|
พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2560 |
|
|
ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้เดินทางมายังพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อร่วมประชุมกับคณะ “คปต.” หรือที่มักเรียกกันว่า “ครม.ส่วนหน้า” พร้อมๆ กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถือเป็นการลงมาเพื่อ “ติวเข้ม” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เห็นถึงความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าต้องรวมถึงการมองเห็นการเคลื่อนไหวของ “ไทยพุทธ” ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับ “นโยบายดับไฟใต้” ทั้งในเรื่องของการ “พาคนกลับบ้าน” และการ “พูดคุยสันติสุข” ตลอดจนการออกมาเรียกร้อง “ความเท่าเทียม” ในสิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับคนในพื้นที่ ซึ่งเวลานี้ “มุสลิม” ได้รับได้รับมากกว่า รวมทั้งการดูแลด้าน “ความปลอดภัยคนไทยพุทธ” ที่ต้องตกเป็นเหยื่อสถานการณ์ จนปัจจุบันมีจำนวน “ร่อยหรอ” ลงเรื่อยๆ
ณ วันนี้เหลือคนไทยพุทธในพื้นที่อยู่เพียงประมาณ “60,000 ชีวิต” จากที่ก่อนปี 2547 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคนไทยพุทธอยู่มากกว่า “200,000 ชีวิต”
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดหาก พล.อ.ประวิตร ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือได้ข้อมูลจากบรรดา “แม่ทัพนายกอง” หรือ “เสนาบดี” เอี้ยๆ ในพื้นที่ที่ต้องการ “ปกปิดความจริง” เพราะมีการนั่ง “ทับอึ” เอาไว้มากมาย การแก้ปัญหาไฟใต้แทนที่จะถูกต้อง ถูกจุด ก็จะถูก “เบี่ยงเบน” เพื่อประโยชน์ส่วนตน และพรรคพวก จนลืมประโยชน์ของประเทศชาติไปเสีย
ซึ่งคนในปลายด้ามขวานจะต้องช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังการลงมาของคนระดับรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม รวมทั้ง ผบ.ทบ.จะทำให้ “นโยบาย” และ “ยุทธวิธี” ของกองกำลังในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ “เป็นประโยชน์” โดยเฉพาะเป็นไปเพื่อการ “ทำลายโจรใต้” ได้หรือไม่
เพราะเราต้องผจญกับโจรใต้ หรือบีอาร์เอ็นมาแล้วถึง 13 ปี น่าจะเพียงพอแล้วต่อวิธีการ “เอาใจโจร” ในทุกรูปแบบ วันนี้ควรจะถึงเวลา “แตกหัก” ของการทำ “สงครามประชาชน” ได้แล้ว ถึงวันนี้เป็นเวลาที่เราสามารถแยกแยะ “คนดี” กับ “คนชั่ว” ออกจากกันได้แล้ว กลุ่มไหน หรือใครที่พูดคุย “รู้เรื่อง” ก็พูดคุยกันไป คนไหนที่ยัง “ถอนชิฟ” ได้ก็ถอนกันไป
แต่กลุ่มไหน หรือคนไหนไม่ว่าจะเป็น “กองกำลังติดอาวุธ” หรือเล่นบท “ลูกคู่-หางเครื่อง” ที่อยู่ในคราบขององค์กรโน้น นู้น นี่ นั่น ถ้ายัง “ตีสองหน้า” ยัง “แทงข้างหลัง” ก็ต้องใช้วิธีการ “สุดท้าย” ในการจัดการเพื่อให้พื้นที่ตรงนี้มีความสงบ ส่วนเรื่อง “สันติภาพ” มันเป็นเรื่องใหญ่ และ “เพ้อฝัน” สำหรับคนบางกลุ่ม หรือบางพวกเท่านั้น
และไม่ว่าจะใช้นโยบายแบบไหน หรือใช้ยุทธการอย่างไร สิ่งที่หน่วยงานทุกหน่วยต้องคิดให้ตรงกันคือ ประเทศเราเป็น “รัฐพุทธ” ดังนั้น “คนไทยพุทธ” ต้องได้รับความคุ้มครอง และส่งเสริมที่เท่าเทียมกับคนในศาสนาอื่นๆ
โดยเราต้องเห็นด้วยต่อนโยบายดับไฟใต้ที่จะต้อง “ล้างความคิดที่ผิด” จาก “คนที่หลงผิด” โดยจะไม่ “ทำลายชีวิตของคนที่คิดผิด” ยกเว้นคนเหล่านั้น “หมดหนทางเยียวยา” แล้วก็ย่อมปล่อยให้เป็น “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ต่อไปไม่ได้
แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วรู้สึกผิดหวังกับ “เวทีไทยพุทธ” ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเวทีของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หรือของ “ศอ.บต.” เพราะพบว่าวันนี้คนไทยพุทธยัง “ไม่มีเอกภาพ” ในการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะในการ “สร้างเครือข่าย”
เนื่องเพราะคนที่เป็น “หลัก” เป็น “แกนนำ” ได้ปฏิเสธที่จะไปร่วมแก้ปัญหา หรือเสนอแนวทางในการแก้ปัญหากับรัฐ แต่ถนัดในการที่จะเป็น “กองเชียร์” ทางไลน์ ทางเฟซบุ๊ก ส่วนคนที่ไม่ร่วมเวทีส่วนหนึ่งยังเป็นพวก “มวยวัด” หรือ “มวยทะเล” ที่สุดท้ายแล้วยังหา “ความเป็นชิ้นเป็นอัน” ไม่ได้
และที่สำคัญวันนี้เรามีแต่ “นักสู้ผมขาว” ส่วนหนุ่มสาวเยาวชนที่ควรจะเป็นอนาคตของปลายด้ามขวานกลับยังหาไม่เจอ นี่คือ “โจทย์” ใหญ่สำหรับคนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะต้องเร่งทำการแก้ไขโดยด่วน
เพราะเห็นเวทีของคนมุสลิมหลายเวที ต้องนับเป็นเวทีที่มีนักคิด นักการศาสนา เยาวชนคนหนุ่มสาวเป็น “พลัง” หรือเป็น “กำลังหลัก” ในการขับเคลื่อนสิ่งที่เขาเรียกร้อง เขารู้จัก “สร้างเครือข่าย” เพื่อให้ “เสียงของเขาก้องดัง” ทั้งในระดับประเทศ และสังคมโลก
ในขณะที่ไทยพุทธเราที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายรัฐอาจจะต้อง “จ้าง” คนไทยพุทธให้อยู่ในพื้นที่ พวกเรายังทำตัวเป็น “ไก่ในเข่งวันตรุษจีน” ที่รู้วันตายว่าพรุ่งนี้จะถูกเชือดคอไหว้เจ้า แทนที่จะช่วยกัน “ทลายเข่ง” ออกมา แต่เรากลับ “จิกตีกันเอง” เพราะแก่งแย่งความเป็นที่หนึ่ง มากกว่าที่จะเห็นความสำคัญของประเทศชาติ
แน่นอนว่า “ความไม่เป็นเอกภาพ” ของคนไทยพุทธในพื้นที่ คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการที่จะเห็น และต้อการให้เกิดมากขึ้นๆ เพราะนี่คือ “ตัวแปร” ที่สำคัญที่สุดของการแบ่งแยกดินแดน เพราะถ้าคนไทยพุทธอ่อนแอ และร่อยหรอลงเรื่อยๆ แผ่นดินปลายด้ามขวานมีปัญหาแน่นอน เพราะ “คนอยู่ แผ่นดินยัง” แต่ถ้าคนหมด แผ่นดินก็หมดไปด้วย
วันนี้คนไทยพุทธต้อง “คิดให้ได้-คิดให้เป็น” ต้องเป็นกำลังหลักของรัฐ เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐแก้ปัญหา ในส่วนที่รัฐทำไม่ถูก โกง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ว่ากันไปตามกระบวนการของการตรวจสอบ แต่ไม่ควรที่จะ “ปฏิเสธ” และมองหน่วยของรัฐเป็น “ศัตรู” ด้วยการไม่ร่วม “สังฆกรรม” เพราะนี่คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นอยากให้เกิด เพื่อที่เขาจะได้ชัยชนะเร็วขึ้น
เพราะฉะนั้นการที่ “สงครามประชาชนระลอกใหม่” ที่ปลายด้ามขวานยังคงเป็น “สงครามยืดเยื้อ” เรายังไม่รู้แพ้ ไม่รู้ชนะ ทั้งที่ต่อสู้กันมาแล้วถึง 13 ปี นั่นอาจจะเป็นเพราะทั้งหน่วยงานของรัฐ และประชาชนในพื้นที่ต่างทำในสิ่งที่เรียกว่า “เข้าทางโจร” ด้วยกันทั้งนั้น |