วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ศาลยกฟ้องคดีน้อยลง โจรใต้ถูกประหารชีวิตและติดคุกสูงขึ้น


โดย : ‘แบดิง โกตาบารู’
http://pulony.blogspot.com/2015/08/blog-post_30.html

           ปัญหาไฟใต้ที่เผาผลาญมานานนับสิบกว่าปี และไม่มีทีท่าว่าจะดับลงเมื่อไหร่? 
           อานุภาพการทำลายล้างที่เกิดจากน้ำมือของกลุ่มขบวนการโจรใต้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าได้สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่คิดต่างกับรัฐบาลไทย ประชาชนคือตัวประกันที่ตกเป็นเป้าและได้ถูกกระทำ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อหลีกหนีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไปปักหลักเริ่มต้นชีวิตใหม่ในถิ่นอื่น

         ปัญหาของรัฐบาลไทยที่ผ่านมาคือการติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งจากการเข้าทำการตรวจสอบและทลายฐานปฏิบัติการรวบรวมหลักฐานนำไปสู่การจับกุมตัวสมาชิกโจรใต้ โดยมีการใช้โรงเรียนสอนศาสนาและบ้านเครือญาติเป็นที่พักพิง นำตัวไปเข้าสู่ขั้นตอนดำเนินกรรมวิธีซักถามหาความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมส่งตัวฟ้องศาล สุดท้ายศาลได้ยกฟ้องปล่อยตัวให้เป็นอิสระจำนวนมาก

         หากย้อนกลับไปดูข้อมูลสถิติคดีความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงวันที่31 พฤษภาคม 2558 พนักงานสอบสวนส่งฟ้องดำเนินคดี จำนวน1,904 คดี ชั้นอัยการส่งฟ้อง 827 คดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลได้ยกฟ้อง 431 คดี คิดเป็นร้อยละ 60.79 จะเห็นได้ว่าเกิดจากหลักฐานไม่แน่นหนาพอ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการยกฟ้องซึ่งมีจำนวนสูงมากเกือบ 61% เลยทีเดียว

         นั่นคือความเป็นจริงที่จะต้องยอมรับในจุดอ่อนที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่หากมาแจกแจงดูสถิติผลการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ก่อเหตุรุนแรง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่าศาลพิพากษาแล้ว จำนวน 18 คดี มีผู้ต้องหา 25 คน โดยศาลพิพากษาลงโทษ 15 คดี คิดเป็นร้อยละ 83.33 และยกฟ้องเพียง 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 16.67
          จะเห็นได้ว่าจากการติดตามจับกุมนำตัวผู้กระทำความผิด ส่งตัวฟ้องศาลตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นมา ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องของคดีน้อยมาก ประมาณ 17% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการยกฟ้องของศาลสถิตยุติธรรมที่ผ่านมาสูงถึง 61%

          จากสถิติดังกล่าวข้างต้นนั่นแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลไทย ได้ตัดสินคดีความที่มีความเที่ยงตรงเสมอภาคและมีความเท่าเทียม ไม่มีการแยกแยะ แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา การยกฟ้องเนื่องจากข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอ การตัดสินคดีด้วยการลงโทษของศาลนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดต่อผู้กระทำความผิดได้




         อย่างเช่นล่าสุด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม เวลา 14.30 น. ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาตัดสิน ประหารชีวิตนายยัฟรี สารอเฮง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 ม.3 ต.บือเร๊ะ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เลขคดีดำ 3465/57 และคดีแดง 2650/2558 เหตุเกิดพื้นที่อำเภอสายบุรี จ.ปัตตานี โดยนายยัฟรีฯ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในพื้นที่กะพ้อ เมื่อปี 2557 ในข้อหาคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง
        ในส่วนตัวของผู้เขียนกับการที่ศาลยกฟ้องคดีน้อยลง และพิพากษาผู้กระทำความผิดให้รับโทษต้องติดคุก ติดตาราง หรือถึงขั้นประหารชีวิตสูงขึ้นนั้น มิได้เป็นการเขียนเพื่อจุดประสงค์ใด ๆ ที่มีการแอบแฝง หรือสะใจที่สมาชิกกลุ่มขบวนการต้องถูกลงโทษ แต่เพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึงการเรียกความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่มีความศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนกลับคืนมา และเป็นการป้องปรามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ผู้ที่คิดร้ายลงมือทำการก่อเหตุ และต้องการสื่อให้เห็นจุดจบของผู้ที่ก่อเหตุสร้างสถานการณ์คือความตายหรือติดคุกสถานเดียวเท่านั้น

          ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสการตอบรับการสร้างสันติสุขร่วมกันของทุกภาคส่วนค่อนข้างมาแรง การประณามการกระทำที่สุดโต่งต่อต้านการก่อเหตุของ ผกร. ได้เกิดขึ้นในวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเบนเข็มมุ่งไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นในแทบจะทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ที่สำคัญคือการอำนวยความยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมและเสมอภาค ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่จะสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่

          นับต่อจากนี้ไปการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย ทำการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยจะมีความรัดกุมยิ่งขึ้น และที่สำคัญปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) มาปรับใช้เพื่อความแม่นยำในกระบวนการชั้นสอบสวนเป็นหลักฐานในการส่งตัวฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี

        การออกมากล่าวหาเจ้าหน้าที่จับผิดตัว หรือจับแพะจะไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องจากการตรวจ DNA พิสูจน์ตัวบุคคล มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานระดับ ISO เป็นที่ยอมรับของสากล และปัญหาการยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอของศาลจะหมดสิ้นไป ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษ ไม่ปล่อยให้ลอยนวลหวนกลับไปทำการก่อเหตุร้ายซ้ำอีก.....

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขบวนการ BRN องค์กรแห่งความตลบตะแลง


โดย ‘แบดิง โกตาบารู’
http://pulony.blogspot.com/2015/08/brn.html

           ขบวนการ BRN เป็นองค์กรที่มักอ้างตนเสมอว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อพี่น้องมลายูปาตานี หรือแม้กระทั่งเคยประกาศออกสื่อสาธารณะว่าขบวนการเป็นตัวแทนของประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ว่าชาวไทยพุทธหรือมุสลิม แต่ในความเป็นจริง
  • ไม่เคยถามพี่น้องประชาชนเลยสักคำว่าต้องการอะไร? 
  • และยินยอมเห็นด้วยกับขบวนการ BRN หรือไม่? 
หรือแค่มโนไปเองเพียงเพื่อหาข้ออ้างในการมุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของกลุ่มตน


          หากย้อนมองพฤติกรรมที่ผ่านมาของขบวนการ BRN คงบอกได้คำเดียวอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า การกระทำขององค์กรนี้เป็นการกระทำที่ “สุดโต่ง” และยังห่างไกลกับคำว่า "ทำเพื่อพี่น้องประชาชน" เป็นอย่างมาก หรือแทบจะตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มตน การสร้างความเดือดร้อนด้วยการขัดขวางการพัฒนาท้องถิ่น เช่นการเผาโรงเรียน เผาป้ายบอกทาง เผาอาคารบ้านเรือนร้านค้าของประชาชน เผาทำลายเสาไฟฟ้า เสาสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแทบทั้งสิ้น




         เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มขบวนการโจรใต้ได้ทำการก่อเหตุสร้างความปั่นป่วนด้วยการลอบระเบิดเสาไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวนหลายต้นส่งผลให้กระแสไฟฟ้าดับบางส่วน ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เป้าหมายในการก่อเหตุดังกล่าวเพื่อหวังจะให้การจัดงานแข่งขันชกมวยไทยไฟต์ ซึ่งได้มีการจัดงานขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองสุไหงโก-ลก ให้มีอันต้องล้มเลิกไป 

          แต่ผลกลับตรงกันข้ามประชาชนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวมาเลเซีย ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวกับการกระทำดังกล่าวเลย แถมยังแห่แหนเข้ามาชมมวยไทยไฟต์จนแน่นขนัดเกินความคาดหมายของผู้จัดเสียอีก หากผู้ที่คิดแผนชั่วทำลายบรรยากาศงานวันดังกล่าวได้ดูจากการถ่ายทอดสดมวยไทยไฟต์ทางทีวีเชื่อเหลือเกินว่าคงต้องเจ็บใจจนนอนไม่หลับเป็นแน่แท้...


        สุดท้ายเมื่อการกระทำไม่ประสบผล ถ้าจะอ้างความรับผิดชอบก็คงจะต้องขายหน้าเป็นที่สุด องค์กร BRN องค์กรแห่งความตลบตะแลงนี้ก็ปล่อยแผนการอันไร้ซึ่งศักดิ์ศรีอีกครั้ง ด้วยการให้สมาชิกแนวร่วมขบวนการของตนเองทำการปล่อยข่าวลือในร้านน้ำชา แหล่งชุมชนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของกลุ่มพูโล


         ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหากทำการศึกษายุทธวิธีในการก่อเหตุของ กลุ่มพูโล จะไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดในการปฏิบัติการต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป หรือแม้แต่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายปฏิบัติการของกลุ่มพูโลนั้น มีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธเท่านั้น และสิ่งนี้เป็นอุดมการณ์ของพูโลมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นถ้าใครทราบเรื่องนี้ดี ย่อมไม่หลงเชื่อแผนชั่วกับการปล่อยข่าวลวงขององค์กร BRN อย่างแน่นอน


         ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแค่เศษเสี้ยวของความชั่วช้า สามาน ของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ได้กระทำต่อพี่น้องมลายูปาตานีในหลากหลายรูปแบบ แต่กลับไม่สำนึกยังแอบอ้างเสมอว่าทำเพื่อพี่น้องมลายูปาตานี หรือแม้กระทั่งแอบอ้างเป็นตัวแทนทำการเคลื่อนไหวเพื่อประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม พยายามยกตัวเองขึ้นเหนือกลุ่มอื่นๆ เพื่อแย่งชิงการเป็นองค์กรนำและมีบทบาทสำคัญต่อรองในเวทีการเจรจากับรัฐบาลไทย เพียงหวังผลประโยชน์จากการเจรจา เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มตนโดยไม่คิดถึงชะตากรรมของประชาชนตามตามที่ได้ประกาศไว้


         แล้วพวกเราในฐานะเจ้าของพื้นที่ตัวจริงที่จะต้องทนอยู่กับสภาวะแวดล้อมของสถานการณ์ ใช้ชีวิตประจำวันท่ามกลางเสียงปืน เสี่ยงตายกับระเบิด จะยินยอมให้ขบวนการ BRN ซึ่งเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สร้างสถานการณ์เข่นฆ่าผู้คน แต่กลับแอบอ้างการกระทำเพื่อประชาชนในการเคลื่อนไหวอยู่อย่างนี้หรือ? 

         ขบวนการ BRN ไม่มีแม้แต่ความสัตย์หรือศักดิ์ศรี ไม่ว่าฝ่ายเดียวกันเองที่เคยร่วมอุดมการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน หรือแม้กระทั่งสมาชิกแนวร่วมกลุ่มขบวนการอื่นๆ ในขณะนี้ กลุ่มขบวนการ BRN ไม่เคยเห็นประชาชนอยู่ในสายตา ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมลายูปาตานีอย่างแท้จริง แต่หวังแค่ผลประโยชน์ทางการเมืองขององค์กรตัวเองเป็นหลักเท่านั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าตาของ 3 จชต. จะเป็นอย่างไร? หากยังทำตามข้อเสนอเรียกร้องขององค์กรนี้อยู่…แล้วอนาคตลูกหลานของเราในวันข้างหน้า....จะเป็นเช่นไร จะฝากชีวิตไว้กับขบวนการ BRN กระนั้นหรือ?
------------------------

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การคลั่งชาติ และเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่พฤติกรรมของคนมีศาสนา



การคลั่งชาติ และเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่พฤติกรรมของคนมีศาสนา
ตอบโจทย์โจรใต้ BRN

ที่มา https://www.facebook.com/1555177384706108/photos/a.1555179134705933.1073741826.1555177384706108/1709161672641011/?type=1&fref=nf

การคลั่งชาติ และเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่พฤติกรรมของคนมีศาสนา

          ตามที่มีการโพสต์บทภาษามลายูรูมีเกี่ยวกับ ชาติพันธุ์ที่ยังไม่มีรัฐ(ประเทศ)ในกลุ่มอาเซียน โพสต์เมื่อวันจันทร์, 2015/08/03 13:33 ในบล็อกของ Pos Patani ในwww.deepsouthwatch.org ชื่อหัวข้อ “Bangsa-bangsa yang belum bernegara di Asean ” แปล ชาติพันธุ์ที่ยังไม่เป็นรัฐในกลุ่มอาเซียน
         จะเห็นได้ว่าบทความนี้เป็นการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกรักและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยม เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ในฐานะเราเป็นอิสลามไม่น่าจะมี่ปัญหากับเรื่องเหล่านี้ เพราะจะขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม ซึ่งการต่อสู้และเรียกร้องด้วยเงื่อนไขของการเชิดชูความเป็นเชื้อชาตินิยมนั้นเป็นแนวคิดที่พยายามจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านร่อซู้ล(ศ็อลฯ)ได้กล่าวไว้ดังความว่า 

           “ใครก็ตามที่เรียกร้องไปอะเศาะบียะฮฺ(การคลั่งชาติ เผ่าพันธุ์ หลงตระกูล ถือพวกพ้อง)คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน ใครก็ตามที่ต่อสู้เพื่ออะเศาะบียะฮฺ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน และใครก็ตามที่ตายไปเพราะสนับสนุนอาเศาะบียะฮฺ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกเดียวกับฉัน”
......................(รายงานโดยมุสลิม อะบาวูดและอันนะสาอียฺ)

         ยังมีการอ้างเรื่องของการต่อสู้ของคนปาตานี ที่มีอยู่ในกฎแห่งสากลของสิทธิมนุษยชน (UDHR) และมติของสหประชาชาติฉบับที่ 1514 (XV) ในปี 1960 กล่าวถึงการมอบเอกราชแก่ชาติพันธุ์ที่ถูกอาณานิคม และยังไม่มีรัฐ ยังพูดถึงเรื่องที่รัฐบาลไทยกดขี่ ข่มเหง และละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนปาตานี กำหนดชะตากรรมของตัวเองไม่ได้ ฯลฯ 

          แต่จริงๆ แล้ว เราจะเห็นว่าในวันนี้ชาวมลายูปาตานีได้มีความเป็นตัวตน มีสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนบัญญัติได้ครบถ้วน มีสิทธิเท่าเทียมกันเหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป อยู่ในฐานะมนุษยชาติที่มีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพในการใช้ภาษาและวัฒนธรรม รัฐไทยไม่เคยต่อต้านในการเผยแพร่ศาสนา ไม่กดขี่ ลิดรอนสิทธิ พร้อมยังสนับสนุนเรื่องงบประมาณโดยให้ความร่วมมือดูแลอย่างเต็มที่

         ทำไมเราถึงไม่ก้าวข้ามความหลังในอดีต ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้แล้ว บางกลุ่มพยายามเปิดเวทีนำเรื่องเก่ามาเล่าซ้ำ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการสร้างละคร ที่ผู้กำกับคนเดียวกัน จึงทำให้คนดูน่าเบื่อ มีแต่คนเรียกร้องสันติภาพ เรียกร้องสันติสุข เรียกร้องสันติวิธี แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ แฝงไปด้วยการโจมตีอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่ออ้างความชอบธรรมของฝ่ายตัวเอง เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเราคือคนที่เสียสละ ทำงานเพื่อสังคม ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ทำด้วยจิตอาสา แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านมีความรู้สึกอย่างไร ต่างมีคำถามแต่ไร้คำตอบ เพราะเป็นคำถามที่ทิ่มแทงใจให้กับใครหลายคน 

       11 ปี ไม่ต่างอะไรกับการสร้างภาพ เล่นละคร แสวงหาผลประโยชน์จากความตายของพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหันมาช่วยเหลือภาคใต้อย่างจริงจัง ปราศจากเงื่อนไข ผลประโยชน์สักที

ศาลปัตตานีตัดสินประหารชีวิตโจรฟาตอนีอีก 1 ราย !



         ศาลจังหวัดปัตตานี พิพากษาตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหาคดีความมั่นคงร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ทนายเผยเตรียมยื่นอุทธรณ์


        เมื่อวันที่ 25 ส.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่าได้รับการเปิดเผยจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมปัตตานีว่าวานนี้ (24 ส.ค.) เวลา14:30 น. ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิต นายยัฟรี สารอเฮง อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 ม.3 ต.บือเร๊ะ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เลขคดีดำ3465/57 และคดีแดง 2650/2558 เหตุเกิดพื้นที่สายบุรี จ.ปัตตานี โดยนายยัฟรี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้พื้นที่กะพ้อ เมื่อปี 2557 ในข้อหาคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง

         นายอับดุลกอฮา อาแวปูเต๊ะ ทนายความประจำมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมปัตตานี กล่าวว่า หลังจากที่ได้ฟังคำพิพากษาแล้วคงต้องยอมรับในคำตัดสินของศาล อย่างไรก็ตามจำเลยยังสามารถขอความเป็นธรรมโดยการยื่นอุทธรณ์ได้ ทางมูลนิธิฯ ซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือทางคดีมาตั้งแต่ต้น และเห็นว่าคดีนี้ ยังมีข้อพิรุธสงสัยในพยานหลักฐาน ฝ่ายโจทย์หลายส่วน

         หลังจากนี้ จะได้ดำเนินการคัดสำนวนทั้งหมด มาตรวจพยาน หลักฐานเพื่อยกร่างอุทธรณ์ ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใน 1 เดือน คดีนี้ต้องใช้เวลาเนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเป็นดุลพินิจของศาล

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

UNHCR ชี้ กรีซใกล้กระอักเลือด หลังเจอคลื่นผู้อพยพมุสลิมแห่เข้าประเทศ วอน EU เร่งแก้ปัญหา




          สหประชาชาติเผยในวันอังคาร( 18 ส.ค.) ระบุ เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียว มีผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเกือบ 21,000 ชีวิตเดินทางเข้ามาในกรีซ ประเทศสมาชิกยูโรโซนซึ่งกำลังถูกรุมเร้าด้วยวิกฤตหนี้สินและปัญหาทางเศรษฐกิจนานัปการรายงานข่าวซึ่งอ้าง วิลเลียม สปินด์เลอร์ โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ) ที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่นครเจนีวาของ สวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว มีผู้อพยพและผู้ลี้ภัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียและอัฟกานิสถานเดินทางเข้ามายังกรีซเกือบ 21,000 ราย หรือคิดเป็นจำนวน “เกือบครึ่งหนึ่ง” ของยอดผู้อพยพทั้งหมด ที่เดินทางเข้ากรีซตลอดทั้งปี 2014โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุด้วยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มีผู้อพยพและผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมจากซีเรียและอัฟกานิสถาน เดินทางเข้ามายังแผ่นดินของกรีซรวมแล้วมากกว่า 160,000 คน

        ข้อมูลล่าสุดของยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้อพยพจำนวน 158,456 รายที่เดินทางข้าม “ทะเลอีเจียน” จากตุรกีมายังหมู่เกาะต่าง ๆ ของกรีซ ขณะที่อีก 1,716 รายเดินทางมาถึงกรีซ ด้วยการ “เดินเท้า”ทั้งนี้ มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพที่เดินทางมุ่งหน้ามายังกรีซนั้น จะเป็นชาวซีเรียที่อพยพหนีภัย “สงครามกลางเมือง”ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนขณะที่ผู้อพยพส่วนเหลือจะเป็นชาวอัฟกันและชาวอิรักเสียเป็นส่วนใหญ่การไหลบ่าของคลื่นผู้อพยพทั้งทางเรือและทางบกเข้าสู่ยุโรป กำลังกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งกับหลายประเทศโดยเฉพาะอิตาลีและกรีซ ซึ่งต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้อพยพที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเหล่านี้เอาไว้มากที่สุดทั้งนี้ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่ทางสหภาพยุโรป (อียู) จะต้องเร่งหาทางรับมือและแก้ไขวิกฤตผู้อพยพนี้อย่างจริงจัง แทนการปล่อยให้ประเทศที่เป็นหน้าด่านอย่างกรีซและอิตาลีแบกรับภาระนี้เพียงลำพัง




วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความคืบหน้าเหตุลอบยิง เด็กชายอิคลัสซ์ อาเย๊าะ


ความคืบหน้าเหตุลอบยิง เด็กชายอิคลัสซ์ อาเย๊าะ เสียชีวิต ภายในบ้านเลขที่ 91/1 หมู่ 1 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2558 

        พฤติการณ์ของคดี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 05.10 น. ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน ทุบช่องไม้ข้างหน้าต่างหลังบ้านเลขที่ 91/1 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหาจว.ยะลา ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงเข้าไปภายในบ้านที่เกิดเหตุ กระสุนปืนถูก ด.ช.อิคลัสซ์ อาเย๊าะ อายุ 13 ปี ซึ่งนอนพักอยู่ในบ้าน เสียชีวิต
        ในส่วนของความเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ กลุ่มขบวนการแนวร่วมได้มีความพยายามบิดเบือน เบี่ยงเบน ประเด็นการเสียชีวิตของเด็กชายอายุ 13 ปี
         ซึ่งต่อมามีการนำข้อมูลการเกิดเหตุไปเผยแพร่ด้านสื่อออนไลน์ และเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการเข้าใจผิดโดยนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ซุ่มโจมตี ชคต.บาโร๊ะ มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จึงได้มาก่อเหตุยิง ด.ช.อิคลัซส์ฯ เพื่อเป็นการตอบโต้อันเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้บริสุทธิ์นั้น...
  • เหตุการณ์ทั้ง ๒ เหตุ แม้ว่าจะเกิดตำบลเดียวกันแต่ข้อเท็จจริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลังเกิดเหตุบิดามารดาของผู้เสียชีวิต ได้ยืนยันต่อสื่อมวลชน ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน และประชาชนที่เป็นสักขีพยานแล้วว่า.....คนร้ายมุ่งต่อชีวิตตนเองแต่พลาดไปถูกบุตรของตนเองทำให้เสียชีวิต
  • ตนเองรับราชการครูเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ให้ความร่วมมือกับราชการเป็นอย่างดีในการแจ้งข้อมูล เบาะแส ข่าวสารเกี่ยวกับยาเสพติดให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นในการก่อเหตุของคนร้ายในครั้งนี้
       ส่วนความคืบหน้าในรูปของคดี หลังจากเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และได้เก็บของกลางส่งตรวจพิสูจน์หลักฐาน เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ได้รวบรวมหลักฐาน จำนวน 4 รายการด้วยกันส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจพิสูจน์ กล่าวคือ
  • 1.ปลอกกระสุนปืนขนาด .30 carbine จำนวน 2 ปลอก
  • 2.เศษชิ้นส่วนลูกกระสุนปืน จำนวน 4 ชิ้น
  • 3.ถุงเท้าสีดำ (คนร้ายใช้สวมมือ) จำนวน 1 ชิ้น
  • 4.กล่องเก็บคราบโลหิต จำนวน 4 กล่อง
       ผลการตรวจพิสูจน์ ตรวจพบ DNA ที่ตรงกับ DNA จากก้านสำลีเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ นายภูมิศักดิ์ ปิยา หมายเลขประจำตัวประชาชน 3-9505-00121-27-0 ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา สภ.สะบ้าย้อยได้ดำเนินการเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้ม บุคคลกลุ่มเสี่ยงส่งตรวจสอบกับสารบบ จำนวน 40 รายการ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2557 

       ในเวลา ต่อมาเมื่อ 18 สิงหาคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังร่วม เพื่อเข้าติดตามตรวจสอบ บ้านเลขที่ 3/1 หมู่ 1 ตำบลบาโร๊ะ อำเภอ ยะหา จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นบ้านของ นางสาวอซีด๊ะห์ ปียา ซึ่งเป็นพี่สาว นายภูมิศักดิ์ ปียา บุคคลตามหมายจับศาล จ.ยะลา ที่ 252/58 ลง 18 สิงหาคม 2558 เนื่องจากมีผลความเชื่อมโยง สารพันธุกรรม DNA จากคราบเลือดของคนร้ายในวันเกิดเหตุดังกล่าว ผลการปฏิบัติไม่พบตัวคนร้ายในบ้านหลังดังกล่าวแต่อย่างใด....

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แค่ละครตบตา หรือว่าเป็นเรืื่องจริง



แถลงการณ์


         ข้าพเจ้าและพี่น้องมุสลิมชีอ๊ะห์ ไม่ได้มีความต้องการจะเป็นศัตรูกับพวกสมาชิกลัทธิวาฮาบี ที่สุดโต่ง นิยมความรุนแรง ที่แฝงเข้ามาในสังคมแห่งศาสนา เพื่อก่อการสร้างความเตกแยกแตกหักในสังคม อันจะนำมาซึ่งความระส่ำระสาย


        ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราชาวมุสลิมชีอ๊ะห์ทุกภาคส่วน มีความพยายามอย่างที่สุด ตามบัญชาของท่านผู้นำสูงสุด ในการสร้างสันติสุข สันติภาพ ตามอรรถธรรมแห่งอิสลาม กับเพื่อนร่วมชาติ ทุกเชื้อชาติศาสนา

       อันตัวข้าพเจ้าเอง ถูกละเมิดคุกคามจากสมาชิกของลัทธินี้ทุกรูปแบบ ไม่ว่า ตัดต่อล้อเลียนภาพของตน บิดามารดาถูกประจาน ครอบครัวถูกละเมิด ลูกสาว ถูกขู่ทำร้าย ผ่านหน้าเฟสของพวกเขา ซึ่งทุกกรณีถูกเก็บเป็นหลักฐานไว้ครบถ้วนแล้ว

        รวมถึงหลักฐานการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลผู้ซึ่งทำการละเมิดข้าพเจ้าจากลัทธินี้ จนพวกเขาสงบลงจากการละเมิดนั้นแล้ว

       แต่ยังไม่วาย บางคนในหมู่พวกเขา ยังก่อการคุกคามก้าวร้าวถึงขั้นประกาศ ปิดศูนย์จริยธรรมแห่งศาสนา และขับไล่ชาวชีอ๊ะห์ออกจากหมู่บ้านทั่วประเทศ ดังที่ได้ปรากฏไปแล้ว

         สิ่งที่พวกเราขอประกาศเป็นหลักฐานไว้ให้ปรากฏ ณ. ที่นี่คือ

@ เราจะปกป้องสิทธิอันชอบธรรม ตามคำสอนแห่งอิสลาม และคำพูดสุดท้ายของเราคือ " กฏหมาย "

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ยืนยันข่าว เด็ดหัว ขาหย่ายไอซิส


          หน่วยคอมมานโดสหรัฐฯ ชุดเดียวกับสังหารบิน ลาเดน แอบโรยตัวทางอากาศในซีเรีย ปลิดชีพ อาบู ไซยาฟ แกนนำสำคัญของกลุ่มก่อการร้าย IS และ สังหาร 12 ญิฮัดสำเร็จ


          16 พ.ค 58 ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวแถลงยืนยันการเสียชีวิตของ อาบู ไซยาฟ (Abu Sayyaf) แกนนำระดับสูงกลุ่มก่อการร้าย IS ที่ทำหน้าที่ควบคุมปฎิบัติการและยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มมุสลิมสุหนี่ ถูกหน่วยปฎิบัติการพิเศษเดลต้าฟอร์ซซีลสหรัฐฯสังหารในซีเรียในวันวันศุกร์(15)ที่ผ่านมา พร้อมทั้งนักรบญิฮัด IS อีก 12 คน รวมไปถึงยังสามารถช่วยเหลือเหยื่อตัวประกันหญิงชาวยาซิดิส 1 คนออกมาได้สำเร็จ ในขณะที่ภรรยาของไซยาฟ อูมม์ ไซยาฟ (Umm Sayyaf) หัวหน้าคุมเหยื่อหญิงตัวประกันถูกส่งคุมเข้มในค่ายทหารสหรัฐฯ

          ทีมหน่วยคอมมานโดสหรัฐฯได้บินตรงจากทางเหนือของอิรักด้วยเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอค และอากาศยาน V-22 ออสเปรย์ บุกเดี่ยวลึกเข้าไปยังแหล่งพื้นที่อิทธิพลของกลุ่มก่อการร้าย IS ที่เมือง Deir Ezzor ในซีเรียโดยไม่มีกองกำลังภาคพื้นสนับสนุนจากชาติพันธมิตรอื่นเข้าช่วย

         ในระหว่างการปะทะ หน่วยเดลต้าฟอร์ซซีลดวลปืน รวมไปถึงสู้แบบตัวต่อตัวอย่างดุเดือดทุกรูปแบบกับคนร้ายสมุนนักรบญิฮัด IS ที่อยู่ในแหล่งกบดานแห่งนั้น

         ซึ่งทางสหรัฐฯรายงานว่า ในปฎิบัติการนี้มีนักรบญิฮัด IS เสียชีวิตในระหว่างการปะทะจำนวน 12 คน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้รับบาดเจ็บ


(CNN) — U.S. Special Operations forces killed a senior ISIS commander during a daring raid intended to capture him in eastern Syria overnight Friday to Saturday, U.S. government officials said.

The ISIS commander, Abu Sayyaf, was killed after he fought capture in the raid at al-Omar, U.S. Secretary of Defense Ash Carter said in a statement. His wife, an Iraqi named Umm Sayyaf, was caught and is being held in Iraq.

Carter said he had ordered the raid at the direction of President Barack Obama. All the U.S. troops involved returned safely.

National Security Council spokeswoman Bernadette Meehan said Obama had authorized the raid “upon the unanimous recommendation of his national security team” and as soon as the United States was confident all the pieces were in place for the operation to succeed.

“Abu Sayyaf was a senior ISIL leader who, among other things, had a senior role in overseeing ISIL’s illicit oil and gas operations — a key source of revenue that enables the terrorist organization to carry out their brutal tactics and oppress thousands of innocent civilians,” she said in a statement.

“He was also involved with the group’s military operations.”

Umm Sayyaf, his wife, is currently in military detention in Iraq. A young woman from the Yazidi religious minority was rescued.

“We suspect that Umm Sayyaf is a member of ISIL, played an important role in ISIL’s terrorist activities, and may have been complicit in the enslavement of the young woman rescued last night,” said Meehan. ISIL is an alternative acronym for ISIS.

สวีเดน กำลังจะกลายเป็น อีรัค ไปเสียแล้ว



ระเบิด13 ครั้งตั้งแต่ปีใหม่ 4 ครั้งในรอบสัปดาห์ แก็งมุสลิมอพยพ “เปลี่ยนสวีเดนใต้ให้กลายเป็นอิรัก” ตร.พื้นที่สุดปัญญา

            ประเทศสวีเดนประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 80 นับถือศาสนาคริสต์ สื่อรัสเซีย รายงานเมื่อวานนี้(26)ว่า เกิดระเบิดครั้งที่ 4 ในเมืองมัลเมอ( Malmo)ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสวีเดน ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ ทำให้ตำรวจสวีเดนวิตกถึงอัตราความรุนแรงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อาทิ การกราดยิง ลอบวางเพลิงในเมืองทางใต้แห่งนี้ที่เป็นเขตผู้อพยพใหม่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน

           การเกิดระเบิดครั้งที่ 4 เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองผู้อพยพแห่งนี้ โดยจากรายงานเปิดเผยว่า เหตุเกิดขึ้นบริเวณลานจอดรถในช่วงเช้าวันอาทิตย์(24)ในเขต Värnhem ที่คนร้ายใช้ระเบิดมือเข้าโจมตี สื่อท้องถิ่นสวีเดนรายงาน

          ก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(26) ได้เกิดระเบิดขึ้นในเขต Solbacken ซึ่งห่างไปไม่เกิน 12 ชม. ของการระเบิดก่อนหน้านั้นในในเขตบ้านพักอาศัยย่าน Limhamn ทางตะวันตกของมัลเมอ และยังห่างไป 2 วันหลังจากเกิดเหตุคาร์บอมบ์บริเวณศูนย์คอมมูนิตีเซนเตอร์ในทางใต้ ซึ่งทำให้มีชาย 1 คนได้รับบาดเจ็บ
“นี่เป็นเหตุเกิดครั้งที่ 13 นับตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เรามีสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่นี่” Stefan Sintéus หัวหน้าตำรวจเมืองมัลเมอกล่าวถึงเหตุระเบิดในวันศุกร์(24)จากการรายงานของ Local.se สื่อท้องถิ่นในวันเสาร์(25)

         จากเหตุความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดทำให้ตำรวจท้องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจเชี่ยวชาญจากส่วนกลางสวีเดน โดย Lars Förstell โฆษกตำรวจเมืองมัลเมอแถลงว่า “ทางเราได้ร้องขอความช่วยเหลือด้านเทคนิกในปัญหาต่างๆ”

          RT รายงานเพิ่มเติมว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีการเกิดเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่องในมัลเมอ โดยเริ่มตั้งแต่การยิง วางระเบิด และลอบวางเพลิง

         เป็นที่รู้กันดีว่า มัลเมอขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นอาชญากร และยังเป็นเมืองที่มีอัตราความรุนแรงสูง ประกอบกับเป็นเขตคนหลายเชื้อชาติอาศัยรวมกันอยู่ ทำให้มีปัญหาการขยายพื้นที่ของกลุ่มแก็งมุสลิมต่างๆในการขยายพื้นที่อิทธิพล

          สื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า ทางตำรวจท้องที่เชื่อว่าเหตุระเบิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต้องเชื่อมโยงกับคดีศาลสวีเดนสั่งลงโทษจำคุกวัยรุ่นชายจำนวน 3 คนในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากมีหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่าบุคคลทั้งสามมีส่วนข้องเกี่ยวกับการระเบิดในช่วงคริสมาสอีฟที่เขต Rosengard ที่รู้จักในนาม “สลัมของเหล่าผู้อพยพ”

         ทั้งนี้สื่อธุรกิจ ไฟแนนเชียลไทม์ รายงานต่อว่า 9 ใน 10 ของประชาชนที่อาศัยในเขตนี้ล้วนอพยพมาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น โดยตามประวัติพบว่าเมืองมัลเมอก่อตั้งขึ้นในยุค 60 และกว่า 80% ของประชาชนในเขตนี้ล้วนอพยพมาจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก เช่น อิรัก ซีเรีย ยูโกสโลวาเกียก่อนล่มสลาย และโซมาเลีย

         นอกจากนี้ในการให้ข้อมูลของตำรวจสวีเดนยังพบว่า 31 % ของประชากรในเมืองมัลเมอจากทั้งหมด 300, 000 คนนั้นเกิดนอกสวีเดน และเกือบ 41% นั้นมีภูมิหลังเกี่ยวข้องคนชนกลุ่มน้อยอพยพเข้าเมือง จากข้อมูลพบว่า 38% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นที่มีงานทำ และไม่ต้องเป็นภาระแก่รัฐบาลสวีเดน ซึ่งจากจุดนี้สื่อไฟแนนเชียลไทม์ระบุว่า เป็นผลทำให้เยาวชนผู้อพยพต่างก่อเหตุความรุนแรง จลาจล และก่ออาชญากรรมประเภทต่างๆ ซึ่งจากการรายงานพบว่า เกือบครึ่งของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองมัลเมอมีอายุต่ำกว่า 35 ปี

         อัตราการว่างงานโดยรวมของสวีเดนมีแค่ 8% แต่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนกลับสูงถึง 25% ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสวีเดนที่ไม่มีงานทำนั้น “ไม่ใช่ชาวสวีเดนแต่กำเนิด หรือเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว”  นอกจากนี้ Förstel ยังให้ข้อมูลกับ RT ต่ออีกว่า มีจำนวนถึง 30-40 คนที่อยู่ในรายชื่อที่มีประวัติการก่ออาชญากรรมและมีอาวุธ ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองมัลเมอมักเกี่ยวข้องกับความไม่ลงรอยระหว่างกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติของผู้อาศัยในเมืองแห่งนี้ ส่งผลทำให้เกิดความรุนแรง

            ในเดือนมีนาคม 2015 โรงเรียนมัธยมต้น Varner Ryden ต้องปิดลงชั่วคราวเนื่องจากการเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีความต่างในด้านเชื้อชาติและศาสนา และนำไปสู่ความรุนแรง พบว่าประชากรมุสลิมในเมืองมัลเมอคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีจำนวนประชากรนับถือศาสนาอิสลามอยู่อย่างหนาแน่นในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย

           การที่สวีเดนมีผู้อพยพชาวมุสลิมตั้งถิ่นฐานอยู่สูงสุด dailycaller สื่อสหรัฐฯรายงานในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2014 ภายใต้หัวข้อข่าว “Muslim Gangs Continue To Terrorize 55 Neighborhoods, Police Powerless” หรือ แก๊งมุสลิมยังคงอาละวาดหนักใน 55 เขตชุมชนของสวีเดน แต่ตำรวจกลับไม่สามารถรับมือได้

          โดยสื่อสหรัฐฯระบุว่า สถานการณ์การขยายอิทธิพลของแก็งชาวมุสลิมในสวีเดนได้ขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยมีการสร้างเขตอิทธิพล no-go zones ขึ้น และทำให้เป็นการยากที่จะเข้าไปภายในเขตอิทธิพลของชาวมุสลิมนี้

           ปัญหานี้ทำให้รถพยาบาลฉุกเฉินสวีเดนถึงกับต้องเรียกร้องให้ทางกาเปลี่ยนมาใช้รถพยาบาลฉุกเฉินที่มีความปลอดภัยคล้ายกับรถประจำกองทัพสวีเดน ซึ่งการเรียกร้องจากสหภาพรถพยาบาลฉุกเฉินมีขึ้นเนื่องจาก เมื่อรถพยาบาลเข้าไปด้านในเขตห้ามเข้า รถให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์จะถูกกลุ่มกวนเมืองมุสลิมในพื้นที่โจมตีทันที เช่น การกรีดล้อรถ ทุบกระจกหน้า รวมไปถึงทิ้งก้อนหินขนาดใหญ่ลงมาจากถนนยกระดับ

          ผู้ปฎิบัติหน้าที่กู้ภัยสวีเดนต่างตกเป็นเป้าการโจมตีเช่นกัน และในครั้งนั้นทำให้ทางหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินต้องร้องขออุปกรณ์ป้องกันตัวเพิ่ม เช่น หมวกนิรภัย โล่ หน้ากากกันแก๊สน้ำตา และเสื้อเกราะกันกระสุน

          แก็งมุสลิมยังลามไปทำร้ายหรือก่อเหตุรุนแรงกับประชาชนผิวขาวชาวสวีเดนที่เป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งมีรายงานว่า ลูกชายของเซเลบริตีที่มีชื่อเสียงในสวีเดนตกเป็นเป้าเหยื่อเหยียดผิว เมื่อเขาเดินทางไปยังเขตอิทธิพล no-go zones ของกลุ่มแก็งมุสลิมผู้อพยพเพื่อร่วมงานฉลองวันเกิดของเพื่อน และถูกทำร้ายอย่างหนัก พร้อมกับได้รับการสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในเขตอิทธิพลนี้

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ภูเก็ตอ่วม ! ฝนตกหนักทำน้ำท่วมขังหลายจุด เหตุระบายไม่ทัน





วันนี้ (7 ส.ค.) ขณะนี้พื้นที่จังหวัดภูเก็ตกำลังได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ (13.00 น.) ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต มีน้ำท่วมขังเนื่องจากระบายไม่ทัน และในบางจุดจะเห็นเป็นน้ำโคลนสีแดงไหลมาจากที่สูง ทำให้การจราจรติดขัดรถเคลื่อนตัวได้ช้า ในถนนหลายเส้นทาง โดยเฉพาะถนนเทพกระษัตรี ซึ่งเป็นถนนสายหลักเข้า-ออกเมืองภูเก็ต โดยเฉพาะบริเวณบ้านเมืองใหม่ บ้านพร เกาะแก้ว หน้าซุปเปอร์ชีป สามกอง ซอยนาวารักษ์ ต.รัษฎา ถนนบายพาสหน้าโลตัส และอีกหลายๆ จุด




น้ำในคลองบางใหญ่ที่กำลังไหลลงทะเล


สำหรับในเขตเทศบาลนครภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำก่อนที่มวลน้ำจากหลายพื้นที่จะไหลลงทะเล น.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีเทศบาลนครภูเก็ต ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังจุดเสี่ยงเพื่อไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำ พร้อมมีการประกาศให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงใกล้คลองบางใหญ่ ยกสิ่งของไว้บนที่สูง และสามารถขอรับกระสอบทรายได้ที่เทศบาลนครภูเก็ต ติดต่อที่หมายเลข 0-7635-4363




น้ำท่วมในซอยนาวารักษ์หมู่ที่ 5 ภาพจากคุณจิรประทีป


นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานีตำรวจภูธรต่างๆ ได้มีการรายงานพื้นที่จุดเสี่ยงซึ่งมักจะมีน้ำท่วมขังทุกครั้งที่ฝนตกต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เนื่องจากระบายไม่ทัน และได้มีการจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เช่น งานจราจร สภ.ฉลอง รายงานเมื่อเวลา 07.45 น. ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก บริเวณหน้าปั๊มแก๊สวัดฉลอง แยกโรงเรียนบ้านฉลอง แยกวัดหลวงปู่สุภา และแยกนากก มีปริมาณน้ำท่วมขังไหล่ทาง รถเล็กยังสัญจรได้ ขณะที่เส้นทางสายเจ้าฟ้าตะวันออก ไม่มีน้ำท่วมขัง



งานจราจร สภ.วิชิต รายงานสภาพจราจร จุดน้ำท่วมขังในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก มีน้ำท่วมขัง 2 จุด หน้าบริษัทกระบี่รวมทุน ใกล้แยกพัฒนาท้องถิ่น ฝั่งขาออกไปพื้นที่ฉลอง 1 ช่องทาง รถเล็กสามารถผ่านได้ กับบริเวณหน้าตลาดสี่มุมเมืองฝั่งขาเข้าเมือง 1 ช่องทางรถสามารถผ่านได้ ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก 2 จุด บริเวณปากอุโมงค์หน้าโรงเรียนวิชิตสงคราม กับหน้าหมู่บ้านภูเก็ตวิลล่าใหม่ 1 ช่องทาง รถเล็กสามารถผ่านได้ ถนนวิชิตสงคราม 2 จุด บริเวณแยกบางใหญ่ กับหน้าโรงเรียนดาราสมุทร ถนนเหมืองเจ้าฟ้า 1 จุด บริเวณหน้าศูนย์มาสด้า 1 ช่องทาง รถเล็กสามารถผ่านได้ ไม่มีจุดดินถล่ม หรือต้นไม้ล้มกีดขวางการจราจร เป็นต้น


ขณะที่งานจราจร สภ.ถลาง ได้ตรวจสอบจุดเสี่ยงน้ำท่วมขังถนนเทพกระษัตรี เช่น จุดหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านเมืองใหม่ จุดหน้าร้านขายของฝากแม่จู้ และจุดหน้าโรงเรียนเมืองถลาง โดยพบน้ำท่วมขังบริเวณก่อนถึงแยกศาลาแดง 200 เมตร ขาเข้าเมืองน้ำล้นคูข้างทางเข้ามายังผิวจราจรช่องไหลทาง และช่องรถจักรยานยนต์ระยะประมาณ 80 เมตร รถยังสัญจรได้สะดวก และน้ำท่วมขังบริเวณจุดหน้าปั๊มน้ำมันซัสโก้บ้านเมืองใหม่ เป็นต้น


ทางไปอ่าวมะขาม ภาพ คุณ อนันดา



วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เลือกเป็นโจร ก็ต้องจบแบบโจร อวสาน ชายชุดดำ คูหู เปเล่ดำ



เบื้องหลัง ‘เด็ดหัวโจรใต้’ คาห้องลับที่บาตง.....
โดย : ‘แบดิง โกตาบารู’
http://pulony.blogspot.com/2015/08/blog-post_4.html?m=0


          ใครจะรู้บ้างว่าในยามดึกดื่นค่ำคืนที่ทุกคนกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข แต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายด้ามขวานของไทยเรา เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครรักษาดินแดน และอาสาสมัครทหารพรานต้องข่มตาหลับขับตานอนปฏิบัติหน้าที่อย่างมิย่อท้อ ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรไม่เคยปริปากบ่น ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกปักษ์รักษาผืนแผ่นดินไทย

          การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นการติดตามจับกุม ตรวจค้น หรือเชิญตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย มีความชอบธรรมในการปฏิบัติแต่ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน

        ที่ผ่านมาการประกาศใช้กฎหมายพิเศษไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ เลยต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน มีการอะลุ่มอล่วยยกเว้นไม่ได้มีการเข้มงวดกวดขันให้คนทั่วไปต้องเดือดร้อน


จุดจบโจรใต้ที่บาตง..ชายชุดดำในคลิปดัง

         การติดตามจับกุมผู้กระทำผิดยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และในค่ำคืนของวันที่ 2 สิงหาคม 2558 ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ทีมงานไล่ล่าโจรใต้ได้รวมตัวเฉพาะกิจ หลังสืบทราบว่า นาย มะซูการีนอ ยะกูมอ ซึ่งเป็น ผกร. ระดับหัวหน้า kompi มีดีกรีความชั่วร้าย 9 หมาย ป.วิอาญา เป็นเครื่องหมายการันตี ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในพื้นที่ ตำบลบาตง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส

        ผู้เขียนได้รับข้อมูลบอกเล่าจากแหล่งข่าววงใน ได้แฉเบื้องหลัง ‘เด็ดหัวโจรใต้’คาห้องลับที่บาตง มาเล่าสู่กันฟัง ผู้เขียนหลับตานึกภาพตามในขณะรับฟังจากคำบอกเล่า

        ขอพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไปนึกภาพ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดมยิงบริเวณสามแยกบาตง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยในเวลาต่อมา
          ความยากลำบากในการสืบหาตัวผู้กระทำผิด การรวบรวมข้อมูล พยานหลักฐาน และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงจากความเคลื่อนไหวนำไปสู่การกำหนดตัวคนร้ายจะต้องมีความแม่นยำ หากพลาดพลั่งมานั่นหมายถึงคุกตะราง และถูกองค์กรภาคประชาสังคมโจมตีนำไปขยายผลเรียกร้องยังองค์กรระหว่างประเทศ

         เมื่อข้อมูลชัดเจนการวางแผนในการเข้าทำการติดตามจับกุมจึงเริ่มขึ้น ซึ่งมีการวางแผนกันยังสถานที่แห่งหนึ่งนอกพื้นที่อำเภอรือเสาะ เพื่อเข้าพิสูจน์ทราบต่อเป้าหมายดังกล่าวในทันที โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ได้มีการสนธิกำลังจากหลายๆ ฝ่ายร่วมกัน

         เมื่อทุกอย่างพร้อม วันนัดหมายมาถึงในค่ำคืนวันที่ 2 สิงหาคม 2558 ชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนี ได้เคลื่อนเข้าพื้นที่เป้าหมายอย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าจะเจอะเจออะไร และเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือในใจหลายคนต่างคิด หากเกิดการปะทะซุ่มโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามจะเอาชีวิตรอดกลับไปหาลูกเมียและครอบครัวหรือไม่?

          จุดหมายปลายทางที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไป และได้รับรู้จากปาก ผบ.เหตุการณ์ คือพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลบาตง อำเภอรือเสาะ ซึ่งจะต้องเข้า 2 ที่หมายด้วยกัน กับการใช้กำลัง 3 ชุดปฏิบัติการพิเศษ ผบ.เหตุการณ์ เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการด้วยตนเอง โดยมีหน่วยกำลังในพื้นที่นำทาง และ ควบคุมเส้นทางเข้าออกหมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อให้ชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าไปพิสูจน์ตามที่มีการวางแผนกันไว้

            แต่แล้วการเดินทางของชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีจะต้องหยุดชงักลง หลายคนในทีมสงสัย มีการยกเลิก การเข้าพิสูจน์ทราบ 2 ที่หมายในพื้นที่ หมู่ 3 ผบ.เหตุการณ์สั่งปรับแผนให้เข้าปฏิบัติการในพื้นที่หมู่ 5 แทน โดยเจาะจง บ้านภรรยาของ นายมะซูการือนอ ยะกูมอ แทน ในเมื่อ ผบ.เหตุการณ์ สั่งทุกคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายในการเดินทางในค่ำคืนนี้กันใหม่

        กว่าจะมาถึงที่หมายค่อนรุ่งของวันใหม่ทำเอาอ่อนล้า แต่ทุกคนไม่ท้อถอย มีการจัดวางกำลังบล็อกพื้นที่โดยรอบบริเวณบ้านเป้าหมาย ส่วนรอบนอกมีการวางกำลังควบคุมเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน

         ท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ผบ.เหตุการณ์ ได้สั่งให้ไปเชิญบุคคลที่กำลังหลับไหลอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวทั้งหมดออกมา พร้อมทำการชี้แจงอธิบายเหตุผลถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อใช้กำลังเข้าพิสูจน์ทราบ เนื่องจากมีเบาะแสมาว่า นายมะซูการือนอ ยะกูมอ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา 9 หมาย มาหลบซ่อนพักพิงอยู่ในบ้านหลังนี้

          ยังไม่ทันที่มีการชี้แจงเสร็จสิ้น ทั้งภรรยา และพ่อตานายมะซูการือนอฯ รีบชิงปฏิเสธเจ้าหน้าที่ในทันทีทันใดว่า นายมะซูการือนอฯ ไม่ได้มาพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว

        ในเมื่อดั้นด้นมาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องอดหลับอดนอนและใกล้จะสว่างเต็มที เพื่อความบริสุทธิ์ใจ เจ้าหน้าที่จึงขอให้ภรรยา นายมะซูการือนอฯ พาเข้าไปทำการตรวจดูภายในบ้าน เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตา ตรวจค้นอย่างละเอียดกลับไม่เจออะไรที่ผิดปกติ ตามที่บุคคลในบ้านได้กล่าวไว้ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอเข้าไปอีกครั้งซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ก็คว้าน้ำเหลวเหมือนเช่นในครั้งแรก

        ในขณะที่ทุกคนท้อและสิ้นหวังอยู่นั้น จุดเปลี่ยนในเวลาต่อมาเมื่อมีการชวนพ่อตานายมะซูการือนอฯ พูดคุย มีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งยังได้แอบยืนยันว่า นายมะซูการือนอฯ ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในภายในบริเวณบ้าน

          เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น ผู้ที่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุย คงหนีไม่พ้นผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่จะต้องมาเกลี่ยกล่อมให้เป้าหมายออกมามอบตัว เพื่อลดระดับความรุนแรงหาทางออกด้วยแนวทางสันติวิธี...

         เพียงไม่กี่นาที โต๊ะอิหม่าม และผู้ใหญ่บ้านก็มาถึงยังบริเวณบ้านหลังดังกล่าว กระบวนการเกลี่ยกล่อมให้บุคคลเป้าหมายที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านให้ยินยอมออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินไป แต่กลับไร้ผลไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้นมาจากภายในบ้าน...

          เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาผ่านไปช่างรวดเร็วเกือบใกล้รุ่งสางของวันใหม่ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องเล่นบทบาทเข้าไปตรวจค้นอีกครั้งหนึ่งโดยมี พ่อตานายมะซูการือนอฯ พร้อมด้วย โต๊ะอิหม่าม และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมเข้าไปตรวจสอบด้วยกัน...

         การตรวจค้นยังคงดำเนินต่อไป แต่ยังคงไร้วี่แววตัวตน นายมะซูการือนอฯ แม้กระทั่งบ้านชั้นบน ซึ่งเป็นห้องนอนของนายมะซูการือนอฯ ซึ่งมีห้องน้ำส่วนตัว ก็ยังไม่พบสิ้งผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น...

         ตรวจอย่างละเอียดเท่าไหร่ก็ไมพบบุคคลเป้าหมาย ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง บังเอิญเป็นเพราะความช่างสังเกตของสมาชิกทีมไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนี ได้เหลือบไปเห็นเห็นถังน้ำหน้าห้องน้ำมีก๊อกน้ำต่อไว้ แต่ในถังกลับไม่มีน้ำสักหยดเดียว นำมาซึ่งความสงสัย จึงให้พ่อตา นายมะซูการือนอฯ เข้าไปขยับถังน้ำดังกล่าวดู...

         และในทันทีที่มีการขยับถังน้ำดังกล่าว เสียงปืนนัดแรกได้แผดก้องขึ้นแทรกความเงียบสงบของค่ำคืน และต่อด้วยนัดสองนัดสาม ส่งผลให้พ่อตา นายมะซูการือนอฯ และเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่บริเวณนั้นได้ผละออกจากบริเวณนั้นทันทีเข้าที่กำบังเพื่อความปลอดภัย

        นายมะซูการือนอฯ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องลับได้ทำการยิงเบิกทางเพื่อทำการหลบหนี ใช้จังหวะที่เจ้าหน้าที่กำลังชุลมุน ออกมาจากห้องลับ แล้วทำการยิงใส่เจ้าหน้าที่ซ้ำอีกระลอก กระสุนไปถูกโล่เจ้าหน้าที่ที่กำลังถืออยู่ กระสุนได้แฉลบไปถูกขาจนได้รับบาดเจ็บ...

        เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การปะทะจึงเกิดขึ้น ปรากฏว่า นายมะซูการือนอฯ รีบหนีลงไปหลบซ่อนตัวในห้องลับอีกครั้งหนึ่ง

        ในวินาทีนี้อาวุธปืนนานาชนิดได้ระดมยิงเข้าใส่ภายในห้องลับหลายสิบนัดตรงปากทางเข้า แต่กระนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่มั่นใจว่า นายมะซูการือนอฯ ถูกกระสุนปืนดังกล่าวหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย จึงได้ขว้าง flash bank และ แก๊สน้ำตาเข้าใส่จนกระทั่ง นายมะซูการือนอฯ หนีดิ้นทุรนทุรายออกมาจากห้องลับ และได้จบชีวิตลงตามข่าวสารที่ได้มีการนำเสนอของสื่อมวลชนทุกแขนงในเวลาต่อมา

         ยุทธวิธีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง หันมาใช้แนวทางสันติวิธี...ลดการใช้กำลังใช้หลักการเจรจาเป็นสำคัญ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกระดับการพูดคุยเท่านั้นที่จะสร้างความเข้าใจและหาทางออกของปัญหาร่วมกัน อันจะนำไปสู่กระบวนการสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้...

         นายดาโอ๊ะ หรือหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ อดีตแกนนำขบวนการพูโลใหม่ที่กำลังจะได้รับการพักโทษเพื่อกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวในวัยชรา ได้กล่าวว่า “กระบวนการพูดคุยสันติสุขจะสำเร็จในช่วงรัฐบาลนี้ โดยเขาเห็นด้วยกับการพูดคุย เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้ปัญหายุติลงได้”

         ส่วนนายมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโล ที่ได้รับการพักโทษและได้รับอิสรภาพไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 ซึ่งตรงกับวันฮารีรายอ อีฎิ้ลฟิตริ กล่าวว่า “เชื่อมั่นที่รัฐบาลได้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในแนวทางสันติวิธี และการสร้างบรรยากาศของการพูดคุยเพื่อสันติสุข”

          ผู้ที่กระทำผิด หากสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี สังคมย่อมให้อภัยดั่งเช่น“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ”และ “หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต้องโทษในเรือนจำ สุดท้ายได้รับการพักโทษกลับมาพัฒนาถิ่นเกิด

        การต่อสู้ตามแนวทางสันติ...หันหน้ามาพูดคุย...หยุดใช้ความรุนแรง ผู้ที่หลงผิดสามารถเข้าร่วม “โครงการพาคนกลับบ้าน” รายงานตัวแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่รัฐใกล้บ้าน เพื่อกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับครอบครัว ดีกว่าถือปืนใช้ความรุนแรงในการต่อสู้....มีแต่ตายสถานเดียว...

        เป็นอันว่าภารกิจชุดไล่ล่าโจรใต้ฟาตอนีในค่ำคืนนี้ได้จบสิ้นลงบนความสูญเสียที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ส่วน นายมะซูการือนอฯ ถูกจับตาย ในความเป็นจริงแล้วต้องการจับเป็นเพื่อส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายเท่านั้น เหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย หากนายมะซูการือนอฯ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรก จุดจบแบบนี้ใครๆ ต่างไม่อยากให้เกิดขึ้น และที่สำคัญครอบครัวไม่ต้องมาเสียใจกับการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก...อย่างไม่มีวันหวนกลับ......

---------------------------
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม