รอยยิ้มญาติและครอบครัวเมื่อเจ้าหน้าที่เปิดศูนย์ซักถามให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องสงสัย
โดย : ‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดการสร้างกระแสข่าวลือ ผนวกกับการปล่อยกระแสในสื่อสังคมออนไลน์บิดเบือนข่าวสารของบุคคลบางกลุ่มกล่าวหารัฐจัดฉากเพื่อเรียกงบ บ้างมีการเปรียบเทียบผ้าพันคอของคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ทหารพราน บ้างตั้งข้อสังเกตปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ที่เกิดเหตุจำนวนมาก รวมทั้งอาวุธปืนเอ็ม 60 ว่าคนร้ายจะมีศักยภาพเอามาจากไหน พร้อมฟันธงว่าไม่น่าจะเป็นของกลุ่ม ผกร. อีกทั้งชี้นำยืนยันไม่เคยมีข่าวว่าถูกปล้นจากกองทัพ
หลังเกิดเหตุหน่วยงานความมั่นสั่งระดมพล ปิดเทือกเขาตะเวไล่ล่าหาตัวกลุ่มคนร้ายมาลงโทษดำเนินคดี ควบคู่กับการตรวจพิสูจน์หลักฐานปลอกกระสุน และตรวจ DNA รอยเลือดคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุของ ศพฐ.10
คณะทำงานเฉพาะกิจติดตามเป้าหมายบุคคล ได้เร่งทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำเพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมกันแจ้งเบาะแสข้อมูลข่าวสารที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐ ในที่สุดเจ้าหน้าที่สามารถกำหนดตัวบุคคลว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ และได้บังคับใช้กฎหมายติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง และยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานในวันดังกล่าว อาศัยอำนาจกฎอัยการศึกเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาทำซักถามจำนวนหลายรายตามข่าวสารที่ได้มีการนำเสนอของสื่อไปแล้วนั้น
ส่วนความคืบหน้าในการออกหมายจับของศาล ล่าสุดสามารถออกหมายจับ 2 หมาย โดยเมื่อ 20 มีนาคม 2559 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้อนุมัติหมายจับ ป.วิอาญาฯ นายอับดุลการี หะแว จากผลการตรวจเลือดของ ศพฐ.10 ที่พบรอยเลือดของคนร้ายตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบว่าตรงกับ DNA นายอับดุลการี
ส่วนเมื่อ 26 มีนาคม 2559 พนักงานได้ขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ ป.วิอาญาฯ ชายไม่ทราบชื่อตามภาพวงจรปิด จำนวน 1 หมาย
นั่นคือความคืบหน้าล่าสุดในการติดตามไล่ล่าหาตัวกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดี และเป็นการตอบข้อสงสัยของสังคมที่มีการกล่าวหาจากผู้ไม่หวังดีไปก่อนหน้านี้แล้วว่ารัฐจัดฉาก
ในส่วนของผู้ต้องสงสัยที่ได้มีการควบคุมตัวใน 3 หน่วยซักถาม กับอีกหนึ่งศูนย์ ได้แก่หน่วยซักถามกรมทหารพรานที่ 46 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส, หน่วยซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี, หน่วยปฏิบัติการด้านการข่าว หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส และศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา ได้เปิดให้ญาติและครอบครัวเข้าเยี่ยม
โดยหน่วยซักถามทั้ง 4 หน่วย ได้เปิดโอกาสให้ครอบครัวและญาติของผู้ถูกควบคุมตัวสามารถเข้าเยี่ยมได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินกรรมวิธีซักถาม เป็นไปตามหลักสากล ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เพื่อบีบบังคับให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ อีกทั้งต้องการให้ญาติคลายความวิตกกังวลต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในระหว่างอยู่ในหน่วยซักถาม ต้องการให้เห็นความเป็นอยู่ขั้นตอนวิธีการต่างๆ การเปิดโอกาสให้ญาติและครอบครัวเข้าเยี่ยมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้คอยอำนวยความสะดวกให้กับเครือญาติอีกทั้งได้จัดเครื่องดื่มและอาหารว่าง เพื่อบริการให้ครอบครัวและญาติได้รับประทานระหว่างรอการเข้าเยี่ยมอีกด้วย
จากการสังเกตท่าทีของญาติและครอบครัวที่มาเยี่ยมผู้ที่ถูกควบคุมตัว ต่างมีสีหน้าแววตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงออกถึงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้ครอบครัวที่ได้พบหน้ากัน บางครอบครัวได้หอบลูกเล็กเด็กแดงเพื่อมาเยี่ยมคุณพ่อ การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกพูดคุยหยอกล้อชั่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก
เจ้าหน้าที่รัฐยังได้ฝากข่าวไปยังญาติและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ อย่ากังวลหรือหวาดวิตกต่อกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัยในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ในปัจจุบันนี้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เชิญสื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคมเข้าเยี่ยมชมศูนย์ซักถาม ให้เห็นขั้นตอนวิธีการที่ไม่มีการทำร้ายผู้ต้องสงสัย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการซ้อมทรมานแต่ประการใด ส่วนผู้ต้องสงสัยเมื่อผ่านขั้นตอนวิธีการแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่จะทำการปล่อยตัวเพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวโดยเร็วที่สุด ส่วนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมีการส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายว่ากันไปตามกระบวนการขั้นตอน ผิดว่าไปตามผิดต้องรับโทษทัณฑ์กับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้นหน่วยงานภาครัฐยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังหลบหนีอยู่ สามารถเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ภูมิลำเนาของท่าน หรือผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง