วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

มาเลเซียให้ที่อยุ่ “ซากิร ไนค์” ผู้ต้องหาก่อการร้าย และฟอกเงิน



สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียกล่าวว่าจะติดต่อตำรวจสากลเพื่อขอความช่วยเหลือในการจับกุม “นายซากิร ไนค์” ที่ถูกข้อหาก่อการร้ายและฟอกเงิน
เว็บไซต์ freemalaysiatoday รายงานว่า ศาลประเทศอินเดียได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวได้เป็นครั้งที่สองเพื่อจับกุมตัว นายซากิร ไนค์ นักเผยแพร่ศาสนาและนักเทศน์
เจ้าหน้าที่อินเดียต้องการสอบสวนเขาเกี่ยวเนื่องกับบทบาทที่เขาถูกกล่าวหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน
ศาลอินเดียได้ออกหมายจับตามคำร้องขอโดยสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดีย (NIA) อินเดียเอ็กซ์เพรสรายงาน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอินเดียอีกศาลหนึ่งซึ่งเป็นศาลพิเศษด้านการป้องกันการฟอกเงินได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวอีกครั้งต่อ “ซากิร ไนค์” ในคดีฟอกเงินที่ฟ้องโดยคณะกรรมการด้านการป้องกันและปรามปราม (Enforcement Directorate)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียบอกผู้พิพากษาพิเศษว่า “ซากิร ไนค์” ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม

ปัจจุบัน “ซากิร ไนค์” อาศัยอยู่ในมาเลเซีย เขาได้รับสถานะพำนักถาวรโดยรัฐบาลมาเลเซียเมื่อห้าปีก่อน
ตามรายงานของอินเดียเอ็กซ์เพรส สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียอ้างว่าจากการสืบสวนได้บ่งชัดว่า “ซากิร ไนค์” เคย “ส่งเสริมและช่วยเหลือ” ลูกศิษย์ของเขาผ่านการพูดในที่สาธารณะ การบรรยาย และการพูดคุย เพื่อสร้างกความขัดแย้งระหว่างชุมชนและกลุ่มศาสนาที่แตกต่างกัน
ตามรายงานของเอ็นดีทีวี (NDTV) ระบุว่า  สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากลเพื่อพาตัว “ซากิร ไนค์” กลับไปอินเดีย
รายงานระบุว่า หลังการโจมตีจากการก่อการร้ายในกรุงธากา เมืองหลวงบังคลาเทศเมื่อปีที่แล้วซึ่งผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกอ้างว่าได้รับอิทธิพลจากซากิร ไนค์ กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยื่นฟ้องนายซากิร ไนค์ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของมูลนิธิวิจัยอิสลาม (Islamic Research Foundation – IRF) ของเขาซึ่งอยู่ในเมืองมุมไบ
รายงานระบุว่า ซากิร ไนค์ ได้เดินทางไปต่างประเทศในช่วงเวลานั้น และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เดินทางกลับประเทศอินเดียเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมตามข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมก่อการร้ายและการฟอกเงิน
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ประกาศว่า มูลนิธิ IRF ของเขาเป็นองค์กรเครือข่ายก่อการร้าย
ซากิร ไนค์ ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียถูกต่อต้านโดยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มที่บอกว่า คำสอนและคำพูดของเขาจะสร้างความแตกแยกในสังคมมาเลเซียที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติ
ชาวมาเลเซียเพิ่งรู้เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน) ว่า ซากิร ไนค์ ได้รับสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในมาเลเซีย ซึ่งตามมาด้วยแรงกดดันจากกลุ่ม Hindraf ซึ่งเป็นกลุ่มด้านสิทธิของชนกลุ่มน้อยชาวอินเดียในมาเลเซีย และกลุ่มอื่นๆ ที่ได้มีการไปยื่นคำร้องต่อศาล
ชาวมาเลเซีย 19 คน ซึ่งรวมถึงประธานของ Hindraf นายพี เวธามูร์ตี้ (P Waythamoorthy) และทนายความ ซิติ กาซิม (Siti Kasim) เพิ่งยื่นฟ้องรัฐบาลในกล่าวหาว่า ปิดบังซ่อนเร้นให้ที่พักแก่ผู้กระทำผิด
พวกเขาอ้างว่า นักเทศน์ซึ่งเป็นพลเมืองของอินเดียมีความสามารถในการคุกคามความมั่นคงและความสามัคคีของชาติ
อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมบางกลุ่มในมาเลเซียได้ให้การสนับสนุนเขา โดยกล่าวว่าการที่รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้ ซากิร ไนค์ เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรนั้นเป็นสิ่งชอบธรรม

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

หื่น จูบได้ไม่ผิด สังคมวิปริต ลัทธิวิปริต ความเห็นวิปลาศ






ให้คนกลาง ๆ อย่าง Google แปลให้




ถอดความ


เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้มีอำนาจออก fatwa - การตีความกฎของอิสลามซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรง เมื่อ มีคำถามจากผู้ศรัทธา Diyanet ตอบว่าจากมุมมองของอิสลาม ไม่มีผลกระทบต่อการแต่งงาน "ถ้าพ่อจูบลูกสาวของเขาด้วยความปรารถนา"
  นอกจากนี้ยังเป็นไปตาม Diyanet ไม่มีบาป "ถ้าพ่อมองลูกสาวของเขาและรู้สึกตัณหา." อย่างไรก็ตาม ลูกสาวต้องมีอายุเกินเก้าขวบ  
fatwa นี้มาไม่นานหลังจาก fatwa อื่นจาก Diyanet ซึ่งกล่าวว่า
" คู่สมรสไม่ควรจับมือเพราะอาจนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ สิ่งที่ haram (ผิดกฎหมาย) ในศาสนาอิสลาม
ในบางประเทศอาจทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลที่จะปาก้อนหิน ขว้างปาไปที่คู่สามีภรรยาจนกว่าจะถึงแก่ความตาย"   การนำสอง fatwas ล่าสุดมารวมเข้าด้วยกัน จะให้มุมมองของเรื่องเพศในศาสนาอิสลามที่สมบูรณ์ จะทำให้ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องโกหก หลอกลวง และเป็นศาสนาที่น่าขยะแขยง ในสาสยตาของชาวตะวันตก
  "ผิดพลาดในการแปล" ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ fatwa ทั้งสองนี้ เป็นเหตุให้ความชั่วร้ายในโลกออนไลน์ รุมกระหน่ำโจมตีอิสลาม แม้ว่า fatwa ดังกล่าวซึ่งอ้างว่าถูกลบออกไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีการเผยแพร่ fatwa ดังกล่าวอยู่ต่อไป เนื่องจากผู้คนในโลกออนไลน์ ที่ได้มาพบเห็นได้คัดลอกข้อความเหล่านี้ไว้ และนำไปเผยแพร่ต่อ   ขณะนี้หัวหน้า Diyanet, Mehmet Görmez พยายามแก้ไขเรื่องอื้อฉาวและหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์เบี่ยงเบน ในการให้สัมภาษณ์จากผู้ประกาศข่าว TRT ของตุรกี ซึ่งกล่าวว่า "การตีความเรื่องราวดังกล่าว ถือเป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้า ในการแปลความภาษาอาหรับ !   คำตอบใหม่สำหรับคำถามของพ่อและลูกสาวตอนนี้อ่านตาม Diyanet กล่าวว่า การร่วมเพศเป็น "ความผิดปรกติทางพยาธิวิทยา"   มีปัญหาเพียงอย่างเดียวซึ่งทุกคน (อย่างน้อยก็ในตุรกี) รู้ บุคคลซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่ Diyanet สามารถใช้ภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาไม่เคยทำผิดพลาดในการแปลเช่นนี้เลย และนั่นก็เป็น สิ่งที่คนเหล่านี้ ต้องพยายามหาเหตุผลแก้ตัวบางอย่างและนี่ อาจเป็นปัญหาที่พวกเขาอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประชุมระดมความคิดของนักบวชอย่างเร่งด่วน

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

ผลตรวจ DNA คนร้ายป่วนใต้ระเบิดเสาไฟฟ้า


           ความคืบหน้าในการการตรวจพิสูจน์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ พบDNA จากแผงวงจร มีความเชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ที่เคยก่อคดีหลายคดีด้วยกัน


           จากคดีเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้ามากกว่า 52 ต้น ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อคืนวันที่ 6 เมษายน 2560 และต่อเนื่องในค่ำคืนวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เก็บชิ้นส่วนระเบิดในที่เกิดเหตุส่งตรวจยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10)





          และคดีที่ 2 จากกรณีเจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมตรวจค้น บริเวณภูเขา บ้านจือกอ ม.3 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 20 พ.ย.57 ซึ่งในครั้งนั้นตรวจพบ DNA จากก้นกรองบุหรี่ เสื้อ และกางเกงของผู้ก่อเหตุ และคดีที่ 3 จากกรณีเจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมตรวจค้น และเกิดการปะทะกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ บ้านตันหยง ม.5 ต.บาตง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.57ตรวจพบDNA จากก้านสำลี สายไนล่อน และกระเป๋า




          ผลพิสูจน์ DNA จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง บริเวณถนนสายนราธิวาส-ปัตตานี บ้านเปาะชี ม.7 ต.ลางา อ.มายอ จ.ปัตตานี พบว่ามีความเชื่อมโยงกับ DNA จากเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ นายมัฮหมูด หาแว ภูมิลำเนาเลขที่ 279 บ.จำปากอ ม.1 ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส โดย สภ.ท่าธง เก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มผู้ต้องสงสัยตรวจสอบกับสารบบ เมื่อวันที่ 30 ก.ค.57 อีกทั้ง DNA ยังตรงกับการเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ นายมัฮหมูด หาแว จากการก่อเหตุลักลอบเข้าบ้านผู้เสียหาย ลัวใช้อาวุธมีดจี้ น.ส.นาสรีย๊ะ สะนา กระทำอนาจารจนสำเร็จความใคร่แล้วหลบหนีไป เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.58





           เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบวัตถุพยานจากแผ่นปรินท์วงจรที่ใช้ในการประกอบระเบิด พบว่าถูกส่งจากประเทศมาเลเซียทางเรือ โดยนำเข้าในพื้นที่เขตประเทศทางด้าน อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจในสังกัด ศชต. ดำเนินการตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายท่อเหล็กทุกร้าน เพื่อหาเบาะแสของคนร้าย เพราะเชื่อว่าท่อเหล็กที่ใช้ในการประกอบระเบิดมีการจัดหาจัดซื้อในฝั่งไทย ก่อนนำมาประกอบแล้วนำไปก่อเหตุเสาไฟฟ้าสร้างมากกว่า 52 ต้น ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในพื้นที่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของการค้าการลงทุนนักธุรกิจ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในห้วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ของไทยอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

ไปที่อื่นหากยอมรับวิถีแบบยุโรปไม่ได้



           เยอรมัน ออกตัวแรง แนะผู้อพยพชาวมุสลิม ไปที่อื่นหากยอมรับวิถีแบบยุโรปไม่ได้ ชี้ มีหลายที่อยู่ใต้กฎอิสลาม


            แม้เยอรมันจะเป็นชาติแรกของยุโรป ที่มีนโยบายเปิดประตูต้อนรับ ผู้อพยพชาวมุสลิมจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจนทำให้รัฐบาลใต้การนำของนาง อังเกล่า แมร์เคิล สั่นคลอนจากคะแนนนิยมที่ลดลงฮวบแล้ว เยอรมันอีกเช่นกันที่ออกตัวแรงที่สุดในบรรดายุโรปทุกชาติที่ต่อต้านผู้อพยพเหล่านี้ ร่วมถึงสมาชิกในรัฐบาลเยอรมันเอง

            ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน วูล์ฟกัง สชูลเบิล รัฐมนตรีพานิชย์ของเยอรมัน กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ผู้อพยพชาวมุสลิม ที่มายังยุโรป ควรทำความเข้าใจด้วยว่า หากไม่ต้องการที่จะยอมวิถีชีวิตแบบชาวยุโรป นั้น ก็ยังมีที่ที่ดีสำหรับชีวิตพวกเขาอยู่ โดย รัฐมนตรีกระทรวงพานิชยืของเยอรมัน กล่าวในระหว่างหารือในที่ประชุม ว่า ผู้ที่ไม่ยอมรับวิถีชีวิตแบบชาวยุโรปต้องบอกตัวเองว่าตัดสินใจผิด และในโลกนี้มีอีกหลายที่ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายอิสลาม มากกว่ายุโรป

เมื่อคนไทยพุทธกลายเป็น “ผู้เห็นต่าง” เรามาถูกทางแล้ว

จับตาแถลงการณ์ BRN จะเบิกเนตร “บิ๊กตู่” เห็น “ความตายทั้งเป็น” ที่ชายแดนใต้ไม่ปกติได้หรือไม่ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

      วันที่คนในประเทศต่างอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะอย่างสนุกกันเต็มที่อย่างผู้มีอันจะกิน หรือฉลองกันอย่างดิบๆ สุกๆ แบบของคนไม่มีอันจะกินที่หาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งของพื้นที่ประเทศไทย คือ “คนจังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ต้องอยู่ในห้วงของการเฉลิมฉลองสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ไทยแบบกล้าๆ กลัวๆ
        
       เนื่องเพราะต้องระวัง หรือคอยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก “ข่าวสะพัด” มาก่อนหน้านี้ว่า กลุ่มผู้ไม่หวังดีมีแผนก่อเหตุร้ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์
        
       นอกจากนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายหมื่นคนที่ต้องเฝ้าทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย และจะนะ ในขณะที่เราได้สาดน้ำ และประแป้ง หรือกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน
        
       เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยังต้องออกเดินลาดตระเวน สองมือจับปืน ยืนยาม และพร้อมที่จะ “พลีชีพ กับสถานการณ์ของ “สงครามประชาชน ในพื้นที่
        
       เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่อีกราว 300 ชีวิต ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ระดมมาจากทุกภาคของประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังคงขะมักเขม้นอยู่กับ “การกู้เสาไฟฟ้าแรงสูง” ในพื้นที่ ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และในจุดอื่นๆ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีไฟฟ้าใช้อย่างถาวร
        
       แน่นอนว่าสงกรานต์ปีนี้ “คน กฟผ.” ราว 300 ชีวิต อาจจะไม่ได้ไปรวมงานวันสงกรานต์เหมือนกับคนอื่นๆ
        
       ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นคือ “ความเลวร้าย” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นความเลวรายที่เกิดจากฝีมือ “โจรใต้” หรือคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มี “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” เป็นแกนนำใหญ่ และเริ่มก่อเหตุความไม่สงบระลอกใหม่ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
        
       และความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวงก็มาจาก “ความล้มเหลว” ในการแก้ปัญหาของ “รัฐบาล” ซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 5 รัฐบาล จนถึง “รัฐบาลของ คสช.” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. และเป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารประเทศมาแล้วเป็นปีที่ 3
        
       แต่ 3 ปีของการเข้ามาบริหารประเทศของ “รัฐบาลทหาร” การแก้ปัญหาในด้านอื่นๆ ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะหลายอย่างอาจจะทำแล้วได้ผล เช่น การยึดที่หลวงกลับมาเป็นของรัฐ และการจัดระเบียบสังคมอื่นๆ แต่ในเรื่องของการ “ดับไฟใต้” ยังคงไม่มีอะไรที่ดีกว่ารัฐบาลพลเรือนที่ผ่านๆ มา
        
       แม้แต่ในเรื่องของการสร้าง “เอกภาพ” ในการเดินหน้าดับไฟใต้ ในส่วนของ “กองทัพ” เองก็ไม่มีให้เห็น เพราะวันนี้ในกองทัพเองก็ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าไฟใต้เกิดจากขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้กระทำ เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน
        
       สิ่งที่คนในพื้นที่รวมถึงคนทั้งประเทศมักได้ยินมาโดยจากตลอด ทั้งจากเรียวปากของ “ท่านผู้นำ” รวมถึงบรรดาผู้บริหารในกรุงเทพฯ และจากผู้รับผิดชอบในพื้นที่ด้วยคือ “เราเดินมาถูกทางแล้ว” หรือ “สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว” พร้อมชี้ให้ดูตัวเลขจากการก่อเหตุลดลง เมื่อเทียบกับปีนั้น หรือปีโน้น
        
       ทว่า เอาเข้าจริงก็ตอบไม่ได้ว่า “ดีขึ้นตรงไหน” ในเมื่อ “คาร์บอมบ์” ก็ยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ คนไทยพุทธก็ยังถูกฆ่าเป็นระยะๆ เหตุร้ายในพื้นที่ก็ยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง และที่สำคัญความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของคนในพื้นที่ที่มีต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็น “กอ.รมน.” หรือ “ศอ.บต.” กลับลดน้อยลงเรื่อยๆ
        
       ความจริงแล้ว “มุสลิม” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อ และหวาดระแวงเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เวลานี้กลับยังปรากฏว่า “ไทยพุทธ ยิ่งหวาดระแวง และไม่เชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของหน่วยงานของรัฐมากกว่า และมีแต่ทวีความเข้มข้นเพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
        
       จนเวลานี้กลับมีภาพของคนไทยพุทธกลายเป็น “ผู้เห็นต่าง” กับหน่วยงานรัฐ กับในนโยบายดับไฟใต้ของรัฐบาลไปแล้วเกือบจะทุกเรื่อง
        
       รวมทั้งยังกลายเป็นกลุ่มคนที่เชื่อว่า โครงการต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ดับไฟใต้ ล้วนเป็นเรื่องของ “การแสวงผลประโยชน์” มี “การค้ากำไร” เกิดขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ หรือขอให้ยุติโครงการที่เห็นว่ามีผลประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับไม่มีผลประโยชน์ต่อประชาชน
        
       13 ปีที่ผ่านมาที่ต้องถือว่าการทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงคือ การสร้าง “ความสามัคคี” ให้เกิดขึ้นระหว่างคนไทยพุทธกับคนมุสลิม ซึ่งวันนี้นอกจากไม่ลด “ความหวาดระแวง” ระหว่างกันแล้ว ยังกลายเป็น “ศัตรู” กันอย่างออกนอกหน้าออกตาเสียด้วย
        
       สิ่งนี้ยืนยันได้จากมีการประกาศ “สงครามทางความคิด” จนเกิดความขัดแย้งปรากฏชัดแจ้งในโซเซียลมีเดีย เพียงแต่เป็นการใช้ “วาจา” สาดใส่กัน แทนที่จะปา “ระเบิด” หรือยิง “กระสุนปืน” ใส่กันเท่านั้น
        
       เวลานี้จึงมีคำถามที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนทั้งจาก “ส่วนกลาง” และจาก “พื้นที่” ว่า มีโครงการอะไรบ้างที่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” และ “ศอ.บต.” ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้
        
       อันเหมือนอย่าง “ความล้มเหลวที่จับต้องได้” อาทิ การซื้อ “เรือเหาะ” หรือการซื้อเครื่องตรวจระเบิด “จีที 200” เป็นต้น ซึ่งวันนี้กลายเป็น “สิ่งของไร้ค่า” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึง “ความผิดพลาด” ของ “กองทัพ” และเป็นเหมือน “หนามแหลม” ที่สังคมใช้กลับไปทิ่มแทงรัฐ
        
       หรือที่ยิ่งนานวันหน่วยงานอย่าง “ศอ.บต.” ยิ่งกลายเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” จากการบริหารโครงการที่คนในพื้นที่เห็นว่า “ไม่โปร่งใส” ไม่ตอบโจทย์ของการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ แถมมีการ “ขุดคุ้ย” โครงการต่างๆ ขึ้นมาประจานเหมือนกับว่า “ศอ.บต.” กลายเป็น “จำเลยของสังคม” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
        
       จากหน่วยงานที่คนในพื้นที่ให้ความเชื่อมั่น กลายเป็นหน่วยงานที่คนในพื้นที่หวาดระแวง และเห็นถึงผลประโยชน์ที่แอบแฝง หรือซ่อนเร้น จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
        
       13 ปีที่ผ่านมาในการดับไฟใต้ระลอกใหม่ จึงยังเป็น 13 ปีแห่งความล้มเหลว ชนิดที่กล่าวได้ว่า “คลำหาง ไม่พบหาง คลำหัว ไม่พบหัว แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีการปล่อยให้ “สงครามประชาชน” มีการพัฒนาไปข้างหน้า และอาจจะ “ถูกยกระดับ จากความไม่สงบภายในประเทศ จนกลายเป็นเรื่องของภายนอกประเทศได้ในที่สุด
        
       เพราะล่าสุด “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ได้ออกแถลงการณ์ไปทั่วโลก ว่าด้วยเรื่องการพร้อมเข้าสู่เวทีการเจรจากับ “รัฐไทย” โดยมี “เงื่อนไข หรือข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ 1.ให้เปลี่ยนรูปแบบการเจรจาให้เป็นสากล 2.ต้องมีประชาคมระหว่างประเทศเป็นสักขีพยาน และ 3.ต้องมีคนกลางที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
        
       อันทั้ง 3 ข้อเสนอดังกล่าวนับเป็นเรื่องของการออกมา “เคลื่อนไหว ชนิดที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
        
       เพราะก่อนหน้านี้ หรือเมื่อหลายเดือนก่อนมีการตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่า บีอาร์เอ็นเริ่มเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการที่ “ปฏิเสธการเจรจา” ไปเป็น “พร้อมเจรจา” แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่บีอาร์เอ็นเป็นผู้กำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบีอาร์เอ็นมียุทธศาสตร์ 2 ทาง คือ ใช้ทั้งงานด้าน “การทหาร” และ “การเมือง ในเวลาเดียวกัน
        
       ถ้าแถลงการณ์ที่ออกมาเป็น “ของจริง นั่นแสดงให้เห็นว่า บีอาร์เอ็นกำลังก้าวออกจาก “ที่มืด มาสู่ “ที่สว่าง จากการเป็น “องค์กรลับ” กลายมาเป็น “องค์กรที่เปิดเผย” ซึ่งอาจจะมาจากการที่บีอาร์เอ็นเองก็เล็งเห็นว่า วันนี้องค์กรของพวกเขากำลังถูกสังคมจับตา และมองเห็นไปอย่างแทบไม่มีอะไรปิดบังอำพราง
        
       เนื่องเพราะสังคมโดยเฉพาะ “สื่อมวลชน” และ “หน่วยงานความมั่นคง” ทราบหมดแล้วว่า บีอาร์เอ็นคือผู้ที่สั่งการให้มีการก่อการร้ายตัวจริง เพื่อแบ่งแยกดินแดนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แถมยังรู้ด้วยว่าในขบวนการบีอาร์เอ็นนั้น ใครที่เป็น “ผู้นำ” และมีการตั้ง “ฐานกำลัง” อยู่ในประเทศมาเลเซียอย่างไร
        
       และที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นการออกมาเคลื่อนไหวของบีอาร์เอ็นในครั้งนี้ ต้องได้รับ “ไฟเขียว” จาก “รัฐบาลมาเลเซีย” ในฐานะเจ้าบ้านที่บีอาร์เอ็นไปอาศัยอยู่ เพราะถ้าเจ้าบ้านไม่เปิดไฟเขียว ขบวนการบีอาร์เอ็นจะไม่กล้าออกมาเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
        
       อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ทางการมาเลเซียได้เรียก “ดูลเลาะ แวมะนอ” ประธานขบวนการบีอาร์เอ็นคนใหม่ พร้อมคณะเข้าพบ อันเป็นห้วงเวลาก่อนที่จะมีแถลงการณ์ของบีอาร์เอ็นออกมาในเรื่องของการตั้งเงื่อนไขเพื่อเจรจากับรัฐไทยดังกล่าว
        
       เมื่อเป็นเช่นนี้ “รัฐไทย” จึงต้องคิดให้ถูก และคิดให้เป็นว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อวิกฤตปัญหาไฟใต้ต่อไป?!
        
       รัฐบาลไทยควรอย่าไปสนใจข้อเสนอของบีอาร์เอ็น แล้วให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์แบบฟันธงไปเลยว่า แถลงการณ์ของบีอาร์เอ็นเป็น “ของปลอม” ที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจใดๆ ดังที่มี “นายพล” หลายคนเชื่อเช่นนั้น
        
       หรือปล่อยให้การดับไฟใต้ดำเนินต่อไปแบบเดิมๆ กล่าวคือ รอให้โจรใต้ก่อเหตุวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง หรือขยับขยายเป็นทำลายระบบน้ำประปา ท่อส่งก๊าซ คลังน้ำมัน ฯลฯ แล้วก็แถลงข่าวว่าเป็น “เหตุปกติ” ที่ไม่มี “คนตาย” ส่วนคนในพื้นที่ที่ “ตายทั้งเป็นมากว่า 13 ปี” ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ควรจะ “ใส่ใจ” อย่างนั้นหรือ?!?!

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

พี่เป็นโจร น้องเป็นสื่อ พี่น้องท้องเดียวกันความสัมพันธ์กับกลุ่มขบวนโจรใต้






          จะเป็นอย่างไรเมื่อ นายปัญญา ปิ แกนนำระดับสั่งการ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนายทวีศักดิ์ ปิ อดีตบรรณาธิการสำนักสื่อวาร์ตานี โดนจับแล้วน้องชายจะออกมาแก้ต่างให้เหมือนที่เคยทำให้กับ ผกร. คนอื่นหรือไม่

           เมื่อ 10 เม.ย. 60 เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้าทำการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีความมั่นคง ในพื้นที่ ม.2 บ้านนัดกูโบร์ ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี หลังจากทราบจากแหล่งข่าวว่า พบความเคลื่อนไหวของบุคคลเป้าหมายตามหมายจับ บริเวณร้านขายของชำในพื้นที่ดังกล่าว จึงนำกำลังไปทำการจับกุมตัว ทราบชื่อคือ นายปัญญา ปิ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 บ.ยูโย ม.6 ต.บางขุนทอง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทั้งนี้นายปัญญา ปิ ยอมจับกุมแต่โดยดี



           นาย ปัญญา ปิ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา ศาลจังหวัดยะลา ในคดีความมั่นคง จำนวน 1 หมาย ในคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่ จ.ยะลา เมื่อปี 2557 เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้อำนาจกฎอัยการศึกควบคุมตัว และนำตัวส่งไปยังหน่วยซักถามที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อทำการขยายผล และตรวจหาดีเอ็นเอ ว่า มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า เมื่อกลางดึกวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมาหรือไม่



ตระกูล ปิ กับกลุ่มขบวนการโจรใต้


           นายปัญญา ปิ ผกร.ระดับสั่งการ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของนายทวีศักดิ์ ปิ อดีตบรรณาธิการสำนักสื่อวาร์ตานี , ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน


           นายทวีศักดิ์ ปิ เคยผิดพลาดอย่างแรงในการเคลื่อนไหวต่อประเด็นกลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้องแล้วทำการกราดยิงฐานทหารพราน โดยชี้นำความคิดด้วยการกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเรียกงบประมาณ อีกทั้งตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นการใช้อาวุธและกระสุนไม่น่าจะใช้ฝีมือกลุ่ม ผกร.


          แต่เมื่อหลักฐานปรากฏในเวลาต่อมาจากการตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการโจรใต้ที่ได้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้จำนวนหลายราย อีกทั้งทำการขยายผลตรวจยึดอาวุธและกระสุนได้เป็นจำนวนมาก


        เมื่อจนตรอกด้วยหลักฐานท่าทีของ นายทวีศักดิ์ ปิ แปรเปลี่ยนไปรีบทำการโพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวกล่าวยอมรับความผิดพลาด ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวของนายทวีศักดิ์ฯ ถามว่าผิดมั๊ย!! หากจะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายแต่ข้อมูลเชิงลึกไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นระหว่างหน่วยงานความมั่นคงกับตัวนายทวีศักดิ์ฯ หรือจะให้โอกาสในการกลับเนื้อกลับตนเป็นคนดี



          อีกทั้งมีประเด็นฉาวชายแดนใต้ เป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ต่อกรณี นายทวีศักดิ์ ปิ บก.สำนักสื่อวาร์ตานี, นายฮาซัน ดีมายาบุ ประธานกลุ่มบุหงารายา พร้อมพวกที่สวมเสื้อที่มีการวิพากษ์ว่าเป็นเสื้อแบ่งแยกดินแดน โดยผนวกรวม จ.สตูล และ 4อำเภอของจังหวัดสงขลาเข้าไปด้วย แต่ในเวลาต่อมานายฮาซัน ดีมายาบุ ได้ออกมาระบุเป็นแค่การโปรโมทเสื้อตาดีกาห้าจังหวัดชายแดนใต้


           แต่เมื่อรัฐเอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอาผิดดำเนินคดีก็เลยกลับกลอกแก้ตัวน้ำขุ่นๆ  พฤติกรรมและท่าทีที่ผ่านมาย่อมส่งผลในปัจจุบันและอนาคต อดีตคือกระจกสะท้อนตัวตนของคนแต่ละตน โดยเฉพาะ นายทวีศักดิ์ ปิ น้องชาย ผกร.ระดับสั่งการ กลุ่มแนวร่วมขบวนการโจรใต้ จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวในทุกอริยบถ ที่คอยสนับสนุนและคอยออกตัวให้กับกลุ่มขบวนการมาโดยตลอด


แล้วการจับกุมนายปัญญา ปิ ผกร.ระดับสั่งการ พี่ชายแท้ๆ ของนายทวีศักดิ์ ปิ ในครั้งนี้ละ


           จะทำให้นายทวีศักดิ์ ปิ ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อช่วยเหลือพี่ชายร่วมกับกลุ่มขบวนการโจรใต้หรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป กับ พี่เป็นโจร น้องเป็นสื่อ เงาทมึนของกลุ่มขบวนการโจรใต้

ผู้ต้องต้องสงสัย ป่วนเมือง ระเบิดเสาไฟฟ้า





เมื่อคืนวันที่ (10 เม.ย.60) เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 ร่วมกันสนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายบริเวณร้านขายของชำ บ้านนัดกูโบร์ ม.2 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สามารถควบคุมตัว นายปัญญา อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นบุคคลตามหมาย ป.วิ อาญา ของศาลจังหวัดยะลา ในคดีความมั่นคง 1 หมาย เจ้าหน้าที่ได้ใช้อำนาจกฎอัยการศึกควบคุมตัว และนำตัวส่งไปยังศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อทำการขยายผล และตรวจหาดีเอ็นเอ ว่าจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า เมื่อกลางดึกวันที่ 6 เมษายน 2560 ที่ผ่านมาหรือไม่




สำหรับ นายปัญญา ถูกออกหมายจับในคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่ จ.ยะลา เมื่อปี 2557 เป็นมือประกอบระเบิด ของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ อยู่ในเครือข่าย นายอับดุลเลาะ ปุลา และ นายอิสมะแอ ปุลา แกนนำในพื้นที่ จ.ยะลา



ส่วน บริเวณ พื้นที่ ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 คน คือ นายมะยากี อายุ 37 ปี มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง 1 หมาย นายซอมะ อายุ 45 ปี มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง 3 หมาย และ นายอัสมี อายุ 41 ปี เป็น ลูกจ้างตามโครงการจ้างงานเร่งด่วน 4,500 เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว ทั้งหมดไปสอบสวนที่หน่วยซักถามค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

“พาคนกลับบ้าน” หรือ “พาโจรกลับบ้าน”?



“พาคนกลับบ้าน” หรือ “พาโจรกลับบ้าน”?! 
คำตอบอยู่ที่การก่อวินาศกรรมของ “นักรบรุ่นใหม่” 

            สถานการณ์การโจมตีตำรวจ ที่ สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อปลายเดือน มี.ค.ของโจรใต้ ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 ศพ และบาดเจ็บอีก 4 ราย และตามติดมาด้วยการโจมตีจุดตรวจหน้าตลาดกรงปีนัง อ.กรงปีนัง จ.ยะลา อันเป็นการโจมตีเพื่อสร้างความสูญเสียให้กับ “หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นด้นหลัก

         ทั้งนี้โจรใต้ได้เลือกเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตี เพราะที่ตั้งของโรงพักและที่ตั้งของจุดตรวจทั้ง 2 แห่งดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เป็น “จุดอับ” เนื่องจากอยู่ติดกับบ้านเรือนของประชาชน จึงทำให้โจรใต้ได้เปรียบในการทำสงครามแบบ “อสมมาตร” ใช้กำลังน้อยเข้าโจมตีและล่าถอยอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกว่าการรบแบบ “กองโจร” เมื่อสร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ล่าถอยในทันที

         สำหรับการโจมตีจุดตรวจที่ตลาดกรงปีนังยังถือเป็นโชคดีที่นายตำรวจระดับ “สารวัตร” สภ.กรงปีนัง ที่นำลูกน้อง 4 คนขับรถหุ้มเกราะบุกตะลุยเข้าช่วยเหลือกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จุดตรวจหรือฐานปฏิบัติการจะถูกโจรใต้ “ละลาย” และเก็บอาวุธไปได้

        การโจมตีเป้าหมายจุดตรวจ หรือฐานปฏิบัติการ และที่ทำการของราชการที่ผ่านมา แม้จะสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นก็จริง แต่เป็นการสูญเสียที่เป็น “ปัจเจก” กล่าวคือ ตำรวจตายก็เป็นความสูญเสียของตำรวจ ทหารตายก็เป็นความสูญเสียของทหาร ผลการโจมตีจึงไม่ได้กระทบเป็นวงกว้าง

       ไม่เหมือนการโจมตีสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น การระเบิดเส้นทางรถไฟ ที่ทำให้การคมนาคม หยุดชะงัก ประชาชนผู้อาศัยการเดินทางด้วยรถไฟได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง แต่ก็ยังมีทางเลือกที่จะใช้รถประจำทางในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะลำบากขึ้น แต่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้

         แต่การก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 6 เม.ย.ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา นั่นเป็นการก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น ผลกระทบจะเกิดเป็น “วงกว้าง” โดยเดือดร้อนทั้งแต่คนระดับ “รากหญ้า” ไปจนถึงพวกที่อยู่บน “หอคอยงาช้าง” เพราะ “ระบบไฟฟ้า” คือสิ่งสำคัญทั้งต่อการดำรงชีวิตของผู้คนและวงการอุตสาหกรรม

         “ไฟฟ้าดับทั้งเมือง” จึงเป็นเรื่องที่ต้องตื่นตกใจและสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นกับประชาชน นอกจากนั้นในการป้องกันหรือการแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงการเคลื่อนกำลังเข้าต่อสู้และช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐก็ยากลำบากมากขึ้นด้วย

           อย่าแค่ไฟฟ้าดับจนกลายเป็นคืน “กาฬปักษ์” เลย แม้แต่คืนที่ระบบไฟฟ้าไม่ได้ถูกก่อวินาศกรรม แต่มีเหตุโจมตีหน่วยงานต่างๆ เกิดขึ้น กำลังชุดต่างๆ ที่จะเข้าไปให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือก็ยังไม่กล้าที่จะ เคลื่อนพลจากที่ตั้ง เพราะกุมสภาพของพื้นที่ไม่ได้ว่า โจรใต้จะมีการซุ่มโจมตี หรือวางระเบิดแสดงเครื่อง และโปรยตะปูเรือใบไว้ที่ไหนบ้าง

          การออกมาช่วยเหลือหรือสนับสนุนฐานปฏิบัติการที่ถูกโจมตี ถ้าทำแบบ “สุ่มสี่สุ่มห้า” เมื่อไหร่ นั่นหมายถึงความสุ่มเสียงในการสูญเสียแบบ “ยกกำลัง 2” เพราะฉะนั้นในหลายครั้งจะเห็นว่าหน่วยงานความมั่นคงยอมที่จะถูก “ละลายฐาน” ที่ถูกโจมตี ดีกว่าการส่งกำลังออกไปสนับสนุนแล้วสูญเสียซ้ำสอง

          การโจมตีสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ คือการก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ครั้งนี้ของโจรใต้ จึงเป็นการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบของ “สงครามประชาชน” ที่หมายมุ่งในการสร้างความสูญเสียให้กับธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกหย่อมย่าน ที่ต้องผจญกับเกิดไฟฟ้าดับ

        แม้ว่าการโจมตีในครั้งนี้จะไม่มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่มีแต่ความสูญเสียของรัฐคือ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ” ที่จะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ากลับคืนมาได้

        ดังนั้น เมื่อโจรใต้มีเป้าหมายในการก่อวินาศกรรมระบบไฟฟ้าแรงสูงได้ ในอนาคตโจรใต้ก็อาจจะก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการอื่นๆ ได้เช่นกัน เพื่อที่จะได้สร้างความเดือดร้อนให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ และแสดงถึง “ศักยภาพ” ของการทำ “สงครามกองโจร” เพื่อทำลายความเชื่อมั่นของผู้คนในพื้นที่ ต่อ “อำนาจรัฐ” และเป็นการข่มขวัญ “มวลชน” ที่ไม่ใช่แนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

        หลังการก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ในครั้งนี้ แม้ทางหนึ่งประชาชนจะ “ก่นด่า” และอาจจะ “สาปแช่ง(ในใจ )” ต่อโจรใต้ที่สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นก็จริงอยู่ แต่เสียงเหล่านั้นบางส่วนก็ทำให้ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ต้องรับฟังไว้ให้ดี และฟังแล้วก็ต้อง “สำเหนียก” ด้วย

          อย่างไรก็ตาม มีเสี่ยงก่นด่า “หน่วยงานความมั่นคง” ที่ไม่สามารถป้องกันเหตุมิให้เกิด ขึ้น แถมหลังเกิดเหตุก็ไม่สามารถที่จะตอบโต้เพื่อสร้างความสูญเสียให้กับโจรใต้ได้ด้วย

          โดยเชื่อว่ากำลังของโจรใต้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ต้องมีกว่า 100 คน ซึ่งการเคลื่อนไหวของคนจำนวนนี้ในกว่า 20 อำเภอของพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ เทพา นาทวี สะบ้ายย้อยและจะนะนั้น ต้องถามว่า “งานการข่าว” ในพื้นที่ไม่มีที่จะรู้เรื่องแม้แต่ “สักแอะเดียว” เลยล่ะหรือ

          และมีคำถามที่ติดตามมาว่า ที่ว่าสถานการณ์พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ “ดีขึ้น” โดยฝ่ายการข่าวได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่มากขึ้นนั้น 

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?!
         รวมทั้งที่บรรดา “นายพล” บางคนเคยให้สัมภาษณ์ว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอ่อนแอลง ทั้งในเรื่อง อุดมการณ์และกองกำลัง เรื่องราวเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่?!

        เนื่องเพราะเท่าที่รู้ๆ กันนั้น เรารู้แต่เพียงว่าในขณะที่โครงการ “พาคนกลับบ้าน” ได้ผลในระดับที่ “ผู้ใหญ่ในกองทัพพอใจ” ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่ “ล้มเหลว” คือการที่หน่วยงานความมั่นคงยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้คนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นโจรใต้ได้

         นั่นจึงยังไม่ใช้คำตอบที่ถูกต้องว่า เมื่อมีการ “พาโจรกลับบ้าน” ได้แล้ว เหตุการณ์จะ “ลดน้อย” เพราะจำนวนผู้ที่ถูกนำเข้าสู่ขบวนการเพื่อเป็น “โจรใต้” อาจจะมากกว่า “โจรที่ถูกพากลับบ้าน”

         สังเกตได้จากการสอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์การเผายางรถยนต์ การวางเพลิง การวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งได้บอกรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายว่าเป็น “คนอายุประมาณ 20-30 ปี” แต่งกายด้วยชุดดำทั้งชุด นั่นคือลักษณะของ “นักรบ” ที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อให้เป็นโจรโดยเฉพาะ

        และที่สำคัญคือ เป็นโจรที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวความสูญเสีย ไม่กลัวการถูกวิสามัญ และพร้อมที่จะเดินเข้าคุกเมื่อถูกจับกุม

        แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่กล้าบอกว่า สาเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ใน 4 จังหวัดมาจากสาเหตุอะไร!!

        เป็นสาเหตุมาจากเรื่อง “วิสามัญโจรใต้ 2 ศพ” ที่บ้านโคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส หรือเป็นการแสดงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ให้ “อาคันตุกะ” ที่เป็นมุสลิมจากประเทศอียิปต์ที่เดินทางมาเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ในเดือนที่มี “วันสัญลักษณ์” ของรัฐไทย หรือเป็นการแสดง “อารมณ์ร่วม” ในเรื่อง ม.44 ที่สั่งห้ามนั่งในแค็ปรถยนต์กระบะและนั่งท้ายกระบะ

         หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะ “คำตอบ” ของ “โจทย์” นี้อาจจะ “ถูกทุกข้อ” ก็ได้ และอาจจะ “ผิดทุกข้อ” ก็ได้ เนื่องจากสาเหตุการก่อการร้ายของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่อง “กำปั้นทุบดิน” 

ที่จะเอากำปั้นไปทุบลงตรงไหนก็เจอคำตอบตรงนั้น

        แต่สิ่งที่อยากบอกคือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะ “เล็ก” หรือ “ใหญ่” อย่าวัดกันที่ “ไม่มีคนตาย” และถือว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่ต้องดูที่วิธีการของโจรใต้ ต้องดูที่ความเสียหายที่ได้รับ อย่างการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่มีคนตาย ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน และสรุปว่าโจรไต้แค่ต้องการเพียง “ก่อกวน” หรือสร้างสถานการณ์เพื่อแสดง “ตัวตน” ท่านั้น

         เพราะโดยข้อเท็จจริง 13 ปีที่ผ่านมา โจรใต้ไม่เคยแสดงตัวตนมาก่อนว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนไหนระหว่าง “พูโล” หรือ “บีอาร์เอ็น” หรือ “บีไอพีพี” ฯลฯ

         สิ่งสำคัญที่สุดคือ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะสร้างความมั่นใจให้คนในพื้นที่ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งในส่วนของการก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้า” และ “สิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ” อื่นๆ

         วันนี้คนในพื้นที่ไม่ได้ต้องการขออะไรมากไปกว่า “ขอความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน”!!!!

           ส่วนโครงการอื่นๆ เช่น “โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง” หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี เพราะ ถ้าชีวิตยังเอาตัวไม่รอด ประชาชนก็มองไม่เห็นว่าจะ “มั่นคง มั่งคั่ง” ได้อย่างไร?!?!

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

ภาพจากกล้องวงจรปิด! วินาทีกลุ่มคนร้ายบุกก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจ กลางตลาดใน อ.กรงปินัง

               ภาพจากกล้องวงจรปิด! วินาทีกลุ่มคนร้ายบุกก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจ กลางตลาดใน อ.กรงปินัง จ.ยะลา เมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนจะวิ่งเข้าด้านหลังอาคารริมถนนหลบหนีไป

           จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 30 คน พร้อมอาวุธปืนสงคราม ระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้าง (ไปป์บอมบ์) บุกเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย บนถนนสาย 410 หมู่ที่ 7 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ก่อนเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บรวม 12 นาย โดยเหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 01.15 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา


            ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิด ที่สามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้มาตรวจสอบ พบว่ากลุ่มคนร้ายเป็นชายแต่งชุดดำ รวม 8 คน สวมหมวกปิดบังใบหน้า พร้อมอาวุธปืนยาว วิ่งออกมาจากฝั่งตรงข้าม วิ่งข้ามไปฝั่งป้อมจุดตรวจ ซึ่งในขณะวิ่งข้ามถนน ก็ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่ป้อมจุดตรวจจำนวนหลายสิบนัด ก่อนที่จะวิ่งเข้าด้านหลังอาคารริมถนนหลบหนีไป ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ยังได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดจากกล้องตัวอื่นในบริเวณใกล้เคียงกันมาตรวจสอบด้วยว่า สามารถบันทึกภาพกลุ่มคนร้ายเอาไว้ได้หรือไม่

           หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ศชต. พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ รอง ผบช.ศชต. พล.ต.ต.ทีป ราญสระน้อย ผบก.สส.ศชต. ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลยะลา เพื่อเข้าเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมมอบกระเช้าและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

หากไม่เข้าอิสลาม ก็ต้องย้ายตัวเองออกไป!





เมื่อวานนี้ เวลา 14:42 น.


... ประท้วง เรียกร้องให้ถอดกางเขน ออกจากธงชาติสวิสเซอร์แลนด์
... พวกเขาเอาความมั่นใจแบบนี่มาจากไหน? ไปอาศัยบ้านเขาอยู่ แต่กลับแสดงท่าทีต่อเจ้าบ้านเช่นนี้!


... คำตอบคือ เพราะเขาเชื่อกันว่า หากชาวมุสลิมคนใดต้องจบชีวิตลงในสถานการณ์เช่นนี้ พระเจ้าจะรับเขาเข้าสวรรค์ทันที

... ด้วยจิตวิทยา และการสะกดจิตตนเองแบบนี้ หากคนนอกศาสนาไปทำร้ายเขา กลับเป็นการช่วยให้เขาได้ขึ้นสวรรค์ในทันที!

... ด้วยตรรกะในการดำเนินชีวิตแบบนี้. มีหรือที่คนไม่ใช่มุสลิมจะอยู่รอดในชุมชนมุสลิมได้ 
... หากไม่เข้าอิสลาม ก็ต้องย้ายตัวเองออกไป!
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม