้ง ๆ ที่ด่านตรวจตั้งเยอะแยะ ที่แท้ก็เป็นอย่างที่ท่านตูแวดานียาว่านี่เอง ว่าคนเป็นแนวร่วมก็คือชาวบ้านไม่มีเครื่องแบบเราดี ๆ นี้แหละ ก่อเรื่องเสร็จก็แปลงกลับไปตีหน้าซื่อเป็นชาวบ้าน ชาวสวน คงจะเหมือนในคลิปคนวางระเบิดในยะลา และนราธิวาส ที่เขาส่ง ต่อๆกันมาในไลน์ ที่มีกระทั่งพวกใส่ชุดดาวะ ไม่รู้ว่าดาวะปลอม หรือดาวะจริงๆ ที่ทำงานเสริมเป็นแนวร่วมไปก่อเรื่องกับเขาด้วย

        ส่วนราชการทั้งหลายก็ควรจะเอาข้อมูลของ ท่าน ผอ.ตูแวดานียา ไปคิดด้วยนะ ว่าคนของท่านๆทั้งหลายมีใครเป็น BRN หรือเปล่า ไม่ได้จะยุแยงหรอกนะ แต่บอกตรงๆว่าได้อ่านเรื่องรายงานที่มีตราลับมาก ในไลน์บ่อยมาก มันคงจะจริงอย่างท่าน ผอ.ว่าแน่ ๆ ไม่งั้นมันจะหลุดออกมาเรื่อยๆ ได้ยังไง ยกเว้นว่าพวกคุณมันโหลยโท่ย และห่วยจริง

       สรุปก็คือ ประชาชนคนทั่วไปซวยที่สุด คือ เจ้าหน้าที่แยกไม่ได้ว่าใครเป็นชาวบ้านทั่วไป ใครเป็นโจร เลยคุมไม่ได้เต็มที่ทำให้ยังมีเหตุระเบิด เหตุยิง อย่างที่เป็นอยู่ แถมพอเกิดเรื่อง แทนที่จะได้ ngo ออกมาช่วยกันประณามกดดันไม่ให้มีการทำร้ายประชาชน พวกมีปากมีเสียงดันพากันเงียบ เป็นแนวร่วมซะอีก

       ยังไงก็ดี ในฐานะคนในพื้นที่ รับรู้ความสูญเสีย เห็นและผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาหลายครั้ง ขอประกาศตรงนี้เลยว่า จริง ๆ ก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ เรื่องที่พวกคุณ ๆ ทั้งหลายทั้ง BRN พูโล NGO และนักศึกษาอยากจะแบ่งแยก อยากเป็นเอกราช จะโดยการใช้ความรุนแรง หรือการเรียกร้องให้ประชาชนตัดสินใจเลือกอย่างที่ ท่าน ผอ.ตูแวดานียา ว่าเพราะเห็นด้วยว่าประชาชนควรมีสิทธิ์เลือกและตัดสินใจหากรัฐไม่สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่ดีได้จริงๆ

       แต่รู้ไหม ??  การที่พวกคุณใช้ความรุนแรงกับประชาชน เพิกเฉยกับความสูญเสียของประชาชน มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่คุณกล่าวหารัฐบาลเลยแม้แต่น้อย และการเคลื่อนไหวของพวกคุณจะไม่มีวันชอบธรรมหรือได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ได้เลย เพราะไม่ใช่แค่คนไทยพุทธที่เป็นเหยื่อการเลือกปฏิบัติของพวกคุณเท่านั้น ที่จะต่อต้าน แต่คนมลายูนับถืออิสลามหลายๆคนเขาก็ไม่เอาพวกคุณด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นคนทรยศ หรือไม่รักพี่น้องอิสลามด้วยกันหรอกนะ แต่เพราะว่าจนถึงวันนี้ พวกคุณทั้งหลายยังไม่สามารถทำให้พวกเขาเห็น ว่า พวกคุณคือทางเลือกที่ดีกว่า นั่นเอง…เข้าใจนะ

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความคืบหน้า เหตุคนร้ายประกบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ


โดย : ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน


ความคืบหน้า เหตุคนร้าย ประกบยิง ด.ต.มานพ ไชยชนะ อายุ 49 ปี ผบ.หมู่ สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับจากการ รปภ.ครูโรงเรียนศรีวาริน ล่าสุด ทางด้าน พ.ต.อ.เรืองศักดิ์ บัวแดง ผกก.สภ.รือเสาะ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังร่วม 3 ฝ่ายเข้าทำการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยยิง ด.ต.มานพ ได้แล้ว โดยควบคุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 99 ม.6 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ ผู้ต้องหาคือ นายมะนาอิง วอมะ อายุ 21 ปี พร้อมอาวุธปืนพก ขนาด9ม.ม. ของกลาง และรถจักรยานยนต์ ทะเบียน กงล716เบตง หลังจับกุมได้ที่บ้านพัก เมื่อวันที่15มิ.ย. ที่ผ่านมา เบื้องต้นผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพว่า ร่วมก่อเหตุจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ทำการขยายผลไปสู่ผู้ร่วมขบวนการต่อไป


ส่วนสาเหตุนายมะนาอิง ยังไม่ยอมเปิดเผยแก่เจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ซึ่งในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัติแล้ว นายมะนาอิง ไม่เคยก่อเหตุร้ายใดๆมาก่อน

โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้กำลัง80นาย นำนายมะนาอิง ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตั้งแต่ขี่รถ จักรยานยนต์ตามประกบ แล้วใช้อาวุธปืนพก ขนาด9ม.ม. ยิง ด.ต.มานพ ขณะขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับจุดตรวจ เป็นเหตุให้ ด.ต. มานพ เสียชีวิต ก่อนมาถูกเจ้าหน้าที่ตามจับกุมตัว

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทาง นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้อัญเชิญพวงมาลาพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์รวม 11 พวง วางหน้าหีบศพ ด.ต.มานพ ไชยชนะ ทหารกล้าผู้เสียสละอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เผยโฉม วงจรคนชั่ว กลุ่มวางระเบิดยะลา คือคนในเครือ PerMAS



โดย ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน


วงจรความชั่ว..สุดโต่ง
สุดท้ายผู้ที่ระเบิดยะลาคือคนในเครือ PerMAS

       การติดตามจับกุม และปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในห้วงระยะนี้อาจจะเงียบๆ ไป เนื่องจากเข้าสู่ห้วงเดือนรอมฎอน หากมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อติดตามตัวคนร้ายอาจจะเกิดการปะทะจะกลายเป็นภาพความรุนแรง จะเป็นประเด็นให้ฝ่ายที่ไม่หวังดีนำไปเป็นข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐมุ่งใช้ความรุนแรงไม่เว้นแม้กระทั่งเดือนรอมฎอน เดือนแห่งการทำความดีของพี่น้องมลายูปาตานีในการถือศีลอด ละความชั่ว มุ่งทำความดี ซึ่งมีความเชื่อว่าหากผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามมีการปฏิบัติศาสนกิจที่เคร่งครัด และถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามจะได้รับผลบุญหลายเท่า

         ความคืบหน้าในการติดตามตัวคนร้ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหตุลอบวางระเบิด พื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เมื่อ 14– 16 พฤษภาคม 2558 ซึ่งก่อนนี้ผู้ต้องสงสัยจำนวน 4 ราย คือ 
  • นายอับดุลฟาริด สะกอ, 
  • นายไซดี ทากือแน, 
  • นายซอบรี กาซอ และ 
  • นายแยสฟรี หะยีปูต๊ะ 
        ทั้งสี่รายให้การรับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิด จำนวน 44 จุด และผู้ที่ยอมรับสารภาพนั้น มี 2 ราย ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซึ่งกำลังศึกษาอยู่วิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา และ มอ.ปัตตานี
       จากแหล่งข่าวได้เปิดเผยว่าเมื่อ 16 มิถุนายน 2558 เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเพื่อเข้าทำการตรวจค้น บ้านเลขที่ 16/2 หมู่ 4 ตำบลกอตอตือร๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา และผลการปฏิบัติสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย คือ นายหมัดมูลกี กาโอง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องเหตุลอบวางระเบิด พื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 

        การเข้าควบคุมตัว นายหมัดมูลกี กาโอง สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบภาพ นายหมัดมูลกี กาโอง ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุ ซึ่งเป็นกล้องวงจรปิดของประชาชน บริเวณร้านทองดี พื้นที่ หมู่ 9 ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้บันทึกภาพเจอในวันเกิดเหตุ

        นายหมัดมุกี กาโอง เคยถูกจับกุมเมื่อ 25 มกราคม 2556 เนื่องจากถูกซัดทอดจาก นาย อับดุลเลาะ บาเห ว่าร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดปลอม ในพื้นที่ อำเภอเมืองยะลา เมื่อ 7 ตุลาคม 2555 แต่เจ้าตัวได้ให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงได้ปล่อยตัวไป

      หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวไปในเวลาต่อมา นายฮาซัน มูซอดี ซึ่งถูกจับกุมตัวเมื่อ 7 ตุลาคม 2556 ได้ซัดทอดว่า นายหมัดมูลกี กาโฮง เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับปฏิบัติการ และได้เคยก่อเหตุมาแล้ว 5 เหตุการณ์ ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญ กรณีวางวัตถุต้องสงสัยหน้าร้านน้ำแข็ง ถนนวิฑูรย์อุทิศ เมื่อ 7 ตุลาคม 2555 โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ พร้อมนายฮาซันฯ เพื่อดูต้นทางซึ่งได้วัตถุพยานจากกล้อง CCTV

      ส่วนข้อมูลเชิงลึกเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า นายหมัดมุกี กาโอง มีน้องชายชื่อ นายอับดุลเลาะ กาโฮง ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เคยเข้าร่วมกิจกรรมกับ กลุ่ม PerMAS ในการเคลื่อนไหวงานทางการเมือง สนับสนุนกลุ่มขบวนการ BRN
     นับเป็นความเชื่อมโยงที่ใกล้ตัวกลุ่มนักศึกษา PerMAS เข้าไปทุกที ก็จะต้องคอยจับตาดูกันต่อไปว่าหน่วยงานความมั่นคงจะจัดการกับนักศึกษาโจรใต้เหล่านี้ให้อยู่หมัดกันอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถการันตีได้จากการยอมรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยหลายรายในห้วงที่ผ่านมา กลุ่ม PerMAS ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวงานการเมืองเพียงอย่างเดียวต่อไปอีกแล้ว แต่มีกองกำลังของตัวเองที่ลงมือทำการก่อเหตุ แล้วสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง กดดันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ช่วยเหลือพวกเดียวกันเองให้พ้นผิด....

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"อภิบาลแบ" นามสกุลนี้ ชาวยะลารู้ดีว่าเขาคือใคร...เมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้.......จุดจบก็เป็นเช่นนี้....



เมื่อเวลา 17.50 น. วันนี้ (13 มิ.ย.58) เกิดเหตุยิงกันบนถนนสาย 410 ยะลา – เบตง บริเวณ ม. 3 บ.เงาะกาโป ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา

ในที่เกิดเหตุพบแต่เพียงรถจักรยานยนต์ ของผู้บาดเจ็บตกอยู่ในคูริมถนน ส่วนผู้บาดเจ็บพลเมืองดีได้ช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลยะลา แต่ผู้บาดเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลจากการสอบสวนทราบว่า ผู้เสียชีวิตคือ

นายมะรูดิง อภิบาลแบ อายุ 25 ปี
89 หมู่ 4 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา

- เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ และสมาชิกกลุ่ม RKK
- เข้าเวรเพื่อแจ้งเตือนการเข้ามาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- เป็นผู้ควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มสมาชิกในหมู่บ้าน
- ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยการเผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบ
- เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับจากตลาดในอำเภอบันนังสตา ระหว่างทางเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายขับขี่รถ จยย.ตามมาและประกบยิงจนเสียชีวิตดังกล่าว คาดขัดแย้งกันเอง

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลูกหัวหน้า BRN เรียนอยู่ในกรุงเทพฯ ลูกหลานฟอตอนนี เรียนปอเนาะ และเป็นขี้ข้า BRN



“นักรบยูแว” คือโจรใต้ที่ BRN หลอกใช้

       “นักรบยูแว” ที่ได้มีการกระทำพิธีซุมเปาะห์ หลายต่อหลายคนไม่รู้ศาสนา ถูกกลุ่มขบวนการหลอกให้เข้าร่วมทำการก่อเหตุ และมีความเชื่อว่าเมื่อมีการซุมเปาะห์ หรือสาบานตนแล้วไม่อาจลบล้างหรือคืนคำได้ เนื่องจากคนที่ซุมเปาะห์ได้ปฏิญาณต่อหน้าคัมภีร์ที่หมายถึงตัวแทนพระเจ้า การละทิ้งหรือถอนคำสาบานถือว่าเป็นบาปใหญ่ยิ่ง

      จากการไม่รู้ศาสนา และมีความเข้าใจที่ผิด ๆ ถูก ๆ กลับกลายเป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการแสวงประโยชน์ ด้วยการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาขึ้นมา โดยใช้อุสตาดที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่เคารพนับถือ ทำการบรรยายชักนำให้มีการเข้าร่วมขบวนการ และนำไปสู่การกระทำพิธีซุมเปาะห์ หลังกระทำพิธีเสร็จสรรพ อุสตาดได้สร้างความฮึกเหิมแก่นักรบยูแวรุ่นใหม่ 'คนมลายูใช่ว่าจะได้ร่วมยูแวกันได้ทุกคน'

      พิธีซุมเปาะห์ โดยอุสตาดให้ผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีสาบานตนทำการกรีดเลือดตนเองหยดลงในขันน้ำ ขณะที่อุสตาดผู้กระทำพิธีกล่าวคาถาด้วยภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ ผู้เข้าร่วมพิธีจับมือขวากันวางไว้บนคัมภีร์กลางวงล้อม และกล่าวตาม หลังจากนั้นให้ทุกคนร่วมกันดื่มน้ำในขันใบนั้น เมื่อดื่มน้ำเสร็จพิธีกรรมอันเป็นเสร็จสิ้นสมบูรณ์

        เป็นอันว่าสมาชิกเหล่านี้ได้เข้าร่วมขบวนการอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นมีการฝึกฝนทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีการสร้างกำลังใจต่อผู้ที่ผ่านการซุมเปาะห์แล้วว่าไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งอาวุธของศัตรูก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้

       แต่ในทางกลับกันหากผู้ใดไม่รักษาซุมเปาะห์ กระสุนปืนที่อยู่ก้นขันที่กระทำพิธีจะกลับเข้าหาตัวเอง นักรบยูแวจะได้รับการฝึกด้วยอาวุธตามยุทธวิธีทั้งการรบแบบหน่วยทหารขนาดเล็ก และการรวมกันเป็นกองกำลังขนาดใหญ่เข้าตีเป้าหมายสำคัญ รอออกปฏิบัติการตามสั่งการของระดับแกนนำต่อไป
การซุมเปาะห์ไม่มีในศาสนาอิสลาม จะมีก็แต่การเนี๊ยต หรือการตั้งเจตนาก่อนที่จะกระทำใดๆ ตามที่อัลลอฮ์สั่ง ซึ่งถ้าหากไม่สามารถที่จะทำตามที่ตั้งเจตนานั้นได้ สามารถที่จะชดเชยความบกพร่องเหล่านั้นด้วยการบริจาคซะกาต หรือการถือศีลอด 

      ส่วนการซุมเปาห์ที่มีลักษณะสาบานไม่ว่าต่อหน้าสิ่งใด ๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะที่จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใดนอกจากอัลลอฮ์บันดาลให้เกิดความเป็นไปต่างๆ นั้นเป็น “ซีริก” ผิดหลักศาสนา เพราะศาสนาอิสลามไม่มีสิ่งอื่นใดที่ยิ่งใหญ่ และบันดาลสิ่งต่างๆ นอกจากอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และอีกประการหนึ่ง การซุมเปาะห์ หรือสัญญาที่จะร่วมกันทำในสิ่งที่อัลลอฮ์ห้าม มันย่อมโมฆะด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

      การถอนซุมเปะห์ของบรรดาเหล่านักรบยูแวที่มีการกล่าวถึงนั้น แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเพื่อความสบายใจ ซึ่งขั้นตอนนั้นบาบอได้กล่าวนำวลีเจตนาในการปฏิบัติเพื่อชดเชยความผิดพลาดในสิ่งที่ผ่านมา เมื่อมีการกล่าวจบ บาบอยกมือทั้งสองข้างหงายฝ่ามือเข้าหาใบหน้ากล่าวดุอาร์ด้วยภาษาคัมภีร์ ทั้งผู้ที่เข้าถอนซุมเปาะห์และผู้เข้าร่วมพิธีที่อยู่ ณ ตรงนั้นจะทำตาม จนกระทั่งบาบอเอาฝ่ามือแตะที่ใบหน้า และยื่นมือทั้งสองให้ผู้เข้ารับการถอนซุมเปาะห์จับอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นเข้ารับการถอนซุมเปาะห์จะต้องบริจาคทาน และถือศีลอดเป็นเวลาสามวันเป็นอันสิ้นสุด

      ตำราญิฮาด ที่กลุ่มขบวนการใช้ปลุกระดมสมาชิกแนวร่วม จะกล่าวไว้ว่าในสงครามญิฮาดคนจะถูกแบ่งออกเป็นสามพวก คือ
  • คนฝ่ายเรา “ยูแว” 
  • ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ “กาเฟร” หรือ คนต่างศาสนาที่เป็นศรัตรู และ
  • พวก “มูนาฟิก” คือคนมลายูที่เข้าข้างกาเฟร 
     มูนาฟิก และกาเฟร สามารถที่จะทำการเข่นฆ่าได้

     การญิฮาด หรือการต่อสู้เพื่อศาสนาที่แท้จริงนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีผู้นำฟัตวา หรือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ อีกทั้งการญิฮาดนั้น มีหลักการและข้อห้ามหลายประการ สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่ทำลายชีวิตและสิ่งสาธารณะทั้งหลาย แม้กระทั่งต้นไม้ มิใช่การมุ่งร้ายทำลายชีวิตคนอื่นอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมันขัดแย้งและผิดหลักการโดยสิ้นเชิง

Mtoday หรือ โกหก today....มุสลิมโกหกบาปนะมึง !!!





สรุป ข้อเท็จจริงจากกรณีสำนักพิมพ์ Mtoday และเพจ Mtoday ได้ทำการโฟสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จมีหัวข้อพาดหัวข่าวว่า “2 สาวกระโดดรถหนีหลังเมาในค่ายสิรินธรแล้วถูกชวนไปหลับนอน”
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 58 ประมาณเวลา 21.00 น.



เพจ Mtoday ได้ทำการโพสต์ภาพและข้อความเนื้อหารายละเอียดว่า มีหญิงสาว 2 คน ได้โทรขอความช่วยเหลือจาก 191 เหตุถูกบังคับไปหลับนอน โดยพวกเธอถูกชวนเข้าไปดื่มในค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี หลังจากนั้นถูกชักชวนแกมบังคับให้ไปหลับนอนด้วย แต่เธอทั้ง 2 คนไม่ยินยอม ระหว่างนั่งรถจึงได้ตัดสินใจกระโดดลงจากรถ วิ่งหนีเข้าป่า และโทรประสาน191 เพื่อขอความช่วยเหลือดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่จึงได้จัดชุดออกช่วยเหลือจนปลอดภัย



ข้อเท็จจริง

        เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ประมาณเวลา 21.30 น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสาย 191 ว่ามีเหตุฉุดหญิงสาวจากพื้นที่ อ.ยะรัง แต่ผู้เสียหายได้กระโดดหนีลงจากรถกระบะ ยี้ห้อโตโยต้า วีโก สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน 1440 ไม่ทราบหมวดอักษร ซึ่งได้ขับผ่านค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี จาก อ.ยะรัง เข้ามาในเขตตัวเมือง จ.ยะลา เหตุการณ์เกิดในซอย จารู ตลาดเก่ายะลา (ซอยนี้ไม่ต้องถามว่าพวกไหนอยู่กันเยอะ) หลังหลังสาวทั้ง 2 ได้การกระโดด รถยนต์คันดังกล่าวได้ขับหลบหนีไปทาง อ.ยะรัง

       จากการสอบถามผู้เสียหาย ซึ่งกำลังอยู่ในอาการตกใจกลัว และสอบถามข้อมูลบางส่วน ผู้เสียหายไม่ได้มีอาการเมา สุรา หรือสารเสพติด และเหตุการณ์ไม่ได้เกิดในค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี ตามที่สื่อ Mtoday ได้นำเสนอแต่ประการใด

       จากการนำเสนอของสื่อ Mtoday เพื่อต้องการจะสื่อให้เห็นว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ และใส่ร้ายก่อให้เกิดความเสียหาย เกิดการเข้าใจผิดสร้างความเกลียดชัง

       เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบเพจที่ทำการโพสต์ เป็นของ สำนักพิมพ์ Mtoday ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีการลบข้อมูลการโพสต์เพื่อหนีความผิด

       เหตุการณ์บิดเบือนความจริงเช่นนี้ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก เป็นการคอยหาโอกาส จังหวะความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ในการนำมาทำการขยายผลในสื่อ ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่กลุ่มสื่อแนวร่วมพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของหน่วยงานภาครัฐ

...ซึ่งหากผู้บริโภคข่าวสารไม่รู้เท่าทันไม่มีข้อมูลรอบด้านก็จะทำให้เกิดการเอนเอียงและหลงเชื่อได้ง่าย...

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เราคือ โจร ในคราบ นักศึกษา !?...



เมื่อ PerMAS อยากเป็นแกนนำทำการก่อเหตุพร้อมงานการเมือง

       ตัวแทนกลุ่ม PerMAS นำโดย นายอาร์ฟาน วัฒนะ รองประธานกลุ่ม PerMAS เดินทางไปสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐไทย ต่อกรณีการคุกคามขบวนการนักศึกษา และนักกิจกรรม ด้วยการตรวจค้นสำนักงานกลุ่ม PerMAS และเก็บสารพันธุกรรมของสมาชิกกลุ่ม พร้อมทั้งยึดอุปกรณ์สื่อสาร และเอกสารการทำกิจกรรม นอกจากนี้ได้เรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วมตรวจสอบกรณีดังกล่าว รวมถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ จชต. และขอให้มีการคุ้มครองสิทธิของนักศึกษา และนักกิจกรรมที่ทำงาน เพื่อสันติภาพปาตานีในรูปแบบสันติวิธี

        รวมตัวเพื่อประกาศก้องให้โลกรู้เพื่อนกูเป็นโจรเว๊ยเฮ๊ย!! กลัวชาวโลกไม่รู้หรืออย่างไรยังเดินหน้าประกาศความชั่วช้า ประจานองค์กรตัวเอง

  • 16 ศพ บุกฐานนาวิกโยธิน ทหารเรือ หนึ่งในนั้นมีคณะกรรมการ PerMAS ตายคาที่ 
  • เหตุลอบวางระเบิด 3 จุด นราธิวาส 3 ผู้ต้องหาสารภาพเป็นผู้ลงมือวางระเบิด ป่วนเมืองยะลา
  • ล่าสุด 44 จุด 4 ผู้ถูกควบคุมตัวสารภาพสิ้นลงมือกระทำชั่ว 
      นี่ยังไม่ได้นับรายเล็กรายน้อยที่ไม่อยากนำมากล่าว ณ ที่นี้ ที่นักศึกษาโจรใต้เหล่านี้ได้ลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์

       สร้างสถานการณ์เสร็จสรรพ พรรคพวกรีบลงพื้นที่ทันทีทำทีไปเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบพร้อมเก็บข้อมูล กลับมารีบทำพีอาร์ทันทีด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ก่อเหตุ ทำการเข่นฆ่าพี่น้องมลายูปาตานี

       ถึงคราวเคราะห์เพราะก่อกรรมทำเข็ญไว้เยอะ ทิ้งหลักฐานเชื่อมโยงการก่อเหตุถูกจับกุม มันก็ยังหน้าด้านด้วยการออกแถลงการณ์ให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัว พร้อมกับเดินสายหาพรรคพวกหาแนวร่วมให้เล่นด้วยกับพวกมัน 

       นายอาร์ฟาน วัฒนะ ผอ.รณรงค์ PerMAS วันก่อนไปร้อง UN ให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน วันนี้ยื่นหนังสือต่อสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐไทย 

     ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เดินทางไปถึง กทม. ไปยื่นหนังสือที่ UN และสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย น่าจะไปทำเนียบรัฐบาลร้องต่อนายก ประยุทธ์ เลย 

        ทั้งนี้ กลุ่ม PerMAS มีข้อเรียกร้อง ขอให้หน่วยงานต่างๆได้ร่วมตรวจสอบต่อกรณีดังกล่าว รวมถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ และขอให้มีการคุ้มครองสิทธิของนักศึกษาและนักกิจกรรมที่ทำงานเพื่อสันติภาพปาตานีในรูปแบบสันติวิธี

      มันช่างขัดแย้งกับข้อเรียกร้องเสียเหลือเกินเมื่อย้อนกลับไปดูผลงานของนักศึกษาโจรใต้ PerMAS คุณคือโจรก่อการร้าย ใช้ระเบิดแสวงเครื่องในการก่อเหตุ มุ่งหมายเอาชีวิตของผู้คน น่าจะจับไอ้พวกอัปรีย์เหล่านี้ไปผูกมัดกับระเบิดที่มันผลิตขึ้นมาจัง…

     การเคลื่อนไหวของกลุ่ม PerMAS นับว่าผิดพลาดในการเดินเกม แถมลงมือก่อเหตุเสียเอง คงไม่มีหน่วยงานไหนหรอกนะที่ปัญญาอ่อนเล่นด้วยกับนักศึกษาโจรใต้เหล่านี้

    ....ประกาศให้ก้องโลก...เพื่อนเราเป็นโจรลอบวางระเบิด..เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์...

        BRN เงิบเลยต้องชิดซ้าย..ไม่แน่นะกลุ่ม PerMAS อาจจะเป็นแกนนำแทน BRN ในการพูดคุยกับรัฐบาลไทย เพราะมีทั้งกองกำลังทหาร และทำงานการเมืองควบคู่ไปด้วย 

โปรดคอยติดตามความชั่วกันต่อไป..

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ที่แท้มือวางระเบิดยะลาคือนักศึกษา



        จากกรณี นาย สุไฮมี ดูละสะ ประธาน PerMAS นายฮากิม พงติกอ, นายอาร์ฟาน วัฒนะรองประธาน PerMAS เคลื่อนไหวหลอกนักเรียน นักศึกษาให้ไปกดดันเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมที่หน้า ศชต.โดยกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 

        ล่าสุดผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา 44 จุด รวม 56 ลูก ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมทั้งหมด 18 ราย ได้รับยอมรับสารภาพแล้ว จำนวน 4 ราย

  • 1. นายอับดุลฟาริด สะกอ
  • 2. นายไซดี ทากือแน
  • 3. นายซอบรี กาซอ
  • 4. นายแยสฟรี หะยีปูต๊ะ

      จากข้อมูลผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 ราย ยอมรับว่าเป็นมือลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อ 14-16 พ.ค.58 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่ประการใด
       ข้อมูลที่น่าสนใจ นายอับดุลฟาริด สะกอ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา หลังจากนั้นศึกษาต่อสถาบันพละศึกษาจังหวัดยะลา ปัจจุบันทำงานที่เทศบาลเมืองรามันห์ อ.รามัน จ.ยะลา (มีหมาย ป.วิอาญา 1 หมาย)

        นายไซดี ทากือแน จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ชั้น 10 ปัจจุบันกำลังศึกษา ดีโพมา (อนุปริญญา) วิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา 

        นายซอบรี กาซอ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ศึกษาต่อ มอ.ปัตตานี ปัจจุบันพักอาศัยอยู่กับภรรยาที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส

        นายแยสฟรี หะยีปูเต๊ะ จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา ปัจจุบันกำลังศึกษา มอ.ปัตตานี และเป็นครูสอนที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามประสานมิตร 

      จะเห็นได้ว่าผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลา ทั้ง 4 ราย ที่ยอมรับสารภาพนั้น จบการศึกษาจากโรงเรียนธรรมวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา และที่น่าสนใจคือมี 2 ราย ที่กำลังศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา และ มอ.ปัตตานี

       แล้วการที่กลุ่ม PerMAS ออกมากล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รังแกควบคุมตัวนักศึกษาเหล่านี้ การตรวจ DNA เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนพร้อมทั้งกดดันให้มีการปล่อยตัว พฤติกรรมของกลุ่ม PerMAS มันบ่งบอกถึงจุดยืนที่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย และสนับสนุนการกระทำของโจรใต้ฟาตอนี ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งกลุ่มนักศึกษาเป็นผู้ก่อการร้ายเสียเอง

      นี่หรือแนวทางการต่อสู้ของ PerMAS ที่พยายามสร้างภาพมาโดยตลอดว่าเป็นการขับเคลื่อนงานการเมือง ทำการเคลื่อนไหวตามแนวทางสันติ เป็นปัญญาชนคนมีความรู้ สุดท้ายใช้ความรุนแรงเคลื่อนไหวก่อเหตุเสียเอง...งามไส้มั๊ยล่ะพี่น้อง

      กลุ่ม PerMAS อย่างนายสุไฮมี ดูละสะ รู้มั๊ยว่าสมาชิกนักศึกษาในกลุ่มเป็นผู้ร้าย หากไม่รู้ไม่เห็นคงไม่ดิ้นพล่าน เหงื่อแตกซิกๆ ลงมือด้วยตนเองในการนำมวลสมาชิกนักเรียนที่ไปหลอกเค้ามาเพื่อเป็นเครื่องมือไปกดดันหน้า ศชต.

      อย่างว่าละครับไปหลอกนักศึกษาสถาบันอื่นๆ ไม่ได้ผลอีกแล้ว เลยหันมาหลอกนักเรียนซึ่งง่ายกว่าและน้องๆ โรงเรียนธรรมวิทยาก็หลอกง่ายซะด้วยให้ความร่วมมือทำการเคลื่อนไหว ครั้งก่อนหน้าแตกเย็บไปหลายเข็ม บาดแผลยังไม่หายดีกับการไปหลอกนักศึกษาทั่วประเทศให้ร่วมเคลื่อนไหวปล่อยตัวนักศึกษาที่ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิดเมืองนราธิวาส สุดท้ายเป็นงัยผลคือผู้ที่ถูกจับกุมยอมรับสารภาพว่าเป็นมือลอบวางระเบิดจริง ดั่งเช่นกับครั้งนี้ที่ยอมรับสารภาพถึง 4 ราย แค่เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนเวลา เปลี่ยนตัวแสดง แต่บทยังคงเดิมๆ กลุ่ม PerMAS ก็ยังคงใช้ลูกไม้เดิม ๆ 

นี่คือหน้ากากของนักศึกษาในคราบโจร...น่าเบื่อหน่ายต่อพฤติกรรมเป็นที่สุด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กระชากหน้ากาก PerMAS...


โดย ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน

         นำแสดงโดย สุไฮมี ดุละสะ ประธาน-ฮากิม พงติกอ รองประธาน -อาร์ฟาน วัฒนะ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการรณรงค์ PerMAS นักแสดงประกอบ นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนปาตานี

        สำนักสื่อ Wartani อ้างว่าเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา จำนวน 7 คน และยังเหลืออีก 3 คน ซึ่งการปล่อยตัวดังกล่าวเกิดจากนายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS ร่วมกับกลุ่มอาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ (IVM) เดินทางไปชุมนุมที่บริเวณด้านหน้า ศชต. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงถึงสาเหตุการควบคุมตัว และเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักเรียนที่ถูกควบคุมตัวไว้ ขณะที่นักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เรียกร้องศิษย์เก่าทุกคนร่วมกันสวดดุอาร์ให้ผู้ถูกควบคุมตัวทุกคน ให้ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย

      นายสุไฮมี ดูละสะ อ้างว่า การเก็บ DNA ในภาวะปกติ ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิ แต่ในภาวะที่ประกาศกฎอัยการศึก การเก็บ DNA ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ได้รับการตรวจ หากไม่ได้รับการยินยอม ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (MUSTFETH) กล่าวอ้างว่า การปฏิบัติงานของ จนท.รัฐ ในพื้นที่ปาตานี เป็นการสร้างบาดแผลให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก 

        สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14-16 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา 44 จุด รวม 56 ลูก ทำให้ประชาชนผู้บาดเจ็บรวมทั้งหมด 18 ราย
ในส่วนของความคืบหน้าของคดี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงกรณีการจับกุมผู้ต้องหาวางระเบิด 44 จุดในพื้นที่ อ.เมืองยะลา เมื่อวันที่ 14-16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้สามารถควบคุมผู้ต้องหาได้แล้ว 8 ราย ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการสืบสวนเพื่อขยายผล โดยตนจะลงพื้นที่ไปสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตนเอง และจะมีการแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีดังกล่าวต่อสื่อมวลชนให้ทราบในวันพรุ่งนี้

         จากการสอบสวนปากคำ ผู้เสียหาย – พยาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 60 ปาก เมื่อ 18 พ.ค.58 ศาลจังหวัดยะลา ได้ออกหมายจับ นายอับดุลฟาริด สะกอ ตามหมายจับที่ 175/2558 ลง 18 พ.ค.2558 และในเวลาต่อมา นายอับดุลฟาริดฯ นายซอบรี กาซอ ให้การยอมรับว่าร่วมก่อเหตุ ลอบวางระเบิดร้านขายของชำบริเวณสามแยกร้านแอม ถนนผังเมือง 4 อำเภอเมือง จังหวัดยะลา

         สำนักสื่อ Wartani อ้างว่าเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา จำนวน 7 คน และยังเหลืออีก 3 คน ซึ่งการปล่อยตัวดังกล่าวเป็นความดี ความชอบของนายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS นั้น เป็นการโฆษณาให้ราคาต่อตัว นายสุไฮมีฯ เกินเหตุ

       ในความเป็นจริงกระบวนการขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการสอบสวน และซักถาม มีการปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทันทีที่บุคคลผู้นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ ไม่ได้เป็นความดีความชอบของใคร เป็นไปตามระบบอยู่แล้ว ในส่วนผู้กระทำความผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย

        จะเห็นได้ว่ากลุ่ม PerMAS ได้เดินเกมรุกใส่เจ้าหน้าที่ด้วยการออกแถลงการณ์เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ มีการรวมตัวยกขวนไปกดดันการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ให้ทำการปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกควบคุมตัวที่หน้า ศชต.เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.58 โดยมีนายสุไฮมี ดูละสะ ประธานกลุ่ม PerMAS เป็นแกนนำ

        ประชาชนปาตานีต่างคาดหวังต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข หากทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรงต่อกัน ใช้เวทีในการพูดคุยหาทางออกร่วมกันเพื่อเดินหน้าขจัดปัญหาความขัดแย้ง กลุ่ม และองค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะนักศึกษา PerMAS หยุดการเคลื่อนไหวในการสร้างความแตกแยก ชี้นำทางความคิด ปลุกกระแสในการกำหนดใจตนเองเพื่อนำไปสู่การลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช.

......ทุกอย่างน่าจะเดินไปได้ด้วยดีตามกระบวนการที่ได้มีการขับเคลื่อนจากรัฐบาล เพื่อความปรองดองของคนในชาติ นำพาสันติสุขกลับคืนมาสู่ดินแดนปาตานีอย่างยั่งยืน..ให้ประชาชนทุกเชื้อชาติ ศาสนา อยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรมอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต....

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความคืบหน้าคดีระเบิดจังหวัดยะลา



         ความคืบหน้าคดีระเบิดในเขตนอกเขตเทศบาลนครยะลา จำนวน 45 จุด (62 ลูก) เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2558

       จากการสอบสวนปากคำ ผู้เสียหาย – พยาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 60 ปาก เมื่อ 18 พ.ค.58 ศาลจังหวัดยะลา ได้ออกหมายจับนายอับดุลฟาริด สะกอ ตามหมายจับที่ 175/2558 ลง 18 พ.ค.2558
เหตุที่ศาลออกหมายจับผู้เสียหายร้านทองดี ขายของชำ จำได้และชื้ยืนยันภาพถ่าย นาย อับดุลฟาริด สะกอ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนสำนวนคดีอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองยะลา และขณะนี้นายอับดุลฟาริด สะกอ อยู่ในความควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งมีความผิดในคดีอื่น


         จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา เมื่อวันที่ 14-16 พฤษภาคมที่ผ่านมา กว่า 40 จุด เจ้าหน้าที่เผยความคืบหน้าล่าสุด คุมตัวผู้ต้องสงสัยแล้วทั้งหมด 22 ราย เผยรับสารภาพแล้ว 3 ราย
วันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา ในระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวน 44 จุด รวม 56 ลูก ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บรวม 18 ราย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานในที่เกิดเหตุ พยานบุคคล รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพของกลุ่มคนร้ายเอาไว้ได้หลายแห่ง จนสามารถออกหมายจับ ป.วิ อาญา ได้จำนวน 1 ราย และหมายจับ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 ราย ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น 

        ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา พ.อ.อิศรา จันทะกระยอม ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เปิดเผยว่า สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว ทาง กอ.รมน.ภาค 4 และทางศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้ประชุมวางแผนงานร่วมกัน 5-6 ครั้ง เพื่อที่จะติดตามกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยพิจารณาจากวัตถุพยาน โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดที่สามารถพิจารณาเป้าหมายกลุ่มคนร้ายเอาไว้ แต่ว่าในช่วงระหว่างดำเนินการนั้นมีเหตุซ้ำซ้อนเกิดขึ้น คือ คนร้ายได้ปล้นรถยนต์กระบะฟอร์ด จากพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา โดยเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุม รวมทั้งตรวจยึดรถคืนเอาไว้ได้ในพื้นที่ จ.ยะลา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม

       โดยจากการเปิดแผนตรวจค้นเป้าหมายย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา จำนวน 9 เป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหอพักบ้านเช่านักศึกษา โดยได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องต่อกรณีปล้นรถยนต์กระบะที่ อ.ยะหา และเหตุวางระเบิดก่อกวน รวม 22 ราย มาเข้าสู่กระบวนการซักถาม ซึ่งใน 22 ราย ที่ควบคุมตัวเอาไว้นั้น มี 3 ราย ให้การรับสารภาพแล้วว่าร่วมในการก่อเหตุลอบวางระเบิดในวันที่ 14-16 พฤษภาคม จริงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ 

      “สำหรับการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 22 รายนี้ ตนเองต้องขอยืนยันว่า จะรีบทำการซักถาม และถ้าซักถามแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะรีบปล่อยตัวทันที โดยได้แจ้งทางญาติของทุกคนเอาไว้แล้ว ส่วนผู้ต้องสงสัยที่ควบคุมตัวเอาไว้ได้นั้น มีผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิ อาญา รวมอยู่ด้วย 1 ราย คือ นาย อับดุลฟาริด สะกอ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/1 ม. 1 ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา ตามหมายจับเลขที่ 175/58 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลา ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2558 และยังร่วมกันปล้นรถจากพื้นที่ อ.ยะหา ด้วย

       นอกจากนั้น ยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 ราย คือ นาย สุกรี นิเลาะ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 276 ม.4 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา รวมอยู่ด้วย โดย นายสุกรี นั้นตามวัตถุพยาน และสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอที่พบว่าตรงกับที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งจะต้องนำตัวมาซักถามเพื่อขยายผลอีกครั้ง”

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประเทศไทย..ไม่ใช่ดินแดนดารุลฮัรบีย์



โดย : ‘แบดิง โกตาบารู’


        ชาวมลายูปาตานีป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งรกรากทำมาหากินตั้งแต่จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดยะลา รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสงขลา มีประชากรราว 3,359,000 คน หรือร้อยละ 3 ของประชากรทั้งประเทศ ชาวมลายูปาตานีส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ชาวมลายูปัตตานีเรียกตนเองว่า “ออแรนายู” (Orang Melayu; اورڠ ملايو) ซึ่งมีความหมายว่า “คนมลายู”


        ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายมลายูยังคงแต่งกายแบบมลายูให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้ชายยังคงแต่งกายด้วยการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ มีผ้าคลุมศีรษะเหมือนชาวมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันวัฒนธรรมการแต่งกายของมุสลิมในประเทศมาเลเซียได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวมลายูในพื้นที่มีความทันสมัยมากขึ้นด้วยการนำแบบอย่างการแต่งตัวของมาเลเซีย แต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นมลายู และอิสลามอยู่อย่างมั่นคง


        ชาวมลายูเป็นมุสลิมที่เคร่งในศาสนา มีการทำนมาซ (ละหมาด) โดยกระทำกันในมัสยิด หรือสุเหร่า อีกทั้งมีการเดินทางไปแสวงบุญยังนครมักกะห์ การถือศีลอด และหลังจากการถือศีลอดก็จะเป็นเทศกาลฮารีรายอ มีพิธีการแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) การเข้าสุหนัต (มะโซ๊ะยาวี) เพื่อแสดงตนว่าเป็นชาวมุสลิม ชาวมุสลิมทุกคนจะให้ความศรัทธาแก่องค์อัลเลาะห์ พระเจ้าองค์เดียวแห่งศาสนาอิสลามเท่านั้น



        ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเทคโนโลยี การหลั่งไหลของวัฒนธรรมตะวันตกได้เข้ามาและสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน เช่นเดียวกับวิถีชีวิตชาวมลายู แต่ยังมิวายที่จะมีการกล่าวหาจากบุคคลบางกลุ่มว่าเป็นเพราะรัฐบาลไทยได้พยายามกลืนกินและยัดเยียดซึมซับความเป็นไทย


       การโฆษณาชวนเชื่อจากผู้ที่ไม่หวังดีว่าอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของชาวมลายูถูกกลืนกินและถูกแทรกซึมจากรัฐบาลไทยไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด ความเป็นมลายูไม่ได้ถูกกลืนหายไปจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เลย ยังคงอยู่และรัฐบาลไทยได้ส่งเสริมอนุรักษ์ความเป็นมลายูในพื้นที่สามจังหวัดไม่ให้สูญสลาย รวมทั้งทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ ภาษา ประเพณีวัฒนธรรมมลายูสืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน


        ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีความพยายามของกลุ่มแนวร่วมในการสร้างมวลชนให้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลไทย ซึ่งได้มีการโพสต์ข้อความ “ต้องต่อสู้เพื่อปลดแอก และเพื่อกอบกู้เอกราช” เป็นการปลุกกระแสโดยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ สร้างแนวคิดให้เกิดการต่อสู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้




      แท้จริงแล้ว ประเทศไทย ไม่ใช่ดารุลฮัรบีย์ (ไม่ใช่ประเทศที่ต้องทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม หรือเพื่อปลดแอกดินแดนอิสลาม) เพราะการที่จะญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น จะต้องพิจารณาเรื่องหลักๆ ดังนี้ คือ ศาสนาอิสลามได้รับการคุ้มครองหรือไม่, มุสลิมมีสิทธิพลเมืองและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศหรือไม่, ดินแดนอันเป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินของมุสลิมยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมุสลิมโดยสมบูรณ์หรือไม่, การเผยแผ่ศาสนาอิสลามและเสรีภาพในการนับถือศาสนาถูกลิดรอนหรือถูกคุกคามกดขี่หรือไม่ เป็นต้น


       จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยนั้นทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทรงมีทศพิธราชธรรมในการปกครอง ประชาชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา โชคดีมากที่ได้อยู่ในผืนแผ่นดินไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้ความเท่าเทียมกันในการบริหารปกครองทุกเชื้อชาติ ศาสนา โดยไม่แบ่งแยก และว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกำหนดให้ความเท่าเทียมกันในการเป็นพลเมืองของประเทศ มุสลิมในประเทศไทยได้รับสิทธิดังกล่าว จึงไม่มีการญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) เพราะการที่มุสลิมอยู่ภายใต้ปกครองของรัฐบาลที่ไม่ใช่มุสลิมนั้นมิได้เป็นข้อต้องห้ามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด


        เพราะหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่นๆ ก็ต้องคิดแล้วว่ามันถูกต้องหรือไม่ ดังที่สามจังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริงก็กระทำได้ ปลดแอกได้ แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยมเพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง


       นบีมุฮัมมัด(ซล.) ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ความว่า “และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 : 56)ไม่ใช่เกิดเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ แอบอ้าง....เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว


         เหตุการณ์ในขณะนี้ การกระทำของโจรใต้ฟาตอนียิ่งนานวันยิ่งโหดเหี้ยม สรุปได้ว่า การญิฮาดของพวกเขาในขณะนี้ ไร้หลักการ ไร้ขอบเขตไปแล้ว เพราะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากที่ต้องบาดเจ็บล้มตายจากน้ำมือโจรใต้ฟาตอนี ทำให้ ประชาชนมลายูเดือดร้อน เบื่อหน่ายความรุนแรงเต็มที


       ความจริงแล้ว...การญิฮาดไม่ใช่เครื่องมือในการทำสงครามต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้หมายถึงการทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่จะนำไปรังแกคนอ่อนแอและผู้ถูกกดขี่ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม แต่การอ้างคำสอนเรื่องญิฮาดเพื่อนำมาทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และผู้บริสุทธิ์ของโจรใต้ฟาตอนีนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เพราะเป็นการกระทำ“ฟะสาด”(การก่อความเสียหายบนผืนแผ่นดิน)


       ฉะนั้นขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการโจรใต้ฟาตอนีในขณะนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มแต่อ้างเป็นนักรบฟาตอนีต่อสู้เพื่อศาสนา ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัตดุอาร์ให้โจรใต้ฟาตอนีหยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอร้อง...ขอให้โจรใต้ฟาตอนีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา และคงไม่มีทางได้รับเอกราชหรอกเพราะยึดเยื้อมาถึง 11 ปี มีแต่ความสูญเสียซึ่งยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย


           จะเห็นได้ว่าจากการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาของกลุ่มขบวนการ ในการบ่มเพาะและให้ข้อมูลที่ผิดด้านประวัติศาสตร์แก่มวลสมาชิกแนวร่วม ให้ดำเนินการต่อสู้เพื่อเป็นการญีฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น เป็นการอาศัยศาสนาของกลุ่มขบวนการในการหลอกใช้มวลสมาชิกให้ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก และมีสมาชิกบางส่วนได้กลับตัวกลับใจ เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกใช้ได้หันหลังให้กับกลุ่มขบวนการ ด้วยการเข้าสู่โครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัว

...เพราะประเทศไทย..ไม่ใช่ดินแดนดารุลฮัรบีย์
--------------------------
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม