วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

เจ้าหน้าที่เปิดศูนย์ซักถามให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องสงสัย


30467


รอยยิ้มญาติและครอบครัวเมื่อเจ้าหน้าที่เปิดศูนย์ซักถามให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องสงสัย


โดย : ‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’

             นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดการสร้างกระแสข่าวลือ ผนวกกับการปล่อยกระแสในสื่อสังคมออนไลน์บิดเบือนข่าวสารของบุคคลบางกลุ่มกล่าวหารัฐจัดฉากเพื่อเรียกงบ บ้างมีการเปรียบเทียบผ้าพันคอของคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ทหารพราน บ้างตั้งข้อสังเกตปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ที่เกิดเหตุจำนวนมาก รวมทั้งอาวุธปืนเอ็ม 60 ว่าคนร้ายจะมีศักยภาพเอามาจากไหน พร้อมฟันธงว่าไม่น่าจะเป็นของกลุ่ม ผกร. อีกทั้งชี้นำยืนยันไม่เคยมีข่าวว่าถูกปล้นจากกองทัพ



          หลังเกิดเหตุหน่วยงานความมั่นสั่งระดมพล ปิดเทือกเขาตะเวไล่ล่าหาตัวกลุ่มคนร้ายมาลงโทษดำเนินคดี ควบคู่กับการตรวจพิสูจน์หลักฐานปลอกกระสุน และตรวจ DNA รอยเลือดคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุของ ศพฐ.10

         คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามเป้าหมายบุคคล ได้เร่งทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสข้อมูลข่าวสารที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐ ในที่สุดเจ้าหน้าที่สามารถกำหนดตัวบุคคลว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ และได้บังคับใช้กฎหมายติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง และยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานในวันดังกล่าว อาศัยอำนาจกฎอัยการศึกเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาทำซักถามจำนวนหลายรายตามข่าวสารที่ได้มีการนำเสนอของสื่อไปแล้วนั้น

          ส่วนความคืบหน้าในการออกหมายจับของศาล ล่าสุดสามารถออกหมายจับ 2 หมาย โดยเมื่อ 20 มีนาคม 2559 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้อนุมัติหมายจับ ป.วิอาญาฯ นายอับดุลการี หะแว จากผลการตรวจเลือดของ ศพฐ.10 ที่พบรอยเลือดของคนร้ายตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบว่าตรงกับ DNA นายอับดุลการี

          ส่วนเมื่อ 26 มีนาคม 2559 พนักงานได้ขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ ป.วิอาญาฯ ชายไม่ทราบชื่อตามภาพวงจรปิด จำนวน 1 หมาย

         นั่นคือความคืบหน้าล่าสุดในการติดตามไล่ล่าหาตัวกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดี และเป็นการตอบข้อสงสัยของสังคมที่มีการกล่าวหาจากผู้ไม่หวังดีไปก่อนหน้านี้แล้วว่ารัฐจัดฉาก



        ในส่วนของผู้ต้องสงสัยที่ได้มีการควบคุมตัวใน 3 หน่วยซักถาม กับอีกหนึ่งศูนย์ ได้แก่หน่วยซักถามกรมทหารพรานที่ 46 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส, หน่วยซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี, หน่วยปฏิบัติการด้านการข่าว หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส และศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา ได้เปิดให้ญาติและครอบครัวเข้าเยี่ยม

      โดยหน่วยซักถามทั้ง 4 หน่วย ได้เปิดโอกาสให้ครอบครัวและญาติของผู้ถูกควบคุมตัวสามารถเข้าเยี่ยมได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินกรรมวิธีซักถาม เป็นไปตามหลักสากล ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เพื่อบีบบังคับให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ อีกทั้งต้องการให้ญาติคลายความวิตกกังวลต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในระหว่างอยู่ในหน่วยซักถาม ต้องการให้เห็นความเป็นอยู่ขั้นตอนวิธีการต่างๆ การเปิดโอกาสให้ญาติและครอบครัวเข้าเยี่ยมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้คอยอำนวยความสะดวกให้กับเครือญาติอีกทั้งได้จัดเครื่องดื่มและอาหารว่าง เพื่อบริการให้ครอบครัวและญาติได้รับประทานระหว่างรอการเข้าเยี่ยมอีกด้วย

 


          จากการสังเกตท่าทีของญาติและครอบครัวที่มาเยี่ยมผู้ที่ถูกควบคุมตัว ต่างมีสีหน้าแววตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงออกถึงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้ครอบครัวที่ได้พบหน้ากัน บางครอบครัวได้หอบลูกเล็กเด็กแดงเพื่อมาเยี่ยมคุณพ่อ การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกพูดคุยหยอกล้อชั่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก

         เจ้าหน้าที่รัฐยังได้ฝากข่าวไปยังญาติและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ อย่ากังวลหรือหวาดวิตกต่อกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัยในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ในปัจจุบันนี้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เชิญสื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคมเข้าเยี่ยมชมศูนย์ซักถาม ให้เห็นขั้นตอนวิธีการที่ไม่มีการทำร้ายผู้ต้องสงสัย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการซ้อมทรมานแต่ประการใด ส่วนผู้ต้องสงสัยเมื่อผ่านขั้นตอนวิธีการแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่จะทำการปล่อยตัวเพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวโดยเร็วที่สุด ส่วนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีการส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายว่ากันไปตามกระบวนการขั้นตอน ผิดว่าไปตามผิดต้องรับโทษทัณฑ์กับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นหน่วยงานภาครัฐยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังหลบหนีอยู่ สามารถเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ภูมิลำเนาของท่าน หรือผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อ้างประวัติศาสตร์ฟาตอนีกันหนักหนา ถ้าไม่ลืมตาดูโลก ก็จะไม่รู้ว่า โจรมันบิดเบือนประวัติศาสตร์



อาณาจักรลังกาสุกะ 

(พุทธศตวรรษที่ 7–23) อาณาจักรลังกาสุกะแห่งนี้ได้ตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7 แล้วเจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 11 ขณะที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรตามพรลิงก์ในคาบสมุทรมลายู บริเวณมัสยิดแห่งกรือเซะ ในบริเวณที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างอำเภอเมืองปัตตานีกับอำเภอยะหริ่ง และบริเวณอำเภอยะรัง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี พวกชวาเรียก “นครกีรติกามา” มีอาณาเขตครอบคลุมถึงทางเหนือตะกั่วป่าและตรัง ทางใต้ตลอดแหลมมลายู ลังกาสุกะมีการติดต่อกับจีนใน พ.ศ. 1052 ตามจดหมายเหตุจีนระบุว่า “เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ กษัตริย์ประทับอยู่บนกูบช้างมีหลังคาทำด้วยผ้าสีขาว แวดล้อมด้วยองครักษ์ที่มีท่าทางดุร้าย และทหารตีกลองถือธงสีต่าง ๆ ประชาชนทั้งชายหญิงไว้ผมปล่อยยาว ใส่เสื้อไม่มีแขน” อาณาจักรลังกาสุกะนี้ ถูกอาณาจักรฟูนันโจมตีในพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วกลายเป็นเมืองขึ้นต่อมา

ลังกาสุกะเป็นนครรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 รุ่งเรืองยาวนานถึง 1,400 ปี จึงเสื่อมสลายไป[1] ไม่ใช่เพราะถูกอำนาจใดเข้าตี หากแต่ทะเลถอยห่างตัวเมืองออกไปทุกที จนผู้คนพากันทิ้งเมือง ซั้าโดนน้ำท่วมโคลนถมทับตัวเมืองแทบหมด เพิ่งขุดเจอซากไม่นานมานี่เอง เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านกาแลจิน อ.เมืองปัตตานีปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายชาวเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนพื้นเมืองที่ต้องทิ้งเมืองเก่ามาอยู่ในปัตตานีเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว


อาณาจักรโบราณยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่ามีพื้นที่คลุมไปถึงตอนเหนือมาเลเซีย เพราะพบสิ่ง ก่อสร้างโบราณ แบบเดียวกับที่พบในปัตตานีแถวริมฝั่งแม่น้ำบูจังและปาดังลาวาส (ปากแม่น้ำลาวาส) ในรัฐเคดาห์ หนังสือเหล่านั้นเรียกอย่างจืดชืดไม่ดึงดูดใจสักนิดว่า "เมืองโบราณยะรัง" เพราะซากเมืองเก่าพบที่ อ.ยะรัง ทั้งที่มีความเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อน อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรทวาราวดีตั้ง 500 ปี ศรีวิชัยและทวาราวดีตั้งในพุทธศตวรรษที่ 12 ลังกาสุกะเป็นนครรัฐที่โลกตะวันตกตะวันออก รู้จักกันแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เมืองโบราณยะรังจึงไม่ใช่เมืองเก่าธรรมดา หากแต่เป็นเมืองท่านครรัฐยิ่งใหญ่ สมัยโบราณเก๋ากึ๊กในภูมิภาคนี้โดยแท้


เมืองโบราณที่ กรมศิลปากร กำลังขุดแต่งอยู่ที่ อำเภอยะรัง ในขณะนี้คือ ศูนย์การปกครอง อาณาจักรลังกาสุกะ ในเมื่อบันทึก ชาวอินเดียและ ชาวอาหรับ ที่เรียกเมืองนี้ว่า "ลังกาสุกะ" กับบันทึก ของชาวจีนที่เรียก "หลาง หย่า ซุ่ย" ล้วนระบุทิศทางและ ที่ตั้งตรงกันหมด น.ส.พรทิพย์ พันธุโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ โบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดแต่งและ บูรณะมาตั้งแต่แรกถึง 16 ปี อธิบายว่า ปัตตานีวันนี้คือ ดินแดนเกิดใหม่ เมื่อทะเลถอย ห่างฝั่งออกไปทุกที ลังกาสุกะเลยกลายเป็น เมืองภายในแผ่นดิน อยู่ห่างชายฝั่งทะเล ในวันนี้เกือบ 25 กม. ชายฝั่งบริเวณท่าเรือใหญ่ครั้งโน้น ปัจจุบันนี้คือ คลองปาเละหมู่บ้านกาแลบูซา (ท่าเรือใหญ่) หมู่บ้านเทียระยา (หมู่บ้านเสากระโดงเรือ) ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ปัตตานี


ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เมืองที่กำลังขุดอยู่ที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว (พระราชวัง) อำเภอยะรัง บ้านปราแวอยู่ริมทะเล มีลักษณะ ค่ายคูประตูหอรบตามมุมเมือง คาดว่าน่าจะเป็นประชาคม 3 แห่ง ที่อยู่ร่วมกันมากกว่าเมือง โดยรวมแล้วพื้นที่ดังกล่าวนี้ พบร่องรอยทางโบราณคดีถึงกว่า 40 แห่ง ลงมือขุดไปเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ชิ้นใหญ่ ๆ ที่กำลังขุดอยู่เป็นศาสนสถานใน ศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา ทั้งพบคำจารึกภาษาปัลลวะอินเดียโบราณและภาษาสันสกฤตด้วย บ่งบอกอย่างเด่นชัด แรกเริ่มนั้นชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพราหมณ์ เปลี่ยนมาถือพุทธ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามลำดับ


ลังกาสุกะเฟื่องเนื่องมาจากที่ตั้งเป็นกึ่งกลางเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและศูนย์ค้าเครื่องเทศสินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ดังที่สุด ได้แก่ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับยันยุโรปต่างต้องการอย่างมาก น่าเชื่อว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะ เพราะเครื่องหอมทำจากกำยานที่โลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนไม่ผิด หลักทางศาสนาที่ชื่อว่า "ไซมีส เบนโซอีน" ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ ลังกาสุกะเป็นท่าเรือ ส่งออกที่ใหญ่มาก


ลังกาสุกะอาจเป็นอาณาจักรเดียวในโลกที่ล่มสลายไปไม่ใช่เพราะการสงครามหรือโรคระบาด หากเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม ผู้คนก็อพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรอื่นใกล้เคียงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่
ศูนย์กลางอาณาจักรลังกาสุกะ


อาณาจักรลังกาสุกะเป็นอาณาจักรโบราณ มีศูนย์กลางตั้งอยู่บริเวณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี[2] มีอาณาเขตปกครองกว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจากเมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนา จนได้ล่มสลายไปในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันปรากฏร่องรอยศาสนสถานประเภทสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ จำนวน 33 แห่ง ในพื้นที่ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร


จากตำนาน ไทรบุรี ปัตตานี กล่าวถึงเมืองลังกาสุกะ ของพระเจ้ามะโรงมหาวงศ์หรือราชามารงมหาวังสา ต่อมาคำว่าลังกาสุกะค่อย ๆ เลือนหายไป กลายเป็นคำว่าปัตตานีดารุสสาลามเข้ามาแทนที


จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง (พ.ศ. 1045-1099) บันทึกไว้ว่าอาณาจักรลังกาสุกะ สถาปนาขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 7 มีอำนาจปกครองระหว่างสองฝั่งทะเล คือด้านตะวันตกจรดไทรบุรี และด้านตะวันออกที่ปัตตานีข้อความในจดหมายเหตุนี้สอดคล้องกับตำนานไทรบุรี ปัตตานี


ปอล วิดลีย์ (Paul Wheatly) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแหลมมาลายู มีความเห็นว่าตำนานไทรบุรี ฯมีลักษณะเหมือนเทพนิยาย แต่งขึ้นเมื่อชาวอินเดียเดินทางมาถึงหัวเมืองมาลายูราวพุทธศตวรรษที่ 6 และเขาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า ลังกาสุกะ ไม่ควรไปซ้ำซ้อนกับไทรบุรีน่าจะอยู่ทางปัตตานีทั้งหมด


ดี.จี.อี. ฮอลล์ (D.G.E. Hall) ได้กล่าวถึงรัฐเก่าแก่สามรัฐในแหลมมาลายู คือรัฐหลังสยิว (ลังกาสุกะ) ตันหม่าหลิง (ตามพรลิงก์ หรือนครศรีธรรมราช) ตักโกลา (ตะกั่วป่า) ต่อมารัฐทั้งสามนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนันซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีกองเรือยิ่งใหญ่ อยู่ในทะเลจีนตอนใต้ เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจแล้วก็รับเอาวัฒนธรรมต่างๆ มาจากอินเดีย


ต่อมาพุทธศตวรรษที่ 11 อาณาจักรฟูนันเสื่อมสลายลง รัฐต่าง ๆ ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลก็แยกตัวเป็นอิสระ ลังกาสุกะภายใต้การนำของพระเจ้าภคทัตก็ฟื้นฟูอำนาจของตนเองได้อย่างรวดเร็ว


พุทธศตวรรษที่ 14-15 ลังกาสุกะกลับตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย พระเจ้าราเชนทร์โจระที่ 1 แห่งอินเดีย ยกทัพเรือข้ามมายึดรัฐต่าง ๆของศรีวิชัย ลังกาสุกะก็พลอยถูกยึดไปด้วย ต่อมาอีกอาณาจักรมัชปาหิตแห่งชวากลับเข้ามามีอำนาจ และชื่อลังกาสุกะค่อยเลือนจางหายไปแสดงว่าอาณาจักรลังกาสุกะนั้นอยู่ที่ปัตตานีนี่เอง และต้องนับถือพุทธศาสนาด้วยเพราะเมื่อเกิดการขุดค้นขึ้นพบทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา เช่น สถูปสำคัญในพระพุทธศาสนาที่อำเภอยะรัง ที่ได้บูรณะตกแต่งแล้วก็แสดงถึงดินแดนในพระพุทธศาสนา และลังกาสุกะต้องมีอายุประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว นับว่าเก่าแก่มาก แต่พึ่งรู้จักกันจริงไม่กี่ปีมานี้

ศาสนาอิสลาม เข้าสู่ปัตตานี

ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 (ประมาณ พ.ศ. 1500 เศษ) ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้าสู่ปัตตานีและปาหัง ก่อนที่จะเข้าสู่มาละกา ในช่วงนั้นกษัตริย์หรือสุลต่านเมืองปัตตานีล้มป่วย ไม่มีหมอในปัตตานีรักษาได้ เกิดการตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รักษามีแขกปาซายจากสุมาตราชื่อเช็กสะอิ หรือ เช็กซาฟียิดดิน ได้ขันอาสามารักษาสุลต่านแต่ขอคำมั่นสัญญาว่าถ้ารักษาหายแล้ว พระองค์จะต้องเข้ารีดนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อได้รักษาจนหายแต่เมื่อหายแล้วสุลต่านไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเลยป่วยหนักอีก กลับมารักษากันใหม่ขอคำสัญญากันอีกกลับไปกลับมาเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง สุลต่านเลยต้องยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลามหมอผู้รักษาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดาโต๊ะ สะรี ยารา ฟาเก้าฮ์ (ผู้รู้ทางศาสนายอดเยี่ยม)เมื่อเจ้าเมืองเปลี่ยนศาสนาใหม่ โอรส ธิดา ขุนนาง และชาวเมืองก็เริ่มเปลี่ยนศาสนาตามเป็นศาสนาอิสลามต่อจากนั้นก็เริ่มมีการทำลาย พระพุทธรูป พุทธสถาน เทวรูป และเทวาลัย อาณาจักรที่เคยนับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลายปีจึงมีโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาน้อยเต็มที หรือแทบจะไม่มีเลย ก็มีพบบ้างกันที่ยะรังเมืองโบราณ

แต่นั่นก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่า การที่โจร RKK โจรฟาตอนี นักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ จอมปลอม หยิบยกเอามาหลอกลวงประช่น อ้างประวัติศาสตร์ อ้างศาสนา อ้างเชื้อชาติเผ่าพันํ์ เป็นข้ออ้างในการก่อเหตุรุนแรง การเรียกร้องทวงคืนแผ่นดินฟาตอนี ที่ตนเองอุปโหลกขึ้นมา เป็นแค่เพียงกลุ่มคนกะล่อน ปลิ้นปล้อน โกหก หลอกลวง เท่านั้นเอง

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

Earth Hour Black Out จำเป็นต้องยกเลิก เพราะรสนิยมเด็ก ตามแบบ นะ บี



           ตั้งแต่ 2008 ประเทศสวีเดน ได้มีการดับไฟหนึ่งชั่วโมง [Earth Hour Black Out] เพื่อประหยัดพลังงาน 100% ในชั่วโมงนั้น

        แต่เหตุการณ์ข่มขืนเด็กอายุแค่ 10 ขวบมีถึง 14 รายในเมืองเล็กๆแค่เมืองเดียว ทางตำรวจสุดจะแก้ไขจึงได้ขอความร่วมมือ มิให้เด็กและสตรีออกนอกสถานที่ในเวลามืด และการดับไฟหนึ่งชั่วโมงก็ได้ยกเลิกไปด้วยเพราะปัญหาการข่มขืนเด็ก ของพวกมุสลิมอพยบ


        ทั้งประเทศสวีเดนอยู่ในความทุกข์ ในความก้าวร้าว และความถ่อยของมุสลิมยพยบเหล่านี้

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

เพจโจรใต้ดิ้นพลาด ๆ เมื่อความจริงปรากฏ



เปิดโปงความจริงกรณี คนร้ายบุก รพ.เจาะไอร้อง เป็นกลุ่ม ผกร. ที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม
Posted on มีนาคม 21, 2016 by admin


‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’

          กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวเปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา กรณีกลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง แล้วใช้อาคารกับบ้านพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเป็นจุดสูงข่มและที่กำบังเพื่อระดมยิงถล่มฐานปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 4816 ข้างๆ โรงพยาบาล

        จากเหตุการณ์ดังกล่าวหน่วยงานความมั่นคงได้เปิดยุทธการเขาตะเว เพื่อติดตามไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยมีการสนธิกำลังทหาร, ตำรวจ และฝ่ายพลเรือน ในการบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกัน อีกทั้งเปิดช่องทางการแจ้งเบาะแสข่าวสารของประชาชนในพื้นที่ และหลักฐานสำคัญภาพจากกล้องวงจรปิดของกลุ่มคนร้ายที่ลงมือปฏิบัติการคล้ายๆ ไม่สนใจว่าจะถูกบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เพื่อต้องการให้มีการเผยแพร่ภาพออกไป หวังสร้างความหวาดกลัวในหมู่คนพื้น รวมถึงผลการตรวจ DNA จากเลือดในที่เกิดเหตุ จนกระทั่งในที่สุดสามารถยืนยันสืบทราบถึงตัวผู้ก่อเหตุ นำมาซึ่งในการออกหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส


        จากผลจากการตรวจพิสูจน์ DNA รอยเลือดในที่เกิดเหตุบริเวณโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ผลการตรวจสามารถระบุตัวบุคคลซึ่งตรงกับ DNA ของนายอับดุลการี หะแว หรือโต๊ะแว หรือแบตา ซึ่งเป็นราษฎร ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับในข้อหา ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามหมายจับที่ 161/2559 ลง 20 มีนาคม 2559

        จากพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าว ร่วมก่อเหตุและเป็นผู้ที่มีหมายจับในคดีอื่นๆ อีกหลายคดี รวมทั้งเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ


          ส่วนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลบางกลุ่มได้บิดเบือนความจริงมีการตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับอาวุธปืนกล M 60 ที่ใช้ก่อเหตุกล่าวหาว่า“รัฐสร้างสถานการณ์เอง” “รัฐเลี้ยงไข้” เนื่องจากต้องการงบประมาณ และมีการตั้งคำถามเหตุใดกลุ่มคนร้ายถึง (โง่) ไปยึดโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่จะต้องถูกโจมตีจากหลายฝ่าย เพราะโรงพยาบาลสมควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

        จากการพิสูจน์หลักฐานของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้นำเอาปลอกกระสุน จำนวน 1,825 ปลอกที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุมาตรวจสอบพบว่า ถูกยิงออกมาจากอาวุธปืน 8 ชนิด จำนวน 52 กระบอก และยังพบว่ามีความเชื่อมโยงคดีสำคัญ จำนวน 25 คดี

  • 1.ปลอกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) จำนวน 1,575 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 38 กระบอก มี 6 กระบอกเคยก่อคดีอื่นมา, ยิงจากอาวุธปืน เอชเค 33 จำนวน 4 กระบอก มี 1 กระบอกที่มีประวัติเชื่อมโยงคดีเก่า, ปืนกล มินิมิ 2 กระบอก และปืนอาก้าอีก 1 กระบอก ทั้งหมดเป็นปืนที่เคยก่อคดีอื่นมาก่อน
  • 2.ปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. RUSSIAN จำนวน 31 ปลอก ยิงมาจากปืนอาก้า 3 กระบอก มี 1 กระบอกที่เคยก่อคดีอื่นมาก่อน
  • 3.ปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. NATO จำนวน 200 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนเอ็ม 60 จำนวน 1 กระบอก มีประวัติเคยก่อคดีอื่นมาก่อน
  • 4.ปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER จำนวน 17 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนกลมืออูซี่ จำนวน 2 กระบอก มีประวัติเคยก่อเหตุรุนแรง 1 กระบอก
  • 5.ปลอกกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. จำนวน 2 ปลอก ยิงมาจากเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. หรือเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก มีประวัติเคยก่อเหตุรุนแรงเช่นกัน 
และที่สำคัญคืออาวุธปืนกล M 60 ที่มีการตั้งแง่จากกลุ่มบุคคลปลุกระดมในเครือข่ายสังคมออนไลน์ จากผลการตรวจพิสูจน์หลักฐาน พบว่าได้ใช้ก่อเหตุมาแล้ว จำนวน 7 เหตุการณ์
  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 19 เม.ย.54 ยิงจุดตรวจไพรวัน ม.6 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.56 ยิงใส่ฐานปฏิบัติการ ทพ.ที่ 4516 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.56 คนร้ายซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) จ.นราธิวาส ขณะขับขี่รถยนต์จำนวน 4 คัน กลับจากตรวจสอบเหตุระเบิด ต. รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บริเวณ เขาน้ำพรุเสด็จ บ้านบลูกาสนอ ต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และเกิดการปะทะ เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
  • คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.56 ยิงกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. ใส่ฐานปฏิบัติการ ฐานปฏิบัติการลาลู ม.8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ และซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณ แยกบ้านบาโงบือราแง ม.7 ตำบล ตันหยงลิมอ และบนถนนบ้านตาโละ-ป่าไผ่ ม.2 ต. ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.57 เหตุซุ่มโจมตี จนท.ร้อย.ทพ.4816 ขณะออก ลว.ด้วยการเดินเท้า พื้นที่บ้านเจาะเกาะ ม.1 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนท.ทพ.ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย
  • คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 9 ต.ค.58 คนร้ายไม่ทราบจานวน ยิงฐานปฏิบัติการ ทพ.4606 บ้านน้ำหอม ม.7 ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 7 เมื่อ 13 มี.ค.59 เหตุคนร้าย ยิงฐานปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ หน้าสถานีรถไฟเจาะไอร้อง, โจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4816 จำนวน 200 ปลอก


         จากผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานของ ศพฐ.10 ดังกล่าวข้างต้น สามารถตอบโจทย์และยืนยันต่อสังคมได้ว่าการบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้องแล้วทำการก่อเหตุนั้น ไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อการเรียกงบ ตามที่มีการเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อมูลของบุคคลบางกลุ่ม และสื่อบางสำนักที่ชี้นำทางความคิดบิดเบือน สร้างข้อสงสัยให้กับประชาชน

       จากผลหลักฐานดังกล่าวชี้ชัด เป็นการกระทำของ ผกร. และ นายกามาลุดดีน ฮานาฟี แกนนำกลุ่ม BIPP ในฐานะสมาชิก MARA PATANI ถึงกับออกมากล่าวถึงกรณีคนร้ายใช้โรงพยาบาลเพื่อโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยยอมรับว่า “การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม” และไม่เพียงผิดหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ยังผิดหลักการสู้รบของศาสนาอิสลามด้วย


          ในขณะเดียวกัน นายกามาลุดดีน ฮานาฟี ยังกล่าวว่าถึงแม้เรามีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ยิ่งห่างไกลการสนับสนุนดังกล่าว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่นักต่อสู้ปาตานีทุกกลุ่มต้องหันมาทบทวนการต่อสู้ของตัวเอง

         นั่นคือความจริงจังหวัดชายแดนใต้ ณ วันนี้หน่วยงานภาครัฐไม่จำเป็นต้องจัดฉากเพื่อดึงงบประมาณลงพื้นที่ ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า กอ.รมน.ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ และตลอดมาทุกปี ตัวเลขงบประมาณดับไฟใต้ก็สูงขึ้นมาโดยตลอด ประกอบกับรัฐบาลที่มีอำนาจในวันนี้คือ “รัฐบาลทหาร” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์เพื่อรอรับงบประมาณ เพราะสามารถจัดงบประมาณในภารกิจ “ฟื้นฟูและพัฒนา” ได้อยู่แล้ว ท่ามกลางกระแสที่ทุกฝ่ายต้องการสันติสุข และสนับสนุนการพูดคุยแทนการใช้ความรุนแรง.

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผลตรวจปลอกกระสุนปืนกลุ่มคนร้ายบุก รพ.เจาะไอร้องกราดยิงทหารพรานพบความเชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี





         จากการตรวจปลอกกระสุนของ ศพฐ.10 จำนวน 1,825 ปลอก ที่คนร้ายใช้ยิงทหารพรานในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง พบใช้ยิงมาจากอาวุธปืน 8 ชนิดด้วยกัน พบความเชื่อมโยงคดีสำคัญตั้งแต่ปี 54 ถึงปัจจุบัน 25 คดี หนึ่งในคดีสำคัญเหตุคนร้ายบุกยิงนายบุญเลิศ จินดาธนะนันท์ ซึ่งเป็นปลัด อบต.ร่มไทร เสียชีวิตในที่เกิดเหตุภายในที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลร่มไทร วัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นปลอกกระสุน 1,825 ปลอก กระสุนปืน 35 นัด และสายส่งกระสุนปืน 212 อัน นำส่งพิสูจน์หลักฐานหาความเชื่อมโยงของคดี




ล่าสุดผลการตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนปืน ปรากฏออกมาว่ากลุ่มคนร้ายได้ทำการยิงมาจากอาวุธปืน 8 ชนิดด้วยกันคือ ยิงมาจากอาวุธปืน M.16, HK.33, MINIMI, AK.102, AK.47, M.60, UZI (9 มม.) และอาวุธปืนขนาด 40 มม. และตรวจตรวจพบความเชื่อมโยงคดีที่คนร้ายเคยก่อเหตุในพื้นที่ จ.นราธิวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ถึงปัจจุบัน จำนวน 25 คดี ซึ่งส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหลายราย โดยแยกแยะการก่อเหตุตามรายปีดังนี้

ปี 2554 คนร้ายก่อคดี จำนวน 6 คดี

  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ก.ค.54 ยิงจุดตรวจมะนังตายอ ม.1 ต.มะนังตายอ อ.เมือง จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 24 ก.ค.54 ยิง ศาลาที่พักริมทางและที่พัก ชรบ.ประจาหมู่บ้าน (บาดเจ็บ 3 คน) บนถนนสายบ้านเจาะไอร้อง – บ้านป่าไผ่ ม.1 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 31 ก.ค.54 ยิงจุดตรวจมะนังตายอ ม.1 ต.มะนังตายอ อ.เมือง จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 19 เม.ย.54 ยิงจุดตรวจไพรวัน ม.6 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.54 ยิง เจ้าของร้านหนึ่งเดียวคาราโอเกะพร้อมพวก ([บาดเจ็บ 5คน), ร้านหนึ่งเดียวคาราโอเกะ ถ. สายสุคิริน– แว้ง ม.6 ต.มาโมง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.54 ยิงฐานปฏิบัติทหาร หมวดปืนเล็กกลที่ 3 ร้อย ร.1231 ฉก.นราธิวาส 35 (ฐานบ้านน้าใส) (เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 1 นาย) , ถนนสายสุคิริน-ดุซงญอม.3 ต.เกียร์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส

ปี 2555 คนร้ายก่อคดี จำนวน 2 คดี

  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 28 ส.ค.55 ยิงขบวนรถไฟสายสุราษฏร์ธานี-สุไหงโก-ลก เป็นให้ จนท.อส.เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บสาหัส 1 นาย เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีรถไฟบูกิต-สถานีรถไฟไอสะเตียม.3 ,ม.4 ต.บูกิตอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ต.ค.55 ยิง อส.ทพ.ชนากร กันซ๋อง และ อส.ทพ.ปิยราช ร่มพฤษ์(สังกัด ร้อย ทพ.4504 และ ร้อย ทพ.4511 – เสียชีวิตทั้ง 2 นาย) , บนถนนสายบ้านมะแกง – ไอปาเซ ม.1 ต.บองอ อ.ระแงะ จว.นราธิวาส

ปี 2556 คนร้ายก่อคดี จำนวน 6 คดี

  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ม.ค.56 คดีคนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ทหารชุด รปภ. ครู บาดเจ็บ 4 นาย บริเวณเส้นทางถนนสาย อ.ศรีสาคร –อ.บันนังสตาม.1ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 16 มี.ค.56 ยิงจุดตรวจเฉลิมชัย (บาดเจ็บ 1 นาย) ม.1 ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.56 ยิงใส่ฐานปฏิบัติการ ทพ.ที่ 4516 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.56 คนร้ายซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด(EOD) EOD) EOD) EOD) จ.นราธิวาส ขณะขับขี่รถยนต์จานวน 4 คัน กลับจากตรวจสอบเหตุระเบิด ต. รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บริเวณเขาน้าพรุเสด็จ บ้านบลูกาสนอต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และเกิดการประทะ เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
  • คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.56 ยิงกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. ใส่ฐานปฏิบัติการ ฐานปฏิบัติการลาลูม.8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ และซุ่มโจมตี เจ้าหน้าที่ทหารบริเวณ แยกบ้านบาโงบือราแง ม.7 ตาบล ตันหยงลิมอ และบนถนนบ้านตาโละ-ป่าไผ่ ม.2 ต. ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 22 ต.ค.56 คนร้าย 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์จานวน 2 คัน ยิงนายมะพูซี แมหะ (เสียชีวิต) และนายอับดุลเล๊ะกือเด็ง,นายอารี หะยีอารี (บาดเจ็บ) บ้านเลขที่203/3 ม.2 ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส

ปี 2557 คนร้ายก่อคดี จำนวน 2 คดี

  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.57 เหตุซุ่มโจมตี จนท.ร้อย ทพ.4816 ขณะออก ลว.ด้วยการเดินเท้า พื้นที่ บ้านเจาะเกาะ ม.1 ต.บูกิตอ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนท.ทพ.ได้รับบาดเจ็บ จานวน 2 นาย
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.57 ยิง จนท.ทหารพราน ร้อย ร.4903(เสียชีวิต 2นาย บาดเจ็บ 5นาย) บนถนนสายศรีสาคร-กาหลง ม.5 ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส

ปี 2558 คนร้ายก่อคดี จำนวน 8 คดี


  • คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.58 เหตุคนร้ายยิงนายบุญเลิศ จินดาธนะนันท์(ปลัด อบต.ร่มไทร) เสียชีวิต ที่ทาการองค์การบริหาร ส่วนตำบลร่มไทร ม.4 ต.ร่มไทร อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ขณะ พ.ต.อ.สมชาย พนมอุปการ ผกก.สภ.สุคิรินพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุคิรินร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุเมื่อมาถึงบ้านน้าใน ม.3 ต.เกียร์ อ.สุคิรินคนร้ายจุดชนวนระเบิด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และคนร้ายจุดชนวนระเบิดและยิงใส่ เจ้าหน้าที่ชุด EOD ที่บ้านลูโบะลาเซาะ ม.1 ต.ร่มไทร อ.สุคิริน จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พ.ค.58 คดีซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ร.1102 กรม ทพ.11 เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 3 นาย บนถนนสายสุคิริน-ดุซงยอ บ้านลูโบ๊ะลาเซาะ ม.1 ต.ร่มไทร อ.สุคิรินจ.นราธิวาส
  • คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 13 เม.ย.58 คนร้ายยิง จนท.ทหารพราน อส.ทพ.สุกรี หนูแสน พร้อมพวกรวม 3 คน ที่บ้านไอร์บาลอม.6 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 9 ต.ค.58 คนร้ายไม่ทราบจานวน ยิงฐานปฏิบัติการ ทพ.4606 บ้านน้าหอม ม.7 ต.ดุซงยอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 24 พ.ค.58 ยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ขณะตั้งจุดตรวจ, จุดตรวจทหารสวนมะพร้าว บ้านตันหยงมะลิ บนถนนสายสุไหงโก-ลก – แว้ง ต./อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ค.58 ลอบซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ.4102 ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย บริเวณบนถนนบ้านยากาบองอม. 3 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 10 ส.ค.58 ยิง นายโชคดี วรรณโร (เสียชีวิต) นายวันชัย วรรณโร และนายสมพร วรรณโร (ทั้ง 2 คนได้รับบาดเจ็บ) ขณะเดินทางกลับจากการไปหาของป่า และคนร้ายเสียชีวิต 1 คน คือนายอะฮามัด ฮะซา เหตุเกิดบนถนนบ้าน ไอร์กูเล็ง ม.3 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
  • คดีที่ 8 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.58 ยิง นายนิจิ นิเย๊ะ(ผู้ใหญ่บ้าน) ไม่ถูกและไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะกาลังยืนอยู่บริเวณถนนสามแยกบ้านยานิง ม.2 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จว.นราธิวาส

ปี 2559 คนร้ายก่อคดี จำนวน 1 คดี

        เมื่อวันที่ 13 ก.พ.59 ยิงนายมูฮาหมัดซาการียา อูมา (ได้รับบาดเจ็บ) ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ กลับจากเรียนภาษาที่สุเหร่าภายในหมู่บ้าน เหตุเกิดบนถนนภายในหมู่บ้านกูแบปูยู-บ้านชอมอง ม.8 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จว.นราธิวาส

         และล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 กลุ่มคนร้ายได้ทำการก่อเหตุยิงฐานเจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ. หน้าสถานีรถไฟ, ยิงฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4816 เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บ 7 นาย และทำการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน 48 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

กอ.รมน. ชี้ถอนทหารจากเป้าอ่อนแอ ชายแดนใต้ จะยิ่งเปิดโอกาสให้เป้าเหล่านั้นถูกโจมตีง่ายขึ้น


กอ.รมน.ภาค 4 สน. ระบุมีสื่อออนไลน์พยายามบิดเบือนเหตุ ร.พ.เจาะไอร้อง ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์โดย จนท. ระบุเป้าอ่อนแอ ถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง เผยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีพฤติกรรมสุดโต่ง เผด็จการและก่อการร้าย มุ่งเป้าอ่อนแอ การถอนทหารออกจากเป้าเหล่านั้นจะยิ่งเปิดโอกาสถูกโจมตี
18 มี.ค. 2559 พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์กลุ่มโจรได้บุกเข้ายึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง และใช้เป็นสถานที่โจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4816 เหตุเกิดเมื่อ 13 มี.ค. 2559 และภายหลังเหตุการณ์ ทุกภาคส่วนได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตามต่อกรณีเหตุการณ์ดังกล่าว กลับมีบุคคลบางกลุ่มและนักวิชาการบางคน ได้แสดงความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม โดยเรียกร้องให้มีการทบทวนการตั้งฐานปฏิบัติการให้ห่างไกลจากสถานที่ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น โรงพยาบาล และโรงเรียน เป็นต้นนอกจากนี้ ยังพบว่า มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นการสร้างสถานการณ์โดยเจ้าหน้าที่รัฐ
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอเรียนชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้ 1. สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้มุ่งกระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนผู้บริสุทธ์ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ดังที่ปรากฎให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญเช่น การทำร้ายเจ้าหน้าที่อนามัยเสียชีวิต 2 ราย ในพื้นที่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี การลอบวางระเบิดลานจอดรถยนต์ภายในโรงพยาบาลโคกโพธิ์ โรงพยาบาลมายอ จังหวัดปัตตานี การลอบวางเพลิงโรงเรียน และสถานีอนามัย พร้อมกันหลายแห่ง การทำร้ายบุคลากรทางการศึกษา พระ และพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง
2. เจ้าหน้าที่รัฐทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหน้าที่หลักในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดไม่ใช่มาทำสงคราม สำหรับการตั้งฐานปฏิบัติการได้คำนึงถึงความเหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์กรต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยพิจารณาที่สำคัญคือ จะต้องสามารถควบคุมพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจได้ เพราะเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งมีพฤติกรรมสุดโต่ง เผด็จการและก่อการร้าย ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการถอนกำลังทหารออกนอกพื้นที่ หรือให้ตั้งฐานปฏิบัติการห่างไกลจากเป้าหมายอ่อนแอ จะเป็นการสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงสร้างสถานการณ์ต่อเป้าหมายดังกล่าวได้ง่ายยิ่งขึ้น
รวมทั้ง 3. สำหรับอาวุธปืนกลเบา เอ็ม 60 ที่ใช้ในการก่อเหตุ คนร้ายได้ปล้นไปจากกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อ 4 ม.ค. 2547 จำนวน 2 กระบอก และปล้นแย่งชิงไปจากเจ้าหน้าที่เมื่อ 14 ม.ค. 2551 จำนวน1 กระบอก โดยในห้วงที่ผ่านมากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ใช้ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือแสดงออกทางความคิด ถึงแม้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงที่ไม่มีเจตนาบิดเบือน เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงควรเคลื่อนไหวหรือเรียกร้องให้กลุ่มขบวนการยุติการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ยุติการปลุกระดมบ่มเพาะ ยุติการบิดเบือนข้อเท็จจริง ให้เกิดความหวาดระแวงและความเกลียดชัง เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความสงสัยว่าเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความหวังดีหรือมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงซึ่งเป็นการทำลายบรรยากาศการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกื้อกูลและหนุนเสริมกระบวนการพูดคุย เพื่อสันติสุขที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน 

เหี้ยตัวจริง ออกโรงแล้วครัฟ


ส.ส.ฝ่ายค้านมาเลเซียอภิปรายในสภากรณีศาลตัดสินยึดที่ดินปอเนาะญีฮาด

          พรรคอิสลามมาเลเซียหรือพรรค PAS ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีฐานเสียงในรัฐกลันตัน อภิปรายในสภากรณีคำตัดสินของศาลไทยที่มีผลยึดที่ดินโรงเรียนปอเนาะญีฮาด ที่ จ.ปัตตานี โดยตั้งคำถามว่ารัฐบาลมาเลเซียได้เสนอความช่วยเหลือเพื่อสร้างสันติภาพตามความต้องการของคนในพื้นที่หรือไม่
18 มี.ค. 2559 YouTube บัญชีของพรรคอิสลามมาเลเซีย หรือพรรค PAS ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านของมาเลเซีย ซึ่งอยู่นอกกลุ่มฝ่ายค้านหลักอย่าง Pakatan Harapan หรือภาคีแห่งความหวัง ได้เผยแพร่คลิปการอภิปรายในรัฐสภาของ Ahmad Marzuk Shaary ส.ส. พรรค PAS เขตบาจก รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งอภิปรายเมื่อ 16 มีนาคม เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียให้ความสนใจต่อกรณีคำพิพากษาศาลแพ่งของไทยที่มีผลยึดที่ดินของโรงเรียนปอเนาะญีฮาด หรือโรงเรียนญีฮาดวิทยา หมู่ 4 บ้านท่าด่าน ตำบลตะโล๊ะกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี โดยช่วงที่อภิปรายถึงกรณีดังกล่าว Insouthvoice ได้ตัดวิดีโอเพื่อนำเสนอในเพจด้วย
ตอนหนึ่ง Ahmad อภิปรายถึงความสำคัญของการศึกษาของโรงเรียนปอเนาะในปาตานีซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับรัฐตอนเหนือของมาเลเซียและภูมิภาคที่ใช้ภาษามลายูว่า "ผมขอเปิดประเด็นเรื่องความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างปาตานีกลันตันจนถึงปัจจุบันนี้ อุลามะในกลันตันได้เรียนรู้จากจากบรรดาโต๊ะครูจากปาตานี ดังเช่น โต๊ะกือนาลี โต๊ะยะห์โฮ โต๊ะบาเจาะเป็นตัวอย่างของปัญญาชนอิสลามกลันตันที่ได้เรียนรู้ที่ปาตานี ผลงานของอุลามะปาตานีไม่ใช่แค่เป็นคุณประโยชน์แก่กลันตันเท่านั้น แต่ทั้งภูมิภาคนูซันตารา (โลกมลายู) ด้วย"
"อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามองการกระทำของรัฐบาลไทยต่อสังคมมลายูอิสลาม ปรากฏว่า สิทธิมนุษยชนและสิทธิในการศึกษาถูกปฏิเสธโดยฝ่ายรัฐ มีทั้ง โรงเรีนปอเนาะถูกกดดัน ถูกปิด ถูกปิดล้อม และถูกยิงด้วยกระสุน และมีครูปอเนาะหลายคนที่ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ล่าสุด การยึดทรัพย์และที่ดินของปอเนาะญีฮาด ที่ยะหริ่ง ปัตตานี โดยรัฐไทย เป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียด และจะมีการจัดงานเพื่อแสดงถึงการสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือปอเนาะญีฮาด ในวันที่ 19 มีนาคมนี้" ส.ส. จากรัฐกลันตันกล่าว
"กรณีการยึดปอเนาะญีฮาดเป็นกรณีแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่รัฐบาลยึดที่ดินของโรงเรียนปอเนาะในภาคใต้ของประเทศไทย กรณีนี้ ได้รับความสนใจจาก บรรดาโรงเรียนปอเนาะ และวงการอิสลามศึกษาจากทั่วโลกด้วย ซึ่งได้เริ่มการเยี่ยมที่ปอเนาะญีฮาดที่ อ.ยะหริ่ง จ. ปัตตานี เพื่อแสดงการสนับสนุนและความสามัคคี รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชนและนักข่าวจากสำนักข่าวอัลจาซีรา ไม่ทราบว่า รัฐบาล (มาเลเซีย) ตระหนักถึงประเด็นนี้หรือไม่ คำถามของข้าพเจ้าก็คือ มาเลเซียได้เสนอความช่วยเหลือเพื่อสร้างสันติภาพตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่หรือไม่" Ahmad กล่าวตอนหนึ่ง

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

แขก ต้ม ......ต้ม....แขก .....




           ชาวสงขลาน้ำตาตกถูกผู้นำศาสนาฉ้อฉล รวมตัว แจ้งจับผู้บริหาร "กองทุนอัสลาม" ชวนลงทุนสูญเงินกว่า 40 ล้าน อ้างขาดทุนไม่จ่ายเงิน เผยมีผู้เสียหายจำนวนมากเสียหายรวมกว่า 150 ล้านบาท


          วันนี้ (14 มีนาคม )ตัวแทนชาวบ้านจากตำบลหัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา กว่า 20 คน เดินทางมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.สิงหนคร กรณีถูกผู้บริหารกองทุนออมทรัพย์อัส-สลามฉ้อโกงเงินไปจำนวนมหาศาล ภายหลังจากส่งนายหน้าเข้ามาเชิญชวนชาวบ้านนำเงินไปร่วมลงทุนทำฟาร์มวัว ค้าอินทผลัม ค้ากาแฟ โดยจะได้ค่าตอบแทนเป็นผลกำไรจากการลงทุน ในทุก 3 เดือน ชาวบ้านหลงเชื่อเนื่องจากผู้มาที่เชิญชวนให้คำแนะนำนั้น เป็นผู้นำศาสนา และเป็นผู้ที่ชาวบ้านเชื่อถือ

         ชาวบ้าน ให้ข้อมูลว่า ชาวบ้านได้นำเงินร่วมลงทุน ตั้งแต่ 5,000 บาท ไปจนถึง 4 ล้านบาท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงขณะนี้ได้ค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียว และเมื่อชาวบ้านจะถอนเงินคืน ทางกองทุนกลับบอกว่าไม่มีเงินเพราะขาดทุน จึงได้เข้าแจ้งความและประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือ

         นางนริสา หวังอารี ผู้เสียหายรายหนึ่ง บอกว่า ลงทุนไป 1 แสนบาท ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเลย ขณะที่บางครอบครัวลงทุนรวมกันหลายล้านบาท "เฉพาะชาวบ้านในตำบลหัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา มีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 100 คน มูลค่าเงินลงทุนสูงกว่า 40 ล้านบาท" นางนริสา กล่าว และว่า ที่มาแจ้งความเพราะต้องการให้มีการดำเนินคดีกับประธานกองทุน ผู้บริหารกองทุน นายหน้าและผู้แนะนำ ที่มีอยู่ประมาณ 10 คน พร้อมขอให้มีการยึดทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาคืนกับให้กับผู้เสียหาย นอกจากตำบลหัวเขาแล้วยังมีผู้เสียหายอีกในหลายอำเภอ คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากผู้ชักนำจะเป็นผู้นำศาสนา ที่น่าเชื่อถือ และเป็นเงินลงทุนที่ได้รับผลกำไร ไม่ใช่ดอกเบี้ย

         มีรายงานแจ้งว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจากหลายอำเภอของจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ได้รับความเสียหายมากถึง 150 ล้านบาท

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

โจรฟาตอนี ส่งเพื่อนโจรฟาตอนี ไปเฝ้าพระเจ้าพร้อมยาเสพติดเพียบ




         คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ทำการก่อเหตุด้วยการใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงราษฎรเสียชีวิตคารถเก๋ง มุมมองของประชาชนทั่วไปอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ที่มีการก่อเหตุร้ายรายวันที่ได้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ  แต่สำหรับเจ้าหน้าที่แล้วการสืบสวนหาความจริงให้ปรากฏเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อจะได้ตอบคำถามของสังคมได้ว่าผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากสาเหตุเรื่องส่วนตัวหรือจากการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของกลุ่ม ผกร. ซึ่งมีอยู่บ่อยครั้งมีการอาศัยสถานการณ์บังหน้าทำการก่อเหตุทั้งๆ ที่มาจากการขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์

         กรณีของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2559 เวลาประมาณ 11.30 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงราษฎรเสียชีวิต บริเวณถนนสายศรีสาคร – ระแงะ ม.1 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ได้ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงเสียชีวิตบนรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียน ขจ 9387 สงขลา และในเวลาต่อมาทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายอะมันติ ดะแซ อายุ 32 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 391/6 ม.1 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ศรีสาคร สืบทราบมาว่า นายอะมันติ ดะแซ ผู้เสียชีวิต เป็นผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ อ.รือเสาะ และเชื่อว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ในรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียน ขจ 9387 สงขลา คันดังกล่าว


         อีกทั้งที่ผ่านมา นายอะมันติ ดะแซ มีพฤติกรรมเป็นสมาชิกแนวร่วม ผกร. เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวตามหมายศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ ฉฉ 274/2549 ลงวันที่ 2 พ.ค.2549 และได้ส่งไปควบคุมตัวที่ศูนย์พิทักษ์สันติ จากการถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุยิง นายพุฒ และ นางจวน จันทร์นุเคราะห์ สองสามีภรรยา จากการซัดทอดของ นายสมาแอ ปาต๊ะมูบิง ให้การว่า นายอะมันติ ดะแซ น้องชายต่างบิดาเป็นผู้ให้การสนับสนุนสถานที่ในการประชุมวางแผน เก็บซ่อนอาวุธปืน และ รถ จยย.ที่ใช้ในการก่อเหตุลอบยิง นายพุฒและนางจวน จันทร์นุเคราะห์ บนถนนสายไอปาเซ-มะแกง ม.1 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 2 พ.ค.49


         ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2559 เวลาประมาณ 16.00 น. เพื่อพิสูจน์ความจริงและข้อสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอให้ นายฮัมดี ตูแวสุหลง ผู้ครอบครองรถ และนางสาวซาวีตา เง๊าะ ภรรยา นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวเพื่อความบริสุทธิ์ใจของทั้งสองฝ่าย

        การตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำต่อหน้า นายฮัมดี ตูแวสุหลง ผู้ครอบครองรถ และนางสาวซาวีตา เง๊าะ ภรรยา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาและเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่หวังดีนำไปกล่าวหาโจมตีหากมีการตรวจค้นเจอสิ่งผิดกฎหมาย


         ผลการตรวจของเจ้าหน้าที่ค้นพบ
  • กระเป๋าผ้าสีแดงขนาดเล็ก ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ลักษณะเป็นเกร็ดใสสีขาวบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีขาวปิดด้วยความร้อน จำนวน 1 ถุง น้ำหนักประมาณ 0.35 กรัม 
  • ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) เม็ดสีส้ม 8 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีขาว ปิดด้วยความร้อน จำนวน 1 ถุง 
  • ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) เม็ดสีส้ม 3 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีขาว ปิดด้วยความร้อน จำนวน 1 ถุง 
  • ยาเม็ดไม่ทราบชนิดสีขาว 2 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีขาว ปิดด้วยความร้อน จำนวน 1 ถุง
  • ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 10 มัด โดยแต่ละมัดห่อด้วยพลาสติกสีขาว 
       ของกลางทั้งหมดค้นพบบริเวณใต้คอนโซลหน้าด้านซ้าย พร้อมทำการยึด
  • เงินสด จำนวน 65,000 บาท ลักษณะห่อด้วยพลาสติกใสสีขาวของกลางทั้งหมดค้นพบบริเวณใต้คอนโซลหน้าด้านซ้าย 
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดไว้ส่งเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป


          จากการเสียชีวิตของ นายอะมันติ ดะแซ คาดว่าเกิดจากความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ หรือหักหลังกันเองของกลุ่มขบวนการ ซึ่งผู้เสียชีวิตมีพฤติกรรมเป็นสมาชิกแนวร่วม ผกร. เคยมีส่วนร่วมในการก่อเหตุลอบยิง นายพุฒและนางจวน จันทร์นุเคราะห์ เป็นผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จนกระทั่งมาจบชีวิตคารถเก๋งพร้อมยาเสพติดของกลางจำนวนมาก

          ก่อนหน้านี้ นายสมาแอ ปาต๊ะมูบิง พี่ชายต่างมารดา นายอะมันติ ดะแซ ซึ่งเป็นสมาชิก ผกร.ได้ขับรถแหกด่านตรวจและได้เกิดการปะทะเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 6 ม.ค.2558 เวลา 13.00 น. บริเวณบ้านปาแระรูโบ๊ะ ม.9 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

          ภัยแทรกซ้อนต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการอย่างชนิดแยกกันไม่ออกเหมือนเงาตามตัว โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในหมู่เยาวชน เกิดจากใคร? ไม่ใช่กลุ่มบุคคลเหล่านี้หรือที่ทำร้ายลูกหลานของเรา อีกทั้งยังนำเงินทองที่ได้จากการค้ายาเสพติดไปสนับสนุนกลุ่ม ผกร. ในการจัดซื้อหาอาวุธ อุปกรณ์ผลิตระเบิดเพื่อกลับมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์.
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม